Du gefällst mir gut

แก้วกาแฟร้อนแบบกระดาษที่มีข้อความภาษาเยอรมันเขียนกำกับอยู่ด้านข้างถูกผมหยิบขึ้นมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานในห้อง จากแก้วกระดาษสีขาวตอนนี้ซีดเหลืองเพราะเวลาผ่านมาเกือบสิบปี แต่น่าตลกที่ผมพกมันติดตัวไปด้วยทุกที่ราวกับเป็นเครื่องรางนำโชค ทั้งที่ความจริงมันเป็นสิ่งของที่คอยตอกย้ำภาพความทรงจำในอดีตระหว่างผมกับเขา

ผมยังจำน้ำเสียงทะเล้นแววตาเจ้าเล่ห์จากเจ้าของลายมือขยึกขยือที่ใช้ปากกา Permanent เขียนข้อความบนแก้วกาแฟให้ผมได้เป็นอย่างดี

“เขียนว่าอะไร”

“อ่านเองดิ”

“เขียนเป็นภาษาอังกฤษดิ ครินต์ยังอ่อนภาษาเยอรมันพี่ก็รู้”

“ไม่รู้”

“กวนตีน”

“ฮ่าๆ”

“เร็วๆ บอกมาเดี๋ยวนี้”

“ยื่นหูมาใกล้ๆ” ผมรีบทำตามคำบอกอย่างว่าง่าย โน้มตัวเข้าไปใกล้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก่อนริมฝีปากจะเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อเจ้าตัวกระซิบเสียงนุ่มข้างหูแต่ทำให้ผมใจสั่นอย่างรุนแรง

“ผมตกหลุมรักคุณครับ”

คำบอกรักแสนหวานมันกลายเป็นอดีตไปแล้วครับ ปัจจุบันแม้แต่ชื่อผมเขายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ บางครั้งก็นึกหงุดหงิดตัวเองที่ยังเก็บแก้วกาแฟไร้ราคาแต่มีคุณค่าทางจิตใจไว้กับตัว

ความจริงผมควรโยนมันลงถังขยะตั้งแต่วันที่รอนด้าทิ้งผมไปด้วยซ้ำ แต่ผมกลับไม่ทำเพราะลึกๆ ในใจไม่เคยลืมเรื่องราวระหว่างเราสองคนได้เลย มีบ้างที่ภาพความทรงจำเลือนลางไปตามกาลเวลา ทว่าไม่เคยจางหายในความรู้สึก

จนกระทั่งวันนี้ผมได้เจอเขาอีกครั้ง รักครั้งแรกที่เคยผูกพันกันทั้งร่างกายและจิตใจ ราวกับสมองกำลังฉายหนังม้วนเดินในอดีต รู้สึกเจ็บปวดระคนเจ็บใจ เสียงหัวเตียงกระทบผนังจากห้องข้างๆ ก็ยังดังก้องเข้ามาในโสตประสาทไม่หยุดหย่อน

เฮงซวยฉิบหาย เตือนหูซ้ายเสือกทะลุหูขวา!

 

เช้าวันใหม่แต่ไร้ความสดชื่น เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับก็ปาไปเกือบตีสี่ ทั้งที่วันนี้ผมต้องนำการ์ดเชิญไปให้คุณอชิรวิชญ์ ผู้ก่อตั้ง Minol House โปรดักชันผลิตหนังโฆษณาและอีกหลายสื่อที่เอเจนซี่ทั่วประเทศไทยจ้าง ซึ่งเขาเป็นเกสท์คนพิเศษที่จะมาแชร์ประสบการณ์การทำงานในงานสัมมนาของผมและเพื่อนร่วมเซก

ชีวิตนักศึกษาปี 4 นอกจากธีสิสและสหกิจศึกษา ก็มีงานสัมมนาที่ต้องโชว์ศักยภาพร่วมกับเพื่อนในห้อง จุดประสงค์หลักของเด็กปี 4 คือความสำเร็จในการทำงานเป็นทีมก่อนเรียนจบ ส่วนผู้เข้าร่วมสัมมนาก็จะได้รับความรู้และแรงบันดาลใจจากวิทยากรรับเชิญ

