ที่รักครั้งที่ 7 

 

 

'คุณจะเข้ามาเล่นกับพี่เจ๋งที่ร้านตอนไหนก็ได้' 

'...'

'พี่เจ๋งดูจะชอบเล่นกับคุณมากกว่า'

 

เพราะคำพูดของเจษในวันนั้นจึงทำให้ที่รักที่อยู่บ้านด้วยความเบื่อหน่ายต้องเดินทางมาเล่นกับแมวส้มตัวอ้วนที่ร้านสักของใครบางคน 

และก่อนที่จะแวะมาหาคนตัวเล็กไม่ลืมที่จะซื้อเครื่องดื่มเมนูโปรดของคุณช่างสักคือชาเขียวปั่นเพิ่มวิปครีมคาราเมลซอสกับเครื่องดื่มอีกอย่างสองอย่างให้แม็กและช่างสักในร้านอีกสองคน มือเล็กๆ เก็บขนมแมวเลียใส่ถุงผ้าใบโปรดพลางเดินเท้าจากสถานีรถไฟฟ้ามายังสตูดิโอสักของเจษและคงจะเป็นโชคดีของที่รักที่วันนี้ฝนไม่ตกทั้งท้องฟ้ายังแจ่มใสอีกต่างหาก 

"สวัสดีครับ ได้นัด..." 

"..."

"อ้าว คุณที่รัก" 

แม็กหยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นคนตัวเล็กเปิดประตูร้านเข้ามา ที่รักยิ้มกว้างให้แม็กในทันทีพลางทักทายกลับ 

"สวัสดีครับคุณแม็ก" เสียงใสเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มหวานที่ทำเอาคนเห็นอย่างเช่นแม็กแทบหวั่นไหว รอยยิ้มสดใสที่เมื่อเจ้าของรอยยิ้มนั้นส่งมาให้ราวกับมีออร่ากระจายไปรอบกายของเจ้าตัว

"เอ่อ...พี่เจษมีคิวสักอยู่ครับ" 

"คือ...ที่รักไม่ได้มาหาคุณเจษครับ" ที่รักตอบ 

"อ้าว" 

"ที่รักมาหาพี่เจ๋งต่างหาก" 

"คะ...ครับ?" 

"เอ่อ อันนี้เป็นอเมริกาโน่ของคุณแม็กกับพี่ๆ ช่างสักอีกสองคนด้วยนะครับ ส่วนแก้วนี้ของคุณเจษ"

ที่รักพูดจบจึงส่งแก้วเครื่องดื่มทั้งหมดให้แม็กที่ทำหน้าที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ทันที แม็กยืนมองคนตัวเล็กที่ซื้อกาแฟมาเลี้ยงคนทั้งร้านด้วยความประหลาดใจ 

แม็กไม่เคยเห็นใครที่รู้จักพี่เจษทำแบบนี้มาก่อนเลย...

"ขอบคุณมากเลยนะครับ" แม็กยิ้มให้พร้อมกับรับแก้วเครื่องดื่ม 

ดวงตากลมโตสอดส่องมองหาบุคคลที่ตั้งใจจะมาเล่นด้วยนั่นก็คือเจ๋งแมวส้มตัวอ้วนลูกชายคนเดียวของเจษ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่เจ๋งจะไปเที่ยวไหนหรือเปล่าแต่ก็ตั้งใจมาเล่นด้วยแล้วยังไงเสียที่รักก็ไม่อยากที่จะต้องล้มเลิกความตั้งใจของตนเองแต่ทว่าใจเจ้ากรรมกลับสั่งให้ที่รักต้องมองหาเจ้าของแมวส้มทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำงานอยู่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองหา 

"พี่เจ๋งไปไหนเหรอครับ?" ที่รักสลัดความคิดก่อนจะกลับมาคุยกับแม็ก

"อ่า...เหมือนจะนอนอยู่ข้างบนนะครับ เดี๋ยวผมไปดูให้" แม็กบอก

"ไม่เป็นไรครับ รอพี่เจ๋งตื่นก่อนก็ได้แต่ที่รักขอใช้ห้องน้ำหน่อยได้มั้ยครับ" 

"ได้ครับๆ ตามสบายเลยครับ" แม็กพูดจบจึงบอกทางไปห้องให้กับที่รัก ก่อนที่คนตัวเล็กจะพยักหน้าขอบคุณแล้วไปยังห้องน้ำ 

ที่รักเดินเข้ามาในโซนด้านในของร้านผ่านห้องสักสามห้องแต่ทว่าไม่ได้แวะดูเลยแม้แต่ห้องเดียวเนื่องจากในตอนนี้ต้องการเข้าห้องน้ำเสียมากกว่าและไม่อยากรู้สึกว่าตนดูเสียมารยาทมากไป 

และหลังจากที่ที่รักออกมาจากห้องน้ำในระหว่างที่ผ่านห้องสักจึงอดไม่ได้ที่จะแอบมองบรรยากาศของการทำงานของที่นี่ 

แอบเสียมารยาทนิดหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง... 

