มีนาคม

นับจากวาเลนไทน์มาจนถึงกลางเดือนมีนาคมก็เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้วที่เอิร์ธกับบีนพัฒนาความสัมพันธ์จากคนคุยเป็นคนรัก

“พี่เอิร์ธวันนี้ก็สดใสอีกแล้วนะคะ”

คนมีความรักมักจะมีออร่าความสดใสเปล่งประกายวิบวับอยู่รอบกาย คิดว่าไม่เกินจริง เพราะเอิร์ธในตอนนี้ก็เปล่งออร่าเรืองรองเช่นนั้น ไม่มีพนักงานร้านหรือเพื่อนร่วมงานคนไหนไม่เคยทักเรื่องนี้ นอกจากดูสดใสขึ้นแล้ว งานที่เขาสนใจในช่วงนี้ก็เป็นงานที่เต็มไปด้วยความฟรุ้งฟริ้งแหวกไปจากคอนเส็ปเดิมๆ ที่เคยทำมา

คงต้องยกความดีความชอบให้รักระยะไกล

บีน...

ขนาดไม่ได้เจอหน้ากันยังอินเลิฟขนาดนี้ เอิร์ธไม่คิดเลยว่าหากได้ใช้เวลาด้วยกันจริงๆ เขาจะคลั่งรักขนาดไหน

“เมื่อไหร่จะพามาเปิดตัว” เอิร์ธทำเพียงแค่ยิ้มให้กับคำถามของรุ่นพี่คนสนิท

คะนึงนิจ หรือพี่ข้าวฟ่าง อายุ 27 เคยเป็นนักออกแบบฝีมือดี กระทั่งความรักที่ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ความคิดสร้างสรรค์ไม่ทำงาน ตอนนี้นอกจากเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญแล้วงานประสานงานทั้งหมดเธอก็เป็นฝ่ายดูแลและสามารถทำออกมาได้ดีทีเดียว

ต้องยอมรับว่าการที่สินค้าแบรนด์ Lolly D เดินทางมาไกลได้ขนาดนี้ก็เพราะมีเธอเป็นกำลังสำคัญ

“คนในความลับเธอคงไม่ใช่เด็กต่ำกว่า 18 อีกนะ ขอร้องเลย อย่าหาทำ”

“เห็นเอิร์ธเป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำเหรอพี่ฟ่าง”

“ใครจะไปรู้แก”

“อายุ 25 อะ อ่อนกว่าเอิร์ธปีนึง เพราะงั้นพี่ฟ่างสบายใจได้เลย”

“แล้วไปเจอกันได้ไง” วันๆ นอกจากทำงานหน้าคอมพิวเตอร์และออกไปดูหน้าร้านช่วงเย็น ข้าวฟ่างก็ไม่เห็นว่าซีอีโอหนุ่มจะไปไหน เช่นนั้นจึงอดสงสัยไม่ได้

“เขาเป็นแฟนคลับงานแบรนด์เรา”

“หือ ยังไงนะ ขอแบบละเอียดๆ หน่อยได้มั้ย” ข้าวฟ่างเอ่ยถามเสียงสูง

“ก็แค่นั้นแหละพี่”

“แค่นี้ไม่ได้สิ”

“แล้วพี่ฟ่างอยากได้แค่ไหนครับ”

“ก็...”

“ไหนว่ามีประชุมเช้า เข้าเลยมั้ยครับ”

คนถูกขัดถึงกับเบ้หน้าแต่เพราะคุณซีอีโอออกปากถึงขนาดนั้นและเมื่อมองนาฬิกาบนข้อมือก็พบว่าได้เวลาแล้วจริงๆ จึงยอมเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องประชุมแต่โดยดี

คอนเส็ปของสินค้าที่จะออกในช่วงปลายปีถูกนำเสนอจากทุกฝ่ายตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทุกคอนเส็ปมีเอกลักษณ์และน่าสนใจจนไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที ตัวอธิษฐ์เองอยากได้งานธีมฤดูหนาวแน่นอนว่าเขานึกถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถ้าความคิดของเขาได้รับเลือกก็คงเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปเยือนที่นั่นและพบกับคนรัก แต่น่าเสียดายที่ยังสรุปอะไรไม่ได้ซักอย่าง

การประชุมอันยาวนานทำเอาเหล่าพนักงานหมดสภาพและหมดเรี่ยวแรง อธิษฐ์เองก็เมื่อยล้าจนคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถขับรถกลับคอนโดได้

ทว่า...

