ที่รักครั้งที่ 4 

 

 

ที่รักไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับเวลานั้นหยุดและค่อยๆ ขยับจนทำให้วันนี้ทั้งวันดูยาวนานกว่าทุกๆ วันซ้ำแล้วสายฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตจ้องมองหน้าจอlaptopเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางงานลงและในตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว ที่รักเหลือบมองคนตัวสูงหน้าดุที่นั่งก้มหน้าก้มตาจ้องมองไอแพดของเขาอยู่ 

เจษนั่งอยู่เป็นเพื่อนที่รักตั้งนานแล้วและไม่ยอมลุกไปไหนเลยแต่อาจจะเพราะฝนตกแล้วยังกลับไม่ได้ก็ได้มั้ง...

 

"คุณ..." ที่รักเรียกคนตัวสูงที่ตวัดปลายปากกาลงบนจอไอแพดหยุกหยิกทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับ

"..."

"เฮ้อ ได้ยินที่เราเรียกมั้ยเนี่ย" 

"..."

"หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณติดต่อใหม่อีกครั้ง ตู๊ด...ตู๊ด..." 

ที่รักงึมงำคนเดียวขณะเรียกเจษแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากอีกฝ่ายจึงหันกลับไปเก็บของต่อ เจษเหลือบมองคนตัวเล็กพลางนึกขำในใจที่ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนเด็กเล็กมากจนอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ 

ที่เขาทำเป็นไม่สนใจเพียงเพราะอยากลองเชิงว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไร จะทำหน้ายู่บู้บี้หรือเปล่าหากแต่กลับทำตัวน่ารักเกินกว่าจะรับมือไหว 

เจษเก็บไอแพดที่เขาเพิ่งนั่งออกแบบลายสักให้ลูกค้าแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ลงในกระเป๋าของตนก่อนจะเอ่ยชวนคนตัวเล็กที่กำลังใช้ทิชชูเช็ดโต๊ะอยู่

"หิวหรือยัง?" เสียงทุ้มเอ่ยถาม ที่รักหยุดชะงักแล้วขมวดคิ้วในทันที

"เราเพิ่งกินแซนวิชกับมัฟฟินที่คุณซื้อให้เมื่อกี้เองนะ" ที่รักยู่หน้า 

"ไปกินข้าวเย็นกัน" 

"ห้ะ?" 

ที่รักตาโตเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นและนั่นหมายความว่าเขากำลังชวนที่รักไปทานข้าวด้วยกันอย่างนั้นหรือ...

 

"..."

"แต่เรายังไม่หิวเลย" ที่รักบอกแต่ยังไงเสียกลับลุกขึ้นตามคนตัวสูงอย่างว่าง่าย 

ก็จะไม่ให้ลุกเดินตามได้อย่างไรเล่าในเมื่อคนตัวสูงหน้าดุในตอนนี้กำลังจูงมือที่รักอยู่ ฝ่ามือใหญ่จับข้อมือน้องอย่างเบามือพลางเดินนำน้องไป 

...ไม่ได้ฉวยโอกาสหรือล่วงเกินอีกฝ่ายเพียงแต่เพราะเหตุใดไม่รู้เจษถึงรู้สึกอยากอยู่กับอีกฝ่ายต่อ 

จะเรียกว่ารั้งหรือถ่วงเวลาก็ได้เขาไม่เถียงเลย...

 

"คุณอยากกินอะไร?" เจษหันไปถามน้องที่ยังคงทำหน้ายู่อย่างไม่พอ

"ปล่อยเราก่อนซิแล้วจะบอก" ที่รักพูดพลางค่อยๆ แกะฝ่ามือใหญ่ของอีกคนที่กำลังจับข้อมือของตนอยู่

ซึ่งความจริงมันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรแต่ก็ยังรู้สึกตกใจที่อยู่ๆ ก็มีคนมาจับแบบนี้นี่นาและแล้วมันก็ได้ผลอย่างที่ว่า...เจษปล่อยมือที่รักก่อนจะใช้สายตาคมจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ดูดื้อรั้นนั่นด้วยท่าทางนิ่งขรึม 

"..." 