ร่างบางหยุดอยู่หน้าห้องสักห้องหนึ่งที่ไม่ได้มีประตูปิดไว้ ดวงตากลมโตสอดส่องมองเข้าไปยังข้างในจึงพบว่ามีร่างสูงที่เริ่มจะคุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้วนั่งอยู่ข้างเตียงสักและยังมีลูกค้านอนอยู่บนเตียง 

ภายในห้องสักมีแสงสว่างมากพอและสะอาดสะอ้าน เสียงของเครื่องสักดังแว่วเป็นระยะ ฝ่ามือหนาของช่างสักขยับไปมาดวงตาคมจับจ้องลายสักที่เจ้าตัวบรรจงออกแบบและรังสรรค์ผลงานให้ลูกค้า ที่รักลอบมองคุณช่างสักที่กำลังตั้งใจทำงานอยู่นานพลันแอบยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

...จะว่าไปแล้วตอนที่เจ้าตัวตั้งใจทำอะไรแล้วดูน่ารักไม่น้อยเลย 

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมหน้ากากอนามัยปกปิดไว้จนทำให้เห็นเพียงแค่เสี้ยวใบหน้าแต่ที่รักเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเจษก็ยังคงดูหล่อเหลาอยู่ดี

คนตัวเล็กลอบมองอยู่นานจนทำให้คนที่ถูกมองรู้ตัวจึงหยุดมือที่กำลังจับเข็มสักให้ลูกค้าแล้วจึงหันหน้ามาสบตาที่รักที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องสัก เจษเผลอสบตามองดวงตากลมโตและใบหน้าจิ้มลิ้มของที่รักจนคนตัวเล็กต้องรีบเบี่ยงตัวหลบอยู่ข้างหลังกำแพง 

ชายหนุ่มหัวเราะหึเบาๆ ในลำคอพลางยกยิ้มกว้างภายใต้หน้ากากอนามัยสีดำที่ปกปิดครึ่งใบหน้า เจษไม่รู้ว่าที่รักมาเมื่อไหร่แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่น้องมาเนื่องจากเขาได้บอกกับที่รักไว้ว่าถ้าหากอยากมาเล่นกับพี่เจ๋งก็สามารถแวะเข้ามาได้ตลอด 

ที่รักรู้ตัวว่าอีกฝ่ายจ้องมองตนเองกลับจึงหลบหลังกำแพงครู่หนึ่งแล้วรีบวิ่งออกไปยังโซนหน้าร้าน ความรู้สึกร้อนที่ผิวแก้มบ่งบอกชัดเจนว่าที่รักรู้สึกเคอะเขินเมื่อตอนที่อีกฝ่ายสบตากัน 

ไม่นานนักร่างสูงเดินออกมาจากห้องสักเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการทำงาน เจษเดินไปยังโซฟาโซนรับแขกหน้าร้านจึงพบว่าที่รักกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่ สมองสั่งการให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแต่ทว่ากลับโดนเรียกชื่อจากรุ่นน้องไปเสียก่อน

"พี่เจษครับ" แม็กขานชื่อเจ้าของร้าน 

"ว่า?" 

"อันนี้คุณที่รักซื้อมาฝาก" แก้วชาเขียวปั่นที่มีวิปปิ้งครีมราดคาราเมลซอสถูกส่งมาให้เจษที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ 

"..."

เจษจ้องมองแก้วเครื่องดื่มไซส์ใหญ่เมนูที่เขาค่อนข้างโปรดปรานในช่วงนี้ที่กำลังละลายไปเพียงเล็กน้อย ร่างสูงยิ้มมุมปากครู่หนึ่งก่อนจะรับแก้วจากแม็กไปดื่ม 

"อืม" เจษตอบในลำคอเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปหาคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟา 

แม็กขมวดคิ้วด้วยความงุนงงครู่หนึ่งพลางยกมือขึ้นเกาศีรษะพลันบ่นพึมพำกับตนเองเบาๆ 

"จะยิ้มก็ยิ้มดิวะ แล้วพี่แกจะเก๊กทำไม"

"..."

