เซียนซีหยางผู้ที่กำลังกลายเป็นเป้านินทาไม่ทราบด้วย หลังโจวเสวี่ยนชนะพวกเขาก็กวาดเงินพนันไปได้ไม่น้อย รายการพนันคึกคักไปจนกระทั่งเหลือหกคนสุดท้าย บุรุษสามสี่คนก็ฝ่าผู้ชมมาหาพวกเขา

“คุณชายเซียน คุณหนูจ้าว นายท่านเซียนเชิญพวกท่านขึ้นที่นั่งด้านบนขอรับ”

“อา...” เซียนซีหยางเพลิดเพลินไปหน่อย ไม่ได้ไปคารวะอาจารย์จากสำนักอื่นก็รู้สึกกังวล ทว่าจ้าวฉีหลินเพียงขยับยิ้ม บอกให้เขาไปกันได้แล้ว

หลังบอกลาหวังมู่และพี่น้องนักพนัน พวกเขาก็ไปทำความเคารพเจ้าบ้านต่างสกุลและเจ้าสำนัก เซียนซีหยางเหลือบไปเห็นเว่ยเจ้าเฟิงก็เผลอเบะปากใส่

อีกฝ่ายไม่ใช่พวกชอบเก็บอารมณ์ เห็นสีหน้าคุณชายก็โผงขึ้นมาว่า “มีปัญหาอันใด เจ้าไม่พอใจก็ท้าข้าประลองอีกสิ ข้ายินดี”

เซียนซีหยางพึ่งติดลมบนจากด้านล่าง ตอบออกมาไม่ทันคิด “เรื่องสิ! ข้าไม่เป็นวรยุทธ์จะเอาอะไรไปสู้กับเจ้า”

“งั้นเหตุใดเจ้าต้องผูกใจเจ็บ การประลองย่อมต้องมีเจ็บตัวเป็นเรื่องปกติจะตาย” เว่ยเจ้าเฟิงกอดอกคาดคั้นเขา คุณชายสามกล่าวอย่างไม่พอใจว่า

“ข้าไม่ได้ผูกใจเจ็บ ตัวเองเป็นฝ่ายชนะไปแล้วยังจะมาผูกใจเจ็บอันใดอีก เพียงแต่ถ้าเจ้าไม่รอรั้งข้าไว้หาเรื่องพี่โจว เลือดข้าคงไม่ไหลเยอะจวนจะเป็นลมหรอก”

เว่ยเจ้าเฟยนึกย้อนก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง ความละอายปรากฏขึ้นเล็กน้อยในท่าที แต่ปากกลับกล่าวออกไปว่า “แผลแค่นั้นเอง...”

“แผลแทงทะลุไหล่?”

“ก็ได้ ให้เจ้าแทงคืนกล้าไหมล่ะ มาสิ” เว่ยเจ้าเฟิงอายุดูมากกว่าเซียนซีหยางสักหนึ่งปี น่าจะใกล้เคียงพี่รองของเขา ทว่าการพูดจาคล้ายเด็กไม่รู้จักโต ทำให้เจ้าสำนักนึกปวดหัว

“ซีหยาง ข้ารู้หมดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงต้องขึ้นประลอง” เซียนหลี่ซังสอบถามบุตรชาย

เอ้า! รู้พฤติกรรมรนหาที่ตายของเขากันหมดแล้วเหรอ

เซียนซีหยางหนังหน้ากระตุก แต่แล้วจ้าวฉีหลินก็โผงแทรกขึ้นว่า “เป็นเพราะข้าเองเจ้าค่ะ”

“เพราะเจ้า?”

นางอธิบายด้วยน้ำเสียงท่าทางแสดงความปลาบปลื้มใจ “มีของชิ้นหนึ่งในรางวัลที่ข้าอยากได้มากๆ ทว่าเวลานั้นไม่รู้จะทำเช่นไร จึงขอให้คุณชายช่วยเหลือ ไม่คาดคิดว่าเขาจะจริงจังเช่นนั้น ทำตัวเองบาดเจ็บ ข้าซึ้งใจยิ่งนัก เวลานี้จึงคิดจะตัดความบาดหมางที่ผ่านมากับเขาแล้วเริ่มคบหาเป็นมิตรสหายกันเจ้าค่ะ”

ระ เหรอ...

เซียนซีหยางฟังแม่นางโม้แล้วก็หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ความบาดหมางของนางร้ายตัดได้ง่ายเหมือนตัดเต้าหู้เชียว

“เช่นนั้นพวกเจ้าดีกันแล้ว” เซียนอวี้เฉิงหันมาขอความเห็นน้องชาย พบว่าพวกเขาพยักหน้าพร้อมกันหงึกๆ ก็กล่าวคำพูดใดไม่ออก

“อา เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ดีกันไว้ย่อมดีกว่า” จ้าวเฟยตี๋ก็ไม่รู้จะกล่าวอันใดกับบุตรของตนเช่นกัน ยิ่งไม่กล้าถามเรื่องของมือปราบหลัวด้วย ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายตัดใจ

ทว่าเป็นผู้ใดก็ช่าง เวลานี้บุตรสาวของเขาพัฒนาไปในทางที่ดีงาม ผู้เป็นบิดาย่อมเอาใจใส่มากขึ้นกว่าเดิม รอบหกคนกำลังจะเริ่มในไม่ช้า ทั้งหมดจะประลองพร้อมกันทั้งสามเวที เซียนซีหยางทราบว่าจะเหลือผู้ท้าชิงเพียงสองคน เพราะเวทีหนึ่งสลบพร้อมกันตกรอบทั้งคู่ ผู้เข้าชิงสุดท้ายย่อมเป็นโจวเสวี่ยนและหลัวซา

คุณชายสามจำต้องนั่งดูด้านบน พอถึงเวลาลงขันก็ทำให้คนบนนี้ตกใจ

“ซีหยาง หนึ่งพันเหรียญทองเจ้าลงพนันผู้ใด” เซียนอวี้เฉิงที่บัดนี้ไม่ได้จงเกลียดจงชังเท่าตอนแรก อดถามขึ้นมาไม่ได้

คุณชายสามชูกระดาษพนันให้เขาดู ลายมือไม่ค่อยดี แต่ก็พออ่านออก “ข้าย่อมลงข้างหลัวซากับโจวเสวี่ยน เพื่อนของข้า”

“โจวเสวี่ยน...หมายเลขยี่สิบแปดผู้นั้นเป็นเพื่อนของเจ้าหรือ” อาจารย์หยางโถว รีบสอบถาม

เอาแล้วๆ แม่นางหยางสนใจเขาแล้วสินะ น่าเสียดายโจวเสวี่ยนได้ที่สองรับรางวัลกับกัวจื่อกวง หลังสบตากับกัวชิวถงก็ตกหลุมรักในรูปโฉมของนางทันที

“เรียนอาจารย์อาหยาง ข้าพบเขาตอนงานประลองคัดเลือกขอรับ” เซียนซีหยางกล่าวต่ออย่างอารมณ์ดีว่า “เขาคอยแนะนำข้าหลายเรื่อง แถมช่วยข้าลงประลองในงานจับคู่ด้วย”

“เขาเก่งมากใช่หรือไม่” หยางโถว

“ดูในการประลองรอบนี้ ท่านจะทราบเองขอรับ” เซียนซีหยางเบนสายตาไปที่เวทีด้านล่าง ทั้งหมดสามคู่ขึ้นเวทีแล้ว หลังสิ้นเสียงประกาศ บนเวทีก็เร่าร้อนอย่างมาก

เซียนซีหยางดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ผ่านไปสักพักก็พบว่า อาหลัวโหดขึ้นใช่หรือไม่!

ตอนที่อ่านนิยาย เขาชอบอ่านฉากต่อสู้สุดอลังการอย่างมาก การบรรยายท่วงท่าของพระเอกจะถูกใส่ใจเป็นพิเศษ ดังนั้นพอเอาบทในเนื้อเรื่องดั้งเดิมเทียบกับตอนนี้ หลัวซา...พี่ท่านตบคู่ต่อสู้หนักหน่วงผิดปกติแล้วนะเฮ้ย!

ปกติมือปราบหลัวจะพกอาวุธสองชิ้นติดตัว หนึ่งคือดาบปราบมารเซ่อหุน ทั้งด้ามจับทั้งใบดาบเป็นสีดำทั้งหมด ใบดาบก็ค่อนข้างใหญ่สามารถฟันคนธรรมดาขาดครึ่งได้ในครั้งเดียว ดาบเล่มนี้ไม่ทราบที่มาชัดเจนนัก แต่พระเอกได้มาตอนที่เขาเป็นมือปราบใหม่ๆ สองคือกระบี่หวั่นหัวเยียน กระบี่สีเงินเล่มนี้เอาไว้ใช้ปราบคนมากกว่าปราบมาร เวลาลงสนามประลอง เขาจึงพกไปเพียงกระบี่หวั่นหัวเยียนเท่านั้น ไม่ใช่ดูถูกคู่ต่อสู้ แต่เป็นการให้เกียรติสนามประลองของชาวยุทธ์ หากเขาเอาเซ่อหุนมาใช้ เวทีนี้ต้องนองเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่ามีเพียงกระบี่หวั่นหัวเยียนเล่มเดียวก็เกินพอ ยามฟาดฟันดุดันยิ่งกว่าล่ามารซะอีก แถมทุกครั้งที่ปล่อยท่าใหญ่ พลังยุทธ์ลากยาวสร้างความเสียหายไปอีกสนามหนึ่ง...นี่เขาจงใจพังเวทีประลองใช่หรือไม่?

“เจ้าหนูหลัว ฝีมือไม่ตกมีแต่พัฒนาขึ้นจริงๆ เขายอมลงประลองให้สกุลเซียนนับว่าน่าอิจฉานัก” จ้าวเฟยตี๋กล่าวชื่นชม รอยยิ้มพอใจปรากฏบนใบหน้าเซียนหลี่ซัง

เขากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้รับปากข้าเช่นทุกปี แต่เขาก็ไม่อยากทำแล้ว เห็นทีครั้งหน้าข้าคงชวนเขามาไม่ได้อีก แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้เอาจริงเอาจังขึ้นมา”

นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เซียนซีหยางค่อนข้างแปลกใจ ตามเนื้อเรื่องก็คือ หลัวซาไม่อยากจะลงสังเวียนในเจี้ยงฉางแล้ว นั่นก็เพราะเซียนซีหยางทำเรื่องงามหน้าเอาไว้ ตอนที่เขาลงประลองก็เหมือนลงไปงั้นๆ รีบสู้รีบชนะ ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับวิธีการสักเท่าไร จนกระทั่งรอบสุดท้ายที่เจอยอดฝีมือโจวเสวี่ยน แต่ตอนนี้มองยังไงหลัวซาก็ดุดันเกินไป ดูสิ ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า เวทีก็พังไปครึ่งแถบแล้ว แถมยังเป็นฝั่งของสองผู้ประลองตัวประกอบเสียด้วย

นายโกรธแค้นอะไรตัวประกอบอย่างพวกเรามากนักเหรอ! ?