ตอนประชุมใหญ่งานสัมมนาครั้งแรก ผมยกมือเสนอตัวเป็นผู้กำกับเวที ทว่าไอ้หัวหน้าเซกมันกลับช่วงชิงตำแหน่งในฝันไปอย่างหน้าเฉย สุดท้ายตำแหน่งพีอาร์ที่ไม่มีใครอยากทำก็ตกมาเป็นหน้าที่หลักของผม รับบทเป็นนักประชาสัมพันธ์ทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ โคตรไม่เข้าใจว่าเพื่อนแม่งใช้เซลล์ส่วนไหนในสมองคิด ถึงให้คนคอนเนกชันต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างผมมาทำตำแหน่งนี้

แต่เป็นบุญหล่นทับที่ยังมีไอ้กะเพราทำตำแหน่งพีอาร์ด้วยกัน มันช่วยนำใบปลิวไปติดตามบอร์ดทุกคณะในมหา'ลัย มิหนำซ้ำยังรับบทเป็นแอดมินเพจเพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักศึกษามาเข้าร่วมงานสัมมนา ส่วนหน้าที่นำการ์ดเชิญไปแจกให้อาจารย์และวิทยากรรับเชิญจึงตกเป็นของผมอย่างเลี่ยงไม่ได้

ใช้เวลาเดินทางจากคอนโดไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงจุดหมาย แหงนหน้ามองโปรดักชันเฮ้าส์สไตล์โมเดิร์นขนาดกลางแต่ผลงานระดับพรีเมียมด้วยความตื่นตาตื่นใจ เป็นครั้งแรกที่ผมก้าวเท้ามาเหยียบที่นี่ ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงของ Minol House มาค่อนข้างเยอะ

บริษัทรับผลิตสื่อทุกแขนงในวงการบันเทิงที่เพิ่งก่อตั้งไม่ถึง 3 ปี ทว่าผลงานหลายชิ้นสร้างชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ชื่นชมในสายงานสื่อสารมวลชนอย่างท่วมท้น เรียกได้ว่ามาแรงแซงโค้งจนคนในสายงานนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก รวมไปถึงนักศึกษาอย่างผม

เป้าหมายในชีวิตอีกหนึ่งอย่างก่อนเรียนจบมหา’ลัยคือการได้สหกิจศึกษาที่โปรดักชันเฮ้าส์แห่งนี้ แต่อาจารย์ที่ปรึกษาบอกผมว่านิสิตที่ยื่นเรซูเม่เพื่อขอเข้าสหกิจยังไม่เคยผ่านการสัมภาษณ์แม้แต่คนเดียว แปลไทยเป็นไทยได้ว่ามินอลเฮ้าส์คัดกรองคนเข้าร่วมงานอย่างเข้มงวดแม้กระทั่งนักศึกษาฝึกงาน

ผมพยายามศึกษาข้อมูลขององค์กรผ่านอินเทอร์เน็ต แต่น่าแปลกที่ในโซเชียลไม่มีรูปภาพคุณอชิรวิชญ์ผู้เป็นเจ้าของมินอลเฮ้าส์แม้แต่รูปเดียว มีเพียงชื่อจริงและบทสัมภาษณ์ ถ้าให้ผมเดาเขาคงเป็นคนโลกส่วนตัวสูง

ตอนประชุมงามสัมมนาเสร็จผมแทบยกมือขึ้นปาดเหงื่อ หลังจากเพื่อนร่วมเซกลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าวิทยากรรับเชิญต้องการคุณอชิรวิชญ์เท่านั้น ครั้นปัจจุบันผมยืนอยู่หน้ามินอลเฮ้าส์ก็ยังนึกใจฝ่อ ถ้าหากการ์ดเชิญถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ผมต้องถูกเพื่อนด่าว่าทำหน้าที่ล้มเหลวแน่นอน

"มาหาใครน้อง" รีบหันมองไปยังต้นเสียง พบชายหนุ่มหุ่นหมีกำลังยืนมองผมด้วยสีหน้าสงสัย ผมจึงยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมส่งรอยยิ้มให้อย่างผูกมิตร

"สวัสดีครับ ผมมาพบคุณอชิรวิชญ์ครับ"

"น้องได้นัดไว้หรือเปล่า"

"ส่งเมลมาขอเข้าพบล่วงหน้าแล้วครับ"

"เมลน้องโดนสแปมแล้วมั้ง ปกติถ้าเป็นเมลแปลกคนที่นี่มันไม่สนใจหรอก" ฉิบหาย! แบบนี้ก็ได้เหรอ ผมกำลังจะเอ่ยถามแต่ไอ้พี่หุ่นหมีก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

