3 ตอน 02
โดย marigold
ลมอ่อน ๆ ยามเย็นพัดพากระแสความสดชื่นลอดประตูระเบียงเข้ามา เสียงน้ำไหลของน้ำพุในสวนเล็กดังขึ้นเป็นระยะ กลิ่นดอกไม้อ่อน ๆ อวลทั่วชวนให้ผ่อนคลาย
บรรยากาศดี ๆ อย่างนี้ช่างเหมาะแก่การนั่งฟังเสียงลมพัด มองน้ำพุจากระเบียงห้อง เคลียงานค้างอย่างมีความสุขท่ามกลางแสงจันทร์ และฉันก็ควรจะได้ทำอย่างนั้นไปแล้ว
ถ้าไม่ต้องมาเจอมัน
พระเอกของเรื่องชั่วนิจนิรันด์ ลอร์ดโจเวล โจนส์ ท่านชายตระกูลมาควิสโจนส์นั่งจิบไวน์อยู่ในห้องฉันมายี่สิบนาทีแล้ว
ยี่สิบนาทีอันมีค่าที่สูญไปเปล่า ๆ เพราะอีพระเอกนิยายเฮงซวยที่ถามอะไรก็ไม่ตอบ ชวนคุยด้วยก็ไม่คุย เอาแต่นั่งดมไวน์เหมือนที่บ้านพ่อไม่ให้กิน จนต้องถ่อเข้ามาแอบกินถึงนี่ เข้าห้องคู่หมั้นมานั่งจิบไวน์นี่คือนิสัยปกติก่อนเจอนางเอกเหรอวะ
ในนิยายบรรยายโจเวลว่าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่มีเส้นผมสีดำ ดวงตาสีดำ นิสัยดี ไม่ถือตัว และเป็น'สุภาพบุรุษ'
คั่นหน่อย สุภาพบุรุษคืออะไรอะ คำนิยายของมันคือไร ลุกให้'ผู้หญิง'นั่ง เปิดประตูให้'ผู้หญิง' ให้'ผู้หญิง'ไปก่อน ต้องทำตัวแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้งี้เหรอ คำนี้มันเป็นปัญหาอยู่นะ พ่วงมากับปิตาธิปไตยเต็ม ๆ เลย แนวคิดของคำนี้มันก็มาจากแนวคิดที่ว่า'ผู้ชาย'แข็งแรงกว่า'ผู้หญิง' ไหม
แล้วอีกอัน ซื่อสัตย์จริงไหมเนี่ยไม่รู้ เพราะในเรื่องไม่เคยเห็นมันทำงาน แต่นิสัยดี ดีอะไร ไม่ต้องเรื่องอื่น แค่ไปจีบคนอื่นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตัดจากคู่หมั้นตัวเองมันดีมากมั้ง
เอาจริง ๆ โจเวลหล่อมากนะ หล่อแบบตรง beauty standard อะ ตัวสูง ไหล่กว้าง แต่เพราะเป็นอย่างงั้นแหละครับท่านผู้ชม cisgender heterosexual man ชนชั้นสูงผู้มีหน้าตาและรูปร่างตรงตาม beauty standard คนที่อยู่ชั้นบนสุดของสังคมและไม่เคยโดนกดทับอะไรเลย ทำอะไรก็ลอยตัว นิสัยมันก็เลยเป็นแบบนี้ไง
ฉันถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านของวัน ปั้นหน้าให้ดูมีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้
"โจเวล" ปกติเดเมลซ่าจะเรียกมันแบบนี้ "ตกลงว่าท่านมีเรื่องอะไรหรือ"
"เปล่าพ่ะย่ะค่ะ" มันตอบแข็ง ๆ ยังทำหน้าเหมือนตัวเองไม่เต็มใจจะคุยด้วย แต่เหมือนมันจะลืมไปว่าคนที่ทำให้ต้องมานั่งกันตรงนี้เนี่ย มันไม่ใช่ฉัน
รู้ไหมว่าฉันต้องห้ามใจไม่ให้ยกมือกดหัวมันจุ่มไวน์ขนาดไหน
"ข้ามีงานต้องทำต่อ ไม่สามารถนั่งตรงนี้กับท่านได้นานนัก" กูไม่ได้ว่างเหมือนมึง "ที่สำคัญตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว กลับช้ากว่านี้จะลำบาก หากท่านยังไม่สะดวกพูด เช่นนั้นค่อยมาใหม่ดีหรือไม่" ดังนั้นไสหัวออกไปได้แล้ว
โจเวลช้อนตามองหน้าฉันแวบหนึ่ง ก่อนก้มกลับไปอีกรอบ
มันมองไรหนักหนาวะ มองแล้วจะมีจินนี่ลอยออกมาจากแก้วหรือไง
"ท่านไม่…" มันพึมพำ เสียงท่อนหลังเบาจนกลืนหายไปกับลม
ฉันขมวดคิ้ว ขยับหน้าเข้าไปใกล้ "อะไรนะ?"
