7 ตอน ที่รักครั้งที่ 6
โดย chokobo
ที่รักครั้งที่ 6
"นี่ค่ะคุณเจษ" เสียงหวานของเจ้าของร้านดอกไม้เอ่ยพร้อมกับยื่นช่อดอกกุหลาบสีแดงแสนสวยให้ชายหนุ่ม
"ขอบคุณครับ" เจษตอบกลับ
ดวงตาคมสอดส่องมองหาอีกคนพลันทำเอาอ้อมใจถึงกับเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยถามลูกค้าประจำด้วยความสงสัย
"คุณเจษมีอะไรที่ต้องการอีกหรือเปล่าคะ?"
"เปล่าครับ"
"อื้ม...ถ้าต้องการอะไรเพิ่มบอกอ้อมใจได้เลยนะคะ" อ้อมใจยิ้มหวานให้ลูกค้าประจำเช่นเคย
ทุกๆ สัปดาห์เจษจะแวะเข้ามารับดอกไม้ที่สั่งไว้ที่ร้านโดยที่ไม่เคยเปลี่ยนชนิดของดอกไม้เลยสักครั้ง ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมซ้ำๆ ลูกค้าประจำที่มักจะสวมเพียงเสื้อผ้าที่มีแต่สีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า อ้อมใจสังเกตว่าลูกค้าประจำมีรอยสักอยู่ที่แขนมากมายแต่ทว่ามันกลับทำให้ร่างสูงดูดีอย่างเหลือเชื่อ
เจษสารภาพในใจว่าเขามองหาที่รัก...ไม่รู้ว่าวันนี้คนตัวเล็กจะอยู่ที่ร้านหรือเปล่าแต่ทว่ากลับไม่พบแม้แต่เงาของอีกฝ่าย
"ครับ ผมขอตัวนะครับ"
ร่างสูงบอกลาเจ้าของร้านก่อนจะเดินไปยังมอเตอร์ไบก์คันใหญ่คู่ใจซึ่งจุดมุ่งหมายของเจษในเช้านี้ก็คงจะเป็นสถานที่เดิมที่เขาต้องแวะไปเยี่ยมเยือนทุกๆ สัปดาห์
คนที่เจษรักได้เพียงแค่คนเดียวและไม่คิดจะรักใครอีก...
เรียวขายาวสมส่วนตามฉบับของคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบหน้าเซนติเมตรก้าวเดินเข้าบ้านหลังปานกลางที่ตั้งอยู่แถวๆ ชานเมือง
บรรยากาศของที่นี่ยังคงร่มรื่นเช่นเคย สายลมอ่อนๆ พัดมากระทบกับเส้นผมสีดำขลับของชายหนุ่มให้ปลิวไสวไปตามแรงลมทั้งกลิ่นหอมของพุ่มดอกแก้วที่กำลังออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมทั่วบริเวณสวนเล็กๆ ในมือของชายหนุ่มมีเพียงช่อดอกกุหลาบแสนสวยที่เขามักจะนำติดไม้ติดมือมาเสมอ
"สวัสดีค่ะคุณเจษ" เสียงนุ่มนวลของหญิงวัยสามสิบปีเอ่ยทักทาย
"สวัสดีครับ" เจษทักทายกลับด้วยความสุภาพก่อนจะเดินตามหญิงสาวไปยังห้องนอนที่อยู่ในสุดของตัวบ้าน
"ให้พิมช่วยจัดแจกันดอกไม้มั้ยคะ?"
"ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองแค่คุณพิมดูแลคุณแม่ของผมก็พอแล้วครับ"
เจษบอกกับพยาบาลส่วนตัวที่ดูแลคุณแม่ เธอพยักหน้ารับทราบก่อนจะยิ้มแย้มอย่างเช่นเคย ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังเตียงนอนที่มีหญิงสาววัยกลางคนนอนแน่นิ่งอยู่พร้อมกับสายระโยงระยางมากมายที่ต่ออยู่ข้างเตียงนอนของหญิงสาว
"คุณโรสทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วนะคะ วันนี้คุณเจษเข้ามาเร็วกว่าปกติเลย"
"..."