"แต่ตอนนี้คุณอชิรวิชญ์อยู่ในห้องทำงาน ถ้าน้องอยากเจอก็เปิดประตูเข้าไปได้เลย ขึ้นไปชั้นสามเดินไปทางซ้ายมือห้องอยู่ด้านในสุด"

มนุษย์หุ่นหมีพูดอย่างรัวเร็วก่อนจะเดินผ่านหน้าผมไปดั่งสายลม ทิ้งไอ้ครินต์ให้ยืนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความอึ้งแดก บทจะง่ายก็ง่ายจนตกใจ แล้วกูจะเสียเวลาส่งเมลมาให้โดนสแปมทำไมวะ แสรดดดด!

 

ก็อกๆๆ

เดินจากชั้นหนึ่งขึ้นมาชั้นสามไม่กี่นาทีผมก็มายืนอยู่หน้าห้องกระจกสีดำ ยกมือเคาะประตูห้องถึง 3 ครั้งแต่ไร้สัญญาณตอบกลับจากบุคคลภายใน จนกระทั่งคำพูดของมนุษย์หุ่นหมีลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง

'ถ้าน้องอยากเจอก็เปิดประตูเข้าไปได้เลย'

อาจเป็นไปได้ว่าคุณอชิรวิชญ์ไม่ชอบให้ส่งเสียงรบกวนเวลาเข้าพบ ดังนั้นการเปิดประตูเข้าไปโดยพลการอย่างที่พี่หุ่นหมีมันบอกคงดีที่สุด คิดได้แบบนี้ผมจึงรีบผลักประตูกระจกเข้าไปอย่างไม่รีรอ

"ผมมา.."

"ไม่มีมารยาท! กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าถ้าเคาะประตูแล้วไม่เปิดหมายความว่ากูไม่ว่าง" ผมหน้าชาวาบยืนตัวแข็งทื่ออย่างอัตโนมัติ เมื่อบุคคลที่กำลังนั่งหันหลังอยู่ตรงโต๊ะทำงานพูดดุด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

แม่งเอ้ย คำพูดไอ้พี่มนุษย์หมีมันเชื่อถือไม่ได้!

"ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าคุณอชิรวิชญ์ไม่สะดวกให้เข้าพบ" ผมรีบก้มหน้าพลางพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงฉะฉาน พยายามทำใจดีสู้เสืออย่างสุดพลัง สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วนึกถึงภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ

ปกติผมเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงระดับหนึ่ง แต่พอเจอสถานการณ์อย่างตอนนี้ก็รู้สึกหวั่นใจไม่น้อย

"นายเป็น..นี่คุณ!" ประโยคสุดท้ายจากคนที่เพิ่งหันหน้ามามองผมพูดขึ้นด้วยความตกใจ แต่อาการผมโคม่ามากกว่า ยืนช็อกตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าก้อนหิน เมื่อมองเห็นใบหน้าของคุณอชิรวิญช์อย่างชัดเจน

"รอน.."

"ผมชื่อรอนด้า เมื่อคืนผมก็บอกคุณแล้วไง" ผมรีบสลัดอาการฟุ้งซ่านในหัวทิ้ง ก่อนจะตั้งสติแล้วพูดตอบเสียงเข้ม

"ขอโทษอีกครั้งที่ผมเรียกชื่อคุณผิด"

"เรียกผิดหรือตั้งใจ" ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนคนตัวสูงจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินย่างกรายเข้ามาหาผมด้วยท่าทางไม่ชอบมาพากล แต่ผมไม่กลัวรีบเชิดหน้าพูดตอบโต้ทันที

"คุณหมายความว่าไง"

"เมื่อคืนคุณบอกว่าผมหน้าเหมือนเพื่อนคุณ.." เสียงทุ้มพูดพลางยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนผมผงะเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซึ่งทำให้คนตรงหน้าหัวเราะร่วนราวกับขบขันในท่าทางตื่นตระหนกของผม น่าหมั่นไส้ฉิบหายเลย!

"คุณเก็บมุกตลกไว้ใช้จีบคนอื่นเถอะ เพราะสำหรับผมมุกหน้าเหมือนมันโคตรเฉย"

"ผมไม่ได้เล่นมุก!"