เงียบกันไปพักหนึ่งจนฉันเกือบจะถอดใจถอยห่างออกมา แต่ในที่สุดก็ได้ยินเสียงโจเวลสูดลมหายใจ
"ทะ…ท่าน" มันอึกอักอีกที เม้มปาก ทำหน้าเหมือนพ่อเรียกตอนยังอึไม่สุด
โจเวลยังคงหลุกหลิกต่ออีกครู่ ก่อนจะเสตาหลบออกไปที่นอกระเบียง แล้วพูดทิ้งระเบิดว่า "ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ"
"..."
โต๊ะตัวนี้ราคาเท่าไหร่นะ ทุ่มใส่มันแล้วค่อยซื้อใหม่ได้ไหม
ฉันถลึงตาใส่โจเวล ไม่คีพคาร์ห่าไรละ คนจะพูดแล้วอึกอักมันน่ารำคาญกว่าคนที่ไม่พูดเลยอีก
"เช่นนั้นถ้าไม่มีอะไร…" ฉันลุกขึ้นยืน ยิ้มทั้ง ๆ ที่ยังถลึงตาใส่มัน "ก็กลับไปไม่ดีกว่าหรือ"
หน้าฉันคงดูไม่พอใจชัดเจน โจเวลถึงเปลี่ยนไปทำหน้าเหมือนสงสัยแล้ว คงสงสัยว่าทำไมคนที่ไม่เคยแม้แต่จะพูดเสียงแข็งใส่ถึงไล่มันกลับชัด ๆ แบบนี้ เออ แต่สงสัยก็เรื่องของมึง รำคาญละ คนจะทำงาน
โจเวลมองหน้าฉันอยู่แป๊บหนึ่ง แล้วก็ก้มลงไปมองแก้วในมืออีก คือสรุปมันจะเรียกจินนี่ออกมาให้ได้จริง ๆ ใช่ป่ะ
ฉันยกมือเท้าเอว ในนิยายก็น่ารำคาญแล้วนะ แต่เจอตัวจริงแล้วอยากล้มโต๊ะใส่เลยอะ เดเมลซ่า ชาร์ลอตต์ คือแกชอบคนแบบนี้กันเหรอ โอ๊ย
ฉันยืนมองมันมองได้อีกครู่หนึ่ง มันก็ขยับตัวแล้ว วางแก้วลง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองตาฉันอีกที เอ่ยปากพูด
"เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอตัวกลับก่อน" มันกล่าวช้า ๆ "ทว่าต้องขอรบกวนองค์หญิงเดินออกไปเป็นเพื่อนกระหม่อมด้วย"
หลังโจเวลพูดจบ สีหน้าฉันก็เปลี่ยนไปอีกรอบ แต่ครั้งนี้มันไม่ได้เปลี่ยนเพราะเนื้อความของคำพูดเหมือนทุกที โอเค ถ้าเป็นเวลาปกติฉันคงแซะในใจอีกสักสองสามคำว่าเรื่องมากไปแล้ว แต่ตอนนี้บรรยากาศกลับดูแปลก ๆ ขึ้นมา แววตากับน้ำเสียงของคนตรงหน้ากลับดูเหมือน... ขอร้อง คล้าย ๆ ว่ากำลัง ขอความช่วยเหลือ?