เวลานั้นเซียนซีหยางที่นั่งอยู่ด้านบนไม่ทราบว่าโจวเสวี่ยนกำลังรับศึกสองด้าน

หนึ่งคือคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือตรงหน้า สองคือสายตาของมือปราบหลัว

มองเขาราวกับท้าสู้

สายตาเช่นนั้นทำให้โจวเสวี่ยนเผลอปล่อยของออกมาเช่นกัน กระบี่พยัคฆ์ขาวตวัดฟาดฟันรุนแรง ออกแรงหนึ่งครั้งเกิดสายลมหนึ่งสาย พัดเฉียบคมเข้าหาคู่ต่อสู้ ปลายสายลมไปตกอยู่อีกเวทีหนึ่ง เวทีของตัวประกอบทั้งสองที่รับมือคู่ต่อสู้ของตัวเองก็ลำบากแล้ว แต่พื้นที่ที่พวกเขายืน ยังโดนเบียดเบียนทำลายไปทีละเล็กน้อย จนเผลอพลาดตกรอบทั้งคู่

เซียนซีหยางอ้าปากค้าง เวทีของหลัวซาและโจวเสวี่ยนอยู่ริม ส่วนตัวประกอบที่น่าสงสารอยู่ตรงกลาง โดนลูกหลงจากทั้งซ้ายขวาจนตกเวทีไปตามๆ กัน

พะ พี่ครับ แค้นอะไรตัวประกอบขนาดนั้น!

คุณชายเหล่ตามองไปที่จ้าวฉีหลิน เห็นสีหน้าแม่นางก็เดาได้ว่ามีความคิดเห็นไม่ต่างกัน

พอเวทีกลางถูกทำลาย ไม่นานการประลองทั้งสองเวทีที่เหลือก็จบลง เสียงประกาศผู้ชนะดังขึ้น

“เนื่องจาก...ผู้ประลองคู่หนึ่งตกรอบทั้งคู่ ทำให้ได้ผู้เข้าชิงรอบสุดท้าย นั่นคือ หลัวซาและโจวเสวี่ยน! ขณะนี้ขอให้ทุกท่านพักผ่อนชั่วคราว จนกว่าเวทีจะถูกเก็บกวาดเสร็จสิ้น”

เซียนซีหยางอยากจะลงไปหาโจวเสวี่ยน แต่ติดที่หลัวซากำลังจะเดินขึ้นมาแล้ว จะให้เขาออกไปพบคนอื่นทั้งๆ ที่สามีอยู่ตรงหน้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสม

อืม? สามีที่ไหนกัน ยังไม่ตกลงตำแหน่งกันสักหน่อย...ไม่สิ เดี๋ยวก็หย่าแล้วน่า!

มือปราบหลัวใช้เวลาพักผ่อนเล็กน้อยขึ้นมาคำนับเหล่าเจ้าสำนักและอาจารย์ เขาไม่ได้กล่าวอันใดมาก เพียงพยักหน้าสองสามครั้งตอนตอบคำถาม ท่าทางเย็นชากว่าศิษย์ที่พึงกระทำต่ออาจารย์ หรือเด็กต่อผู้ใหญ่เช่นนี้ ทุกคนคุ้นชินกันหมดแล้ว ทว่าครั้งนี้เห็นท่าทีของเซียนซีหยางลุกลน เส้นผมก็ไม่เรียบร้อย จึงเดินเข้ามาหา ถอดเชือกที่ร้อยหยกอันเล็กๆ บนด้ามกระบี่ให้เขา

“นี่คือ?” เซียนซีหยางรับมางงๆ

“ใช้มัดผมของเจ้า”

เซียนซีหยางกะพริบตาปริบๆ “เหตุใดไม่คืนเชือกมัดผมของข้ามาแทนเล่า หรือเจ้าทำหายไปแล้ว”

จากนั้นหลัวซาก็หยิบเชือกมัดผมสีแดงของเขาร้อยไว้กับด้ามกระบี่อย่างหน้าตาเฉย

“...” ไอ้นักเขียน! ความจริงแล้วพระเอกของคุณเป็นพวกกวนตีนหน้าตายใช่ไหม

เซียนซีหยางหนังตากระตุกสองสามที จำต้องเอาเชือกร้อยหยกสีขาวของเขามามัดผมยาวรุงรังนี่แทน ไม่ทันได้มองสีหน้าตกใจของศิษย์อาจารย์ร่วมสำนัก “หากข้าทำหยกประดับของเจ้าหาย จะโทษกันไม่ได้นะ”

“แค่กๆ คุณชายสาม” เสียงของกัวชิวถงทำให้เขาแปลกใจมาก นางเอกผู้นี้คิดจะสนทนากับตัวประกอบด้วย! ทว่าประโยคต่อมาทำเอาคุณชายสามตาเหลือก “หยกนั่นเป็นสัญลักษณ์ของหัวหน้ามือปราบ...เกรงว่าอย่าทำหายจะดีกว่านะเจ้าคะ”

เซียนซีหยางหันขวับ คิดจะคืนหยกให้เขาก็ไม่ทัน หลัวซากล่าวลาเจ้าสำนักเดินลงไปนู่นแล้ว ไม่ได้ๆ ถือหยกนี่ยิ่งกว่าเอาบ่วงมาแขวนคอตัวเอง ยิ่งหยกอันเล็กนิดเดียว ประเดี๋ยวเขาต้องไปทำภารกิจจับมาร หากทำหาย หัวของเขาจะหายไปด้วยหรือไม่! ที่สำคัญ ท่านมือปราบโว้ย! นี่มันเป็นของแทนใจที่ท่านต้องให้แม่นางกัว นางเอกของเรื่องในอนาคตไม่ใช่เหรอ ทำไมเอามาให้ตัวประกอบเหมือนมันเป็นทิชชูเปียกที่ใช้แล้วทิ้งกันเล่า!

คุณชายคิดแล้วเสียวหลังวาบ เขาวิ่งตามหลัวซาออกไปทันขวางหน้าพอดี “หยุดก่อนๆ เจ้าเอาคืนไปเลย ข้ายังอยากมีหัวไว้ประดับบ่า”

เห็นเขายื่นกลับมาให้ หลัวซาก็เลิกคิ้วหยิบกลับคืน ทว่ายังไม่ทันที่เซียนซีหยางจะโล่งใจ มือปราบก็นำมาผูกผมให้เขาใหม่ “ห้ามแกะออก” เขากล่าวเสียงเรียบแฝงไอสังหาร

คุณชายนิ่งค้างไปแล้ว พะ พี่ครับ มอบหน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ให้ตัวประกอบจะดีหรือ...

“นี่เป็นหยกสำคัญของเจ้ามิใช่รึ ข้ากลัวทำหาย”

“อืม”

“...”

“...”

อืม? อืมอันใดเล่า!!

เซียนซีหยางปวดกบาล เขารีบคว้าแขนของมือปราบหลัวที่ทำท่าจะเดินหนีไป “อาหลัว...อย่าทำเช่นนี้ ข้าไม่เอาเชือกผูกผมตัวเองคืนก็ได้ แต่เจ้าต้องเอาหยกคืนไป มีผู้อื่นที่สมควรได้รับมันมากกว่าข้า”

ทว่าหลัวซากลับถามขึ้นทันที “ผู้ใด”

“นางเอกของเรื่อง เอ๊ย! นางในดวงใจเจ้าไง! ”

หลัวซาเลิกคิ้วแปลกใจ เมื่อก่อนเขาเอาแต่พูดว่า ข้าจะเป็นคนในดวงใจเจ้าให้ได้ เวลานี้คิดจะมอบเขาให้คนอื่นแล้ว “ข้าย่อมไม่มี”

ไม่มี...เป็นไปไม่ได้มั้ง แม่นางกัวชิวถงได้ยินจะต้องร้องไห้แน่ๆ

“มอบให้เจ้านั่นแหละ อย่าทำหาย” หลัวซาทิ้งคนที่ยืนจมความคิดออกไปแล้ว ไม่ทราบเพราะเหตุใด หลังเห็นเขาตัวแข็งเป็นหินก็ยกยิ้มมุมปากออกมาวูบหนึ่ง

หลังจากนั้นไม่นานการประลองรอบสุดท้ายก็พร้อมแล้ว ทั้งคู่รอเรียกชื่ออยู่ด้านล่างของสนาม ขณะนั้นเซียนซีหยางก็กังวล หากว่ากันตามตรง การต่อสู้รอบที่แล้วจบลงเร็วเกินไปหน่อย เจ้าสองตัวประกอบที่ตกรอบทั้งคู่ความจริงฝีมือไม่เลว พวกเขาควรจะต้องต่อสู้ชี้ขาดกันเป็นคู่สุดท้าย แต่กลายเป็นว่าโดนผู้ไม่ประสงค์ดีหนึ่ง ผู้ถูกยั่วยุหนึ่งทำลายเวทีประลอง ตกรอบเร็วกว่ากำหนดตั้งเยอะ

ขณะนี้รอบสุดท้ายกำลังจะเริ่ม แต่เซียนซีหยางคำนวณเวลาแล้วออกไปตอนนี้ก็ต้องนั่งรอจนเปื่อยกว่าตะวันจะตกดินแน่ๆ

จ้าวฉีหลินเดินมากระซิบกระซาบกับเขา “เอาไงดี ผิดแผนไปหนึ่งแล้ว”

เซียนซีหยางยกพัดบังครึ่งหน้า เอียงตัวในองศาที่เหมาะเจาะกัดฟันกระซิบกลับไป “คงต้องรอไปอีกสักหน่อยก่อน แล้วผมค่อยแสร้งไม่สบายขอตัวกลับ”

“ให้ฉันแกล้งทำนายตกบันไดจะได้เอามาเป็นข้ออ้างขอกลับไปดูแลด้วยดีไหม”

“ผมยังต้องวิ่งวุ่นเรื่องมารน้อยอีกนะ จะมาตกบันไดตอนนี้ได้ยังไง”

จ้าวฉีหลินครุ่นคิดหนักหน่วง เหลือบเห็นเว่ยเจ้าเฟิงจ้องมองมาอย่างใคร่รู้ ก็เหยียบเท้าเซียนซีหยางให้รู้ตัว ทว่าคุณชายผู้นี้จมความคิดยิ่งกว่านาง ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด “ผมว่าคุณอยู่นี่แหละ ให้ผมไปคนเดียวก็พอ จะหาข้ออ้างก็ต้องกำจัดพยานพบเห็น ยังไงซะจ้าวฉีหลินก็เป็นสตรี นั่งรถม้าออกไปด้วยกันจะดูไม่ดี”

“ซีหยาง เจ้าเป็นอันใดหรือไม่! ”

อยู่ดีๆ แม่นางจ้าวก็เข้ามาประคองเขา “ห้ะ?”