ที่รักถอนหายใจเบาๆ 

"เราอยากไปร้านหนังสือก่อน" 

"อืม ได้สิ" คนตัวสูงบอกแต่ก็ยังทำหน้านิ่งๆ อยู่เช่นนั้นและที่ที่รักพูดเช่นนั้นเพราะการไปเลือกมังงะนั้นคือสิ่งที่น่าเบื่อและไม่มีใครอยากไปกับที่รักเป็นที่สุด แม้แต่บอมเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของที่รักยังแทบจะไม่อยากมาด้วยเลยแม้แต่น้อย ที่รักหรี่ตาเล็กน้อยพลันคิดแผนการในสมองอันชาญฉลาดของตนเอง

อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าไปเลือกมังงะนานๆ แล้วเขาจะยังอยากไปทานข้าวด้วยกันอยู่มั้ย...

 

"โอเค๊...ง่ายแบบนี้เลยนะ" 

"มีอะไรที่ยากกว่านี้ด้วยเหรอครับ?" เจษจ้องมองน้องครู่หนึ่งก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายรีบเบือนหน้าหนีทันทีราวกับว่ากำลังหลบสายตาของเขา

ที่รักเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางกลบเกลื่อนความเคอะเขินที่อีกฝ่ายส่งสายตามองกันเช่นนั้นก่อนจะเดินนำและมุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือการ์ตูนประจำที่ตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า

ร้านหนังสือการ์ตูนที่ว่าตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าภายในร้านไม่ได้ดูกว้างขวางเลยมันทั้งเล็กและแคบที่สำคัญเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นมากมายจนเจษรู้สึกหวั่นใจว่าเขาจะสามารถเข้าไปภายในร้านด้วยได้หรือเปล่า คนตัวเล็กเดินเข้าไปในร้านพลางทักทายเจ้าของร้านด้วยความคุ้นเคยแล้วจึงหันกลับมามองเจษอยู่ครู่หนึ่ง 

"คุณจะไม่เข้ามาเหรอ?" 

"..."

"รอนานนะ" เสียงเจื้อยแจ้วปนเจ้าเล่ห์ของคนตัวเล็กเอ่ยพลันทำให้เจษต้องตัดสินใจเดินตามแผ่นหลังบางของอีกฝ่าย

ภายในร้านเล็กและแคบอย่างที่เจษคิดไว้ไม่มีผิดจึงทำให้คนตัวสูงอย่างเจษรู้สึกลำบากในการขยับตัวอยู่ไม่น้อย ต่างจากอีกคนที่กำลังดูผ่อนคลายและทำตัวราวกับที่นี่คือบ้านอีกหลังอย่างไรอย่างนั้น กลิ่นของหนังสือชวนให้รู้สึกนึกถึงชีวิตวัยมัธยมอยู่ไม่น้อยเลยและร้านก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าวอย่างที่คิด ถึงมันจะเล็กและแคบก็เถอะ 

"เราชอบร้านหนังสือมากๆ" เสียงเล็กๆ ของคนตัวเล็กพูดขึ้นเบาๆ พลางกวาดสายตาบนชั้นหนังสือ

เจษไม่ได้ตอบโต้หรือถามน้องกลับแต่ก็ยินดีรับฟังเรื่องราวของน้องที่กำลังเจื้อยแจ้ว 

"เข้ามาแล้วไม่อยากออกไปเลย...บอมชอบบอกว่าร้านมังงะเหมือนเขาวงกต" ที่รักหัวเราะจนดวงตากลมโตนั้นเล็กลงจนแทบจะเป็นสระอิ 

"ก็คิดว่าแบบนั้น" เจษตอบน้องทว่าสายตากลับไม่ละจากใบหน้าของที่รักเลยแม้แต่น้อย 

ทั้งคู่ไม่ได้สร้างบทสนทนากันอีกจึงปล่อยให้ความเงียบโรยตัวและทำงานของมัน ที่รักรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ปกติแล้วมักจะมาร้านหนังสือเพียงคนเดียวแต่วันนี้กลับมีคนตัวสูงมาด้วยกันมันก็คงแปลกและไม่ชินตามประสา 