"มีอะไร..."
โจเวลไม่ตอบคำถาม เพียงพยักพเยิดไปทางหน้าประตู "รบกวนเดินออกไปส่งเพียงครู่เดียวเท่านั้น"
ฉันเข้าใจท่าทางนั้นทันที กำลังกังวลเพราะห้องมันไม่เก็บเสียงสินะ
"อย่างนั้นก็ลุกเถอะ ข้าจะไปส่ง"
ฉันมองโจเวลอีกแวบหนึ่ง แล้วหันตัวเดินนำไปเปิดประตูก่อน
"เจ้าเข้าไปข้างในก่อนเถอะ" ฉันพูดกับแคลร์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตู "ข้าจะเดินไปส่งเขาหน่อย เดี๋ยวกลับมา"
แคลร์ย้ายไปมองคนข้างหลังฉันอย่างไม่ชอบใจ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบโจเวลอยู่มากทีเดียว
"เมื่อครู่มีคนเดินมาแจ้งว่าองค์จักรพรรดิเรียกพบองค์หญิงเพคะ" เธอพูดทั้ง ๆ ที่ยังทำหน้าบึ้ง "บอกว่าองค์จักรพรรดิมีเรื่องจะคุยกับพระองค์"
"ตอนนี้เลยหรือ… รีบหรือไม่"
"ไม่ได้แจ้งไว้เพคะ"
"แสดงว่าไม่รีบ" ฉันยิ้ม ใช้มือตบไหล่แคลร์เบา ๆ "ค่อยไปแล้วกัน"
เธอดูไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่ได้ค้านอะไร
ฉันชอบแคลร์ขึ้นมาแล้วสิ หลังจากทั้งฟังทั้งอ่านคนชมโจเวลจนเอียนมาตลอดหลายวันนี้ ในที่สุดก็มีคนที่ไม่ชอบมันปรากฏขึ้นมาแล้ว เดเมลซ่ายังไม่มีคนดูแลส่วนตัวแบบประจำ ถ้าขอให้เธอมาทำงานส่วนนี้ถาวรเลยได้ไหมนะ อย่างน้อยก็มีเพื่อนไว้ด่าคุณพระเอกนิยายนรกนี่
ฉันหันไปมองโจเวลที่ทำหน้าไม่สะทกสะท้านข้างหลัง ส่งสัญญาณให้เดินตามมา
ช่วงพระอาทิตย์ตก ในวังข้างของสามพี่น้องโรซามุนด์จะเป็นที่ที่เงียบที่สุด เพราะเฟลิกซ์นอนเร็ว ทั้งยังมีปัญหาเรื่องการนอน แค่เสียงฝีเท้าหน้าห้องก็ทำเขาตื่นได้แล้ว ดังนั้นคนที่ทำงานตอนกลางคืนที่นี่จะมีไม่มาก ฉันพาพ่อพระเอกเดินหลบห้องคุณน้องชาย ใช้ทางที่คิดว่าจะไม่มีคนผ่านมา มุ่งไปหน้าวัง
เสียงฝีเท้าของคนข้างหลังดังขึ้นเบา ๆ เป็นจังหวะท่ามกลางความเงียบ ช่วงเวลาที่อยู่เงียบ ๆ มักทำให้ฉันหัวแล่นได้ดีกว่าช่วงที่ต้องคุยกัน ฉันจึงอาศัยจังหวะนี้พยายามทบทวนสถานการณ์ในหัว