Been: พี่เอิร์ธ อยู่ม้าย

Been: ก๊อกๆ หายไปทั้งวันเลยน้า คนทางนี้คิดถึงรู้ป่าว

ข้อความที่คนรักส่งมาอาจจะคลายความเหนื่อยล้าทางกายไม่ได้ แต่ก็ทำให้อธิษฐ์ยิ้มได้และมีกำลังใจ

Earth: เพิ่งออกจากห้องประชุม

Earth: คิดถึงบีนจะแย่อยู่แล้วครับ

Been: คนปากหวานมักเจ้าชู้นะรู้ป่าว

Earth: ก็หวานกับคุณคนเดียวอะครับ

Earth: บีนก็ลองพูดหวานๆ ให้พี่ฟังบ้างสิ

Been: ก็คอลมาสิเดี๋ยวจะพูดให้ฟัง

Earth: จริงนะ

Been: อือ

อีกฝ่ายยังไม่อ่านข้อความที่บีนส่งไปด้วยซ้ำ เสียงเรียกเข้าจากแอปพลิเคชั่นไลน์ก็ดังขึ้นซะแล้ว

หลังจากการสอบปลายภาคสุดท้ายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จบลง บีนก็รับรู้ได้ถึงอิสรภาพที่ซุกซ่อนตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ดื่มด่ำกับมันได้ไม่นานหรอก เพราะวันจันทร์หน้าก็ต้องไปเรียนพิเศษตามใจแม่แล้ว ดังนั้นช่วงสัปดาห์นี้เขาจึงตั้งใจจะอ้อนพี่เอิร์ธให้เยอะๆ เลย

“ไงครับ ว่างคุยเหรอ”

“ได้เสมอ”

“ที่นั่นกี่โมงแล้วนะ”

“สนใจเวลามากกว่าบีนเฉย”

“ไม่ใช่ครับ พี่จะสนใจเวลามากกว่าแฟนได้ยังไงเอ่ย”

“ก็พี่เอิร์ธถามถึงเวลา”

“ถามถึงเวลาก็ไม่ได้ด้วย”

“ม่าย” อธิษฐ์ถึงกับหลุดขำให้กับพฤติกรรมเด็กๆ ของอีกฝ่าย กระทั่งถูกถามด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังนั่นแหละจึงหยุดหัวเราะ “แล้วประชุมเป็นไงบ้างอะ”

“ไอเดียเยอะจนเลือกไม่ถูกเลยครับ”

“พนักงานของพี่เอิร์ธต้องมีแต่คนเจ๋งๆ แน่เลย”

“ก็ซีอีโอเจ๋งอะครับ”

“ค้าบบบบ พี่ซีอีโอเจ๋งที่สุดแหละ”

“เหมือนประชด”

“ไม่คิดเล็กคิดน้อยสิ บีนไม่ใช่คนคิดอะไรซับซ้อนแบบนั้นหรอก ชมก็คือชมครับ”

“แฟนพี่เป็นผู้ใหญ่อายุ 25 ที่น่ารักขนาดนี้ได้ยังไงครับเนี่ย”

เอ่อ...

คนอายุ 25 ปลอมถึงกับไปต่อไม่ถูก จู่ๆ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็จุกในอกจนอยากจะอาเจียน เป็นเวลา 4 เดือนแล้วที่เขาอิ่มเอมกับความสุขที่ได้รับมาจากการโกหก ถามว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีไหม ก็ดีแต่ในขณะเดียวกันก็เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไร แม้กระทั่งอ่านหนังสือก่อนสอบปลายภาค

“ถูกชมว่าน่ารักถึงกับเงียบไปเลยเหรอครับ”

“เขินอยู่ไง”

“อยากเห็นหน้าตอนเขินจังเลย ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ”

“ไม่เอา” บีนปฎิเสธทันควัน หลังจากส่งรูปนั้นไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พี่เอิร์ธก็ขออีกและแน่นอนว่าบีนยอม เขาพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะถ่ายรูปโดยไม่ให้เห็นหน้า เลี่ยงสิ่งแวดล้อมรอบกาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ซักวันคนเก่งๆ อย่างพี่เอิร์ธต้องสงสัยแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้น บีนไม่อยากคิดเลย

“ทำไมล่ะ พี่แค่อยากเห็นหน้าคนน่ารักตอนเขินเอง ไม่ได้เหรอครับ”

“น่ารักแล้วพี่เอิร์ธชอบมั้ย”

“ชอบสิครับ คุยกับคนน่ารักแล้วชุ่มชื่นหัวใจดีออก”

“พี่เอิร์ธชอบบีนที่เป็นแบบนี้มั้ย”

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ ก็ต้องชอบอยู่แล้วสิครับ ทุกอย่างที่เป็นบีนพี่ชอบหมดเลย และถ้าไม่ชอบก็คงไม่ขอสถานะแฟนทั้งที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งเดียวหรอก”

พี่เอิร์ธเจอหน้าบรรณวิช์ครั้งเดียวก็จริงแต่บีนน่ะเจอพี่เอิร์ธที่ร้านบ่อยเลย

พี่เอิร์ธชอบออกมาที่หน้าร้านตอนประมาณหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มและบีนก็หาเหตุให้ต้องเดินผ่านหน้าร้านในช่วงเวลานั้นประจำเพื่อแอบมองอีกฝ่ายเหมือนพวกถ้ำมอง หลายครั้งที่อยากจะเข้าไปทักทายและแสดงตัวว่านี่คือบีนไง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เขาในชุดนักเรียนไม่สามารถทำอย่างนั้นได้

เหนื่อยแล้ว...

