"ทำไมวะไอภู" กรถามขึ้นด้วยความสงสัย

          “เอางี้นะพวกมึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ในป่ากับในเมืองน่ะมันไม่้เหมือนกันหรอก ที่กูอ่านเจอมาระหว่างทางมีบอกว่า ในป่ายามกลางคืนน่ะเป็นสถานที่ ที่อันตรายมาก มีทั้ง ยุงป่า ช้างป่าที่อาจจะตกมัน เสือโคร่งลายพาดกลอน ไปจนถึงสิ่งที่มันไม่ควรจะมีอยู่อย่าง ผีป่า เสือสมิง อะไรพวกนี้” เขาพูดต่อเสียงสั่น ๆ ดูเหมือนว่าอาการพูดติดอ่างของเขามันกลับมาแล้ว

          “ละ...แล้วแต่พวกมึงเลย ไม่ชะ...เชื่อก็เชิญอยู่ข้างหลัง” หลังจากพูดจบ กรก็พยักหน้า แล้วพาเพื่อนกลุ่มนึงขึ้นไปบนต้นไทรที่อยู่ทางด้านฝั่งตรงข้าม ภูเองก็ขึ้นไปเหมือนกัน เขา วิว แพรว ชีส และเอก ขึ้นไปบนต้นเดียวกัน และดูเหมือนว่าทุกคนจะเชื่อเขาหมด ซึ่งมันก็ดีแล้ว เขาคิดว่าพวกนั้นอาจจะเชื่อไว้ก่อน เพราะถ้าไม่นับเรื่องสมิงกับผีป่า มันก็สมเหตุสมผลดีนะที่จะเชื่อแล้วทำตาม


          เมื่อยามรัตติกาลมาถึง เสียงนกแสกก็ดังขึ้นใกล้ ๆ ไผ่ตบที่บ่าเขาเบา ๆ แล้วถามว่า

          “ไอภู นกอะไรวะนั้น แล้วถ้าร้องมันจะเป็นลางอะไรไหมวะ”  ไผ่ถามเสียงสั่น ๆ ด้วยความกลัว ซึ่งตอนนี้ภูเองก็ไม่เห็นหน้าไผ่เพราะในเวลานี้มันมืดจริง ๆ

          “จากที่กูอ่านมา มันจะเป็นลางร้ายน่ะ เอาเป็นว่าอย่าลงไปเด็ดขาด" ไผ่ทำเสียงครางในลำคอบ่งบอกว่ารับรู้ เหมือนว่าในตอนนี้คนอื่น ๆ จะหลับกันไปหมด ไปนานนัก ด้วยความเหนื่อยล้าที่เดินทางมาทั้งวัน ประกอบกับอาการปวดหัวจะการกระแทกนิดหน่อย เขาเก็ผลอยหลับไปเหมือนกัน

          “ภู…แม่มาตามกลับบ้านแล้วนะ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น ปลุกเขาจากหวงนิทรา

          "ภู...ลงมานี้สิ" เขาตื่นขึ้น จำได้ว่าเสียงนี้คือเสียงแม่เขา เขารู้สึกดีใจที่แม่มาเจอเขา และกำลังจะลงไปแต่เขาก็พลันคิดได้ว่า แม่ของเขาจะเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้ได้อย่างไร คำถามมากมายพุดขึ้นมาในหัวเขา มีแต่ทำไม ๆ ๆ ๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องที่อ่านได้ เสือสมิง นั้นเอง

          ตามตำนานแล้ว เสือสมิงจะเกิดจากเสือที่กินคนเข้าไปมากๆ แล้ววิญญาณเหล่านั้นกลายเป็นวิญญาณร้ายมาเข้าสิงสู่อยู่ในเสือ ทำให้มันมีฤทธิ์เดช ในการแปลงกายได้ การล่าเหยื่อของมันนั้นจะเลือกนักเดินทางที่้เดินทางมาในป่า แล้วแปลงกายมาเป็นคนสำคัญของเหยื่อแล้วหลอกให้ลงมาจากต้นไม้หรือที่อาศัยของเหยื่อ

          ระหว่างที่เขาคิดนั้นเองเสียงของแม่เขาก็ดังอยู่เรื่อย ๆ เขามองไปรอบ ๆ ตอนนี้สายตาเริ่มชินกับความมืดแล้ว บวกกับแสงจันทร์ที่ช่วยสาดส่องมา เขาเห็นว่าไม่มีเพื่อนของเขาคนไหนเลยที่ตื่นขึ้นมาตามเสียงเรียก เขาจึงลุกขึ้นแล้งจ้องมองที่ ที่มาของเสียง มันเป็นร่างของแม่เขาจริง ๆ เขาดูจะตกใจและไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง เขาสองจิตสองใจว่าจะใช่แม่ของเขาจริง ๆ ไหม ทันใดนั้นเองก็มีเสียงที่ดังกังวาล ดูมีอำนาจดังขึ้นมาข้างหูเขา "นั้นไม่ใช่แม่เอ็งหรอก อย่าได้ลงไปเป็นอันขาด" ภูนั้นตกใจมากว่าเสียงนั้นมาจากไหน แต่ก็มีสิ่งที่ต้องทำให้ตกใจยิ่งกว่า