"เหรอ แต่สายตาที่คุณมองผม.." ร่างสูงหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมจนต้องกลั้นลมหายใจ ใบหน้าหล่อเหลาแสยะยิ้มร้ายพร้อมเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

"มันบอกว่าคุณชอบผม"

"ไม่ใช่! คุณอย่าหลงตัวเองสิครับ"

"ถ้าไม่ให้ผมหลงตัวเองแล้วจะให้ผมหลงใคร" นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลจ้องมองผมอย่างท้าทาย ทว่าผมยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดเจ้าตัวก็ยื่นริมฝีปากเข้ามากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

"หรือจะให้ผมหลงคุณดีครับ คุณครินต์คนสวย"

หัวใจผมเต้นแรงจนแทบหลุด เมื่อกี้รอนด้าเรียกชื่อผม..

ไม่ได้ไอ้ครินต์! มึงห้ามฟุ้งซ่านตอนนี้ ผมรีบดึงสติตัวเองแล้วพูดเสียงเข้มพลางจ้องคนตรงหน้าเขม็งอย่างไม่เกรงกลัว

“พูดอะไรของคุณ! แล้วกรุณาให้เกียรติผมด้วยการยืนห่างประมาณ 3 ก้าวด้วยนะครับ” ทันทีที่พูดจบ รอนด้าผละใบหน้าออกห่างจากผมพร้อมหัวเราะในลำคอด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท

“นี่คุณสั่งผมเหรอ”

“ผมไม่ได้สั่ง แต่มันเป็นจิตสำนึกที่ทุกคนควรพึงปฏิบัติต่อคนไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวครับ” ประโยคสุดท้ายผมเน้นเสียงหนักแน่น จนอีกฝ่ายยืดตัวยืนหลังตรงด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ผมจะให้เกียรติกับคนที่ให้เกียรติผมเท่านั้น”

“แล้วผมไม่ให้เกียรติคุณตรงไหนครับ มีแต่คุณที่รุกล้ำยื่นหน้าเข้ามาใกล้แถมยังพูดจาสองแง่สองงามกับผม”

“เปิดประตูเข้ามาห้องทำงานผมโดยพลการนี่ให้เกียรติแล้วเหรอ”

“ผมเข้าใจผิดนิดหน่อย อีกอย่างผมก็ขอโทษคุณแล้วนี่ครับ”

“ดูจากชุดที่คุณใส่..” รอนด้าพูดพลางไล่สายตามองผม

“…”

“คุณคงเป็นนักศึกษาที่มาขอความช่วยเหลือจากผม..แต่จองหองดีนี่”

“ผมไม่ได้จองหอง!”

“งั้นก็พูดธุระของคุณมา”

แม้ว่าผมจะอยากเดินหนีออกจากห้องนี้สักแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงข่มอารมณ์คุกรุ่นไว้ภายในใจเพราะภารกิจที่ต้องทำยังไม่สำเร็จ

“นี่ครับ” ผมยื่นการ์ดเชิญเข้าร่วมงานสัมมนาที่เพิ่งหยิบออกมาจากกระเป๋าส่งให้คนตรงหน้า รอนด้ารับไปถือไว้พลางหรี่ตามองผม

“อะไร”

“การ์ดเชิญให้คุณอชิรวิชญ์ไปเป็นวิทยากรงานสัมมนาที่มหา’ลัยครับ”

“งานของคุณหรือไง”

“ทำกับเพื่อนทั้งห้องครับ”

“แล้วคุณทำตำแหน่งอะไร”

“พีอาร์ครับ”

“ฮ่าๆๆ” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะดังลั่น ประโยคที่ผมพูดมันน่าตลกตรงไหน ผมไม่ชอบเวลาถูกคนอื่นตัดทอนความมั่นใจ รีบโพล่งถามอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว

“คุณหัวเราะทำไมครับ”

“คุณบอกว่าทำตำแหน่งพีอาร์?”

“ใช่ครับ” ผมขานตอบพลางเหล่ตามองร่างสูงโปร่งที่เดินไปนั่งไขว่ห้างตรงโซฟากลางห้องอย่างขุ่นเคือง

รอนด้าคนเดิมที่ผมรู้จักเมื่อหลายปีก่อนกับตอนนี้ไม่แตกต่างกันเลยสักนิด ชอบทำท่าทางยียวนกวนประสาทให้ผมโมโหได้อย่างง่ายดายเหมือนเดิม!

“คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นพีอาร์คุณรู้มั้ยว่าคืออะไร”

“มนุษย์สัมพันธ์ดีครับ”

“แต่คุณติดลบ”

“นี่คุณ!”