"คุณที่รักเขาก็ซื้อมาให้ทุกคน งง" 

 

 

 

ร่างสูงหยุดอยู่ข้างโซฟาที่มีคนตัวเล็กกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่เงียบๆ เจษจ้องมองน้องที่ใจจดใจจ่อกับการอ่านทั้งมืออีกข้างยังหยิบมันหวานหนึบอบแห้งเข้าปาก เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของคนตัวเล็กบ่งบอกว่ากำลังสนุกและมีความสุขซึ่งภาพที่เห็นทำเอาเจษนึกเอ็นดูที่รักไม่ได้ 

"ไม่เจอพี่เจ๋งเหรอครับ?" เจษแกล้งทักจนทำให้ที่รักสะดุ้งโหยง

"ห๊ะ...เอ่อ...คุณทำงานเสร็จแล้วเหรอ?" เจษพยักหน้าเล็กน้อย 

"แก้วนี้ซื้อมาให้ผมเหรอ?" คนตัวสูงยกแก้วเครื่องดื่มที่พร่องลงไปแล้วถึงครึ่งแก้ว 

"อื้อ"

"ขอบคุณครับ" เจษตอบทว่าที่รักไม่ได้ตอบแต่อย่างใดนอกเสียจากนั่งนิ่งๆ ส่วนอีกอีกฝ่ายยังคงยืนดื่มชาเขียวปั่นอย่างอารมณ์ดี 

"แล้วคุณ...ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?" ที่รักตัดสินใจเอ่ยถามก่อนเนื่องจากบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ดูจะเงียบไปจึงไม่อยากให้ดูกระอักกระอ่วนมากเกินไป 

"มีลูกค้าคนสุดท้ายตอนบ่ายสามจากนั้นก็ไม่มีแล้ว" 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นที่รักขมวดคิ้วพลางหันไปจ้องมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกาย และเพราะความสูงต่างกันของทั้งคู่ที่ที่รักนั่งอยู่บนโซฟาส่วนเจษยืนอยู่จึงทำให้ที่รักต้องเงยหน้าสนทนากับอีกฝ่าย 

ที่รักนึกฉงนว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เจษมีลูกค้าคนสุดท้ายตอนบ่ายสามเพราะโดยปกติแล้วร้านปิดสี่ทุ่มและเจษก็รับลูกค้าเป็นคนสุดท้ายอยู่เสมอไม่ใช่อย่างนั้นหรือ...หากแต่ทำไมวันนี้ถึงรับลูกค้าคนสุดท้ายไวกว่าปกติ 

"..."

"หกโมงเย็นผมต้องพาพี่เจ๋งไปอาบน้ำกับหาหมอน่ะ" 

"อ๋อ..." ที่รักลากเสียงยาวเป็นการตอบกลับเชิงรับรู้จากอีกฝ่ายแต่ไม่ทันได้สร้างบทสนทนาอย่างอื่นกันต่อกลับมีเสียงร้องของบุคคลที่ที่รักตั้งใจมาหา

แมวส้มขนฟูตัวอ้วนส่งเสียงร้องเหมียวขัดจังหวะพลางเดินมาคลอเคลียที่ขาเรียวของที่รักทำเอาคนตัวเล็กรีบหันกลับไปหาบุคคลที่เพิ่งมาให้ทันที 

"พี่เจ๋งงงงง" 

"เหมี๊ยววว ~ " 

"ตื่นแล้วเหรอ...คิดถึงจังเลย"

ที่รักโน้มตัวลงลูบขนและเกาคางให้เจ๋งด้วยความเอ็นดู เจ๋งส่งเสียงร้องเหมียวอีกครั้งแสดงถึงความพึงพอใจพลันส่ายหางอ้วนๆ ดุ๊กดิ๊กไปมาก่อนจะหันไปมองเจ้าของที่กำลังยืนมองเจ๋งออดอ้อนที่รักราวกับว่าเจ๋งกำลังเยาะเย้ยเจษอย่างไรอย่างนั้น 

"เดี๋ยวนี้ไม่อ้อนพ่อแล้วนะ" เจษบ่นอุบอิบเบาๆ ให้กับลูกชายตัวอ้วนสีส้มของเขาพลางส่ายหน้าไปมาอย่างนึกเซ็ง 

ที่รักหัวเราะคุณพ่อแมวส้มที่กำลังน้อยใจก่อนจะอุ้มเจ๋งขึ้นมาเกาพุง เจ๋งนอนอยู่บนตักของที่รักด้วยความสบายใจทำเอาแม็กที่ลอยมองทั้งสามถึงกับเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ 

พี่เจ๋งมันอ้อนแฟนพ่อหรือเปล่านั่น...เอาใหญ่เลยนะพี่เจ๋ง 

 

"ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว ฝากพี่เจ๋งด้วยนะ" 