"คุณเคยอ่านมังงะบ้างหรือเปล่า?" ที่รักตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไป 

"ตอนเรียนมัธยมก็อ่าน" คนตัวสูงตอบ 

"จริงดิ? แล้วอ่านเรื่องอะไรอะ" ปากก็ถามอีกฝ่ายไปทว่าดวงตากลมโตกับจับจ้องและโฟกัสแค่ชั้นหนังสือสือเพียงเท่านั้น 

"ดราก้อนบอล" เจษตอบ 

...และใช่ เจษคือแฟนคลับตัวยงของดราก้อนบอลเลยทีเดียวแต่ด้วยความนิยมในสมัยนี้และเมื่อก่อนนั้นต่างกันมากพอสมควรอีกทั้งเนื้อเรื่องก็จบไปแล้วด้วยปัจจุบันจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมเสียเท่าไหร่

"เฮ้ย...ตำนานเลยนะนั่น" 

"ใช่ ถ้าตอนนี้ไปคุยกับเด็กก็คงโดนเรียกลุง" 

ที่รักหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น รู้สึกแปลกใจอีกเพราะที่รักไม่คิดว่าคนอย่างเจษจะเป็นแฟนคลับตัวยงของดราก้อนบอล

เขามีเรื่องที่ชวนคาดไม่ถึงเป็นเรื่องที่เท่าไหร่แล้วนะ...

 

"แล้วเราเรียกคุณว่าลุงได้ปะ?" ที่รักพูดกับเจษด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกเย้าซึ่งนั่นทำให้อีกฝ่ายดูซุกซนไม่น้อยเลยทีเดียว 

"แด๊ดดี้?" เจษเองก็นึกอยากแกล้งคนตัวเล็กคืนบ้าง 

"..."

"ได้สิ ถ้าอยากเรียกว่าแด๊ดี้ก็ได้ ผมจะเรียกคุณด้วยคำว่าหนูเอง" 

ฮุก! เหมือนโดนหมัดหนักๆ ชกเข้าที่ใต้เข็มขัดของที่รักอย่างไรอย่างนั้นจนรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกเลยทีเดียวทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อยเพียงแค่คำพูดคำจาเชิงหยอกล้อเช่นนั้นกลับทำให้ที่รักรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก 

เป็นพวกพูดน้อยต่อยหนักนี่หว่า...

 

ที่รักไม่ตอบอะไรอีกฝ่ายพลางรีบเดินหนีไปยังโซนมังงะเรื่องอื่นส่วนเจษค่อยๆ เดินตามคนตัวเล็กเพราะเกรงว่าจะไปชนหนังสือล้มเอาได้และเพราะภายในร้านเล็กและคับแคบเจษจึงค่อยๆ แทรกตัวอยู่ระหว่างร่างบางที่กำลังเอื้อมมือหวังจะหยิบมังงะเล่มล่าสุดจากชั้นบนสุด 

"ผมหยิบให้..." พูดจบเจษขยับแทรกตัวแล้วเอื้อมมือหยิบหนังสือให้ที่รักได้อย่างง่ายดาย 

"..."

"เล่มนี้ถูกมั้ย?" 

"อื้อ" ที่รักตอบเบาๆ ทว่าในตอนนี้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากเสียเหลือเกิน ที่รักแทบหายใจไม่ทั่วปอดทั้งจังหวะการเต้นของหัวใจยังไม่สามารถบอกได้ว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ กลิ่นกายหอมสะอาดในแบบของน้ำหอมผู้ชายหอมเคล้ากับกลิ่นที่ชวนผ่อนคลายของร้านหนังสือ ที่รักเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจขยับตัวแล้วเดินไปทางอื่น 

 

ที่รักใช้เวลาเร็วกว่าการเข้าร้านหนังสือปกติเพียงเพราะเกรงว่าคนตัวสูงที่มาด้วยจะรู้สึกอึดอัดจากเหตุการณ์เมื่อครู่หรือไม่ก็อีกฝ่ายตัวสูงและตัวใหญ่เกินกว่าที่จะยืนอยู่ภายในร้านได้หลายชั่วโมง คนตัวเล็กยืนจ่ายเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์พร้อมกับสนทนากับเจ้าของร้านอย่างสนิทสนม 

"ทำไมวันนี้อยู่ไม่นานเลย" เจ้าของร้านชายวัยสามสิบต้นๆ เอ่ยถาม

"..."