“เมื่อครู่สีหน้าซีดเซียวเหมือนจะเป็นลม เจ้ารีบนั่งลงก่อนเถอะ” จ้าวฉีหลินตบไหล่ของเขาด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย เซียนซีหยางได้สติแล้วก็ไม่ได้ซื่อบื้อ รู้ว่ากลายเป็นเป้าสายตาก็ช่วยนางแสดงละครลิงนี่ต่อไป

“อืม เมื่อครู่หน้ามืดไปวูบหนึ่ง ขอบคุณที่ช่วยพยุง”

เซียนหลี่ซังได้ยินประโยคเมื่อครู่จึงถามขึ้นว่า “มิสบายหรือซีหยาง”

“เรียนท่านพ่อ เมื่อครู่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้นขอรับ” เซียนซีหยางงัดเอาสีหน้าลำบากใจเหมือนตอนโดนเจ้านายทวงงานก่อนเดดไลน์มาใช้

เซียนอวี้เฉิงกล่าวว่า “ให้ข้าพากลับหรือไม่”

“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร อาหลัวขึ้นประลองแล้ว ให้ข้าชมสักหน่อยเถอะ” คิดๆ แล้ว ออกไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เขาดูหลัวซาต่อสู้กับโจวเสวี่ยนซะหน่อยดีกว่า เซียนซีหยางคนเก่ายังไม่ทันได้ชมบุรุษที่หลงรักวาดลวดลายบนเวทีก็โดนไล่กลับไปก่อน เพื่อเอาใจดวงวิญญาณของคุณชายต้วนชิ่วผู้นี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหย่า เขาต้องเก็บภาพกีฬามันๆ นี่ไว้

คนอื่นเห็นเขาจ้องจนสนามแทบทะลุก็หันมาชมการประลองนี้บ้าง

ไม่นึกว่าการต่อสู้ของยอดฝีมือจะสุดยอดขนาดนี้ โจวเสวี่ยนหลังลงสนามราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อก่อนเดินไปไหนก็มีแต่คนคิดว่าเขาเป็นบัณฑิตยากจน ตอนนี้ปล่อยลมปราณแผ่ซ่านครอบกาย ดูคล้ายไอร้อน ส่วนมือปราบหลัวไม่ต้องบรรยายให้มากความ มือหนึ่งถือกระบี่ท่วงท่าสบายๆ แต่ไอสังหารข้นคลั่กจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นหยดหมึกได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่เขามีชื่อหัวหน้ามือปราบมารแขวนคออยู่ เซียนซีหยางต้องคิดว่าเขาเป็นจอมมาร ลาสบอสของลาสบอสอีกทีแน่ๆ

เข้าใจอะไรผิดไปไหมอาหลัว นายเป็นมือปราบนะเฮ้ย! ไหงทำตัวเป็นมารร้ายซะเองเล่า มองจากมุมนี้ดูยังก็เหมือนโจวเสวี่ยนเป็นมือปราบผู้ผดุงธรรมอาบไปด้วยรังสีสว่างไสว ส่วนหลัวซาคือมารที่เขาต้องรับมือชัดๆ

การประลองน่าดูชมจนทุกคนอ้าปากค้าง จูเจ๋อรุ่ย ผู้เปรียบเสมือนอาจารย์ของหลัวซา พึมพำออกมาหนึ่งประโยค “สีหน้าเขาเหมือนกำลังล่ามารอยู่เลย”

ทุกคนโดยเฉพาะศิษย์สำนักซานเหรินสิงพยักหน้าโดยพร้อมเพรียง

“ข้าว่าโจวเสวี่ยนไม่เลว เขาอาจจะชนะก็ได้” หยางโถวต้องตาโจวเสวี่ยนเข้าแล้ว อันที่จริงมิใช่ว่านางไม่ชอบหลัวซา แต่เด็กนั่นมีสังกัดแล้ว จะไปยื้อแย่งกับเจ้าสำนักซานเหรินสิงก็ไม่ใช่เรื่อง “คราวนี้ไม่ทราบคุณชายสามลงข้างผู้ใด”

คุณชายสามที่เอาแต่จดจ้องสนาม กลายเป็นเป้าสายตาคนอีกรอบ รอบที่แล้วเขาลงขันข้างหลัวซากับโจวเสวี่ยนก็ปรากฏว่าถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน ครั้งนี้การประลองดุเดือดไม่ทราบผลแพ้ชนะแน่ชัด ทว่าเซียนซีหยางกลับตอบออกมาโดยไม่ต้องคิด

“หลัวซาขอรับ” เซียนซีหยางกล่าวอย่างมั่นใจ “เขาจะชนะแน่นอน”

หยางโถวขมวดคิ้วโดยฉับพลัน “ก็ไม่แน่สักทีเดียว หรือเจ้าไม่เห็นว่าโจวเสวี่ยนเพื่อนของเจ้าใช้ปราณควบคุมกระบี่ได้ยอดเยี่ยม”

“ขอรับ พี่โจวเสวี่ยนถือเป็นยอดฝีมือ” แต่นักเขียนลิขิตมาแล้วว่าพระเอกต้องชนะ ท่านจะให้ข้าทำยังไง!

เซียนซีหยางนึกๆ แล้วตอบโดยเอาเหตุผลของดั้งเดิมเข้าว่า “แต่อาหลัวของข้าต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอนขอรับ”

ง่ายๆ คือสามีของข้าเก่งที่สุด ท่านเข้าใจไหม!!

ตอนแรกคิดว่าเขามองการต่อสู้ออกทะลุปรุโปร่งจึงมั่นใจว่าหลัวซาจะชนะ แต่นี่เพียงแค่เข้าข้างสามีของตน?

คนอื่นๆ เลิกสนใจเขาแล้ว เซียนซีหยางก็โล่งใจ

การต่อสู้ยังดำเนินไปเรื่อยๆ จ้าวฉีหลินแอบเขยิบมานั่งข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ นางสะกิดให้เขารู้ตัว “ซีหยางเห็นหน้าเจ้าซีดจวนจะเป็นกระดาษอยู่แล้ว กลับไปพักผ่อนดีหรือไม่” นางยิ้มหวาน ตอนนั้นเซียนซีหยางถึงรู้ตัวว่าชมเพลินไปหน่อย เขากล่าวกับบิดาว่า

“ท่านพ่อข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”

เซียนหลี่ซังสังเกตท่าทางของเขา “จะกลับแล้วหรือ เขายังสู้ไม่รู้ผลเลย”

“ข้าไม่ห่วงเขาหรอกขอรับ” เซียนซีหยางตอบยิ้มๆ ข้าเป็นห่วงตัวเองมากกว่า

“งั้นข้าจะกลับกับเจ้าด้วย” เซียนอวี้เฉิงเตรียมจะลุก คุณชายก็รีบดันเขากลับลงนั่ง

“ไม่ต้องหรอกพี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านชอบดูการต่อสู้ ข้ากลับเองได้” อีกอย่างยิ่งท่านทำดีกับข้ามากเท่าไหร่ เซียนหลานยิ่งไม่ชอบขี้หน้าข้ามากเท่านั้นนะขอรับ...เซียนซีหยางลุกคำนับทุกท่านก่อนจะรีบเผ่นอย่างไว

จ้าวฉีหลินเดิมทีอยากตามไปด้วย แต่เกรงว่าจะอ้างอย่างคุณชายสามไม่ได้ ไม่งั้นบิดาของตนถึงตายก็ไม่ปล่อยให้นางกลับคนเดียวแน่ๆ ดังนั้นนางจึงถลาเข้าไปหาบิดา กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “ท่านพ่อ ข้าเบื่อดูการประลองแล้ว ขอตัวออกไปเดินเล่นได้หรือไม่”

เจ้าสำนักฮุ่ยหมิ่นเกือบตกเก้าอี้ นางว่าอะไรนะ? เบื่อการประลอง?

เห็นสายตาจ้องแทบทะลุของท่านเจ้าสำนัก จ้าวฉีหลินไม่ได้สะทกสะท้านใช้น้ำเสียงหวานเยิ้มกล่าวกับบิดาว่า “ยังไงมือปราบหลัวก็ต้องชนะอยู่แล้ว ข้าอยากออกไปซื้อของให้เขาเป็นรางวัลเสียหน่อย”

สรุปว่าแม่นางยังไม่ได้ตัดใจหรือ?

“เช่นนั้นพาคนติดตามเจ้าไปด้วย หากสลัดพวกเขาทิ้ง ข้าจะให้เจ้ากลับไปอยู่บ้านแล้ว”

จ้าวฉีหลินแสร้งเบะปากกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “เมื่อเช้าข้าไปหาเพื่อน จะให้พาผู้ติดตามไปได้อย่างไร ซีหยางเห็นพวกเขาก็เกร็งไม่กล้าคุยกับข้า เช่นนั้นข้าจะหาเพื่อนได้หรือ”

เห็นบุตรสาวรักใกล้ร้องไห้บิดาก็รีบปลอบ “ข้ารู้แล้วๆ แต่ตอนนี้เจ้ามิได้ไปหาเพื่อนมิใช่หรือ พาพวกเขาไปช่วยถือของเถอะ” บิดาดึงดันกว่าที่คิด จ้าวฉีหลินแม้ในใจจะเซ็งๆ แต่ใบหน้าก็ยิ้มรับ

บิดากำชับครั้งสุดท้าย “อย่าไปนานนักล่ะหลินเอ๋อร์ ดูท่าการประลองคงจะจบอีกไม่ช้า” บิดาผู้นี้ตามใจบุตรสาวเกินเหตุไปจริงๆ

เจ้าสำนักแห่งฮุ่ยหมิ่นกลอกตาขึ้นบน แม่นางน้อยจ้าวทั้งบุกป่าฝ่าดง พาศิษย์สำนักเขาไปล่าไก่ตกปลามาตั้งกี่ครั้ง ถึงขนาดแอบย่องออกจากสำนักมาดูการประลองคัดเลือกอยู่หลายวัน จะไม่สนใจการประลองรอบนี้ จะเป็นไปได้หรือ

ทว่าหลังบิดาอนุญาต คุณหนูจ้าวก็หายวับไปทันที

.....

 

เซียนซีหยางเปิดม่านรถคอยดูเส้นทางตลอดเวลา ตอนนี้เขาทั้งตื่นเต้นทั้งเครียดจนจะบ้าตาย ถึงจะพยายามทบทวนเนื้อหาส่วนนี้มากแค่ไหน แต่พอมาลงมือเอง เอาเข้าจริงรู้สึกกดดันมาก ยามนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง เซียนซีหยางจงใจชะลอรถม้าให้ช้าลงหน่อย เข้าหยิบแผ่นยันต์ที่พยายามคัดอยู่สองวันออกมาเลือกอันที่น่าจะใช้งานได้สามสี่แผ่นเก็บใส่ไว้ในอกเสื้อ เผื่อไว้กรณีฉุกเฉิน

ขณะนี้เดาว่าหลัวซายังคงตะลุมบอนอยู่กับโจวเสวี่ยน แต่หลังจากตะวันใกล้ตกดินทราบว่ามือปราบหลัวจะเร่งเครื่องสู่ความเหนือชั้น เขาจะสามารถอัปสกิลการใช้กระบี่ได้อีกหนึ่งขั้น หลังจากรับรางวัลแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาดอีกหลัวซาจะอยู่กระชับสัมพันธ์หวานๆ สไตล์พระเอกหน้านิ่งในงานเลี้ยงฉลองกับนางเอก เวลานั้นโจวเสวี่ยนจะถูกหลายสำนักทาบทาม

ส่วนเขาก็ต้องมานั่งตบยุงรอมารน้อยเพียงลำพัง จะอยู่รอที่เจี้ยงฉางนานกว่านี้ก็กลัวจะสลัดท่านมือปราบไม่หลุดอีก อย่าลืมสิว่านี่มันคือปฏิบัติการลับ อย่างน้อยก็ต้องให้เขาใส่สร้อยข้อมือสะกดมารกับเสียเยี่ยซะก่อน

ไม่นานวิวด้านนอกก็เต็มไปด้วยป่า เส้นทางนี้ไม่ใช่ว่าขามาจะไม่เห็น แต่หากเทียบกับช่วงเช้าอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าสดใส เวลานี้ตะวันตกดินไปเรียบร้อยแล้ว ป่าข้างทางมืดสนิทน่ากลัวยิ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าเซียนซีหยางจิตตกขั้นไหนถึงกล้าเอาสถานที่น่ากลัวเช่นนี้มาทำแบล็คกราวเอ็มวีนั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าอยู่ค่อนคืน

