"…ผมยาวสีดำสนิทดุจผืนฟ้าในคืนเดือนดับไร้ดารา ดวงตาดั่งไพลินวิภาหายาก สูงส่งรังรองราวกับทูตสวรรค์ผู้ส่งสารจากพระเจ้า…"

สายตาฉันตรึงอยู่กับร่างตรงหน้า คำบรรยายในนิยายนั่นไม่เกินจริงสักนิด ไม่ ฉันหมายถึง เทียบไม่ได้กับตัวจริงสักนิด แม้แต่คำว่าทูตสวรรค์ยังไม่สามารถเปรียบอะไรได้กับสิ่งที่ฉันเห็นตอนนี้ได้เลย

ชาร์ล็อตต์ดูจะไม่ได้ยินที่ฉันหลุดเรียกชื่อเธอเมื่อครู่ เพราะเธอเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลงมา ถ้าเธอไม่ได้กำลังขยับ อาจจะเข้าใจผิดไปแล้วว่านี่คือภาพประติมากรรมชิ้นเอกของมีเกลันเจโลสักชิ้น

ฉันใช้เวลาไปหลายสิบวินาทีทีเดียวเพื่อดึงสายตาออกจากใบหน้าที่เหมือนกับรูปสลักหินอ่อนนั่นเพื่อย้ายไปดูคนชุดดำที่ล้มตรงหน้าฉันเมื่อครู่แทน ชาร์ล็อตต์ไม่ได้ทำเขาถึงตาย เพียงแค่สลบเท่านั้น

"ลุกไหวหรือไม่" ฉันพยักหน้า เธอจึงยื่นมือมาประคองฉันขึ้น

ฉันลุกตามแรงพยุง เบ้หน้านิดหน่อยเพราะแรงเสียดสีที่แผล พอทรงตัวได้แล้วจึงหันไปพูดขอบคุณเบา ๆ กะให้เธอปล่อยจะได้เดินต่อไปหาเติ้ล แต่ชาร์ล็อตต์กลับไม่เอาแขนออกสักที 

"ท่านเดินไหวหรือ" คงเพราะสีหน้าฉันชัดมาก เธอจึงเอียงหัวถามเสียงฉงน หากเป็นปกติ ฉันคงพูดออกไปแล้วว่าไม่ได้ใช้ไหล่เดิน มีดแทงแขนไม่ใช่ขาหัก ทำไมจะเดินไม่ไหววะ แต่เพียงแค่มองตาชาร์ล็อตต์ ประโยคทั้งหมดก็ถูกกลืนเข้าคอไปทันที

ฉันกระแอม "แผลเล็กเท่านี้ไม่เป็นอะไรหรอก"

คนข้างตัวฉันพลันก้มหัวลง เดเมลซ่าสูงกว่าชาร์ล็อตต์พอสมควร ฉันจึงไม่เห็นสีหน้าเธอ รู้แค่ว่าเธอคล้ายกำลังสำรวจอะไรสักอย่าง เลยก้มตามไปบ้าง

ฉันรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงคิดว่าฉันเดินไม่ไหว น่องซ้ายใต้กระโปรงสีอ่อนของเดเมลซ่าที่ถูกแหวกขาดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กลับปรากฏรอยลากยาวรอยหนึ่ง

บริเวณที่ฉันโดนเหวี่ยงไปก่อนหน้านี้มีกองไม้กองใหญ่วางอยู่ น่าจะมีตะปูหรือเศษไม้ยื่นออกมาจากในนั้น

ความเจ็บจากขาวิ่งขึ้นหัวฉันทันที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่เห็นแผลหรืออยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง ก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้สึกอะไรมาก เพียงตึง ๆ กับลุกยากเท่านั้น

ฉันเม้มปาก มองชาร์ล็อตต์ที่เงยหน้ากลับมาแล้วอ้อมแอ้มเบา ๆ "ต้องรบกวนแล้ว"

เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ยิ้มรับแล้วประคองฉันเดินไปหาเติ้ล แม้จะเป็นผู้ที่พึ่งเจอ แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกเกร็งอะไร ไม่แน่คงเป็นเพราะกลิ่นดอกเดซีอ่อน ๆ ของชาร์ล็อตต์ที่ช่วยคลายความเครียดล่ะมั้ง มันทำให้ฉันนึกถึงน้ำหอมที่เคยฉีดในห้องหลังกลับจากทำงาน