"งั้นพิมขอตัวก่อนนะคะ"
"ครับ"
เจษนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงพลางวางช่อดอกกุหลาบไว้ข้างกาย ชายหนุ่มมองใบหน้าของหญิงสาวที่นอนหลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พยาบาลจะเอ่ยและปล่อยให้เจษอยู่ในห้องนอนแห่งนี้กับหญิงสาวบนเตียงเพียงลำพัง
ใบหน้าที่งดงามและมีรอยยิ้มอยู่เสมอในตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นใบหน้าอิดโรยที่เปลือกตาปิดสนิทพร้อมกับลมหายใจแผ่วเบาที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอดเวลา
เจษมองใบหน้าของผู้เป็นมารดาก่อนจะเอื้อมมือหนาไปกุมที่ฝ่ามือที่ไร้เรี่ยวแรงหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง
"แม่ครับ...ผมมาเยี่ยมแม่แล้วนะครับ" เจษพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพลางลูบหลังมือของคุณแม่อย่างเบามือ
"..." ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใดนอกจากเสียงของเครื่องช่วยหายในและเครื่องจับจังหวะอัตราการเต้นของหัวใจและชีพจร
"ผมมีดอกกุหลาบมาให้แม่เหมือนเดิมเลยนะ"
"..."
"เดี๋ยวผมจัดใส่แจกันให้เอง"
เจษวางมือของคุณแม่ลงก่อนที่จะลุกขึ้นไปจัดช่อดอกกุหลาบจากร้านดอกไม้เจ้าประจำใส่แจกันบริเวณโต๊ะข้างเตียงให้แม่ซึ่งความจริงแล้วการจัดดอกไม้เช่นนี้ไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เกี่ยงหรือกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจกับกิจกรรมที่ต้องทำให้คนสำคัญของเขา
เมื่อจัดดอกกุหลาบสีแดงกลิ่นหอมซึ่งเป็นดอกไม้ที่แม่ชื่นชอบมากที่สุดทั้งยังเป็นชื่อเดียวกับชื่อของแม่อีกด้วย เจษนั่งลงข้างเตียงอีกครั้งแล้วจึงเอื้อมมือค่อยๆ ประคองฝ่ามือของแม่ขึ้นมาพลางแนบใบหน้าลงกับมือนุ่มที่แทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลย
"แม่สบายดีมั้ยครับ...แม่ได้ยินเจษมั้ย"
หากแต่มีเพียงเสียงของเครื่องช่วยหายใจเป็นเสียงตอบรับ ร่างบางของหญิงสาวได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสองปีก่อนจึงทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนอาการโคม่าและเป็นเจ้าหญิงนิทราในที่สุด
ทุกๆ สัปดาห์เจษต้องแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมแม่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีความรู้สึกหรือรับรู้อะไรก็ตามถึงอย่างนั้นเจษก็ยังคงทำเช่นนี้ซ้ำๆ เหมือนกับกิจวัตรประจำวันของเขาและมันก็เป็นความเคยชินไปเสียแล้วและทุกๆ ครั้งเจษมักจะใช้เวลากับแม่โดยการเล่าเรื่องราวของตนในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไรบ้าง
"แม่อยากรู้มั้ยครับว่าสัปดาห์นี้ผมทำอะไรบ้าง"
"..."
"ทุกอย่างเหมือนเดิมแต่ผมอยากเล่าให้แม่ฟังว่าผมเจอคนคนนึง..."