          เพราะร่างที่เคยเป็นของแม่เขานั้น บัดนี้มันได้เปลี่ยนเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าเสือปกติ 2 เท่า แววตามีสีแดงดุจดังไฟกาล มันคำรามเสียงกึกก้องก่อนจะเดินไปทางซ้ายของเขา และเขาก็รู้แล้วว่านั้นมันคือสมิงจริง ๆ คำถามมากมายประเดประดังมาในหัว ทำไมกันทำไมถึงมีสัตว์พวกนี้ในโลกจริง ๆ ในหัวมีแต่ทำไม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ และเขาก็จำได้อีกอย่างทางที่สมิงพรายตัวนั้นมันไป มันมีต้นประดู่อยู่ เขาเริ่มใจไม่ดีแล้วว่าอาจจะมีเพื่อนบางคนอาศัยอยู่บนนั้นแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้เช้า เขาจึงนั่งรอไปอีกหลายชั่วโมงโดยไม่สามารถหลับลงได้ ไม่มีความง่วงเลยในตัวเขา เวลาผ่านไปจนเริ่มมีแสงสีทองอ่อนๆ ขึ้นมาจากทิศบูรพา มันเช้าแล้ว เขาได้สำรวจเพื่อน ๆ ของเขา บนต้นไม้นั้นไม่มีใครเลยที่ตื่น เขาจึงลงจากต้นไม้คนแรก

          "คืนนี้หนักหนาเลยนะโยม" เสียงอันนุ่มนวล ที่เปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นทันทีที่เขาลงจากต้นไม้

          "อาตมา มาดีนะ ไม่ทำร้ายโยมหรอก เป็นแค่พระธุดงค์ที่ผ่านทางมาเฉย ๆ" ภูนั้นได้เงยหน้าขึ้นมามอง และพบกับพระธุดงค์รูปนึงที่ดูชราภาพแล้ว แต่ใบหน้าของท่านก็ดูจะเมตตาและหวังดีจริง ๆ

          “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ” ภูได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงงุนงง หากเป็นสมิงนั้นมันคงจะตะครุบเขาแล้ว เขาจึงยอมสนทนากับท่านต่อ

          “อาตมาเดินมาเรื่อย ๆ น่ะ ตามพระวินัยแล้ว ห้ามปักกลดในเขตบ้านเรือน อาตมาเลยมาปักกลดแถวๆ นี้แหละ ว่าแต่เมื่อคืนเป็นอย่างไรละ ดูท่าคงจะหนักหนานะ” ท่านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเมตตา ภูจึงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ท่านฟัง เมื่อฟังจบท่านจึงนิ่งไปชั่วครู่และเอ่ยมาว่า

          “เสียงเมื่อคืนน่ะ คงจะเป็นเสียงของท้าวเวสสุวรรณ 1 ในท้าวจตุโลกบาลทั้ง4 ท่านมีหน้าที่ปกป้องคนจากผีร้ายน่ะ โดยเฉพาะคนมีบุญ ในต้นของโยมคงจะมีคนบูชาท่านอยู่”

          “เรื่องแบบนี้มันมีจริงด้วยหรอครับ” ภูเอ่ยถามด้วยความงุนงงยิ่งกว่าเดิม

          “ของที่พิสูจน์ไม่ได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ เหมือนป่าที่โยมอยู่ตอนนี้คิดหรอว่ามันอยู่บนโลกมนุษย์จริง ๆ น่ะ พรุ่งนี้เช้าพวกโยมจงเดินทางไปในทิศเหนือเรื่อย ๆ อย่าหยุดเป็นอันขาด ไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน ถ้าพวกโยมอยากจะรอด”

          “แล้วก็ตรงต้นประดู่ด้านซ้ายน่ะ เหมือนจะมีศพอยู่นะ โยมลองไปดูสิ อาจจะเป็นเพื่อนโยมก็ได้”

          ท่านพูดรัว ๆ โดยที่เขาไม่สามารถพูดตอบโต้ได้เลย และเมื่อท่านพูดจบท่านก็เดินจากไปเลย ภูได้ยกมือไหว้ลาท่าน ในหัวของเขาคิดว่าท่านอาจจะพูดปริศนาธรรม แต่เรื่องหาทางออกจากป่าคงจะจริง เพราะท่านก็เดินมาจากทิศเหนือ ส่วนเรื่องศพก็คงจะเป็นเพื่อนเขาจริง ๆ นั้นแหละ เขาอยากจะหันไปถามพระธุดงค์อีกเรื่องแต่เมื่อหันไปทางที่ท่านเดินไป ก็ไม่พบร่องรอยของท่านแล้ว เขาก็แปลกใจเป็นอย่างมาก นี้มันเรื่องอะไรกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คงต้องเล่าให้เพื่อนฟังว่าจะเอายังไงต่อดี แต่ตอนนี้เขาจะเดินไปดูศพก่อน เขาคิดพลางเดินไปทางต้นประดู่ ระหว่างนั้นก็ครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ จนเมื่อยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นคาวเลือด เขาจึงเร่งฝีเท้าจนถึงต้นประดู่ และภาพที่เขาเห็นทำเอาเขาอ้วกแตกไปเลย ศพนั้นคือ....