เวลากลางคืนถนนทั้งมืดทั้งเปลี่ยว เป็นเส้นทางลัดจากบ้านของสกุลเซียนมาสนามประลองเจี้ยงฉางโดยตรง จึงไม่ค่อยมีผู้ใดใช้เดินรถกันนัก ยามรถม้าจอดนิ่งสนิท รอบข้างวังเวงอย่างมาก

“คุณชาย หยุดตรงนี้เกรงว่าจะอันตรายนะขอรับ” บ่าวผู้นั้นมิใช่เฉินฝู เพราะชายชราคนนั้นไม่ได้ตามเขามาด้วย พอเห็นคุณชายไม่เอาไหนผู้นี้สั่งการให้จอดก็อยากจะลงมาด่าความโง่เง่าของเขา เซียนซีหยางโบกไม้โบกมือ

“ข้าเวียนหัวรู้สึกอยากอาเจียน ให้ข้าพักอีกสักหน่อยค่อยเดินทางต่อ”

ช่างอ่อนแอไม่สมกับที่เป็นบุตรของนายท่านเซียนหลี่ซังเสียจริง มันเยาะเย้ยคุณชายอยู่ในใจ ทว่าเบื้องหน้าก็ทำตามที่สั่ง

หลังบังคับให้หยุดรถสำเร็จคุณชายสามลงมาจากรถแล้วมองหาก้อนหินใหญ่ๆ ที่พอจะนั่งได้ จากนั้นก็สวมบทเซียนซีหยาง นั่งรอจนกระทั่งลมเปลี่ยนทิศ....เสียเมื่อไหร่ เขาไม่ได้เศร้าโศกเหมือนแมวตายเช่นเซียนซีหยาง จิตใจจดจ่อบรรยากาศรอบข้างจนนั่งไม่ติด จำต้องหยิบตะเกียงออกมาสอดส่อง

ต้องรอนานเท่าไหร่ เนื้อหาบอกเพียง จนกระทั่งสายลมเปลี่ยนทิศ เมื่อไหร่สายลมจะเปลี่ยนทิศ...ไม่รู้

คุณชายสามถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เขาเดินเขี่ยหินไปมาอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นเองเสียงคล้ายอะไรบางอย่างกระแทกกันแรงมากดังออกมาจากในป่า

เซียนซีหยางลอบกลืนน้ำลาย ขณะที่คนขับรถม้ารีบออกมาดู “คุณชายเมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงบางอย่างขอรับ”

“ข้าก็ได้ยิน เจ้าว่าอีกด้านของป่านั่นมีอะไร” เซียนซีหยางพยายามเบี่ยงเบนความสนใจตัวเอง

“ข้าน้อยเคยได้ยินมาว่า ไม่ไกลนี้มีเส้นทางลับที่ใช้ขนของจากนอกเมืองเข้ามาน่ะขอรับ”

ต้องเป็นเส้นทางค้าทาสอย่างแน่นอน เซียนซีหยางได้ยินเมื่อครู่คาดเดาว่าคงเป็นรถม้าของเสียเยี่ย ไม่ทราบว่าเกิดอุบัติเหตุหรือไม่

เฮ้อ...ถึงนักเขียนจะลิขิตชะตาของมารน้อยมาแล้ว ทว่าตั้งแต่แรกเซียนซีหยางเห็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันผิดจากเนื้อเรื่องดั้งเดิมมาหลายครั้ง ครั้งนี้จะเกิดเรื่องเช่นนั้นอีกหรือไม่ก็คร้านจะคาดเดา พอไม่มีบทของพระเอก นิยายอธิบายไว้เพียงวิธีการคร่าวๆ ที่คุณชายใช้ตกมารน้อย ว่าเจอเขาที่ไหนและแสดงปฏิกิริยาอย่างไร เรื่องยิบย่อยเช่นบรรยากาศรอบข้างไม่ได้อธิบายละเอียด ไม่เช่นนั้นเซียนซีหยางจะยอมมาคนเดียวหรือ ป่าดงดิบกั้นสองเส้นทางนั้นน่ากลัวอย่าบอกใคร

แต่ในเมื่อมาแล้ว แถมยังกังวลกลัวว่าเสียเยี่ยน้อยจะไม่เล่นตามบท เขาก็ทำใจกล้าคว้าตะเกียงเตรียมจะเดินเข้าไป “ข้าขอไปดูเสียหน่อย”

“อะไรนะขอรับ! ” คนขับรถม้าตกใจรีบร้อนขวางเขาไว้ “อย่านะขอรับ ที่นี่อันตรายมาก”

เจ้าอยากตายหรือเจ้าต้วนซิ่วบัดซบ! หากเจ้าตายแล้วข้าไม่ซวย ข้ายินดีทิ้งเจ้าไว้ข้างทางเช่นนี้แหละ!

บ่าวชายแอบหงุดหงิดโมโหในใจ

เซียนซีหยางเห็นแล้วว่าเขาชักสีหน้าใส่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะอันที่จริงตัวเขาก็คิดว่าวิธีนี้มันสิ้นคิดเหมือนกัน “ข้าไปดูครู่เดียว เจ้าไม่ต้องตามมา รออยู่ตรงนี้ห้ามไปไหน”

เพราะหากเขาตื่นตกใจแอบหนีกลับก่อน จะเป็นเรื่องยุ่ง เซียนซีหยางจึงกำชับไว้ “หากคิดจะกลับก่อนก็จงเดินกลับไปซะ ส่วนรถม้าทิ้งไว้ให้ข้ากลับ”

บ่าวผู้นั้นสะดุ้งตกใจ เมื่อครู่คิดแอบจะหนีกลับจริงๆ

เซียนซีหยางไม่สนใจใบหน้าซีดเผือดของเขา สูดลมหายใจพร้อมตาย เอ๊ย พร้อมเผชิญสถานการณ์เงียบๆ ก่อนจะหายเข้าไปในความมืดของป่า

 

เดินลัดเลาะตามแนวต้นไม้ที่โล่งที่สุดอยู่พักใหญ่ เขาระวังไม่ให้ถูกกิ่งไม้ตีหน้า ปากก็พึมพำไปด้วย

“นี่เป็นวิธีสิ้นคิดๆ ๆ ๆ ไม่เข้าใจเลย หรือสมองของเราก็โดนพระเจ้าลดสติปัญญาให้เท่าตัวประกอบด้วย” สาบานได้ว่าสติปัญญาของพนักงานงกเงินเช่นเขา เคยชั่งน้ำหนักเรื่องชวนปวดหัวมาหลายครั้ง ไม่มีครั้งไหนรู้สึกว่าขาดทุนเท่านี้มาก่อน ป่าแห่งนี้ไม่ได้ลึกมาก เพียงแต่กั้นถนนสองเส้นให้ขาดกันได้ ดังนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมของสัตว์ร้ายในป่าใหญ่เช่นที่อื่น

เซียนซีหยางอาศัยการฟังเสียงนำทางมาล้วนๆ

หลังจากเสียงดังครั้งแรก ยิ่งเดินเข้ามาลึกเสียงก็ยิ่งชัดเจน สายลมพัดเอาเสียงมนุษย์ดังลอดเข้ามา

ใกล้แล้ว....

คุณชายมองเห็นแสงไฟข้างหน้า เขาก็รีบซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่ เห็นขบวนรถสามคันจอดอยู่ รถม้าคันหนึ่งพลิกคว่ำจนกรงที่ถูกห่อผ้าด้านในหลุดออกมา เซียนซีหยางซ่อนตะเกียงไฟเอาไว้ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อยให้เห็นสถานการณ์ได้ชัดๆ

เพียะ! เพียะ!

แส้ดำฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับคำก่นด่าหยาบคายของบุรุษร่างอ้วนฉุ

“เจ้ามารโสโครกนี่! บังคับรถประสาอะไรของเจ้า สินค้าของข้าเสียหายเช่นนี้ ชีวิตเจ้าร้อยชีวิตก็ชดใช้ไม่หมด! ”

มันด่าไปลงแส้ไปอย่างโมโห เซียนซีหยางเห็นภาพตรงหน้าเกือบสบถคำหยาบด่าบรรพบุรุษออกมา ทว่ายั้งปากได้ทัน

เด็กน้อยนั่งคุกเข่าบนพื้นชื้นสกปรก เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ยเผยเห็นแผ่นหลังเต็มไปด้วยรอยแส้นับไม่ถ้วน ใบหน้าปูดปวดเพราะถูกตบหลายครั้ง ที่สำคัญ เซียนซีหยางขยี้ตาห้ารอบก็ยังมองเห็นว่าบนกระดูกสะบักของเขาถูกร้อยโซ่ดำอยู่

นั่นคือเสียเยี่ย!!!

เชี่ย!

ทำไมสภาพของเขาถึงได้อเนจอนาถกว่าที่เนื้อหาบรรยายฟะ!

ไอ้มนุษย์ครึ่งหมูนั่นไม่มีคุณธรรมเลยหรือไง แม้จะเป็นมารแต่ก็ถูกสะกดพลังไว้แล้ว ซ้ำยังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยกอีก

เซียนซีหยางอยากจะขว้างแอ็คชั่น บีมออกไป แต่ก็ต้องสะกดใจเอาไว้

เสียเยี่ยยังไม่ถูกถอดโซ่ เขาจะทำเสียเรื่องตอนนี้ไม่ได้ ทว่าก็ทนดูต่อไปไม่ได้เช่นกัน ขณะที่ต้องชั่งน้ำหนักความสำคัญเช่นนี้ เจ้าพ่อค้าทาสครึ่งหมูก็หยุดลงแส้ เขาตวาดใส่เด็กน้อยว่า “อย่าให้เสียเรื่องเช่นนี้อีก! ”

พร้อมกับเตะเขาให้ลุกขึ้น แต่เด็กน้อยก็ทรุดลงแทบไม่ขยับ เมื่อครู่ถูกลงโทษหนักหน่วงเขาไม่เปิดปากร้องสักแอะ สีหน้าเย็นชาคล้ายถูกกระทำจนชิน ถึงอย่างนั้นร่างกายของครึ่งมารเลยขีดจำกัดแล้ว โซ่ดำทำให้เขาเป็นเสมือนมนุษย์ธรรมดา แม้จะแข็งแรงกว่าแต่ก็ทนต่อบาดแผลไม่ไหว

มันหัวเราะเยาะเด็กน้อย “แค่นี้ก็ไม่ไหวซะแล้ว เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ปลดโซ่ให้มันรักษาตัวเอง” เมื่อสั่งให้ปลดโซ่ดำ ชายฉกรรจ์สองคนก็หิ้วปีกเด็กน้อยไว้ คนหนึ่งดึงสลักโซ่ออก ยามที่โซ่ถูกดึงเลือดไหลทะลักออกมาด้วย เด็กน้อยร้องครางอย่างเจ็บปวด เซียนซีหยางถึงกับเบือนหน้าหนี

อดทนไว้...รออีกนิดเดียว...

ตอนนี้เขาควรออกจากป่าไปรอที่รถม้า แต่เซียนซีหยางพลันสังเกต สายลมกำลังหยุดนิ่ง มันเริ่มเปลี่ยนทิศ มารน้อยกำลังฟื้นฟูสภาพร่างกายของตัวเองอย่างเชื่องช้าเนิบนาบ ขณะเดียวกันก็ถูกเจ้าหมูตอนเหยียบหัวกดไว้กับพื้น สองมือของมารน้อยกำแน่น ยามนี้พวกมันไม่ทันได้มอง ดวงจันทร์ด้านบนส่องแสงเต็มดวง ปราณมารของเสียเยี่ยไหลมารวมกันที่หน้าอก ปานแดงขยายเลื้อยขึ้นไปบนใบหน้าซีกหนึ่ง ดวงตาของมารน้อยประกายแสงสีแดงวูบ

เซียนซีหยางตอนแรกคิดจะไปรอที่รถม้าตามเดิม แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนไม่ทันเห็นกลับสะกดเขาไว้ ดวงใจดวงน้อยๆ เต้นตึกตักอย่างกับลุ้นบอลโลก

มาแล้วๆ ....