เจษระบายยิ้มจางๆ ที่มุมปากก่อนจะเริ่มเล่าให้ผู้เป็นแม่ที่นอนแน่นิ่งฟัง
"ถ้าผมเล่าให้แม่ฟังแล้วแม่ต้องชอบเขามากแน่ๆ แค่ชื่อก็ทำให้ผมประหลาดใจแล้ว"
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลันคิดถึงใบหน้าของใครบางคนที่เขาตั้งใจจะเจอมาตลอดทั้งสัปดาห์ คนตัวเล็กที่ชอบทำหน้าดื้อรั้นและดูสดใสไปในที ทั้งเสียงเจื้อยแจ้วที่เอาแต่บ่นอุบอิบ ปากบางที่มักจะเคี้ยวมันหวานหนึบทำเอาเจษยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว
"เขาชื่อที่รักครับแม่...ชื่อแปลกใช่มั้ยแต่ผมว่าน่ารักดี เจ้าของชื่อก็น่ารักด้วย"
เจษเริ่มเล่าเรื่องของที่รักให้แม่ฟัง โดยปกติแล้วเจษไม่ใช่คนที่พูดมากหรือยาวเหยียดเลยเว้นก็เสียแต่เวลาที่อยู่กับแม่เพียงลำพัง ชายหนุ่มเล่าไปพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเจอกับคนตัวเล็กครั้งแรกและครั้งล่าสุดทั้งยังเล่าเรื่องของพี่เจ๋งให้แม่ฟัง มือหนายังคงกอบกุมฝ่ามือของแม่ด้วยความอ่อนโยน
หากแต่เมื่อก่อนเจษไม่ใช่คนที่ดูจืดชืดและไร้ชีวิตชีวาราวกับคนไม่มีหัวใจเช่นนี้ทว่าเมื่อแม่ประสบอุบัติเหตุถึงขึ้นโคม่าเป็นเจ้าหญิงนิทราจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่เหลือใคร ความหม่นหมองและความว่างเปล่ากัดกินหัวใจของชายหนุ่มราวกับว่าโลกของเขากลับกลายเป็นสีเทาจนเมื่อพบกับใครบางคนที่ดูสดใสและมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
ชายหนุ่มพูดได้เลยว่าเขาไม่อาจรู้สึกรักใครได้อีกแล้วนอกเสียจากแม่ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขารักหากทว่าที่รักกลับทำให้หัวใจที่หม่นหมองกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง
"แม่คิดว่ายังไงครับ..." ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาว
"..."
"ที่รักน่ารักใช่มั้ยครับ...ผมก็คิดแบบนั้น"
พูดจบเจษเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าล่วงเลยมากว่าชั่วโมงแล้วและควรจะปล่อยให้แม่ได้นอนพักผ่อนต่อ ถึงแม้ว่าแม่จะนอนมามากพอแล้วแต่ก็ไม่ได้อยากรบกวนเลยเสียสักนิดแค่ได้มาหาทุกๆ สัปดาห์ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวที่ดีของเจษแล้ว
"เจษรักแม่นะครับ หายดีไวๆ นะครับแม่" เจษก้มลงจุมพิตที่หลังมือของแม่ก่อนจะค่อยๆ วางมือลงแล้วบอกลาผู้หญิงที่เขารักที่สุด
เมื่อเจษเดินออกมาจากห้องนอนของแม่ชายหนุ่มจึงแวะเข้าไปพูดคุยกับพยาบาลส่วนตัวก่อนครู่หนึ่งเพื่อถามไถ่อาการของแม่
ทั้งๆ ที่รู้ว่าแม่ไม่มีทางหายจากอาการนี้แต่ก็ยังหวังลึกๆ ว่าพอจะรู้สึกตัวและรับรู้บ้างก็ยังดี...