"มากับแฟนเหรอ?" 

"ปะ...เปล่าครับพี่ตั้ม ไม่ใช่แฟนนะ" ที่รักรีบแก้ตัวในทันทีที่ถูกเจ้าของร้านหนังสือการ์ตูนเอ่ยถาม ซึ่งนั่นเป็นคำถามที่ชวนรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอยู่ไม่น้อยเลย 

"อ้าว พี่ก็นึกว่าแฟนน้องที่รักเห็นเดินตามกันไม่ห่างเลย" เจ้าของร้านหนังสือว่าเช่นนั้นก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนรอลูกค้าประจำอย่างที่รักอยู่หน้าร้าน 

"ไม่ใช่ครับ คนรู้จักเฉยๆ" 

"พี่ก็ว่าจะแซ็วว่าแฟนหล่อนะเรา" 

ที่รักเงียบไปครู่หนึ่งเพราะรู้สึกถึงความร้อนที่ผิวแก้มของตนเองจึงค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นมาลูบผิวแก้มตนเองเบาๆ 

"ที่รักไปก่อนนะครับ หิวข้าวไม่ไหวแล้วแต่ถ้าเล่มใหม่มาเมื่อไหร่อย่าลืมทักมาบอกนะครับพี่ตั้ม"

คนตัวเล็กบอกเจ้าของร้านก่อนจะเดินมาหาเจษที่ยืนรออยู่หน้าร้าน คนที่ตัวสูงกว่ายืนนิ่งพลางเหลือบมองที่รักที่เพิ่งมายืนอยู่ข้างๆ ได้ไม่นาน ทั้งคู่ได้พูดอะไรกันมากนักมีก็แต่ความเงียบระหว่างทั้งสองและเสียงของผู้คนรอบกาย 

"เสร็จแล้วเหรอ?" เจษเป็นฝ่ายถามก่อน 

"อืม แล้ว...คุณอยากกินอะไร" 

"อะไรก็ได้" ที่รักขมวดคิ้วพลางยู่หน้าทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายตอบ ไหนว่าชวนมากินข้าวไงแต่ทำไมต้องถึงตอบว่าอะไรก็ได้เล่า 

"ไม่มีหรอกนะอะไรก็ได้อะ" 

"แล้วคุณอยากกินอะไร?" เจษถามกลับทว่าที่รักกลับส่ายหน้าไปมาราวเป็นการปฏิเสธ

ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะคิดว่าไปทานมื้อเย็นร้านไหนดีกลับได้ยินเสียงสมาร์ทโฟนขึ้นทันที ที่รักรีบค้นหาต้นเสียงในกระเป๋าสะพายของตนทั้งมืออีกข้างยังถือหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นไว้หลายเล่ม เจษเห็นเช่นนั้นจึงจัดการหยิบหนังสือการ์ตูนจากที่รักไปหวังเพียงว่าจะช่วยอีกฝ่ายถือ

"ผมถือให้" 

"อ่า...ขอบคุณนะ" ที่รักพูดก่อนจะรีบหาสมาร์ทโฟนของตนเองที่กำลังแผดเสียงอยู่จนในที่สุดก็เจอเสียทีและรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือพี่สาวของเขานั่นเอง 

"ฮัลโหลพี่อ้อมใจ" 

เจษยืนอยู่ข้างคนตัวเล็กพลันได้ยินอีกฝ่ายคุยกับปลายสายที่แท้ก็คงเป็นพี่สาวของเจ้าตัวสินะแต่ความจริงแล้วเจษไม่ได้จะเสียมารยาทแอบฟังหรืออย่างไรหากแต่ได้ยินคนตัวเล็กพูดคุยกับปลายสายอยู่เล็กน้อย 

"เหรอ...งั้นเดี๋ยวที่รักกลับตอนนี้เลย" 

[...]