ทุลักทุเลเดินจนถึงโจเวลเก๊เลือดอาบ ก็ค่อย ๆ อาศัยแรงชาร์ล็อตต์คุกเข่าลงข้างมัน เติ้ลนอนกะพริบตามองฟ้าจนฉันแอบคิดว่ามันจะความจำเสื่อม กระทั่งฉันร้องทัก มันถึงรู้ตัว หันกลับมาทำตาโต

"...ไอ้เหี้ย เลือดเต็มเลย มึง... มึงไหวไหมเนี่ย"

"พูดไม่ดูสารรูปตัวเองเลย ห่วงหัวมึงเถอะเพื่อน" ฉันกระซิบ "นางเอกมา เห็นยัง"

"นาง... อะไรนะ"

"ชาร์ล็อตต์อะ นางเอ- พิรุธออกแล้ว เก็บตามึงกลับมา... โอ๊ย ใจเย็น"

มันจ้องชาร์ล็อตต์ตาค้างแล้วเด้งตัวขึ้นมาเขย่าคอฉัน ทำเสียงสูง ตกใจเหมือนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่นางเอกนิยาย แต่เป็นโดราเอมอน

"มึง นางเอกมาได้ไง๊" 

"มึงยังไม่รู้แล้วกูจะรู้ไหม" ฉันสะบัดหัวออกไปมองชาร์ลอตต์ให้แน่ใจว่าเธอยังยืนยิ้มอยู่ที่เดิมและไม่ได้ยินบทสนทนาของเรา จึงค่อยบุ้ยไปที่คนชุดดำบนพื้น "ช่างเรื่องนั้นก่อน ที่นอนอยู่นั่นอะ เอาไง"

"นางเอกทำเหรอ" เติ้ลพูดเสียงตื่น ๆ

"อือ แล้วเอาไงอะ ขากูกับหัวมึงเป็นงี้ไม่น่าจะลากกลับไปได้นะ"

มันมองหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยมองข้ามหัวฉันไปหาชาร์ล็อตต์ต่ออีกรอบ

ฉันขมวดคิ้ว ยังไม่ทันบอกว่าอย่าคิดอะไรแปลก ๆ ก็ดันมีเสียงพูดขึ้นก่อน

"ให้ข้าช่วยเถิด" เงาที่ทาบหลังฉันอยู่ผละออกไป ต่อให้ไม่ได้หันไปมองก็รู้ว่าเธอยิ้มอยู่ "เผอิญว่าข้าพักแถวนี้พอดี สามารถพาพวกท่านไปทำแผลได้ก่อน ยังนำตัวเขากลับไปได้ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนัก ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ"

ชาร์ล็อตต์ไม่รอคำตอบ หรือจริง ๆ ต้องบอกว่าไม่ได้ถามด้วยซ้ำ เธอดึงตัวคนบนพื้นขึ้นพาดบ่า ดูเอียง ๆ หน่อย อาจจะเป็นเพราะติดปีกตรงหลัง (ที่นิยายบอกว่าใช้เวทอำพรางไว้) จากนั้นหันมายิ้มให้เราอีก

ก็รู้ว่าชาร์ล็อตต์มีนิสัยชอบช่วยคนอื่นตามสไตล์นางเอกพิมพ์นิยม แต่เก็บคนแปลกหน้าเหมือนเก็บหมาเข้าบ้านนี่ไม่เกินไปหน่อยหรือไง

เติ้ลขยับตัว ฉันดึงแขนเสื้อมันไว้ "เอาจริงดิ"

"มีทางอื่นไหมอะ"

ไม่มี

ฉันพ่นลมหายใจออก ทำได้แค่จับมือที่เพื่อนส่งมาแล้วลุกขึ้นตามมัน ครั้งนี้ชาร์ล็อตต์ไม่ได้เข้ามาช่วย คนชุดดำบนบ่าคงเป็นภาระที่หนักมากพอสำหรับเธอแล้ว

ชาร์ล็อตต์เดินนำเราไปช้า ๆ เพื่อให้คนสะบักสะบอมสองคนที่แบกกันเองอยู่ตามทัน เธอพาเราเดินตรงมาเรื่อย ๆ น่าจะไปยังที่พักตามที่เธอบอก นิยายไม่ได้บอกข้อมูลส่วนนี้ ฉันจึงไม่รู้... ไม่สิ ถึงบอก ฉันก็ไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะตรงกันหรือเปล่า