"แม่ไม่ขยับตัวหรือมีปฏิกิริยาตอบโต้เลยใช่มั้ยครับ?" ชายหนุ่มเอ่ยถาม
"เท่าที่พิมดูแลก็เหมือนเดิมนะคะ คุณหมอจะเข้ามาตรวจอาการของคุณโรสอีกครั้งเดือนหน้าค่ะ"
"ขอบคุณครับ" เจษตอบ
"เอ่อ...คุณเจษคะ วันก่อนคุณเจตนิพัทธ์มาเยี่ยมคุณโรสด้วยค่ะ" พยาบาลสาวบอกทว่าสีหน้าของชายหนุ่มกลับแสดงสีหน้าเรียบนิ่งและเงียบไปครู่หนึ่ง
"เขามาด้วยเหรอครับ?" เจษเอ่ยถามถึงผู้เป็นบิดาที่เขาแทบจะไม่อยากเอ่ยถึงเลยเสียด้วยซ้ำ
"ใช่ค่ะแต่เข้ามาหาคุณโรสไม่นาน" ร่างสูงพยักหน้าเชิงรับรู้ก่อนจะขอตัวลาพยาบาล
คนตัวเล็กนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยล้าสารภาพว่าไม่เคยเจองานที่เรื่องมากเท่านี้มาก่อนเลยแต่ทว่ามันก็คุ้มค่ากับเงินที่ได้มาอยู่ไม่น้อย
ร่างบางยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็คข่าวสารต่างๆ และกดเข้าไปในอินสตาแกรมที่ปรากฏสตอรี่ของเพื่อนสนิทที่อวดรอยสักใหม่ลงในพื้นที่ของตนพลางแท็กชื่อแอคเคาท์ของร้านสักและแอคเคาท์ของช่างสัก
นิ้วเรียวกดลงบนรายชื่อแอคเคาท์ของร้านสักและแน่นอนว่ามันเป็นร้านของช่างเจษ ดวงตากลมโตจ้องมองรูปต่างๆ ในแอคเคาท์ของร้านก็พบว่ามีแต่รูปของผลงานสักเสียส่วนใหญ่ก่อนจะกดดูยังแอคเคาท์ส่วนตัวของช่างสักที่มีผู้ติดตามถึงหลายพันคนแต่ทว่ากลับมีรูปภาพที่ลงเพียงไม่กี่รูป และเกือบจะทุกรูปแทบจะไม่มีรูปของช่างเจษเลย
รูปที่อยู่ในอินสตาแกรมของเจ้าตัวเป็นอาคารสิ่งปลูกสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมเจ๋งๆ เสียมากกว่า ที่รักขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะนึกในใจ
...คนอะไรมีแต่รูปตึกแทบไม่มีรูปตัวเองเลยและภาพทุกภาพล้วนแต่เป็นโทนขาวดำไปหมด
ที่รักไหวไหล่ก่อนจะกดออกจากอินสตาแกรมและไม่ได้กดติดตามเจษแต่อย่างใดและเพราะไม่รู้ว่าเหตุใดถึงอยากรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายด้วยเล่า
หากแต่คำพูดของอีกฝ่ายยังคงคอยรบกวนจิตใจและชวนให้หัวใจของที่รักว้าวุ่นไปเสียอย่างนั้นจึงเกิดการตั้งคำถามมากมายในสมองของที่รักจนได้
เพราะเหตุใดทำไมเจษถึงอยากสนิทกับตนด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
"ไม่มีเพื่อนหรือไงทำไมต้องอยากสนิทกับเราด้วยเนี่ย" ที่รักบ่นอุบอิบกับตัวเอง
ดวงตากลมโตเหลือบมองหน้าจอที่กำลังบอกเวลาว่าในตอนนี้คือเวลาราวๆ เที่ยงคืนแล้วจะว่าง่วงนอนก็ไม่ใช่แต่เหนื่อยจนแทบหมดแรงกับโปรเจคล่าสุดที่เพิ่งเสร็จไป
หิวจัง...แต่ก็ดึกมากแล้วด้วย
ไม่นานนักเสียงสมาร์ทโฟนส่งสัญญาณจากการได้รับข้อความในแอปพลิเคชันสีเขียวตามเดิม ที่รักขมวดคิ้วเล็กน้อยพลันสงสัยว่าใครกันที่ส่งข้อความมาดึกดื่นเช่นนี้
ที่รักคว้าสมาร์ทโฟนมาเปิดดูอีกครั้งก่อนจะพบว่าเป็นข้อความจากช่างสักนี่เอง...
Jade : นอนยัง?
คนตัวเล็กยู่หน้าด้วยความไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงทักกันมาดึกขนาดนี้แต่ทว่ามือกลับกดตอบกลับไปในทันที
Jade
นอนยัง?
นอนแล้ว
sent a sticker!
เจษหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายส่งสติกเกอร์กวนๆ เป็นการตอบกลับ
babe ♡
นอนแล้วตอบได้ไง
แมวพิมพ์!
ที่บ้านมีแมวด้วยเหรอ?
ผมขอดูหน่อยได้มั้ยว่าน่ารักสู้พี่เจ๋งได้หรือเปล่า
เจษแกล้งน้องกลับบ้างทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเงียบและปรากฏว่าอ่านแล้วหากแต่ไม่ได้ตอบกลับมาแต่อย่างใด และไม่นานนักชายหนุ่มจึงได้รับข้อความตอบกลับ
ที่รักเปลี่ยนเรื่องในทันที รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะกวนแต่ก็คงไปโทษใครไม่ได้เพราะตนก็เป็นฝ่ายกวนและแกล้งเขาก่อน
Jade
แล้วคุณยังไม่นอนอีกเหรอ?
นอนไม่หลับ
นับแกะสิ
ลองนับแกะกระโดดข้ามรั้วมันได้ผลนะ
คุณช่วยผมนับหน่อยสิ
ผมไม่เก่งคณิตศาสตร์
เมื่อเห็นข้อความจากอีกฝ่ายที่รักถึงกับยู่หน้าอีกครั้งและนั่นหมายความว่ายังไงกันแน่...อีกฝ่ายจงใจจะแกล้งกันหรือเปล่า
เจษหัวเราะพลางรอคอยคำตอบจากคนตัวเล็กซึ่งความจริงแล้วเขาเพียงแค่หาเรื่องคุยกับที่รักก็เท่านั้น
แค่อยากได้ยินเสียงและอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะหลับไปหรือยังก็เท่านั้น
Jade : ผมโทรหาได้มั้ยแล้วคุณช่วยผมนับแกะ
ที่รักนิ่งไปครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดว่าที่อีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นนี้หมายความว่าเขาอยากคุยกับที่รักใช่หรือไม่...หากแต่สมองกลับสั่งการให้ที่รักตอบตกลงไปอย่างว่าง่ายและไม่นานอีกฝ่ายจึงโทรมาหา
[ทำไมถึงยังไม่นอน?] เสียงทุ้มเอ่ยถามในขณะที่ที่รักกำลังเดินลงมาจากห้องนอนและมาหาอะไรทานที่ห้องครัว
...ทำงานจนลืมทานข้าวตามเคย
"เราเพิ่งทำงานเสร็จน่ะ กำลังคิดว่าจะไปร้านสะดวกซื้อ" ที่รักตอบตามตรง
[เวลานี้เหรอ?] เจษถาม
"อื้อ เราหิวมากเลยอะ"
[ไปคนเดียว?]
"อ่าฮะ...ที่จริงมันก็ไม่ได้อยู่ไกลกันเท่าไหร่นะ เยื้องๆ กันนี่เอง"
ที่รักไม่รอฟังอีกฝ่ายตอบเพราะในเวลานี้ตนรู้สึกหิวจนทนไม่ไหวแล้วจึงหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วเดินออกมาจากบ้านทันที แต่โชคดีที่แถบนี้ดูปลอดภัยและมีผู้คนสัญจรไปมาแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ซ้ำแล้วร้านสะดวกซื้อที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากร้านของอ้อมใจเท่าไหร่นัก
คนตัวเล็กมองซ้ายขวาก่อนจะเดินบนทางเท้าพลางยังถือสายกับบุคคลในปลายสายอยู่แต่ถึงแม้ว่าในซอยมีผู้คนสัญจรไปมาก็ยังทำให้ที่รักรู้สึกวังเวงในใจอยู่ดี
"คุณ..."
[ครับ?] เจษที่ยังอยู่ในสายตอบรับ
"อย่าเพิ่งวางจนกว่าเราจะซื้อของเสร็จได้เปล่า" ที่รักตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วราวกับว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนนั้นกลัวผี
[...]