“มีอะไรไอ้ครึ่งมาร เจ้าพึ่งจะโกรธเป็นรึ” มันขยี้ปลายเท้าบนเส้นผม หัวเราะอย่างสะใจ “ครึ่งผีครึ่งคนอย่างเจ้า นอกจากข้าใครจะปล่อยให้มีชีวิตอยู่ สำนึกบุญคุณของข้าซะเถอะ! ”

ถุย! เซียนซีหยางอดเหยียดหยามเจ้าครึ่งหมูนั่นไม่ได้ เร็วเถอะเจ้าหนูเอ๋ย ฉันเชื่อว่านายทำได้!

เจ้าครึ่งหมูรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมากะทันหัน จึงส่งสัญญาณให้สวมโซ่ดำลงบนสะบักของเด็กน้อยอีกครั้ง ทว่าทันทีถูกจับไหล่ ขาของเจ้าหมูก็ถูกเด็กน้อยคว้าไว้อย่างรวดเร็ว เล็บทั้งสิบคมยาวจิกเข้าไปถึงกระดูก มันร้องโหยหวน โซ่ตรวนของชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นตวัดร่างของเด็กน้อยอย่างแรง

เสียเยี่ยกระเด็นออกไปข้างทาง เจ้าหมูกุมบาดแผลที่ขาสั่งการอย่างโกรธเกรี้ยวสุดขีด “จับมันมาให้ข้า! ข้าจะทรมานมันให้ตาย! ”

ลูกน้องของเจ้าหมูไม่หมูเหมือนเจ้านาย แต่ละคนถูกฝึกมาเพื่อรับมือกับสัตว์อสูร พริบตาก็กรูกันมาเจ็ดแปดคน เซียนซีหยางรู้ดีว่ายังไงเจ้าหนูนี่ก็ต้องออกไปพ้นป่าได้แน่ๆ ทว่าพอเห็นเขาขยับร่างกายแต่ละครั้งเจ็บจนแทบลุกไม่ไหว ใบหน้าปูดบวม ดวงตาข้างหนึ่งแทบปิด อีกข้างเต็มไปด้วยอารมณ์ ความเจ็บปวด โกรธแค้น...ไฟแค้นสุมเต็มเบ้าตา คุณชายสามก็ เผลอ ขว้างยันต์ออกไปหนึ่งแผ่นโดยไม่ทันคิด

แผ่นยันต์อันนี้นับว่าเป็นแผ่นที่สมบูรณ์ที่สุดที่เซียนซีหยางจะเขียนได้ เปอร์เซ็นต์การใช้งานสำเร็จอยู่ที่เก้าสิบแปด แต่เวลานี้เขาภาวนาให้มันด้านไปซะ

ฟู่....ตูม!!!

แผ่นยันต์ลุกไหม้ในเสี้ยวลมหายใจ ก่อนจะระเบิดออกอย่างแรง เสียงร้องระงมตามมาติดๆ

เชี่ย! ทำอะไรของตูฟะ! จะไปเจ็บแค้นเคืองโกรธแทนเจ้ามารน้อยนั่นทำไม

เซียนซีหยางกระวีกระวาดหาที่ซ่อน แต่มารน้อยมองเห็นเขาแล้ว เขาเห็นในตอนที่คนผู้นั้นขว้างกระดาษที่ระเบิดได้นั่นออกมาด้วย

มารน้อยกัดฟันอดทน อาศัยความชุลมุนหนีหายเข้าป่าไป

เจ้าครึ่งหมูทั้งเจ็บขา ปวดตัว เมื่อครู่มองเห็นแผ่นยันต์ระเบิดตนก็อยู่ในระยะ หลังจากกระเด็นออกมาคลุกฝุ่นก็เพ่งหาไอ้ครึ่งมารน่ารังเกียจ ทว่าไม่เห็นแม้แต่เงา

“ไอ้พวกโง่! พวกเจ้าปล่อยมันหนีไปแล้ว! ” พ่อค้าทาสฟาดแส้จนดินกระจาย ก่อนจะสงบสติอารมณ์มองความเสียหายจากการระเบิดเมื่อครู่ เขาแสยะยิ้ม “ปล่อยสัตว์อสูรออกไปลากมันกลับมา ทั้งไอ้มารนั่นแล้วก็ไอ้คนสมควรตายที่ใช้ยันต์ด้วย”

ฉิบหาย! สัตว์อสูรเหรอ!!

เซียนซีหยางหน้าซีดเผือด มั่นใจมากว่าเควสต์ลับอย่างสัตว์อสูรไม่ได้โผล่มาในช่วงนี้แน่ แต่เป็นเพราะเมื่อครู่หาเรื่องตายขว้างยันต์ออกไป เจ้าครึ่งหมูนั่นถึงโมโหจัดเล่นของหนักเลย

สัตว์อสูรเป็นของยอดฮิตให้สนามประลองเปี้ยนไถ ตั้งแต่สมัยที่พระเอกยังตัวเท่ามารน้อย เขาก็ปะฉะดะกับพวกมันมาตลอด บ้างก็ถูกเลี้ยงมาให้เชื่อฟัง บ้างก็เก็บมาจากที่อื่น ส่วนเรื่องสายพันธุ์ของพวกสัตว์อสูรที่ปล่อยลงสนามประลองกับปริมาณที่พระเอกต้องเจอนั้น อย่าไปนั่งนับให้เมื่อยตุ่มเลยดีกว่า ยามนี้ผิดแผนเพราะทำตัวเองไปแล้ว จำต้องรีบหาทางหนีอย่างเร่งด่วน คุณชายเช่นเขา...ไม่สิ ว่ากันตามตรง พนักงานประสบการณ์น้อยเช่นเขาพึ่งจะตั้งไข่ได้ไม่นานนี้เอง ยันต์ที่พกมาด้วยไม่พอจะเอาไปไฟท์กับอสูรพวกนั้น

อีกอย่างคือเสียเยี่ยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ หากคลาดกันภารกิจเป็นอันสูญเปล่าแน่นอน

เซียนซีหยางไม่รอให้อสูรออกจากกรง เขาย่องๆ ไปเก็บตะเกียงก่อนจะเผ่นแน่บ ครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงคำรามกึกก้องของสัตว์ป่า ดูท่าเขาจะเจอกับอะไรที่คล้ายหมาล่าเนื้อกระมัง

ป่ารกๆ แห่งนี้ไม่ใช่ป่าลึก ทว่ามาทางไหนเขากลับจำไม่ได้ ยามนี้ต้องวิ่งไปตามแนวต้นไม้อย่างเดียว สักพักเสียงตะกุยดินของสัตว์สี่ขาก็ดังตามมาติดๆ

มารดามัน! มาเร็วไปแล้ว!

เซียนซีหยางวิ่งจนเหนื่อยหอบปอดแทบหลุด ทว่าเสียงฝีเท้าไม่ได้ดังลดลงเลย กลับกันมันดูกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ คุณชายหันมองกลับไปด้านหลัง

แว๊กกกก! นั่นมันอสูรสีชาด!

ดูจากรูปลักษณ์ใต้แสงจันทร์สว่างไสวของมัน คล้ายสิงโตเพศผู้ทว่าตัวใหญ่กว่า ขนของมันแข็งเหมือนเข็มเรียงตามแนว ลู่ไปด้านหลัง ส่วนที่เหมือนหูก็มีเขาแหลมคมคู่หนึ่งงอกออกมา ทั้งกรงเล็บทั้งหางแหลมคมยืดยาว ราวกับตัวมันถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเข็มนับพันเล่ม ยามมันวิ่งชนหรือขย้ำเหยื่อขนของมันจะทิ่มแทงขูดรีดเนื้ออ่อนๆ จนติดเต็มตัว แดงฉานน่าสยดสยองจนถูกเรียกว่าอสูรสีชาด

ขณะนี้มองจากระยะ ยังไงก็ไม่พ้นแหงๆ จังหวะที่เซียนซีหยางหันมามองมันก็กระโจนคร่อมเขาเรียบร้อย “โอ๊ย เจ็บๆ ใต้เท้าก็มีขนด้วยเหรอเนี่ย! ”

เซียนซีหยางถูกกระโจนใส่จนหน้าหงาย ข้อมือสองข้างถูกเท้าของมันเหยียบไปข้างตัว เขาไม่กล้ายกขาขึ้นเตะเพราะเข็มใต้ท้องของมันกรีดเสื้อผ้าของเขาขาดแหว่งไปแล้ว ขยับเขยื้อนอีกหน่อยเนื้อเขาต้องแหว่งไปด้วยแน่ๆ

ขอล่ะ ช่วยกัดคำเดียวที่หัวฉันไปเลยได้ไหม อย่าเอาตัวมาถูไถกันเลยนะเฟ้ย!

ปากกว้างของมันอยู่ห่างจากหน้าของเขาเพียงฝ่ามือกั้น ลมหายใจร้อนเป่ารดหน้าผาก ยามคำรามเขาก็เห็นฟันคมทรงใบเลื่อยนั่น คุณชายหลับตาลงซะเลย

พระเจ้า! คุณทำเกินไปแล้วนะ อย่างน้อยก็สงเคราะห์ให้ตัวประกอบอย่างผมตายตามในบทสิ นี่ยังไม่ทันได้ตัวมารน้อยตามเนื้อเรื่องหลักเลยก็ส่งเจ้าอสูรเข็มเงินนี่มาเจี๋ยนผมซะแล้ว!

“ถอยไปนะ! ”

ปึก! โครม!

อา...ความเจ็บที่ข้อมือหายไปแล้ว เซียนซีหยางลืมตาโพลง ภาพตรงหน้าทำเอาอ้าปากค้างคางแทบร่วง

มารน้อยเสียเยี่ยที่ควรจะต้องออกไปพ้นป่าแล้ว ก็โถมทั้งตัวปะทะกับอสูรสีชาดจนมันกระเด็นออกจากร่างของเขา ส่วนมารน้อยก็ล้มกลิ้งอยู่ตรงหน้า ทั่วร่างมีแต่เลือดที่ไหลออกมารูเล็กหลายสิบแห่ง “เจ้า! เหตุใดไม่หนีไปเล่า! ” เซียนซีหยางเผลอตะโกนลั่น เขารีบตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นไปดูร่างมารน้อย

ในยามนี้จันทร์เต็มดวง มารน้อยย่อมฟื้นกำลังเร็วกว่าปกติ ทว่าให้รีบเร่งยังไงก็ไม่อาจรักษาแผลได้ทัน หลังจากยันต์ระเบิดแผ่นนั้น เขาก็วิ่งหนีออกมา หาทางออกจนเกือบจะเห็นถนน แต่เสียงคำรามของอสูรก็เรียกความสนใจ มารน้อยรู้ดีว่าเป็นอสูรตนไหน นั่นไม่ใช่อสูรสีชาดที่ตนเป็นคนบังคับรถม้าบรรทุกมันมาหรือ

หากถามว่าเหตุใดเขาถึงวนกลับมา ความจริงแล้วเขาเพียงแต่หาที่ซ่อน การวิ่งหนีอสูรสีชาดไม่ใช่ความคิดที่ดี เด็กผู้นี้เติบโตมากับพวกอสูรในกรงที่ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง ย่อมเข้าใจธรรมชาติของพวกมันมาบ้าง แต่พอเห็นชายผู้นี้ถูกกระโจนใส่เขาสะดุดใจวูบหนึ่ง มั่นใจว่าเป็นบุรุษผู้นี้ที่ช่วยสร้างสถานการณ์ให้ตนหนีมา

เพราะอะไร? ทำไมถึงต้องช่วย มารน้อยมองซ้ายขวาไม่เห็นคนอื่นแม้แต่คนเดียว ก็หมายความว่าบุรุษคนนั้นเข้าป่ามาคนเดียวงั้นหรือ ทั้งท่าทางก็เหมือนไม่เคยต่อสู้มาก่อนเพราะเหตุใดจึงช่วยเขากัน

มารน้อยมองสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจกระทำเรื่องที่โง่เง่ามากๆ ในสายตาของเซียนซีหยาง คือกระโจนเข้ามาช่วยเขา

ถูกชายผู้นี้ตวาดใส่ มารน้อยมึนงง ทว่าไม่ทันได้ตั้งตัว ความอบอุ่นก็ปกคลุมรอบกาย เสื้อตัวนอกขาดๆ ของเซียนซีหยางคลุมร่างเปื้อนเลือดของเขาไว้ “ลุกไหวหรือไม่ ข้ารู้ว่ามันเจ็บ แต่เจ้าต้องอดทนนะ”

อดทน...