"อื้อ ได้สิก็เราตั้งใจจะมาหาพี่เจ๋งนี่นา" ที่รักหยุดเกาพุงให้เจ๋งแล้วจึงหันไปจ้องมองใบหน้าของเจษที่ยังคงไม่กลับไปห้องสักเสียที 

เจษไม่ได้ตอบอย่างใดกลับกันแล้วภายในใจของชายหนุ่มกลับตะโกนกึกก้องราวกับว่าอีกฝ่ายย้ำเตือนเขาซ้ำๆ ว่าที่รักต้องการมาหาแค่เจ๋งไม่ใช่มาหาเขาที่เป็นเจ้าของแมว 

รู้สึกเหมือนเป็นหมาหัวเน่าก็คราวนี้แหละเจษฎา

 

 

 

 

ที่รักเล่นกับเจ๋งไปนานพอสมควร ทั้งป้อนขนมสำหรับแมวและลูบพุงเล่นสารพัดกิจกรรมที่สามารถเล่นกับแมวได้จนในที่สุดจึงพบว่ามีการเคลื่อนไหวของใครบางคนข้างกาย 

ดวงตากลมโตจ้องมองใครบางคนที่เดินเข้ามาหาที่รักที่นั่งเล่นอยู่โซฟากับเจ๋งและพบได้ว่าคุณช่างสักตัวสูงยืนอยู่และที่ทำให้ที่รักถึงกับกลั้นขำไว้แทบไม่อยู่คือช่างสักที่มีรอยสักที่ลำแขนเต็มไปหมดทั้งยังดูน่าเกรงขามและด้วยใบหน้าที่ติดจะดูดุของเจ้าตัวนั้นด้วยกลับยืนถือกระเป๋าสำหรับใส่น้องแมวพาออกไปข้างนอก 

"?" ที่รักเลิกคิ้วพลางกลั้นขำคนตัวสูงที่ยังคงถือกระเป๋าสำหรับใส่น้องแมว 

"เราต้องพาพี่เจ๋งไปอาบน้ำแล้วก็หาหมอ" เจษตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยทว่าที่รักฟังแล้วกลับรู้สึกว่ามันดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก 

"เรา?" ที่รักเลิกคิ้วอีกครั้งเพราะสรรพนามที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่นั้นคือคำว่า'เรา'ที่หมายถึงที่รักและเจษใช่หรือเปล่า 

"อืม" 

"..."

"ผมจะพาพี่เจ๋งไปหาหมอและคุณก็ด้วย" 

"..."

"ไปด้วยกัน" 

 

 

ที่รักรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองนั่งอยู่บนสปอร์ตคาร์ข้างๆ คนขับโดยมีคุณช่างสักเป็นฝ่ายขับรถและยังมีแมวส้มตัวอ้วนนั่งอยู่ในกระเป๋าที่วางบนตักของที่รัก 

ภายในห้องโดยสารไม่มีบทสนทนาใดๆ นอกเสียจากเสียงเพลงคลอเบาๆ กับเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์ที่กำลังทำงาน ที่รักนึกหงุดหงิดในใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกกันเสียก่อนว่าจะชวนพาเจ๋งมาหมอ ราวกับว่าการกระทำของเจษเหมือนกับการมัดมือชกอย่างไรอย่างนั้น 

"มัดมือชกกันชัดๆ เลย" เสียงเล็กบ่นอุบอิบกับตนเองหากแต่เจษกลับได้ยินอีกฝ่ายบ่นและกำลังแสดงสีหน้าท่าทางหน้ายู่บู้บี้ราวกับเด็กเอาแต่ใจ 

"ผมตั้งใจว่าจะไปส่งคุณที่บ้านด้วย" เจษตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่กลับฟังดูใจเย็น 

"ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่แต่คุณน่าจะบอกเราตั้งแต่แรกว่าจะไปส่งเราที่บ้านหลังจากพาพี่เจ๋งไปหาหมอเสร็จ"  

คนตัวเล็กยกมือขึ้นกอดอกทว่าใบหน้าจิ้มลิ้มยังยู่บู้บี้ไม่เลิกและด้วยคำพูดคำจาที่ดูเอาแต่ใจกลับทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าเอ็นดูเอาเสียมากๆ 

"..."

"แล้วพี่เจ๋งเป็นอะไรเหรอทำไมถึงได้พาไปหาหมอ?" 