"ถือว่าอยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อน"
เจษแอบหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงเชิงออดอ้อนของอีกฝ่าย ใช่ว่าที่รักจะกลัวผีหรอกนะ...ชายหนุ่มเองก็ตอบตกลงไปเพราะความจริงเขาเองก็อยากคุยกับอีกฝ่ายไม่แพ้กัน
ทว่าความคิดหนึ่งกลับดังกึกก้องอยู่ในใจของชายหนุ่มหรืออาจจะเพราะว่าดึกมากแล้วจึงรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายขึ้นมา
[ได้...หรือว่าคุณจะให้ผมไปเป็นเพื่อนดีล่ะ]
"หืม...ล้อเล่นเหรอ?"
[เปล่า ความจริงผมก็หิวเหมือนกัน]
อ่า...เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลยนะเจษฎา
[แล้วผมเองก็นอนไม่หลับด้วยน่ะถือโอกาสไปขับรถเล่นด้วยก็แล้วกัน]
เจษตอบกลับทันควัน ชายหนุ่มอยากจะทึ้งศีรษะของตัวเองกับผนังกำแพงให้มันรู้แล้วรู้รอด เพราะเหตุใดทำไมถึงต้องหาข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยทั้งที่ความจริงแล้วกลับอยากเจออีกฝ่ายเสียอย่างนั้น
"แต่คุณจะขับรถมาเวลานี้เหรอ มันดึกมากแล้วนะอีกอย่างบ้านคุณก็..." ทว่าที่รักที่ยังพูดไม่จบประโยคเจษกลับตอบขึ้นในทันที
[ไม่ได้ไกลกันขนาดนั้นแล้วผมก็ไม่ได้ลำบากอะไรด้วย]
ที่รักพรูลมหายใจเบาๆ เพราะไม่อยากจะเถียงอีกฝ่ายให้มากความนักและอีกอย่างถ้าเขาอยากจะมาก็คงห้ามอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
"อื้อ งั้นก็ตามใจแล้วกัน"
[ขอเวลายี่สิบนาที]
"โอเค"
ที่รักตอบกลับไปพลางเดินเข้าไปยังในร้านสะดวกซื้อที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ว่าแต่โชคดีที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้มีโต๊ะสำหรับนั่งทานไว้อีกด้วย
ผ่านไปกระทั่งไม่ถึงยี่สิบนาทีเสียด้วยซ้ำซูเปอร์ไบก์คันใหญ่จอดอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อพร้อมกับร่างสูงที่อยู่ในเสื้อยืดสีดำและกางเกงวอร์มสีเทา ขายาวสมส่วนก้าวเข้ามาในร้านสะดวกซื้อพร้อมกับเห็นคนตัวเล็กที่กำลังจ่ายเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์
ที่รักชี้นิ้วเป็นสัญลักษณ์เชิงบอกให้เจษไปนั่งรอที่โต๊ะภายในร้านสะดวกซื้อ ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วทำตามอย่างว่าง่ายและไม่นานที่รักเดินมาพร้อมกับอาหารสำเร็จรูปและขนมหวานมากมายจนล้นมือ
คนตัวเล็กอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวธรรมดาและกางเกงขาสั้นพร้อมกับสวมรองเท้าแตะ ใบหน้าจิ้มลิ้มดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดซ้ำแล้วขอบตายังดูคล้ำอีกด้วย
"คุณมาเร็วจัง" ที่รักทักทายเจษก่อนจะนั่งลงข้างกายของชายหนุ่ม
"มันก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่"
"คุณอยากกินอะไรมั้ยเดี๋ยวเราเลี้ยง" ที่รักยิ้มหวานพลันทำเอาหัวใจของเจษเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในสภาพที่ดูเหนื่อยล้าและอิดโรยแค่ไหน หากแต่ในยามที่ยิ้มกว้างกลับทำให้เจ้าตัวราวกับมีออร่าความสดใสฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวและส่งผลถึงคนรอบข้าง