ถ้าดูไม่ผิด สีหน้าแบบนั้นคือการขอความช่วยเหลือแน่ ๆ โจเวลเกลียดคู่หมั้นตัวเองอย่างกับอะไรดี มีเรื่องอะไรที่ตัวเองจัดการไม่ได้จนต้องมาขอความช่วงเหลือเลยหรือไง แล้วในนิยายมีอีเวนท์แบบนี้ด้วยเหรอ หรือมันเป็นเรื่องก่อนเข้าเรื่องหลักวะ… แต่เอาเหอะ ฉันไม่ใช่คนที่มีคนเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือแล้วจะไม่ช่วยหรอกนะ ถึงจะเป็นคนที่ไม่ชอบมาก ๆ ก็ตาม
ทางเดินค่อนข้างมืด มีแค่แสงจันทร์จากหน้าต่างที่เอามาใช้คลำทางได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะฉันเองที่สั่งห้ามจุดเทียนบนผนังทิ้งไว้ ถึงจะโดนเฟลิกซ์อาละวาดใส่แทบตาย แต่ก็ประหยัดเงินและทรัพยากรได้เยอะมาก แล้วปกติกลางคืนก็ไม่มีคนเดินอยู่แล้วนี่
โอเค ยกเว้นนางร้ายหนึ่งคนกับพระเอกหนึ่งคนที่กำลังเดินหาที่คุยความลับกันอยู่ตอนนี้
ฉันหยุดฝีเท้า มองบันไดยาวเบื้องหน้าที่ทอดเข้าไปหาความมืด กลืนน้ำลายเบา ๆ เพราะไม่เคยออกมาเดินเวลาท้องฟ้ามืดสนิท ถึงไม่รู้ว่าบันไดลงชั้นล่างจะน่ากลัวขนาดนี้ เหมือนลงไปแล้วจะโผล่อีกทีในนรกเลยอะ
ฉันพยายามปรับสีหน้าให้สุขุมที่สุด หมุนตัวหันหลังให้บันได กลับไปมองโจเวลอีกที "ตรงนี้ไม่มีคนแล้ว ไม่มีใครได้ยินแน่นอน ท่านพูดได้แล้ว"
ขอโทษทีนะ แต่พูดให้เสร็จตรงนี้แล้วลงไปเองละกัน เราเชื่อว่าแกทำได้ พระเอกไม่มีทางตาย
มันทำหน้าเหมือนกำลังสงสัยในตัวฉันมาก ๆ แต่เชื่อเถอะว่าฝีมือการแสดงสีหน้าของฉันอยู่ในระดับขั้นเทพ หลอกอาจารย์หลอกหัวหน้ามาได้นักต่อนัก ยังหลอกคนที่นี่มาแบบไม่มีใครรู้ตั้งหลายวัน ถึงเป็นพระเอกก็ทำได้แค่สงสัยเท่านั้น ใครมันจะไปคิดว่าเจ้าหญิงจะโดนสิง ยังไงก็จับไม่ได้อยู่ละ
"ท่าน..." โจเวลเริ่มพูด "ไม่ใช่เดเมลซ่าใช่หรือไม่"
"..."