ด้วยความเงียบสงัดของทั้งคู่ไปเมื่อครู่ที่รักจึงรู้ตัวว่าตนทำตัวได้ไม่น่ารักเอาเสียเลยจึงคลายสีหน้าลงแล้วจึงสร้างบทสนทนาระหว่างทั้งสองขึ้น 

"หมอนัดให้ไปถ่ายพยาธิปีละครั้งน่ะ" 

"อ่า...แบบนี้นี่เอง" 

"คืนนี้พี่เจ๋งคงต้องนอนที่คลินิก" เจษพูดพลางเร่งเครื่องยนต์ไปบนท้องถนนเพื่อมุ่งหน้าสู้คลินิกสัตว์เลี้ยงที่เขาพาเจ๋งไปหาหมอและอาบน้ำตัดขนอยู่เป็นประจำ 

"คุณอยากกินอะไรมั้ยเผื่อว่าส่งพี่เจ๋งหาหมอแล้วไปหาอะไรกินกัน" 

คนตัวเล็กเงียบไปครู่หนึ่งทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังชวนนั้นมีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่าหรือแค่อยากมีเพื่อนไปทานข้าวด้วยก็แค่นั้น เพราะว่าพักหลังมานี้ที่รักรู้สึกได้ว่าการกระทำของเจษเหมือนกับการพยายามเข้าหาที่รักเสียมากกว่า 

ไม่รู้ว่าคุณช่างสักเข้าหาเพื่ออะไรแต่เซ้นส์มันบอกว่าอีกดูอยากสนิทสนมด้วย...

ครั้นจะถามอีกฝ่ายไปตรงๆ ก็กลัวว่าจะดูเหมือนกับมั่นใจเกินไปและถ้าหากว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้คิดที่จะเข้าหาหรืออยากจะสนิทสนมกับตนก็คงจะอับอายไม่น้อยเลย 

ที่รักพรูลมหายใจเบาๆ พลันจะตอบกลับว่าไม่เป็นไรหากแต่อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นเสียก่อน 

"ครั้งที่แล้วเรายังไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลย คุณรับปากผมแล้ว" 

อ่า...นั่นสินะ ตอนนั้นที่เจษไปซื้อมังงะเป็นเพื่อนที่รักนี่นา 

"เรายังไงก็ได้อะ" ที่รักตอบ

"ยังไงก็ได้ไม่มีหรอกนะที่รัก" เสียงทุ้มเอ่ยและด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนิ่งพลันทำเอาที่รักรู้สึกราวกับว่ากำลังโดนอีกฝ่ายดุอยู่ 

"..."

"ห้ามตอบว่ากินอะไรก็ได้เพราะของแบบนั้นไม่มีขายหรอกครับ" 

"นี่...คุณ!" ที่รักยู่หน้าอีกครั้งด้วยความไม่ชอบใจจนทำให้เจษแอบอมยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีเอาแต่ใจราวกับว่าได้แกล้งเจ้าตัวสำเร็จ 

"คุณเคยบอกผมครั้งที่แล้วว่าอะไรก็ได้มันไม่มี"

"..."

ที่รักไม่ตอบอะไรซ้ำแล้วยังหันไปพูดคุยกับเจ๋งที่นั่งตาแป๋วอยู่ในกระเป๋าสำหรับใส่น้องแมว 

"พี่เจ๋งดูสิพ่อพี่เจ๋งดุชะมัดเลยแถมยังกวนด้วยเนี่ย" 

"เหมี๊ยว ~ " เจ๋งตอบรับ 

"ผมไม่ได้ดุคุณสักหน่อย" เจษไหวไหล่ให้กับที่รักที่ยังคงฟ้องเจ๋งอยู่ 

"ไม่ได้ดุอะไรเล่า แมวยังรู้เรื่องเลยเหอะ" 

"..."

"พี่เจ๋งต้องจัดการให้ที่รักนะรู้มั้ย ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าจะไม่มาหาแล้วนะแล้วก็ไม่มีขนมมาให้ด้วย!" 

ไม่รู้ว่าเจ๋งจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่าหากแต่คนตัวสูงกลับอยากให้เจ๋งออกมาจัดการพ่อไปให้รู้แล้วรู้รอด เจษได้ยินเช่นนั้นจึงคิดในใจว่าถ้าหากตนพูดด้วยน้ำเสียงราวกับดุน้องแล้วอาจจะไม่ได้เจอน้องอีกก็เป็นได้ 

ครั้นจะบอกความจริงไปว่าที่อยากให้ที่รักมาเล่นกับเจ๋งบ่อยๆ และตอนไหนก็ได้ก็คงไม่ต่างจากการที่อีกฝ่ายแวะมาหาเจ๋งแล้วเจษเองก็จะได้เจออีกฝ่ายบ่อยๆ 

...ทั้งที่อยากเจอทุกวันแต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะบอกอีกฝ่ายเช่นนั้น