มันแปลกตั้งแต่แรกแล้ว นางเอกไม่ควรอยู่ที่นี่ตอนนี้ มันยังไม่เข้าช่วงเรื่องหลักเลยนะ ชาร์ล็อตต์ยังต้องอยู่กับพี่ชายที่อีสต์วิงนี่ ฉันคิดไม่ออกเลยว่าบทที่ไม่เหมือนเดิมของเดเมลซ่ากับโจเวลจะกระทบนางเอกได้อย่างไร

"มีอะไรหรือ"

ฉันหลุดจากภวังค์เพราะเสียงเติ้ล เงยหน้าขึ้นถึงเห็นชาร์ล็อตต์ที่หยุดเดินแล้วกำลังมองหลังคาอาคารทางซ้ายหลังหนึ่งอยู่ ฉันมองตามเธอ แต่ที่ตรงนั้นกลับไม่มีอะไรนอกจากความมืดกับแสงจันทร์เลือนราง

"เปล่า" เธอตอบ ไม่ได้หันกลับมา "ไปต่อเถิด อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว"

เติ้ลใช้สายตาถามฉัน ฉันยักไหล่ บอกอะไรไม่ได้เพราะก็ไม่เห็นอะไรเหมือนกัน

ไม่นานหลังจากนั้น ชาร์ล็อตต์ก็พาเราหยุดที่บ้านทรงยุคกลางริมถนนหลังหนึ่ง เธอก้าวนำไปเปิดประตู ทำท่าเชิญพวกเราเข้าไป

"พวกท่านไปพักตรงนั้นก่อน" เธอหมายถึงชุดโต๊ะเก้าอี้ตัวยาวที่กลางโถง "รอข้าหายาสักครู่"

เธอโยน (ถูกแล้ว โยน) คนบนบ่าลงพื้นดังโป๊ก แล้วก็หายวับเข้าไปที่ห้องท้ายโถง

แม้ไม่ได้จุดเทียนสักเล่ม แต่ฉันยังสามารถเห็นทุกอย่างในห้องได้อย่างชัดเจน เดาว่าเธอคงจะใช้เวทมนตร์สักบทของเผ่าเฟย์

"มึงว่ามันแปลกไหม" เติ้ลโน้มตัวลงมา เอ่ยเบา ๆ กลางความเงียบหลังจากได้นั่งกันแล้ว ฉันมองมัน เงียบไประยะหนึ่ง ไม่ได้ตอบในทันทีเพราะจู่ ๆ ก็เริ่มเวียนหัว แผลตามตัวก็เจ็บจนชา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลือดไหลออกไปมากเท่าไหร่

"ยังไงนะ"

"พอลองคิดดู กูว่านางเอกแปลก ๆ อะ ไม่นับเรื่องที่เวลามันไม่ตรงกับนิยาย แต่ที่ออกจากบ้านมาเดินบนถนนคนเดียวตอนตีหนึ่งเนี่ย ทำทำไมก่อน" มันขยายความต่อ

สมองฉันแล่นช้ากว่าปกติ ใช้เวลาตีความประโยคนั้นอยู่นานพอควร กระทั่งชาร์ล็อตต์กลับมา ฉันก็ยังเรียงความคิดไม่เสร็จ

ไม่รู้เลยว่าชาร์ล็อตต์เข้ามาถึงตัวฉันตอนไหน ฉันได้ยินเสียงคนพูด แต่แยกไม่ออกว่าเป็นของใคร หูฉันอื้อ เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นก่อนความมืดจะเข้ายึดที่อย่างสมบูรณ์คือใบหน้าแต้มความตกใจของชาร์ล็อตต์

รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทิ้งตัวไว้ให้เพื่อนกับนางเอกดูแล แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ ฉันเองก็ไม่ไหวแล้ว คิดว่าจะนอนให้เต็มอิ่มจริง ๆ สักที เรื่องของพรุ่งนี้ก็ให้ฉันในวันพรุ่งนี้จัดการเถอะ

ฉันเตรียมเอนตัวลง แต่รู้สึกว่าที่นอนมันเย็น ๆ แข็ง ๆ ไม่สบายตัว เลยใช้มือควานหาของมาปู แต่ก็หาอะไรไม่เจอจนฉันเริ่มหงุดหงิด

อยากพักก็ไม่ได้พัก ถ้าไม่ติดว่าปวดหัวจะเดินไปหาที่นอนเองให้รู้แล้วรู้รอดเชียว...