โดนจับได้แล้ว…
ไอ้เหี้ยยยยยยย เดี๋ยว เดี๋ยวดิ
ไม่ ไม่ ๆ ๆ ฉันทำอะไรพลาดตรงไหน แค่ค้อนตาใส่ก็รู้เลยเหรอ ไม่ดิ ใจเย็น ๆ อาจจะแค่เปรียบเทียบ โอเค อาจจะไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริง ๆ
ฉันตั้งสติ มั่นใจว่าเมื่อกี้ไม่ได้หลุดสีหน้าอะไรออกไป ฉันขมวดคิ้ว คุมสีหน้าให้ดูกึ่งขำกึ่งประหลาดใจ
"ถามอะไรของท่าน" ฉันขำเบา ๆ "ถ้าข้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร"
โจเวลจ้องฉัน หน้าไม่เปลี่ยนสีสักนิด "เดเมลซ่าตายไปแล้วนี่ ท่านจะเป็นนางได้อย่างไร"
ฉันยิ้มค้างทันที
บางทีการถอยหลังลงบันไดตอนนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ
...เดี๋ยวก่อน ละมันรู้ได้ไงอะ
ไอ้เหี้ย อย่าบอกนะ…
แสงจันทร์สลัวจากบานหน้าต่างข้าง ๆ สาดลงกระทบตัวโจเวล ปรากฏเป็นเงายาวบนพื้น มันทำให้ฉันนึกถึงซีนในหนังสยองขวัญที่เคยดู
ฉิบหาย
ฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่คงสีหน้าไว้ไม่อยู่แล้ว สติล้มจนตั้งไม่ขึ้น หนีจากตรงหนีไม่มีทางหนีพ้นแน่ คนอยู่ตั้งหน้าประตู ตะโกนไปก็ไม่มีทางมาทัน เอาไงดีวะ
โจเวลเหมือนรู้ว่าฉันคิดอะไร "ข้าไม่ได้ทำอะไรนาง"
ฉันจ้องมันอย่างระแวง
มันถอนหายใจ เอื้อมมือมาจับแขนฉัน ฉันเกือบแหกปากออกไปแล้ว ถ้าไม่ได้ยินประโยคถัดไป
"อีพาย กูก็พึ่งเข้ามาเหมือนมึงเนี่ย จะไปทำไรใครได้ไง"
"ฮะ?"
"พาย นี่มึงใช่มั้ย"
ความคิดฉันแล่นปรี๊ด "เติ้ล?"
"เออ"
"ไอ้เหี้ย!!!"
"เสียงดังทำ- โอ๊ย!"
ฉันใช้สองมือตบแก้มมันดังป้าป
"กูนึกว่ามึงลงนรกไปแล้ว!"
"ขุมเดียวกับมึงอะ" เติ้ลพูด มันปล่อยแขนฉันแล้วสะบัดหน้าออกจากมือบนแก้ม "ถ้าจะพิสูจน์ว่ามึงฝันอยู่ไหม ทีหลังตบตัวเองนะ"
"เติ้ลจริงเหรอวะ"
"ไม่ กูโจเวล"
"อุบาทว์"
ฉันมองหน้าคนตรงหน้า ใบหน้าใต้แสงสลัวนั้นยังคงเป็นแบบเดิม ทว่าในสายตาฉัน มันดูเปลี่ยนไปมาทีเดียว
คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าฉันตอนนี้คือคนที่สำคัญที่สุดของฉัน และคนที่ฉันทำใจไว้แล้วว่าจะไม่ได้เจอกันอีก
พูดตามตรง ฉันก็คิดว่านี่เป็นฝันจริง ๆ
"แล้วมึงมาได้ไงเนี่ย" ฉันถาม ถึงจะดีใจที่มันมา แต่ก็คิดไม่ออกว่าทำไมมันถึงเข้ามาได้ ตัวร้ายตายอาจจะเป็นบัค แต่พระเอกตายนี่ไม่น่าใช่มั้ง ผลุบเข้ามาสิงตอนนอนอยู่เฉย ๆ งี้เหรอ
"ก็โจเวลตายแล้ว"
"หา?"