“เห็นมั้ย..ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ แค่ข่มอารมณ์คุณยังทำไม่ได้เลย” หายใจเข้าพุธโธ หายใจออกธัมโม ใจเย็นเข้าไว้ไอ้ครินต์

ท่องไว้ว่ามึงยังทำงานไม่สำเร็จ ยังทำงานไม่สำเร็จ!!!

“ครับ..ผมรู้ตัวเองดีว่าคุณสมบัติในการเป็นพีอาร์ยังไม่เพียงพอ อีกอย่างผมไม่ได้เป็นคนเลือกทำตำแหน่งนี้ แต่ผมจำเป็นต้องทำครับ”

“แสดงว่าคุณไม่เต็มใจทำ”

“เรียกว่าหน้าที่ดีกว่าครับ”

แขนแกร่งทั้งสองข้างของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาพาดไปยังพนักพิงด้วยท่าทางสบายๆ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลจ้องผมพลางยิ้มหยันที่มุมปาก

“ทำไงดี ผมไม่ชอบทำงานกับคนที่ไม่เต็มใจด้วยสิ”

“นี่ถือเป็นคำปฏิเสธหรือเปล่าครับ”

“แล้วถ้าใช่ล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับ”

“ครินต์ ทฤนห์ ไทวกฤต..” ผมที่หันหลังเตรียมเดินออกจากห้องต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงทุ้มพูดชื่อผมแบบเต็มยศ หันกลับไปมองก็พบว่าใบหน้าหล่อคมกำลังมอบแววตาที่ผมไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“บุคคลที่มีความมั่นใจในตัวสูง เก่ง ฉลาด ว่าที่บัณทิตเกียรตินิยมอันดับสอง ถ้าหากถูกเพื่อนตำหนิว่าทำงานล้มเหลว คุณคงรู้สึกเสียหน้ามากเลยใช่มั้ย”

“คุณรู้ข้อมูลผมได้ยังไง หรือว่าคุณจำ..”

“Khrintharin@gmail.com” เสียงเข้มพูดแทรกขึ้น ขณะที่ผมกำลังมองเขาด้วยความรู้สึกสับสน หัวใจก็เต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอกอยู่รอมร่อ

“เมลที่คุณส่งมาผมเป็นคนเปิดอ่านและกดสแปมเองกับมือ”

“…”

“แค่รู้ชื่อนามสกุลที่แนบมากับเมล ข้อมูลของคุณก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม”

รอนด้ายังจำผมไม่ได้ ทว่าคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมองตอนนี้ก็คือ..

“คุณสืบประวัติผมทำไม”

“ไม่ว่าผมจะถูกรับเชิญจากใครหรือองค์กรไหน ผมก็ต้องเช็กข้อมูลของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการพิจารณา”

“เหตุผลของคุณก็ฟังขึ้นนะครับ”

“…”

“แต่คุณอย่าลืมว่าผมเป็นแค่นักศึกษา คุณไม่ต้องก้าวก่ายข้อมูลส่วนตัวผมมากขนาดนี้ก็ได้มั้ง” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลที่มัดรวบไว้ทางด้านหลังเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนร่างสูงโปร่งจะลุกจากโซฟาและเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“แล้วถ้าผมไม่ได้มองคุณเป็นแค่นักศึกษาล่ะ”

“คุณหมายความว่าไง..” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่ไว้วางใจ เมื่ออีกฝ่ายค่อยๆ เดินย่างกรายเข้ามาหา ผมรีบก้าวเท้าถอยหนีแต่แผ่นหลังดันชนเข้ากับประตูอย่างจัง สองแขนแกร่งรีบโน้มมาจับประตูห้องเพื่อกักตัวผมไว้ทันที

เหมือนตอนนี้ผมกำลังอยู่ในอ้อมกอดของรอนด้า ใบหน้าเราสองคนห่างกันเพียงนิดเดียว

“คุณจะทำอะไร!” ผมแห้วใส่คนตรงหน้าเสียงแข็ง ทว่าเจ้าตัวกลับยิ้มมุมปากจนผมรู้สึกฉุนเฉียวไม่พอใจ

“ไหนคุณบอกว่าคุณไม่ได้ชอบผม”

“ใช่ ผมไม่ได้ชอบคุณ”

“แต่หัวใจคุณเต้นดังมาก”