เซียนซีหยางประคองเขาขึ้น อาศัยจังหวะที่อสูรสีชาดกำลังตะกายขึ้นมา พามารน้อยหลบไปอีกทาง เวลานี้หลงทิศไปหมด ทว่าพอได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งที่เข้ามาใกล้มากจนเกือบเห็นตัวในทิศไหน ก็รู้ว่าต้องไปทิศตรงข้าม เขาหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมา หลังขว้างไปเกิดแสงสว่างจ้าแสบตา บดบังทัศนียภาพเต็มๆ เซียนซีหยางอาศัยการจดจำก่อนหน้านี้ เร่งฝีเท้าฉุดร่างของมารน้อยไปด้วย

แสงอยู่ได้ไม่นาน ครู่เดียวก็ดับสลาย ทว่าถึงตอนนั้นก็มองหาร่างของคุณชายไม่เห็นแล้ว

“ชู่...” เซียนซีหยางส่งสัญญาณให้เงียบเสียง เสียงก่นด่าของเจ้าหมูอ้วนจึงดังได้ยินถนัดหู

“เลี้ยงเสียข้าวสุกๆ ! ” ตามมาด้วยเสียงฟาดแส้ดังเพียะๆ หลายครั้งติด ท่าทางมันจะอารมณ์เสียจนแทบระเบิด “รีบหาพวกมัน! ต้องไปได้ไม่ไกลแน่ โดยเฉพาะไอ้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนนั้นจับมาให้ข้า ข้าจะลากมันกลับไปเป็นอาหารให้อสูร! ”

เซียนซีหยางฟังแล้วขนลุก เผลอกอดร่างของมารน้อยเสียแน่น

แต่ครึ่งมารยามนี้ร่างกายไม่ฟื้นตัว เขาขยับตัวเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรู้ เซียนซีหยางสะดุ้ง กระซิบข้างหูของเขาว่า “ข้าขอโทษนะ”

ขอโทษ...? คำนี้มารน้อยไม่เคยได้รับมันมาก่อน ทั้งคำพูดปลอบโยนก่อนหน้านี้ด้วย ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขา อดทน...ตั้งแต่จำความได้ ใครบ้างที่เคยกล่าวเช่นนี้กับตน มีแต่การออกคำสั่งเท่านั้นที่มารน้อยได้รับ คำดูถูกถากถาง เหยียดหยามสาปแช่ง เขาอดทนโดยไม่ต้องมีใครมาบอก อดทนมาตลอดเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนนี้ปานแดงบนหน้าของเขาไม่ได้หายไป ดวงตาของเขายังแดงโร่อยู่เลย แต่บุรุษผู้นี้กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บอกให้เขาอดทน ทว่ายิ่งสัมผัสนุ่มนวลคล้ายกลัวเขาเจ็บ มันทำให้มารน้อยอดทนแทบไม่ไหว ทั้งที่หนักกว่านี้ก็ยังสามารถทนได้แท้ๆ

ยามนี้กลับร้อนรุ่มที่ตา มารน้อยตัวสั่นไหว

เซียนซีหยางคิดว่าทำเขาเจ็บแผล จึงลูบหลังอย่างเบามือกระชับเสื้อคลุมขาดๆ ของตน พวกเขาซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้สูง เมื่อไม่ได้ยินเสียงคนก็ขยับตัวออกมา เขาคิดจะจูงมารน้อยย่องออกไปเงียบๆ แต่พอมองดูดีๆ แล้ว มือของครึ่งมารกำแขนเสื้อเขาอยู่ ทั้งยังก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงย คุณชายโล่งใจที่เขาไม่ได้คิดหนีเตลิดไปอีก ระหว่างลัดเลาะหาทางกลับออกไปก็คอยฟังเสียงอยู่ตลอด

เซียนซีหยางตงิดใจ ด้านหลังมีเสียง ทว่าด้านหน้าก็มีเช่นกัน หรือว่าเขากำลังจะถูกล้อม

ไม่คิดว่าเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกล้อมจริงๆ เท้าชะงักแรกคือเจ้าหมูที่ดักอยู่ด้านหน้า

พอถอยหลังก็ชะงักกับอสูรสีชาดที่ดักทางอยู่อีกด้านเช่นกัน สองข้างทางมีแต่ไม้หนาม หากจะหนีเข้าไปก็เตรียมตัวเตรียมใจเจ็บตัวได้เลย

โอ๊ย! นี่ลมก็กระโชกมาพักใหญ่แล้วนะ ทำไมในนิยายมารน้อยเสียเยี่ยถึงได้ออกมาง่ายนักเล่า เจ้าหมูนี่เป็นแค่มอนสเตอร์ปลายแถวสำหรับอัพเวลจริงเปล่าเนี่ย

เฮ้อ...โดนจับได้ซะแล้ว

เจ้าหมูตอนปรากฏร่างกลมตรงหน้าพวกเขา ศีรษะของมันมีแต่เส้นเลือดปูดโปน “เจ้าเป็นผู้ใดถึงคิดแส่หาเรื่องกับข้า! ”

เซียนซีหยางยังมองไม่เห็นหนทางหนีจำต้องต่อรอง “ข้าเพียงต้องการเด็กคนนี้เท่านั้น”

เจ้าหมูตอนเห็นท่วงท่าการแต่งกายของเขาก็เดาได้ว่าเป็นคุณชายมาดยุติธรรมที่ใดสักแห่ง มันหัวเราะเย้ยหยัน กล่าวอย่างหยิ่งผยอง “คุณชายเช่นเจ้าอยากได้สัตว์เลี้ยงของข้างั้นหรือ มันเป็นแค่มารเลือดผสมไร้ค่าเช่นนั้นเอง”

มารเลือดผสมผู้นี้ ถล่มสำนักปราบมารที่ยิ่งใหญ่พังพินาศมาแล้วนะเว้ย!

เซียนซีหยางกอดมารน้อยไว้แน่น รับรู้ถึงอุณหภูมิอันเย็นเฉียบของเขา ร่างน้อยก้มหน้าจนคางชิดอกคล้ายเด็กที่ทำผิดรอการลงโทษ

ทำผิดอันใด? แม้ว่าเขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเสียเยี่ยแต่เด็กทารกเลือกเกิดได้หรือ ใครบ้างอยากเกิดมาครึ่งๆ กลางๆ เซียนซีหยางตอบโต้กลับไปอย่างไม่ทันคิด

“ไร้ค่า? ไร้ค่าเพียงนั้นเชียว ถ้าเช่นนั้นข้าขอซื้อตัวไปเจ้าคงไม่ขัดอันใดกระมัง”

เจ้าหมูตอนชะงัก มองสารรูปเขาแล้วก็หัวเราะดังลั่น “สารรูปเช่นเจ้าหรือจะซื้อ ฮ่าฮ่าฮ่า มันเป็นสัตว์เลี้ยงอเนกประสงค์ของข้า ทำไมข้าต้องขายให้เจ้า อีกอย่างจับเจ้าไปประมูลด้วยข้าก็ได้กำไรงามแล้ว” สายตาปูดๆ เหมือนหมูมองเซียนซีหยางตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปร่างชายผู้นี้ไม่เท่าไหร่ แต่แสงจันทร์ต้องผิวดูงดงามยิ่ง ยิ่งเปื้อนเลือดก็ยิ่งดูงดงาม! ตอนแรกคิดจะจับมันหั่นเป็นชิ้นแล้วโยนให้สัตว์อสูรกิน ทว่าเขาเปลี่ยนใจแล้ว เศรษฐีจากแดนไกลบางคนชอบเด็กหนุ่มเช่นชายผู้นี้ หากจับใส่กรงขาย ต้องได้ราคาดีแน่

มันสั่งว่า “เด็กๆ จับพวกมันมาให้ได้ แล้วถอดชุดพวกมันออกให้หมด”

เชี่ย! เป็นหมูที่มีสมองนี่รับมือไม่ง่ายเลย

พระเจ้าครับ! ให้ผมเปิดโหมด Can I play, Daddy?  (12) ไม่ได้จริงๆ เหรอ

พอเห็นพวกมันย่างเข้ามาใกล้ แม้รู้ว่าด้านหลังมีอสูรสีชาดเชื่องๆ รออยู่ แต่เซียนซีหยางก็ยังถอยแล้วถอยอีก จนระยะเกือบจะเป็นอาหารของสัตว์อสูรถึงได้หยุด เขากอดมารน้อยแน่น กระซิบว่า “มองไปทางขวา เจ้าเห็นช่องไม้เล็กๆ นั่นไหม พอข้าให้สัญญาณเจ้าก็วิ่งหนีไปเลย”

เซียนซีหยางบีบไหล่มารน้อยแน่น “ข้าถ่วงเวลาให้เอง”

มารน้อยเงยหน้าขึ้นในที่สุด เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของชายผู้นี้ เห็นแต่ความกลัว ทั้งยังตัวสั่นไม่ต่างจากเขา แต่ทำไมถึงไม่หนีไปเหมือนกันเล่า มารน้อยเค้นคำพูด “ท่าน...ต้องไปกับข้าด้วย...”

เซียนซีหยางสะดุ้งเมื่อพบว่ามารน้อยยอมพูดกับเขาแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เวลาปลาบปลื้มใจ “ข้าบอกให้เจ้าวิ่งก็ต้องวิ่งนะ” เขาคิดจะผลักมารน้อยออกไป ทว่ามือข้างที่กำแขนเสื้อเขาไว้ แกะอย่างไรก็ไม่หลุด มารน้อยก้าวขวางหน้าเซียนซีหยาง ไอมารพวยพุ่ง

“ฮึ! ไอ้ลูกครึ่งนี่คิดว่าข้ากลัวหรือไง อสูรสีชาดลากมันไปให้พ้น! ” เจ้าหมูออกคำสั่งพร้อมทั้งตวัดแส้ ทันทีที่แส้กระทบพื้น อสูรด้านหลังก็สะบัดคุณชายสามไปอีกทาง จากนั้นก็ตะครุบมารน้อยจนล้ม เซียนซีหยางยันตัวขึ้นจากพื้น แขนด้านซ้ายเป็นรูๆ เลือดไหลโชกเสื้อผ้า จากนั้นก็ถูกชายฉกรรจ์สามคนกดลง

เซียนซีหยางดิ้นหวังให้หลุด ขณะที่มือน่ารังเกียจค่อยๆ ดึงรั้งเสื้อผ้าของเขาอย่างป่าเถื่อน

หยุดนะ! คนที่มีสิทธิ์ถอดเสื้อผ้าของฉันได้ ต้องเป็นสาวสวยตัวเล็กหน้าอกโตๆ เท่านั้น!!