เติ้ลทำหน้าประหลาดใจ "มึงตกใจอะไร ไม่ได้รู้อยู่แล้วอ่อ"
"...กูจะรู้ได้ไง"
"บอกทีว่ามึงได้อ่านเต็ม ๆ เรื่อง" เห็นฉันส่ายหัว มันก็กลอกตาทันที "อีเวร มึงฟังกูนะ ในนิยายบอกว่าราชวงศ์ที่มีคู่หมั้นหรือคู่แต่งงาน เมื่ออายุครบยี่สิบปี จะต้องผูกพันธสัญญาวิญญาณกับคู่หมั้นหรือคู่แต่งงานของตัวเอง หมายความว่า ถ้าคนในราชวงศ์ตาย คู่หมั้นหรือคู่แต่งงานจะโดนดึงไปตายด้วย"
สารภาพเลยว่าไม่มีในแม้แต่เศษเสี้ยวความทรงจำ
"ก็เรื่องมันเป็นงั้น กูจะทนอ่านหมดได้ไง" ฉันอ้อมแอ้ม "แสดงว่าโจเวลตายเพราะเดเมลซ่าตายใช่มะ"
"ใช่" เติ้ลตอบ มันเอนหลังพิงหน้าต่างกระจก เหลือบมองฉันจากทางด้านข้าง
ฉันถามต่อ "แล้วที่เรียกกูออกมาคือจะคุยเรื่องนี้ใช่ป่ะ"
"ป่าว กูกำลังจะเข้าประเด็นเนี่ย" เติ้ลชะโงกหน้าไปทางทางเดินที่เราเดินมาเหมือนจะสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีคน "เดเมลซ่าตายไง"
"ไม่รู้อะ แต่ตอนตื่นมามันมีคราบเลือดกำเดาที่จมูก แล้วก็มึนหัวมาก" ฉันพยายามเค้นความทรงจำฉากนั้นในหัว "ทำไมอะ"
"มึงไม่รู้สึกเหรอว่ามันแปลก"
ฉันนิ่งคิด
"อยู่ ๆ จะปวดหัวเลือดไหลแล้วตายแล้วอ่อ ไม่ใช่มั้ง"
"คือมึงจะบอกว่ามีคนทำให้เดเมลซ่าตาย? ไม่ใช่มั้ง ในนิยายมันไม่มี…"
"แค่เราเข้ามา มันก็ไม่ใช่นิยายเรื่องนั้นแล้วมึง"
"มันก็จะกลายเป็นนิยายทะลุมิติไรงี้อ่อ"
"ปัญหามันอยู่ตรงนั้นป่ะอีควาย"
"ขอโทษ ๆ อดไม่ได้" ฉันรีบพูดต่อเมื่อเห็นคนข้าง ๆ ขมวดคิ้ว "ละไง ฆ่าเดเมลซ่าแล้วได้ไรอะ ตัดคนจากสิทธิ์ครองบัลลังก์เหรอ ก็ไม่น่าป่ะ จะเขี่ยเดเมลซ่าออริจินัลออกไม่จำเป็นต้องถึงกับฆ่าเลย"
"กูไม่รู้ นี่แหละประเด็นที่กูมาหามึง"
ฉันร้องหือ "คือมึงรู้ว่าเป็นกูตั้งแต่แรกแล้วอ่อ"
"ตอนแรกไม่รู้ แค่คิดว่าโจเวลตาย เดเมลซ่าก็น่าจะไม่สบายดี ที่ยังใช้ชีวิตอยู่ได้ก็น่าจะเพราะข้างในมันเป็นคนอื่น มานี่ถึงรู้ว่าเป็นมึง"
"แต่กูดูมึงไม่ออกเลยอะ"
"ก็แน่ดิ มองจิกเป็นไก่เลย อีห่า"
พูดสร็จ เติ้ลก็ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วหันตัวมาหาฉัน เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจัง
"อีกเรื่อง งานคืนนี้มึงเยอะไหม"
"พอสมควร ทำไมอะ"
"จะเสร็จกี่โมง"
ฉันหยุดคำนวนเวลาอยู่ครู่หนึ่ง "ถ้ารีบทำก็ประมาณตีหนึ่งมั้ง"
"ช้าอะ เอางี้ ตอนเที่ยงคืนมึงออกมายืนตรงระเบียง เดี๋ยวกูไปรับ"
"หา?"