"พี่อ้อมใจจะเอาอะไรมั้ยจะได้ซื้อเข้าไป...โอเคๆ เดี๋ยวกลับเลย" 

พูดจบที่รักกดวางสายในทันทีก่อนจะหันมาสบตากับร่างสูงที่ยืนข้างกาย เป็นอันว่าแพลนทานมื้อเย็นด้วยกันก็คงต้องยกเลิกเพราะที่รักต้องรีบกลับไปทานกับข้าวฝีมือพี่สาวและเพราะว่าไม่อยากให้อ้อมใจต้องอยู่คนเดียวอีกด้วย เจษจ้องมองคนตัวเล็กอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขึ้น 

"เราคงไม่ได้กินข้าวด้วยแล้วล่ะ" 

"ไม่เป็นไร" เจษตอบเพียงสั้นๆ 

"คุณจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเพราะอะไร?" 

"ผมไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องของคุณแต่ถ้าคุณอยากบอกก็คงบอกเองจะดีกว่า" 

เจษบอกไปตามตรงเพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้อยากจะก้าวก่ายหรือยุ่งเรื่องส่วนตัวของที่รักเลยและการที่อีกฝ่ายจะเต็มใจบอกกันเองก็คงจะดีเสียกว่า ถ้าหากว่าอีกฝ่ายติดธุระหรือมีเรื่องที่ต้องทำเขาเองก็ไม่ได้อยากรู้มากมายขนาดนั้นแล้วอีกอย่างทั้งคู่ก็ยังคงเป็นคนแปลกหน้าสำหรับกันและกันอยู่ดี 

"เราต้องกลับแล้ว...ขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อน" 

เจษไม่ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าเชิงรับรู้และทั้งสองจึงเดินไปยังลานจอดรถพร้อมกันก่อนจะตัดสินใจบอกลาและแยกย้าย แต่เมื่อแผ่นหลังบางหายลับไปได้ไม่นานนักเจษสังเกตว่าในมือของเขามีหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเล่มอยู่กับตัวซึ่งนั่นก็แสดงว่าอีกฝ่ายลืมของไว้กับเขา ร่างสูงหัวเราะเบาๆ พลันส่ายศีรษะด้วยความนึกเอ็นดูคนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว 

ลืมมังงะไว้แล้วแท้ๆ แบบนี้คงจะมีโอกาสได้เจอกันอีกสินะ...

 

 

 

 

เรือนกายสูงเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่เพิ่งชำระร่างกายเสร็จ แผ่นอกแกร่งที่หยดน้ำเกราะพร่างพราวทั้งยังมีรอยสักที่เป็นตัวอักษรอยู่บริเวณสีข้างของลำตัวชายหนุ่ม ส่วนบริเวณใต้สะดือมีรอยสักปีเกิดของเจษอยู่ด้วยทั้งบริเวณตั้งแต่หัวไหล่ขวาไปจนถึงเกือบต้นคอยังมีมังกรตัวใหญ่พาดอยู่

เจษในขณะนี้อยู่ในสภาพที่เปลือยท่อนบนและสวมกางเกงวอร์มเตรียมพร้อมที่จะเข้านอนหากแต่เสียงสมาร์ทโฟนของชายหนุ่มกลับแผดเสียงดังลั่นแสดงถึงมีการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นสีเขียวทว่าหน้าจอกลับปรากฏข้อความจากใครบางคนที่เพิ่งพบกันเมื่อบ่ายนี้ 

เขาอมยิ้มให้กับเจ้าของข้อความครู่หนึ่งก่อนจะลังเลตอบซึ่งความจริงแล้วเขาก็ว่าจะทักไปบอกเจ้าตัวว่าลืมหนังสือการ์ตูนไว้ที่เขาทว่าเจ้าของหนังสือกลับร้อนรนและทักมาเสียก่อน 

 

babe ♡

 

 

คุณ

มังงะของเราอยู่ที่คุณหรือเปล่า?