“อึก หยุดนะ! ไอ้หมูตอนนี่! เสียเยี่ย! ” เขาตะโกนหามารน้อย เห็นรางๆ ว่าถูกกัดไปหนึ่งครั้ง

อ๊าก! เจ็บแทนโว้ย! เจ้าหนูนั่นมันจะตายก่อนไหมเนี่ย ซวยแล้วๆ

มันหัวเราะสะใจ ทว่ายังไม่ได้จะพ่นเหยียดหยามคุณชาย จู่ๆ ลมสายหนึ่งก็วูบพัดกระแทกร่างของเจ้าครึ่งหมูกระเด็นออกไป

ทุกคนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ร่างชายฉกรรจ์ที่กำลังจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าเขาก็ทรุดลงไปกองกับพื้นสองคน ส่วนอีกคนกระเด็นไปชนกับอสูรสีชาด ทำให้มารน้อยหลุดจากฟันอันน่าสะพรึงของมันพอดี เซียนซีหยางหันไปตะโกนดังลั่น “ฉีหลิน!! ”

“เกอเองๆ โอ๊ย! หูจะแตก! ”

จ้าวฉีหลินมือถือกระบองยาว ท่วงท่าสง่างาม เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนร่างชายฉกรรจ์ ที่แท้ลมวูบนั้นคือกระบองของนาง ไม่รู้ว่าวรยุทธ์ถึงขั้นไหนจึงซัดเอาร่างอ้วนฉุหนักๆ ของเจ้าครึ่งหมูกระเด็นไปได้ แต่เซียนซีหยางอุ่นใจขึ้นเยอะ เขารีบเข้าไปดูมารน้อยทันที เห็นครึ่งมารตัวสั่นครางออกมาเบาๆ อาการปางตายแต่ไม่ตาย ปราณมารอันน้อยนิดรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้ แต่ก็สร้างความทรมานให้เช่นกัน “ฉีหลิน เขา! ”

จ้าวฉีหลินกล่าวอย่างจริงจังว่า “ถึงจะบาดเจ็บหนัก แต่นายต้องสวมสร้อยข้อมือให้เขาแล้ว มือปราบกำลังจะมาที่นี่”

เซียนซีหยางลังเลมาก หากสวมให้ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถรักษาตัวเองได้แล้ว มารน้อยนี่จะตายไหม ทว่าไม่ทันได้ทำอะไรจ้าวฉีหลินก็ตวัดกระบองเหล็กข้ามศีรษะพวกเขาไป ปะทะกับอสูรสีชาด “เชี่ย! ทำไมอสูรสีชาดมาโผล่ตอนนี้ เกอไม่ได้เตรียมใจมาสู้กับอสูรนะ! ”

นางเร่งยิกๆ ว่า “เร็วเลย เกอต้านได้ไม่นานหรอก นายเห็นมันสั่นไหม ถ้ามันสลัดเข็มออกมาเราตายหองกันหมดแน่ๆ”

เออ...ลืมสกิลสลัดขนของมันซะสนิทเลย ถ้าไม่โจมตีใต้คอหอยพอจวนตัวมันก็จะสลัดขน ตอนนั้นพวกเขาต้องเต็มไปด้วยรูแน่ๆ ที่มันยังไม่สลัดขนตอนแรกก็เพราะถูกควบคุมโดยเจ้าหมู ตอนนี้เจ้าหมูลงไปนอนพังพาบมึนงงเรียบร้อยแล้วใครจะคุมมัน

เซียนซีหยางกล่าวกับมารน้อยว่า “เชื่อใจข้านะ” เขาถอดสร้อยข้อมือเซียนจิ้งจอกออกมา สวมให้มารน้อย

“อะ อึก! ” ครึ่งมารถูกสะกดปราณมารก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ มารน้อยเสียเยี่ยบาดเจ็บทั้งตัวกระตุกวูบก่อนจะหมดสติ เซียนซีหยางทราบว่าเขายังไม่ตายก็อุ้มมารน้อยออกไปอย่างทุลักทุเล

จ้าวฉีหลินพยายามจู่โจมใต้คอมันแล้ว แต่เลเวลนางยังไม่ถึง ถ้าเทียบกันให้เห็นภาพก็คือเอาตัวละครเริ่มต้นง่อยๆ เลเวลสิบกว่า ไปตีกับมอนสเตอร์เลเวลสามสิบนั่นแหละ นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงอุปกรณ์สวมใส่และอาวุธเลยนะ จ้าวฉีหลินไม่มีไอเทมดีๆ ทั้งสองอย่างก็จนปัญญา นางสลัดอสูรสีชาดได้กับเผ่นตามคุณชายไป “เฮ้ๆ ผิดทางแล้ว! ”

จ้าวฉีหลินชี้เส้นทางที่ถูกต้องไปขาก็ก้าวไม่หยุด เสียงคำรามของอสูรตามมาด้านหลัง “...ซีหยาง นายไหวไหม เลือดออกเยอะเลยนี่นา! ” วิ่งมาได้สักพักถึงเห็นสีหน้าไร้เลือดของเซียนซีหยาง

“แค่กๆ ผมไม่เป็นไร คุณอย่าพึ่งชวนคุย ทางออกอยู่ไหน” อุ้มมารน้อยไปด้วยวิ่งไปด้วยก็เหนื่อยแทบขาดใจ นี่อุตส่าห์ลดออกซิเจนมาคุยกับจ้าวฉีหลินได้ครบประโยค ร่างกายของคุณชายสามไม่ทรุดก็ไม่เลวแล้ว จ้าวฉีหลินเห็นเขาแทบหมดแรงกำลังอาสาอุ้มมารน้อยเอง ทว่าชั่วพริบตาก็กระโจนกอดร่างคุณชายล้มลง อสูรสีชาดกระโดดข้ามหัวพวกเขาดักทางอยู่ด้านหน้า

“ตื๊จริงเจ้าเหมียวนี่! ” จ้าวฉีหลินบ่น

“แฮ่กๆ ที่ตื๊อคือเจ้าครึ่งหมูนั่นหรอก” เซียนซีหยางเห็นเจ้าครึ่งหมูถูกชายฉกรรจ์สองคนแบกตามมาด้วยก็ประหลาดใจ “ทำไมฟื้นตัวเร็วงี้”

“ก็เกอยังไม่เข้าขั้นโอเคไหม! ” จ้าวฉีหลินเห็นสองคนที่ถูกฟาดสลบตื่นมาเร็วเกิ๊น ก็หงุดหงิดในพละกำลังตัวเอง

เจ้าครึ่งหมูกล่าวด้วยโทสะ “ฆ่าพวกมันให้หมดเลย! โดยเฉพาะไอ้คุณชายคนนั้น! ”

เซียนซีหยางอยากปรบมือให้ความเจ้าคิดเจ้าแค้นของเขาเสียจริง สภาพตัวเองโดนหามเหมือนหมูแดดเดียว ยังไม่ยอมรามืออีก “คุณไหวไหม” เซียนซีหยางถามกลับ

“นายกะจะให้ฉันรับมือคนเดียวจริงดิ”

“คุณเห็นสภาพผมไหม ลุกวิ่งได้ก็บุญแล้ว” ถามว่าให้ผู้หญิงรับมือกับชายโหดสองคนและสัตว์อสูรโคตรโหดหนึ่งตัวจะเกินไปไหม เหอะๆ นางไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ สักหน่อย คนที่อัดหมูปลิวได้ ยังไงก็ยังดีกว่าคนที่กำลังจะเสียเลือดตายเหมือนเขา

แม่นางจ้าวเห็นเขาโรยแรงลงเรื่อยๆ ก็ไม่มีทางเลือก “ได้ๆ เกอรับมือเอง นายมีแผนหนียังไงต่อ”

“คุณว่ามือปราบกำลังจะมาไม่ใช่เหรอ” เซียนซีหยางหยิบยันต์เปล่ามาหนึ่งใบ

จ้าวฉีหลินควงกระบอง “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ตอนฉันมาตามหานายก็ส่งคนไปแจ้งกับสำนักมือปราบในงานเลี้ยงแล้ว” นางเอาเท้าดันร่างคุณชายไปด้านหลัง “ถ้าโชคเราไม่เลว ก็คงมาทันก่อนฉันกับนายเป็นศพ”

เซียนซีหยางลากมารน้อยไปพิงอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วก็ชะงักมือที่กำลังจะวาดลงบนยันต์ ความหวังริบหรี่จังวะ!

ขณะที่จ้าวฉีหลินออกไปบู๊ไม่กลัวตาย เสียงกระบองเหล็กปะทะดาบดังมาเป็นระยะ อสูรสีชาดเข้าตะปบไม่เลือกหน้า ทำให้นางไม่เสียเปรียบมากนัก เซียนซีหยางตะโกนถามไปว่า “คุณว่าถ้าผมเขียน ‘กระสุนวงจักร’ ลงบนยันต์จะเวิร์คไหม”

แม่นางจ้าวลื่นพรืด พ้นจากกรงเล็บของอสูรสีชาดพอดี ซ้ำกรงเล็บของมันยังไปโดนชายฉกรรจ์สองคนนั้นเข้าอย่างจังด้วย นางรีบม้วนตัวลุกขึ้น กัดฟันตอบว่า “....อาจารย์มาซาชิ (13) ต้องร้องไห้แน่”

อ้อ...เซียนซีหยางชะงักมืออีกรอบ จากนั้นก็วาดยันต์หนึ่งขึ้น หลังขว้างออกไป ลำแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า ระเบิดกระจายเป็นดอกไม้ไฟสีแดง

จ้าวฉีหลินเหลือบมองก็พยักหน้า “ส่งสัญญาณออกไปแบบนั้นแหละ นายเหลือกระดาษยันต์อีกไหม” คุณหนูจ้าวถูกขนเข็มทิ่มไปหลายที่แล้ว

“เหลือ....แอ็คชั่น บีมแผ่นเดียว”

“...” จ้าวฉีหลินแจกจุดเสร็จก็ไปบู๊ต่อไม่สนใจเขาอีก

ใครมันจะไปคิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้เล่า ไม่งั้นฉันขนกระดาษยันต์ติดมาด้วยลังหนึ่งยังได้ เอาหมึกกับแบกโต๊ะเขียนมาด้วยเลยเอ้า!