"ขอบคุณครับแต่ไม่เป็นไร" เจษตอบพร้อมกับเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่กำลังเปิดกล่องอาหารสำเร็จรูป ชายหนุ่มพบว่าน้องซื้อราเมนแบบสำเร็จรูปมาทาน
ควันจากไอร้อนของราเมนลอยฟุ้งพร้อมกับกลิ่นหอมของน้ำซุปในถ้วย ที่รักตาวาวก่อนจะหักตะเกียบที่ทางร้านแถมมาให้
"จะกินแล้วนะคร้าบบบ" ที่รักพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างกับในอนิเมะอย่างไรอย่างนั้นก่อนจะลงมือจัดการราเมนสำเร็จรูปในถ้วย เจษมองน้องก่อนจะแอบอมยิ้มกับตนเอง
น่ารักทุกการกระทำจริงๆ
ที่รักรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองอิ่มแปล้จนพุงกลางไปเสียแล้ว ก็จะไม่ให้อิ่มได้อย่างไรเล่าในเมื่อเจ้าตัวทานทั้งราเมนหนึ่งชามและขนมขบเคี้ยวกับไอศกรีมไปอีกไม่น้อยเลย
คนตัวเล็กฟุ้บใบหน้าลงพร้อมกับแก้มนุ่มที่ย้วยน่าบีบแนบไปโต๊ะที่เพิ่งเช็ดทำความสะอาดเมื่อครู่
"อิ่มเหมือนท้องจะแตก" เรียวปากเล็กๆ บ่นอุบอิบพลางเหลือบมองคนตัวสูงข้างกายที่นั่งมองกันอยู่ไม่ห่าง
"..."
"คุณไม่กินอะไรจริงดิ?" ที่รักถาม เจษส่ายหน้าไปมา
"แค่เห็นคุณกินอิ่มก็พอแล้ว"
ที่รักหมุ่นคิ้วกับคำตอบของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจเพราะเหตุใดทำไมช่างสักถึงต้องตอบแบบนั้นด้วย
คำตอบเหมือนคนคลั่งรักชะมัด
"..."
"คุณได้นอนบ้างหรือเปล่า?" เจษก้มลงมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ใต้ตาคล้ำอย่างเห็นได้ชัดของอีกฝ่าย ที่รักหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา
"แต่เสร็จโปรเจคแล้วล่ะ ต่อไปก็นอนยาวเลย"
"หักโหม?"
"มันติดเป็นนิสัยอะแต่เราไม่ได้ดองงานแล้วมาเผางานใกล้วันเดตไลน์นะ"
ที่รักอธิบายไปพลางแนบแก้มกับโต๊ะอยู่อย่างนั้นทั้งเจษเองก็ยังคงไม่ละสายตาจากที่รักเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศภายในร้านสะดวกซื้อเงียบสงบมีเพียงเสียงของประตูอัตโนมัติที่เปิดปิดเมื่อยามมีคนแวะเวียนเข้ามา
"อืม เข้าใจ"
"แล้วคุณล่ะ...มีเรื่องอะไรที่ทำให้นอนไม่หลับหรือเปล่า?" เสียงหวานเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา ที่รักเองก็ไม่ลืมที่จะถามอีกฝ่ายว่าเพราะอะไรถึงนอนไม่หลับกันนะ
นัยน์ตาสีนิลจ้องมองคนตัวเล็กที่กำลังสบตาเช่นกัน เจษยกยิ้มมุมปากพลันคิดในใจว่าการที่เขานอนไม่หลับก็คงจะเป็นเพราะมัวแต่นึกถึงคนตรงหน้ามากเกินไปหรือเปล่า ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเพิ่งพบกันไม่นานแต่ทว่าในใจของชายหนุ่มกลับว้าวุ่นและไม่นิ่งเอาเสียเลย วันใดที่ไม่ได้เจอกลับร้อนใจอยากพบหน้าหรือเพียงแค่พูดคุยกับอีกฝ่ายสักเล็กน้อยก็ยังดี
"ผมนับแกะไม่เก่ง"
ทว่าคำตอบของเจษกลับทำให้ที่รักถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งคำตอบฟังดูน่ารักดีไม่หยอก
"อ่าฮะ เรารู้แล้วคุณเพิ่งบอกเมื่อก่อนหน้านี้"
"..."