ยิ่งพี่เอิร์ธบอกว่าชอบบีนมากเท่าไหร่ บีนก็ยิ่งอยากแสดงตัวต่อหน้าอีกคนมากเท่านั้น อยากคบกันแบบคู่รักคู่อื่นๆ อยากคุยกันและสบตา อยากจับมือและสัมผัสกัน อยากทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่สานสัมพันธ์รักของพวกเราให้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นและอิ่มเอมด้วยความสุข

 

 

 

 

 

 

เห้อ

เสียงถอนหายใจที่ไม่สามารถจำนวนครั้งได้ด้วยนิ้วมือดังขึ้นอีกครั้ง จนเพลงซึ่งเป็นเจ้าของห้องถึงกับถอนหายใจแข่งดังๆ หนึ่งทีแล้วเหลือบมองเพื่อนด้วยสายตาเบื่อหน่าย

“ถ้ามึงจะแค่มาเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้ห้องกูล่ะก็ เชิญกลับนะ”

“ไม่เอา กูไม่อยากฟังแม่บ่น” นับตั้งแต่วันที่ผลการเรียนรวมของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ออกแม่ก็บ่นไม่หยุดเลย บางครั้งพ่อที่ไม่ค่อยพูดก็มาช่วยบ่น คิดเอาเถอะว่ามันหนักหนาแค่ไหน

“มึงไปทำอะไรให้เขาบ่นอีกล่ะ”

“เกรด”

“เกรดมึงทำไม”

“2.3”

“เชี่ยไอ้บีน ปกติถึงผลการเรียนมึงจะไม่ค่อยดีแต่ก็ไม่เคยได้น้อยกว่า 2.5 ไม่ใช่เหรอวะ”

“อือ ก็นั่นแหละแม่ถึงบ่นไง”

“สมควรโดนมั้ยล่ะ มึงเอาเวลาไปจดจ่อกับอะไรเกรดมึงถึงได้ลดขนาดนี้”

“ที่มึงเคยตั้งข้อสันนิษฐานมั่วๆ ว่ากูมีความรักอะ กูมีจริงๆ นะ”

“ห๊ะ!” เพลงถึงกับร้องเพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ตลอดหลายปีที่คบกันมาตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่เคยเห็นเพื่อนสนใจหรือชายตามองสาวที่ไหนเลย พอได้ยินว่ามันมีความรักจะให้เชื่อในทันทีก็เป็นเรื่องยาก

“กูเจอเขาในแอปแอดเฟรนด์อะมึง เขาเป็นเจ้าของแบรนด์และร้าน Lolly D เป็นคนขายสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้กู” สร้อยข้อมือที่บีนใส่ติดแขนไว้ตลอดถูกยื่นไปให้เพื่อนดู “พวกเราคุยและคบกันมา 4-5 เดือนแล้ว”

“แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน มีแฟนเป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้น เขาก็น่าจะให้คำปรึกษาเรื่องการเรียนของมึงได้สิ”

“ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่ากูเป็นนักเรียน”

“คือยังไงวะ” ทุกประโยคของเพื่อนน่ามึนและชวนสงสัยจนต้องวางปากกาในมือลง

“เขาคิดว่ากูคือพี่แบ็งค์ คิดว่ากูทำงานอยู่สวิต เอาจริงเพลงตอนนี้กูเริ่มสับสนละว่ากูคือใครกันแน่”

“มึงก็คือไอ้บีน นักเรียนที่กำลังจะขึ้นชั้นม.6 พร้อมกับเกรดเฉลี่ย 2.3 ไง”

“กูคือบุลวัชรเนอะ”

“อือ เป็นบุลวัชรที่ถ้าไม่จัดการความสัมพันธ์นี้ให้เข้าร่องเข้ารอย เทอมหน้ามึงอาจจะเป็นบุลวัชรที่โดนแม่บ่นเพราะได้เกรดเฉลี่ยไม่ถึง 2 ก็ได้”

“มึงแช่งกูอะเพลง” แค่คิดว่าเกรดตัวเองอาจจะร่วงลงอีกบีนก็แทบจะปล่อยโฮออกมาแล้ว

“มึงรู้ดีที่สุดบีนว่าเกรดมึงร่วงขนาดนี้เพราะอะไร”

จริง บีนรู้ดีว่าทำไมการเรียนถึงได้ย่ำแย่และทำให้แม่ผิดหวัง นั่นก็เพราะเขาเอาแต่จดจ่ออยู่กับคำโกหก สมองทั้งหมดถูกใช้ไปเพื่อหาวิธีรั้งพี่เอิร์ธไว้ใกล้ๆ ตัว

“มึงต้องหาทางแก้ไขอะบีน ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ตัวมึงจะแย่เอานะ”

“ต้องเลิกกับพี่เอิร์ธเหรอวะ”

“หรือไม่ก็เลิกโกหก”

หรือบางทีการเลิกโกหกอาจจะนำมาซึ่งการเลิกรากับพี่เอิร์ธก็ได้ ใครจะไปรู้

 

 

TBC.

#รักพี่ไม่มีหลอก