ครับ 

 

 

ชายหนุ่มตอบไปเพียงประโยคสั้นๆ กลับกันแล้วเอาแต่คิดว่าถ้าหากจะโทรหาอีกฝ่ายจะได้หรือไม่และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้เจษต้องคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้แค่เพียงว่า...

แค่อยากได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก็เท่านั้น 

เจษจ้องมองห้องแชทของอีกฝ่ายอยู่ไม่ห่างพลันคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบมาเช่นไรหากทว่ามันกลับขึ้นว่าที่รักอ่านแล้วเรียบร้อยแต่กลับไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมาเลย ชายหนุ่มพรูลมหายใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ข้อความอีกสักประโยคกลับไปเพราะเกรงว่าที่ตอบไปเช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรกลับมาหรือเปล่า

 

babe ♡

 

 ผมโทรหาคุณได้มั้ย?

 

 

อ่า...ให้มันได้แบบนี้สิเจษฎา 

ในห้องแชทของอีกฝ่ายปรากฏข้อความขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านและรับรู้แล้วแต่ก็ยังคงไม่มีข้อความตอบกลับมาเช่นเดิม 

 

babe ♡

 

 

ผมโทรหาคุณได้มั้ย?

ผมหมายถึง...

เผื่อว่าพรุ่งนี้คุณจะมาเอาหนังสือของคุณน่ะ 

 

 ได้สิๆ 



 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่มโดยอัตโนมัติก่อนที่จะรีบกดโทรหาอีกฝ่ายที่เพิ่งได้รับอนุญาตจากเจ้าตัว เจษเสยผมสีดำขลับทรงundercutของตนที่ปรกหน้าในระหว่างที่รอสายจากใครบางคนและไม่นานนักอีกฝ่ายกดรับสายในทันใด 

[อ่า...ตกลงพรุ่งนี้คุณว่างกี่โมง?] เสียงเล็กๆ เอ่ยถามทันที

"ความจริงก็ไม่ว่างเพราะผมมีคิวสักถึงสี่ทุ่มทุกวันแต่คุณจะเข้ามาเอาหนังสือที่ร้านตอนไหนก็ได้ถ้าคุณมีเวลา"

เจษบอกอีกฝ่ายพลางเดินไปยังเครื่องให้อาหารแมวอัตโนมัติที่ในตอนนี้อาหารแมวนั้นพร่องไปเกือบจะหมดแล้ว 

[หืม...งั้นสักบ่ายโมงเดี๋ยวเราเข้าไปเอามังงะก็แล้วกันนะ] 

"แต่ถ้าคุณไม่สะดวกผมเอาไปให้ก็ได้" 

ที่รักเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดจากปลายสายเช่นนั้น ความจริงแล้วก็ไม่ได้อยากจะกดรับหรืออนุญาตให้โทรหาเท่าไหร่เนื่องจากไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นแต่ถ้าปฏิเสธก็กลัวจะเสียมารยาทด้วยสิ 

[คุณหมายถึงตอนนี้เหรอ?] 

"เปล่า ผมหมายถึงพรุ่งนี้ ผมพอมีเวลาพักอยู่อาจจะเอาไปให้คุณที่ร้านดอกไม้ไง" เจษหัวเราะเบาๆ พลันเทอาหารแมวลงในเครื่องให้อาหารอัตโนมัติของเจ๋งด้วยมือข้างหนึ่ง 

เสียงก๊อกแก๊กดังมาจากปลายสายของช่างสักแต่ที่รักก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะถามไถ่ว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่แต่เสียงนั้นก็ดังราวกับมีสิ่งของที่เป็นเม็ดเล็กๆ หล่นลงกับพื้น 

[ไม่เป็นไร เราไม่อยากรบกวนคุณงั้นพรุ่งนี้เราเข้าไปเองดีกว่า] 

"อ่า โอเคครับ" 