เจษใช้มืออีกข้างบังคับพวงมาลัยรถยนต์ไว้แล้วส่งมืออีกข้างหนึ่งยื่นมาทางกระเป๋าสำหรับใส่น้องแมวที่เจ๋งนั่งตาแป๋วอยู่ 

"พี่เจ๋งจัดการพ่อเลยครับ พ่อผิดไปแล้ว" 

"เหมี๊ยวววว!" เจ๋งส่งเสียงร้องดังออกมาทำเอาที่รักที่กำลังแกล้งทำเป็นไม่พอใจอีกฝ่ายถึงกับหลุดขำออกมา เจษขมวดคิ้วพลางหันไปเหลือบมองคนตัวเล็กที่หัวเราะคิกคักอยู่ข้างกาย 

"หืม คุณขำอะไร?" เจษถาม 

"ก็ขำคุณนั่นแหละ" 

ที่รักนึกขำคนตัวโตซ้ำยังมีรอยสักมากมายทั้งเรียวคิ้วเข้มได้รูปกลับยิ่งทำให้ใบหน้าดูดุดันไปในทีแต่ทว่าความจริงแล้วกลับเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิดและน่ารักอย่างไรอย่างนั้น 

"ผมมีอะไรน่าขำ?" 

"เปล๊าาาา" ที่รักตอบเสียงสูงก่อนจะหันไปคุยกับเจ๋งต่อโดยที่ไม่ได้สนใจเจษเลยแม้แต่น้อย เจษอมยิ้มพลางเอื้อมมืออีกข้างขึ้นไปวางบนกลุ่มผมนุ่มนิ่มสีน้ำตาลอ่อนของที่รักเบาๆ 

ความเงียบสงบโรยตัวขึ้นระหว่างทั้งคู่อีกครั้งมีเพียงเสียงของเพลงที่กำลังเปิดคลอเบาๆ และเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของที่รักที่เต้นรัวราวกับว่าจะหลุดออกมาเสียให้ได้อย่างนั้น 

ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องลูบศีรษะที่รักด้วยนะ...หรือเพราะว่าจะเป็นการตอบแทนที่ที่รักลูบศีรษะให้เขาในคืนวันนั้นหรือเปล่าแล้วทำไมใจต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยเล่าที่รักไม่เข้าใจเลย

 

 

 

 

หลังจากที่ไปส่งเจ๋งที่คลินิกเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อแมวส้มจึงตัดสินใจพาที่รักมาทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นร้านอาหารของครอบครัวของคิมเพื่อนสนิทของเจษ

"คุณอยากกินอะไรก็สั่งได้เลย" 

"โอเค...แต่คุณก็ต้องสั่งของคุณบ้างนะไม่ใช่ตามใจแต่เรา" เจษพยักหน้า 

"..."

"มีอะไรที่คุณไม่ชอบกินมั้ย เราหมายถึงพวกผักที่มีกลิ่นฉุนอะไรแบบนั้นน่ะ" น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยถามเจษที่กำลังนั่งอ่านเมนูอยู่เงียบๆ 

"ผมกินได้ทุกอย่าง" 

"แล้วรสชาติล่ะ คุณกินเผ็ดได้หรือเปล่า?" 

เจษนิ่งไปครู่หนึ่ง...และใช่ เขาเป็นคนทานได้ทุกอย่างก็จริงแต่ยกเว้นอาหารรสจัดที่เจษทานแทบไม่ได้เลยเพราะเจษไม่ทานอาหารที่มีรสจัดต้องแต่เด็กแล้ว 

เจษส่ายหน้าใบมาเบาๆ 

"โอ๊ะ! จริงดิ?" ที่รักกะพริบตาปริบๆ อย่างเหลือเชื่อที่คนคนนี้มีเรื่องชวนให้รู้สึกเซอร์ไพรส์ไปหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน 

"อืม...ผมไม่กินเผ็ดหรืออาหารรสจัดตั้งแต่เด็กแล้ว" 

"แบบนี้นี่เอง" ที่รักพยักหน้ารับ 

"..."

"งั้นเราเปลี่ยนจากทะเลผัดฉ่าเป็นไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้คุณแล้วกันนะ" 

"..." 