"นอกจากเรื่องเมื่อกี้ คืนนี้เรายังมีอีกเรื่องต้องออกไปสืบกัน" มันขยิบตา "ต้องขอรบกวนพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"เหตุใดจึงไปนานนักเล่าเพคะ"
เปิดประตูห้องมาก็เห็นแคลร์ยืนอยู่ริมประตู สีหน้ากังวล ในมือยังถือตะเกียงที่จุดแล้วไว้อันหนึ่ง ดูเหมือนเธอเตรียมจะออกไปตามถ้าฉันยังไม่ได้กลับมาในเร็ว ๆ นี้
"คุยอะไรกันนิดหน่อยด้วยน่ะ" ฉันยิ้มให้เธอ "ดับตะเกียงเถอะ ไปนอนได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ข้าทำงานต่ออีกสักพักก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน"
แคลร์ตอบรับ เธอดับแล้ววางตะเกียงไว้บนโต๊ะกลางห้อง ยังไม่วายหันมากำชับว่าอย่านอนดึก ก่อนเดินเข้าห้องนอนข้างไป
ฉันหอบกองรายงานและเอกสารบนโต๊ะทำงานย้ายไปที่โต๊ะบนระเบียง
จริง ๆ แล้วตอนคุยกับเติ้ลเมื่อกี้ ถึงฉันจะเล่นมุกเรื่องนิยายทะลุมิติอะไรนั่น แต่ก็พบว่าการตายของเดเมลซ่ามันแปลกจริง ๆ ยอมรับเลยว่าตั้งแต่ตอนฟื้นมาจนถึงก่อนหน้านี้ ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เนื่องจากแค่ตื่นมาในร่างนี้ก็น่าตกใจพอแล้ว แต่พอย้อนไปพิจารณาดี ๆ อาการปวดหัวและเลือดกำเดาไหลสามารถเป็นอาการจากยาพิษได้หรือเปล่า ฉันไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ แต่วิธีการฆ่าคนในวังที่มีการคุ้มกันแน่นหนาก็มีแต่การวางยาในอาหารนี่
และตามข้อมูลที่ฉันพึ่งได้มาใหม่ การผูกพันธสัญญาวิญญาณ ที่ถ้าหากคนในราชวงศ์ตาย คู่หมั้นของคนในราชวงศ์คนนั้นก็จะถูกลากไปตายด้วย น่ะ มันก็อาจจะเป็นไปได้อีกที่เป้าหมายจริง ๆ จะไม่ใช่เดเมลซ่า แต่เป็นการเบี่ยงไปให้ดูเหมือนว่าจงใจเล็งไปที่เดเมลซ่า ในขณะที่เป้าหมายที่แท้จริงคือผู้ที่จะตายด้วยถ้าเธอตาย โจเวล โจนส์ หรือเปล่า
อะไรกันเนี่ย จากนิยายโรแมนติกเป็นนิยายทะลุมิติ แล้วเป็นนิยายสืบสวนอีกทีหนึ่งเหรอ
ฉันถอนหายใจ ก้มลองมองกองกระดาษบนโต๊ะ ตัดสินใจทำงานก่อนแล้วค่อยคิด
ฉันเลือกหยิบเอกสารประวัติคนที่จะได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ตอนสิ้นปีขึ้นมาอ่าน เดเมลซ่ามีตำแหน่งเป็นดัชเชสดูแลเขตปกครองพิเศษพ่วงตำแหน่งหัวหน้ากระทรวงขุนนาง ดังนั้นหน้าที่การตรวจสอบรายงาน บัญชีภาษีจากเขตปกครอง การร้องเรียน การแต่งตั้ง การปลดขุนนาง รวมถึงการตรวจสอบประวัติว่าที่ขุนนางด่านสุดท้ายจะมาตกอยู่ที่เดเมลซ่าทั้งหมด หมายความว่าตอนนี้มีกระดาษเป็นกะตั้กกองอยู่หน้าฉัน
ละให้กูทำหมดนี่ในเที่ยงคืน อีเพื่อนเฮงซวย (อัพเกรดจากพระเอกนิยายเฮงซวย) สมควรแล้วที่ต้องคลำทางลงบันไดไปเอง อีนรก
ถามว่าต้องออกไปสืบอะไรมันก็เฉไฉไม่ตอบ ถ้าเรื่องที่ต้องสืบมันไม่คุ้มค่าพอที่ต้องมานั่งหลังแข็งปั่นงานนะ เพื่อนก็เพื่อนเหอะอีเติ้ล
Comments (0)