เมื่อเจษตอบกลับไปทั้งคู่จึงปล่อยให้ระหว่างสายเงียบสนิทโดยที่ไม่มีใครพูดหรือสร้างบทสนทนาขึ้นใหม่หากแต่ก็ยังไม่มีใครตัดสินใจวางสายเลยแม้แต่คนเดียว

"ถ้าอย่างนั้นคุณบอกคนที่เคาน์เตอร์ว่านัดผมไว้" 

ที่รักขมวดคิ้วเล็กน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นแต่ทำไมเขาถึงไม่เอาไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วก็ไปทำงานในส่วนของเขาเพราะที่รักตั้งใจจะไปเอาแค่หนังสือแล้วกลับเพียงเท่านั้น 

[อื้อ แต่ความจริงคุณเอาวางไว้หน้าร้านหรือไม่ก็เคาน์เตอร์ก็ได้นี่] 

"ผมกลัวของคุณหาย" 

ปากก็บอกไปว่ากลัวว่าหนังสือการ์ตูนของอีกฝ่ายจะหายแต่ความจริงแล้วอยากเจออีกฝ่ายเสียมากกว่า 

[งั้นก็ได้...เอ่อ ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย?] 

"ไม่มีครับ..." เจษตอบสั้นๆ ทว่ากลับมีเสียงของลูกชายตัวอ้วนสีส้มดังแทรกขึ้นมาในทันที 

เสียงร้องเหมียวของแมวดังจนทำให้ปลายสายได้ยินอย่างชัดเจน แมวร้องเหมียวอยู่สองสามหนก่อนที่ที่รักจะได้ยินเสียงจากปลายสายพูดคุยกับบุคคลมาใหม่ 

[เอ่อ...คุณเลี้ยงแมวด้วยเหรอ?]

"ผมมีอยู่ตัวหนึ่ง" เจษตอบพลางอุ้มเจ๋งเจ้าแมวส้มตัวอ้วนขึ้นด้วยมืออีกข้างหนึ่งก่อนจะก้มลงฟัดพุงอ้วนๆ ของลูกชายของเขาจนเจ๋งร้องเหมียวอย่างมีความสุขที่อ้อนพ่อสำเร็จ 

[ใช่น้องที่เราเจอตอนเอาดอกไม้มาส่งให้คุณหรือเปล่า?] ที่รักจำได้ดีว่าตอนนั้นมีแมวส้มตัวอ้วนๆ มาอ้อนมาคลอเคลียอยู่ไม่ห่างเลย 

"ใช่ แมวผมเอง" 

[จริงเหรอ! น้องชื่ออะไรอะ?] น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูตื่นเต้นจนเจษที่ได้ยินถึงกลับยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดูออกมาเลยทีเดียว 

"ชื่อเจ๋ง แต่เจ๋งไม่ชอบให้ใครเรียกว่าน้องต้องเรียกว่าพี่ถึงจะถูก" 

เจษอธิบายให้ที่รักฟังจนอีกฝ่ายถึงกับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะร่าด้วยความสดใสทำเอาหัวใจของเจษเต้นเร็วอย่างน่าประหลาดใจซึ่งเป็นความรู้สึกที่ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน 

[น่ารักจัง...ถ้าไปเอาหนังสือพรุ่งนี้จะเจอพี่เจ๋งด้วยมั้ยนะ?]

เสียงเล็กๆ เอ่ยพร้อมกับเสียงหัวเราะซึ่งฟังดูน่ารักไม่น้อยเลยทีเดียวและหารู้ไม่ว่าคนที่ได้ยินกลับนึกถึงใบหน้าดื้อๆ ที่แสนจิ้มลิ้มนั่นกำลังหัวเราะจนตาปิดเป็นสระอิและมันคงจะดูน่ารักไม่น้อยเลย 

คุณจะมาน่ารักยันเสียงหัวเราะแบบนี้ไม่ได้ 

"ถ้าพี่เจ๋งไม่หนีเที่ยวก่อนก็คงเจอแต่ถ้าไม่อยู่คุณก็คงจะเจอเจ้าของแทน" 

[ขอให้พรุ่งนี้พี่เจ๋งอยู่ก็แล้วกัน] 

"แล้วไม่อยากเจอเจ้าของพี่เจ๋งบ้างเหรอครับ?"