"รสชาติหวานๆ มันๆ ดีคิดว่าคุณน่าจะชอบแล้วก็สั่งทุกเมนูแบบไม่เผ็ดก็แล้วกัน เรากินได้" 

คนตัวเล็กตอบก่อนจะเลือกอาหารในเมนูต่อ เจษลอบมองที่รักที่นั่งตรงข้ามเขากลับมีภาพทับซ้อนถ้าหากว่ามีโอกาสมาทานข้าวด้วยกันเช่นนี้บ่อยๆ ก็คงจะดีไม่น้อยเลย

น้ำเสียงเจื้อยแจ้วน่าฟังชวนทำให้เจษรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มที่อีกฝ่ายมักจะยิ้มออกมายังทำให้เจษรู้สึกว่าโลกสีเทาที่หม่นหมองของเขาเริ่มมีแสงสว่างของความสดใสขึ้นมาบ้างราวกับพระอาทิตย์สาดส่องแสงแดดอุ่นๆ มายังต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาและขาดน้ำราวกับมันใกล้จะตายอยู่รอมร่อ

"คุณมาที่นี่บ่อยเหรอ?" คนตัวเล็กถามเจษหลังจากที่ทั้งคู่นั่งรออาหาร

ที่รักนึกสงสัยเนื่องจากตอนที่เจษตัดสินใจเลือกร้านแห่งนี้ดูง่ายเสียเหลือเกินเพราะร้านแห่งนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงและต้องจองก่อนไม่ใช่หรอกและพนักงานต้อนรับก็ดูราวกับว่ารู้จักกันกับเจษมาก่อน

"ก็ไม่ได้ขนาดนั้น ร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนผม" เจษตอบไปตามตรง 

"อ๋ออออ แบบนี้นี่เอง" 

ทั้งคู่นั่งคุยกันระหว่างที่นั่งรออาหารท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นสวนดอกไม้ไทยกลิ่นหอมตามคอนเซ็ปของร้านทั้งยังมีเสียงน้ำตกเทียมไหลกระทบกับโขดหินทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายอย่างมาก ที่รักเองสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นประเภทที่ชวนคุยไม่เก่งจึงทำให้ที่รักเป็นฝ่ายชวนคุยเสียเองเพราะไม่อยากให้เกิดเดธแอร์ระหว่างทั้งคู่บ่อยๆ 

"เราถามได้ปะ...ทำไมคุณถึงมาเปิดสตูดิโอสักอะ?" นี่คงเป็นคำถามที่ที่รักสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วสินะ 

"ผมชอบศิลปะบนร่างกายมนุษย์ หลายคนอาจจะมองว่ามันดูน่ากลัวและยังไม่เป็นที่ยอมรับแต่สำหรับผมการสักคืองานศิลปะอย่างหนึ่ง" 

เจษเล่าถึงความชื่นชอบของตนเมื่อครั้งที่เขาไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยมีเพื่อนในคลาสได้ชักชวนให้ไปร้านสักด้วยกันแห่งหนึ่งในNYC ครั้งนั้นเขาไม่คิดว่าจะได้พบกับช่างสักชาวอเมริกันฝีมือดีที่บรรจงรังสรรค์ลวดลายบนร่างกายมนุษย์ได้สวยงามและน่าหลงใหล ลายเส้นสีดำที่ถูกวาดบนผิวหนังบ้างก็ว่ามันเจ็บแต่ก็คนได้บ้างก็ว่าเจ็บเหมือนใจจะขาด หากแต่ลวดลายที่แสดงออกมานั้นราวกับได้ถ่ายทอดผลงานและสื่อถึงอารมณ์ความหมายที่ลึกซึ้งเฉพาะตัวของทั้งช่างสักและผู้สักจึงทำให้เจษรู้สึกรักและสนใจงานนี้มาก 

"แล้วมันเจ็บมั้ย?" ที่รักเอียงคอถามซึ่งภาพที่เจษเห็นนั้นทำให้ชายหนุ่มแทบอยากรับมือกับความน่ารักน่าเอ็นดูของอีกฝ่ายไม่ไหว 

"เจ็บแต่ก็ทนได้" 

"พูดเหมือนบอมเลยอะ" ที่รักบอกพลันนึกถึงตอนที่ตนถามเพื่อนสนิทเมื่อครั้งก่อน 

"มันก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น บางคนก็ชอบ" 

"ก็คงอย่างนั้นเพราะความชอบของคนเราไม่เหมือนกันนี่นา" 

"..."