“คุณอย่าเสียมารยาทกับผมนะ!” ผมรีบยกมือดันร่างสูงที่เอียงหูลงไปแนบตรงอกด้านซ้ายของผมอย่างถือวิสาสะ อารมณ์คุกรุ่นที่พยายามควบคุมไว้ขาดผึงอย่างหมดความอดทน

แต่คนตรงหน้ายังคงทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว กระตุกยิ้มมุมปากพลางมองผมแบบมีเลศนัย

“คุณลองอ้อนวอนผมสิ พูดจาหวานๆ เผื่อผมจะเปลี่ยนใจอยากไปเป็นเกสท์ในงานสัมมนาให้คุณ”

“ไม่จำเป็นครับ”

“…”

“ถ้าคุณไม่สะดวก ผมสามารถหาคนที่เก่งไม่ต่างจากคุณไปเป็นเกสท์แทนได้”

“ไม่ต้อง!” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นดุดันทันที รอนด้าจ้องผมตาเขม็งราวกับไม่พอใจ

“ผมตกลง”

“ตกลงเรื่องอะไรครับ”

“ผมจะไปเป็นวิทยากรรับเชิญให้งานของคุณ” โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง! บทจะง่ายก็ง่ายจนแปลกใจ

แม้งานที่ทำสำเร็จจะแลกมาด้วยความประสาทเสียจากคนตรงหน้า แต่ผมก็จำเป็นต้องพูดขอบคุณเพื่อเป็นมารยาท

“ขอบคุ..อั๊ก!”

เสียงผมกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อจู่ๆ มีคนผลักประตูเข้ามาจนตัวผมกระเด็นเข้าหารอนด้า เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ฝ่ามือหนาคว้าเอวผมเข้าไปกอดแล้วโน้มริมฝีปากลงมาจูบผมด้วยความรุนแรง

ปลายลิ้นร้อนพยายามดุนดันให้ผมเผยอปาก แต่ร่างสูงถูกผมผลักออกจนสุดแรงเมื่อตั้งสติได้

“ทำบ้าอะไรของคุณ!”

“คุณทำอะไรรอนด้า!”

ช็อกเรื่องที่สอง..รีบหันไปมองเจ้าของเสียงที่พูดขึ้นพร้อมผมก็พบว่าเป็นเพื่อนบ้านห้องข้างๆ ที่ผมเพิ่งไปเจรจามาเมื่อคืน ใบหน้าขาวใสสลับมองผมกับรอนด้าด้วยแววตาไม่พอใจ

“แอคซิเดนน่ะเกรท” ผมหันขวับมองรอนด้าทันที

แอคซิเดนบ้าอะไร เมื่อกี้รอนด้าตั้งใจจูบผม!

“คุณจะบอกว่าจูบเมื่อกี้คือแอคซิเดน” ชายร่างเล็กหรี่ตาถามรอนด้าเสียงสูง

“เยส”

“โอเค เกรทเชื่อคุณ”

“มันไม่ใช่นะครับ คุณไม่คิดจะถามผมหน่อยเหรอ” ผมรีบหันไปพูดกับคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ทันที เรื่องนี้ผมเป็นผู้เสียหายนะ!

“ผมต้องถามอะไรคุณเหรอ”

“ก็เมื่อกี้ที่คุณเห็น..”

“เห็นว่านักศึกษาอย่างคุณกำลังอ่อยรอนด้า”

“มันไม่ใช่..”

“ผมชินแล้ว”

“คามดาวน์น่าเกรท คุณไปรีแล็กซ์กับผมดีกว่า” รอนด้าเดินเข้าไปกอดไหล่กว้างของคนที่จ้องผมด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ก่อนเจ้าตัวจะหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ถ้าหมดธุระของคุณแล้วก็กลับไปได้” ผมแอบกำหมัดพร้อมกลืนน้ำลายลงคอเพื่อข่มอารมณ์ ท่าทางของรอนด้าที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นโคตรทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจ

“ครับ” ผมขานตอบแล้วรีบหมุนตัวเดินออกจากห้อง ก่อนปิดประตูก็มองเห็นว่าบุคคลที่อยู่ภายในห้องกำลังกอดกันอย่างนัวเนีย

ทำไมโลกถึงเหวี่ยงให้ผมมาเจอคนเฮงซวยซ้ำแล้วซ้ำเล่า!


twitter #นอกจากชื่อผม