"เราช่วยนับแกะได้นะแต่คุณจะหลับในนี้หรือเปล่าล่ะ" ที่รักยังคงจ้องมองนัยน์ตาคมคู่นั้นของเจษอยู่ไม่ห่างเช่นกัน
ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เจษจะโน้มใบหน้าลงให้อยู่ในระดับเดียวกับที่รักโดยการแนบผิวแก้มกับโต๊ะพลางหันหน้ามาจ้องมองกันและกัน ความเหนื่อยล้าและความหนักอึ้งของวันนี้กลับค่อยๆ จางหายไปเมื่อเจษจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้า เขาสารภาพว่าคิดถึงเรื่องอาการของแม่ที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสรู้สึกตัวบ้างไหมหรือว่าแม่จะต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ รู้ทั้งรู้ว่าอาการของแม่ไม่มีวันหายดีแต่ก็ยังคงหวังอยู่เสมอว่าวันหนึ่งแม่จะรู้สึกบ้างก็ยังดี
ที่รักจ้องมองแววตาของเจษที่บ่งบอกถึงความหม่นหมองและความว่างเปล่าราวกับมีพายุลูกใหญ่ที่คอยโหมกระหน่ำเอาความมืดมนมาสู่เจ้าของนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น ที่รักมองลึกจนไม่อาจเดาว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องมากมายให้คิดหรือเปล่า
"คุณไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า...เล่าให้ฟังได้นะถ้าอยากเล่า เราสัญญาว่าจะเป็นผู้ฟังที่ดี"
ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายกลับทำให้เจษกะพริบตาอย่างเชื่องช้าก่อนจะปิดเปลือกตาลง ที่รักไม่ได้ถามอะไรต่ออาจจะเป็นเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอยากอยู่เงียบๆ เสียมากกว่าที่รักจึงให้ความเงียบสงบระหว่างทั้งคู่ทำงานตามกลไกของมัน ที่รักจ้องมองคนที่หลับตาอยู่ตรงหน้าพลางลอบมองแพขนตาและใบหน้าคมสันของอีกฝ่าย
เขามีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่านะ...
มือบางที่วางอยู่นิ่งเมื่อครู่เอื้อมขึ้นมาลูบที่เส้นผมสีดำขลับทรงundercutของชายหนุ่มอย่างอัตโนมัติ ที่รักค่อยๆ ลูบกลุ่มผมสั้นของเจษอย่างเบามือและเชื่องช้า ที่รักไม่รู้ว่าเจษมีเรื่องหนักใจหรือไม่หากแต่รู้เพียงว่าอีกฝ่ายต้องการคนปลอบประโลมอย่างเห็นได้ชัด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่ใจเจ้ากรรมกลับสั่งให้ที่รักลูบกลุ่มผมของเจษอยู่อย่างนั้น
"เราจะไม่ถามแต่ถ้าคุณพร้อมจะเล่าเมื่อไหร่ เราก็พร้อมจะเป็นผู้ฟังที่ดีได้นะคุณเจษ..."
พูดจบที่รักหยุดชะงักมือเล็กน้อยเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้นไปหาเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้กับเจษหากแต่อีกฝ่ายกลับพูดแทรกขึ้นในขณะที่ยังคงปิดเปลือกตาอยู่
"อยู่แบบนี้ก่อน..." เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบา
"..."
"ลูบหัวต่อได้มั้ย..."
ที่รักชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือกลับไปลูบกลุ่มผมให้เจษเช่นเคย ความเงียบสงบและสัมผัสอบอุ่นที่แสนอ่อนโยนส่งผ่านฝ่ามือเล็กๆ ของที่รักพลันทำให้ความขุ่นมัวและความวุ่นวายของเจษค่อยๆ สงบลง
การที่มีคนคอยลูบหัวและปลอบประโลมมันดีอย่างนี้หรอกหรือ...เจษชักจะอยากมีคนคอยปลอบประโลมเช่นนี้เสียแล้วสิ
TBC
#ที่รักของเจษ
Comments (0)