"แล้ว...เส้นสีดำที่ข้อมือกับต้นแขนของคุณมีความหมายมั้ย เราได้ยินมาว่ารอยสักทุกรอยมีความหมายของมันหมดเลย" 

ที่รักตัดสินใจถามคำถามนี้ไปเพราะนอกจากรอยสักงูบนท้องแขนของเจษที่ดูสะดุดตาแล้วก็ยังมีรอยสักที่เป็นเส้นสีดำที่ว่านี้ดูเด่นและดึงดูดสายตา 

เจษยิ้มบางๆ ก่อนจะบางขนบนโต๊ะพลางชี้ที่รอยสักที่น้องสงสัย ที่รักพยักหน้าหงึกๆ และดวงตากลมโตราวกับลูกหมาลูกแมวฉายแววเป็นประกายของความอยากรู้ 

"อันนี้เหรอ...เรียกว่าsolid black arm band" 

"มันเหมือนของสุคุนะในJujutsu Kaisenเลย" เจษหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของที่รักราวกับเด็กที่อีกฝ่ายบอกว่ารอยสักของเขาเหมือนกับในอนิเมะที่เจ้าตัวติดตามอยู่ 

"ที่จริงคนสักแบบนี้เยอะเหมือนกัน Tyler Joseph วงTwenty øne piløtsก็สักเหมือนกันนะ" 

"อ่าฮะ...เราเคยฟังๆ แต่ความหมายของมันคืออะไรอะ" 

"มันก็แล้วแต่คนจะนิยาม มันหมายความว่าสัญลักษณ์ของการสูญเสีย การจากลาของคนที่รักหรือการเก็บรักษาความทรงจำนั้นไว้..." 

เจษจ้องมองรอยสักของตนพลางลูบรอยสักนั้นไปมาทำเอาคนที่ฟังอย่างที่รักรู้สึกดูเศร้าไปกับความหมายของมัน 

"แต่นอกจากนั้นมันก็หมายถึงพลังและพละกำลังได้ด้วย" 

"..."

"ของผมก็ตอนสักไม่ได้คิดอะไรเห็นว่ามันเท่ดีก็เลยตัดสินใจสัก" เจษพูดติดตลกทำเอาคนที่กำลังอินกับความหมายของรอยสักเมื่อครู่ยู่หน้าในทันที 

"โหย เราก็อุตส่าห์ตั้งใจฟังสุดท้ายคุณก็บอกแค่มันเท่เนี่ยนะ" ที่รักกลอกตาไปมาในขณะที่เจษหัวเราะเบาๆ 

"ฮ่าๆ " 

"คุณอย่าเอามุกนี้ไปใช้จีบสาวที่ไหนนะอายเขาแย่เลย ดีไม่ดีอาจจะจีบไม่ติดด้วย" ที่รักบ่นอุบอิบ

"ทำไมล่ะ สาวๆ ไม่ชอบคนเท่ๆ กันหรอกเหรอ?"

เจษแกล้งถามคนตัวเล็กกลับทว่าที่รักไหวไหล่เชิงไม่รู้ไม่ชี้ซึ่งเป็นท่าทางที่น่ามันเขี้ยวเอาเสียมากๆ 

"ถ้ามุกนี้ใช้จีบสาวไม่ได้..."

"..."

"แล้วผมจีบคุณได้มั้ย?" 

ที่รักหยุดชะงักไปในทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ความรู้สึกเคอะเขินกลับมาเล่นงานที่รักอีกครั้งจนทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก มือบางยกฝ่ามือทั้งสองของตนขึ้นมาแนบแก้มทว่าทำท่าทางราวกับยกมือขึ้นมาวางเท้าคางไว้ที่โต๊ะ 

คนตัวเล็กรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ผิวแก้มของตน ไม่รู้ว่าตอนนี้จะหน้าแดงหรือเปล่าหากแต่คำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร 

"ที่พูดเมื่อกี้พี่ไม่ได้ล้อเล่นหรือใช้มันเป็นมุกจีบใครหรอกนะ" 

"..."

"ที่รักลองเปิดใจให้พี่จีบเราบ้างได้มั้ย..."

 

ดวงตาคมของเจษจ้องมองใบหน้าของที่รักก่อนที่ทั้งคู่จะเผลอสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตของที่รักสั่นไหวและรู้สึกราวกับว่าโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ

เมื่อที่รักตั้งสติได้สิ้นสุดประโยคของคุณช่างสักทั้งอีกฝ่ายยังเปลี่ยนสรรพนามจากคุณมาเป็นคำว่าพี่แล้วด้วยนั้นกลับยิ่งทำให้ที่รักแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีความเคอะเขินของตนเองในตอนนี้ 

หัวใจดวงน้อยเต้นรัวราวกับมันจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อแต่หารู้ไม่ว่าหัวใจของเจษก็เช่นกัน...

จังหวะการเต้นรัวของหัวใจของชายหนุ่มเต้นราวกับกำลังรัวจังหวะกลองของดนตรีเมทัลร็อกที่ถี่รัวและกระหน่ำอย่างไม่ปรานี 

 

 

 

 

TBC 

#ที่รักของเจษ