เพียงแค่อีกฝ่ายยิงคำถามมาที่รักถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกถึงไอร้อนที่กำลังเกิดขึ้นที่ผิวแก้มของตนเองจนต้องยกฝ่ามือขึ้นมาแนบไว้ที่แก้มเพียงเพราะไม่อยากให้ใบหน้าร้อนผ่าวไปมากกว่านี้อีกแล้ว 

[ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องเจออยู่ดีไม่ใช่หรือไง] ที่รักตอบ

ยอมรับว่าไม่ได้สนิทสนมหรือรู้จักอีกฝ่ายมากมายขนาดนั้นจะเรียกว่ารู้จักกันแบบผิวเผินเสียมากกว่าแล้วมีบางครั้งที่อีกฝ่ายมีคำพูดคำจาเชิงหว่านล้อมนั่นก็ไม่ได้แปลว่าที่รักกำลังโดนช่างสักคนนี้จีบอยู่ใช่ไหม 

...ก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองเสียเท่าไหร่แต่อีกฝ่ายก็ทำให้คิดว่าที่รักเป็นฝ่ายโดนจีบขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

"..."

เจษไม่ได้ตอบอะไรกลับกันแล้วชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางลูบขนสีส้มๆ ของเจ๋งด้วยความรู้สึกราวกับกำลังอารมณ์ดี 

[งั้นแค่นี้ก่อนนะ] ที่รักรีบตอบทันทีก่อนจะวางสายหากแต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 

"ที่รัก..."

[...]

"ฝันดีนะ" 

สิ้นสุดบทสนทนาจากปลายสายแล้วที่รักรีบวางสมาร์ทโฟนไว้ข้างกายก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาปิดใบหน้าของตัวเองทันที ให้ตายเถอะแค่เพียงอีกฝ่ายบอกว่าฝันดีแล้วพูดชื่อของที่รักทำไมถึงต้องรู้สึกเขินขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ และด้วยเหตุการณ์ที่ร้านกาแฟนั่นก็ด้วยที่อีกฝ่ายเปิดเพลงเพราะแสนหวานชวนเคอะเขินให้ฟัง

ร่างบางพลิกกายพลางคว้าตุ๊กตากระต่ายสีชมพูขนนุ่มฟูตัวโตมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะซุกและบ่นด้วยน้ำเสียงอู้อี้อยู่เพียงลำพัง 

"ไม่ได้เขินซะหน่อย เขาไม่ได้จีบเหอะ! อย่าสำคัญตัวเองไปหน่อยเลยที่รัก"  

 

 

เจษเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุครู่หนึ่งก่อนจะหุบยิ้มและภายในใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจษวางพี่เจ๋งไว้ข้างกายทว่าเจ้าแมวส้มตัวอ้วนกลับปีนขึ้นมาบนหน้าท้องของเจ้าของที่มีกล้ามขึ้นลอนสมกับที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เจ๋งค่อยๆ ใช้อุ้งเท้านวดขยำนวดบนหน้าท้องที่เปลือยเปล่าของเจษเบาๆ จนเจษเองถึงกลับหรี่ตามอง 

"พี่เจ๋งอารมณ์ดีเหมือนพ่อใช่มั้ย?" 

เจ๋งไม่ตอบอะไรนอกเสียจากการขยับนวดไปมาพร้อมกับส่งเสียงกรนราวกับเครื่องยนต์ที่กำลังสตาร์ทอยู่และกระดิกหางราวกับว่ากำลังมีความสุข 

เจษเอื้อมมือไปลูบขนและเกาคางให้พี่เจ๋งอย่างที่ชอบทำและค่ำคืนนี้คงมีสองพ่อลูกแมวส้มที่นอนคลอเคลียกันอย่างมีความสุขสินะ...

ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอารมณ์ดีเช่นนั้นและเจษเองค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงพลันนึกอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ เสียที

 

 

 

 

 

TBC 

#ที่รักของเจษ