...ปวดหัวเหรอ? มัน... มีอะไรแปลกไปหรือเปล่า

ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้นอนไปแล้วหรือไง...

ทันใดนั้นความมืดรอบตัวฉันคล้ายถูกเป่าออกไป พื้นหินแข็ง ๆ ใต้ตัวกลับเปลี่ยนเป็นพรมขนสัตว์ ทางซ้ายมือของฉันมีเตียงขนาดคิงไซส์สีเทาอยู่เตียงหนึ่ง ตรงหน้ามีโต๊ะเครื่องแป้งกับกระจกบานใหญ่สะท้อนเงาฉัน

ฉันยกมือเช็ดใต้จมูก สัมผัสได้ถึงของเหลวบนนิ้ว เลือดกำเดา

นี่คือห้องนอนของเดเมลซ่าในวันที่นางตาย

เสียงก๊อก ๆ ดังขึ้นจากหน้าต่างริมซ้ายสุดของเตียง ฉันมองตาม เห็นนกสีดำตัวหนึ่งกำลังใช้จะงอยปากของมันจิกช่องกลางระหว่างบานกระจก ดุจว่าต้องการเปิดเข้ามา

ฉันปวดหัว แต่เดิมก็ปวดมากอยู่แล้ว พอมีเสียงเคาะกระจกแหลม ๆ นี่มา ยิ่งทำให้ประสาทจะกินหนักเข้าไปอีก เริ่มคิดว่าบางทีหวีบนโต๊ะอาจจะเป็นคำตอบที่ดี

ทว่ายังไม่ทันทำอะไร เสียงก๊อก ๆ นั่นก็เงียบลง ทิวทัศน์รอบตัวฉันแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในครั้งนี้ ฉันพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนระเบียงห้องทำงานของเดเมลซ่า ระเบียงที่มีนกตัวเดิมเกาะอยู่

อีกาไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ ฉันคิด เรเวน?

มันกระพือปีก เอียงคอน้อย ๆ เพ่งฉันราวกับพินิจบางอย่าง จากนั้นในชั่ววินาทีถัดมา ตามันก็กลายเป็นสีเขียวเข้ม

มีใครสักคนกระชากแขนฉันถอยหลัง แรงจนรอบตัวกลายเป็นภาพเบลอ

สิ่งแรกที่เข้าสู่สายตาฉันหลังจากนั้นคือดวงตาสีฟ้าสดฉายแววกังวลคู่หนึ่ง

ฉันนอนกะพริบตาอยู่บนเตียง กลิ่นสมุนไพรกับยาฉุน ๆ ลอยเข้าจมูกฉันจนอยากจะจาม

"เป็นอย่างไรบ้าง ปวดหัวหรือไม่" เจ้าของดวงตาสีฟ้าสดคู่นั้น หรือก็คือชาร์ล็อตต์ ถามขึ้นช้า ๆ สีหน้ายังดูกังวลอยู่บ้าง

ฉันส่ายหัว "ไม่แล้ว ขอบคุณมาก"

เธอผงกหัวรับ

"ข้าทำแผลให้ท่านครบแล้ว ต่อจากนี้เพียงอย่าให้แผลโดนน้ำก็เป็นพอ" ชาร์ล็อตต์โยกหัวไปหากำแพงที่ติดกับเตียงฉัน "ผู้ที่มากับท่าน บัดนี้เขานอนพักอยู่อีกห้อง ทำแผลเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง... อย่างไรท่านก็นอนพักต่ออีกหน่อยเถิด ฟ้ายังไม่สว่าง เช้าแล้วข้าจะมาปลุกอีกครา"

เธอผละจากฉันไปที่ประตูห้อง ก่อนจะระบายยิ้มเบา ๆ "ขอให้เป็นคืนที่ดี"

ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นคืนที่ดีอีกได้หลังจากโดนแทงและฝันถึงนกตาเขียวจิกกระจก ไม่คิดว่าจะนอนได้อีกด้วยซ้ำ ทว่าทันทีที่ประตูปิด แสงในห้องก็สลัวลง กลิ่นสมุนไพรฉุนกึกเหล่านั้นก็หายไปด้วย ตอนนี้ในห้องหลงเหลือเพียงกลิ่นเดซีอ่อน ๆ อากาศรอบตัวยังคล้ายอุ่นขึ้นหลายเท่า

ฉันหลับ ทั้งยังหลับแบบไม่ฝันอะไร

...ชาร์ล็อตต์เป็นนางฟ้าหรือไงนะ