เวลานี้พ่อค้าทาสเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว หากทำการส่งสัญญาณแสดงว่าต้องมีคนอื่นตามมาอีกแน่ รอถึงตอนนั้นต่อให้ฆ่าเจ้าพวกนี้ได้ พวกเขาก็หลบหนีไม่ทันอยู่ดี แต่หากจะให้ถอนกำลังตอนนี้ เขามองเซียนซีหยางอย่างแค้นเคือง ตัดสินใจพุ่งออกไปตวัดแส้รัดลำคอของคุณชาย

“แค่กๆ ! ” เซียนซีหยางถูกกระชากอย่างแรงจนแสบร้อนทั่วคอ จ้าวฉีหลินติดพันแล้วสาม เขาจึงไม่ได้ร้องเรียกให้นางมาช่วย พยายามฝืนลุกเอง

“เพราะเจ้า! ” เจ้าครึ่งหมูชักมีดออกมา ชั่วพริบตาที่เงื้อมือ ข้อมือของเขาก็หลุดปลิวไปพร้อมกับมีด “อ๊ากกกกก!!! ”

“ว๊ากกก!!!! ” เซียนซีหยางถูกเลือดสาดกระเซ็นเปื้อนใบหน้า ตกใจร้องออกมาดังลั่นพอๆ กับเจ้าครึ่งหมู ยิ่งมันสะบัดแขนอย่างเจ็บปวด เลือดยิ่งสาดไปทั่ว เรียกความสนใจของจ้าวฉีหลิน นางตาไวเท้าก็ไว ก้าวเข้ามากอดเซียนซีหยาง ดึงเขาหลบไปด้านหลังซุกกันใต้ต้นไม้ “กะ เกิดอะไรขึ้น! ”

“นายมองดีๆ ดาบที่ร่อนมาตัดมือเจ้าหมูนั่นคุ้นๆ ไหม” จ้าวฉีหลินเห็นเลือดใบหน้านิ่งสนิท ชี้นิ้วขึ้นไปบนหัว เห็นดาบปักตัดขวางเข้าที่ลำต้นไปครึ่งเล่ม เซียนซีหยางขยี้ตาหรี่มองอยู่หลายตลบ “มืดอะมองไม่เห็น”

จ้าวฉีหลินกล่าวอย่างอดทน “ที่มองไม่ค่อยเห็นเพราะมันเป็นสีดำเฟ้ย! ”

ดาบดำ....หรือว่านั่นคือ!

พริบตาเสียงแซ่กจากพุ่มไม้ดังขึ้น พร้อมทั้งกระบี่แปดเล่มพุ่งเข้ามา เสียบทะลุร่างของชายฉกรรจ์หนึ่งคนตายอีกคนสาหัส อสูรสีชาดตวัดหางหนึ่งครั้งกระบี่สองเล่มกระเด็นออกไป มันถูกกระบี่ที่เหลือก่อกวนจนต้องถอยหลายก้าว เซียนซีหยางมองเห็นเงาคนกลุ่มหนึ่งก่อนเงานั้นจะถูกแสงจันทร์สาดใส่ เห็นชัดว่าเป็นผู้ใด

หัวหน้ามือปราบมาร หลัวซา

นอกจากนั้นยังมีโจวเสวี่ยนและเว่ยเจ้าเฟิง อีกด้านที่ออกมาจากพุ่มไม้เป็นมือปราบจากซางเหรินสิงและเด็กจากสกุลเซียนและสกุลจ้าว มองรวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน...ชิบหองแล้ว!

พวกเขามองหน้ากัน สื่อสารด้วยสายตาที่เข้าอกเข้าใจ

เนื้อหาส่วนนี้เดิมทีดีเทลเล็กนิดเดียว ไฉนเลยจะเอามาเทียบกับตอนนี้ มือปราบขนกันมาหลายสำนัก สกุลอื่นก็ส่งเด็กมาช่วยค้นหา ลงแบบนี้ยังจะเรียกว่าเป็นปฏิบัติการลับได้อยู่อีกไหม

แม่ง...รู้งี้นั่งตบยุงรอเฉยๆ ดีกว่า!!

หลัวซาเดินเข้ามาหา ไม่ได้เหลือบตามองพ่อค้าทาสที่ลงไปนอนกุมแผลร้องโหยหวน เขาเดินมาถึงก็ยืนค้ำหัวของคุณชายสาม หลังจากดึงดาบปราบมารกลับออกไป ก็ออกคำสั่ง “กำจัดอสูรนั่นซะ ส่วนเจ้านี่...” เขามองพ่อค้าทาสด้วยสายตาเย็นชาอำมหิต “ลากตัวไป”

“หลัวซา...” เซียนซีหยางงึมงำ ต่อมาก็นึกได้ว่ามารน้อยที่บาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ด้านหลัง ร่างของครึ่งมารที่ถูกสะกดทำให้ปานแดงเลือนหายไป ทั้งเล็บทั้งคมเขี้ยวก็ไม่มีแล้ว เซียนซีหยางลอบมองมือปราบ พบว่าเขาไม่ได้จ่อคมดาบมาทางนี้ก็โล่งใจ ด้ายถักเซียนสัมฤทธิ์ผล เยส!

“อาหลัว เด็กคนนี้บาดเจ็บสาหัส ต้องรีบพาไปรักษา” คุณชายอุ้มเด็กน้อยลุกขึ้น ทว่าเสียเลือดมากไป ก่อนที่เขาใกล้จะเซล้มมือปราบก็รับร่างของเด็กชายไปแล้ว หลัวซาจ้องเขาแวบหนึ่ง ทำเอาขนลุกชัน

หลัวซาให้คนนำเด็กคนนี้ไปรักษา เขามองแม่นางจ้าวกับเซียนซีหยางสลับกัน จ้าวฉีหลินทรงตัวลุกขึ้นอย่างง่ายดาย ภายใต้การประคบประหงมของสกุลจ้าว นางไม่น่ามาปรากฏตัวที่นี่ได้

เซียนซีหยางเห็นว่าเด็กน้อยถูกพาตัวไปแล้วเขาก็โล่งใจมากขึ้น ร่างกายอ่อนล้าฉับพลัน เขาเซล้มบนอกของมือปราบ ในใจกรีดร้องหลายตลบ ทว่ายังไม่ทันจะดึงตัวกลับมา แขนของหลัวซาก็โอบรอบเอวของเขาไว้แน่นรับน้ำหนักที่โถมมาทั้งหมด พอสัมผัสความเปียกชื้นเหนอะหนะจากเลือด มือปราบก็ขมวดคิ้วแน่น เดิมทีอยากจะถามเขาหลายคำถามไม่ก็จับไปสอบสวนให้หมดเปลือกว่าเหตุใดถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ เกี่ยวข้องอันใดกับพวกค้าทาส แต่พอเห็นสีหน้าไร้เลือดของเขา ร่างกายบาดเจ็บหลายแห่ง เสื้อผ้าก็ขาดหลุดลุ่ย โดยเฉพาะรอยรัดรอบคอขาวๆ ที่แดงเด่นชัด ทำให้เขาเผลอกำมือแน่นได้แต่เร่งให้จัดการสถานการณ์

ปวดแผลเว้ย! ความรู้สึกเหมือนโดนเข็มนับสิบทิ่มเป็นรูพร้อมกันนี่มันสุดจริงๆ

โจวเสวี่ยนผละจากอสูรสีชาดมาถามไถ่ ใบหน้าของเขาปิดความตกตะลึงไม่มิด “ซีหยาง จะ เจ้าหาเรื่องตายอันใดอีก! ”

แค่กๆ พี่โจวก็พูดตรงไป ข้าอยากทำซะที่ไหน! เซียนซีหยางคิดจะกล่าวแก้ตัวสักประโยค ทว่าหน้ามืดกะทันหัน ก่อนโลกจะดับลง เขาสัมผัสได้ว่าถูกใครบางคนกำลังอุ้มอยู่

 

..........

 

หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นก็ผ่านไปสามวัน เซียนซีหยางสลบยาวเพราะเสียเลือดมากเกินไป ส่วนมารน้อยเสียเยี่ยที่ถูกสะกดพลังก็ยังไม่ได้สติ จนกระทั่งเช้าวันที่สี่คุณชายสามก็ตื่น ปรากฏว่าภาพแรกที่เห็นคือมือปราบหลัวนอนอยู่ข้างๆ เขาตกใจจนเกือบตกเตียง โชคดีที่ร่างกายไม่ได้ขยับซะนาน แค่สะดุ้งโหยงสุดตัวก็หมดแรงจะขยับเขยื้อน หลัวซาตื่นขึ้นก็ยังไม่ถามไถ่ไล่เบี้ยอะไรอย่างที่เขาคิด เพียงแค่ลุกไปยกสำรับอาหารมาให้ด้วยตัวเองแล้วก็ออกไปเท่านั้น เซียนซีหยางเองก็ไม่สะดวกใจจะถามเขาเรื่องของมารน้อยเช่นกัน ทว่ากลุ้มใจได้ไม่นานจ้าวฉีหลินก็แวะเวียนมาเยี่ยมไข้ พอเห็นเขาปุ๊ป ใบหน้าอันอ่อนเยาว์งดงามก็บิดเบี้ยวงอง้ำ นางมาถึงก็ระบายความอัดอั้นตลอดสามสี่วันให้เขาฟัง

ที่แท้แม่นางจ้าวก็โดนสอบสวนแทนเขานั่นเอง หลังจากเซียนซีหยางถูกพากลับสกุล จ้าวฉีหลินก็ติดตามขบวนกลับไปด้วยเพื่อรักษาบาดแผล กลายเป็นว่าคืนนั้นมีแขกเหรื่อมากมายอยู่เต็มบ้านสกุลเซียน จ้าวเฟยตี๋เห็นบุตรสาวบาดเจ็บก็แทบจะไปฉีกพ่อค้าทาสออกเป็นชิ้นๆ นางกล่าวว่าต่อให้หลัวซากุมตัวเขาไป ไม่ช้าก็เร็วบิดาของตนต้องตามไปเก็บเขาแน่นอน จ้าวฉีหลินจำต้องแต่งเรื่องขึ้นมาผสมเล็กน้อย นางอ้างว่าเป็นห่วงคุณชายกะทันหันจึงแอบกลับมาตามเส้นทางของสกุลเซียน ไม่นึกว่าจะเจอรถม้าของคุณชายเซียนซีหยางจอดอยู่ข้างทาง ส่วนคุณชายหายเข้าไปในป่า นางจำต้องส่งคนกลับไปรายงาน ส่วนตัวเองได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากข้างในจึงตามไปดูโดยไม่ทันคิดให้ดี โชคดีที่มือปราบตามมาเร็วมาก พวกเขาจึงรอดมาได้

ตอนนั้น จ้าวเฟยตี๋บอกว่าหลังการประลองจบก็ไม่เห็นบุตรสาวกลับมาสักทีจึงเป็นห่วงคิดจะออกไปตามหา ไม่นึกว่าหลัวซากลับมาไม่เห็นคุณชายสามก็ไม่อยู่ร่วมงานฉลอง ตอนนั้นเองที่ผู้ติดตามของจ้าวฉีหลินรีบเร่งมาแจ้งข่าว ทั้งหมดจึงยกเลิกงานเลี้ยงรีบออกตามหาพวกเขาได้ทัน

“งั้นมารน้อย...เสียเยี่ยล่ะ ผมยังไม่เห็นเขาเลย” เซียนซีหยาง

“เจ้าเด็กนั่นฟื้นตัวเร็วมาก แค่สามวันก็ตื่นแล้ว ฉันหาข้ออ้างว่าขอดูแลเพราะนายปกป้องพวกเราจนบาดเจ็บมาสิงอยู่สกุลเซียนตั้งแต่วันแรก เพื่อคอยจับตาดูเสียเยี่ยและหลัวซา กลัวเขาจะรู้ชะมัด” จ้าวฉีหลินกระซิบตอบ “ตอนนี้เจ้าหนูไม่พูดไม่จา ไม่กินอะไรเลย เอาแต่มองหานาย หลัวซาถึงยังไงก็ไม่ยอมให้เจ้าหนูนั่นเข้ามาเห็นหน้านายสักแวบ ไม่รู้ว่าความแตกหรือเปล่า”

แม้ทั้งห้องจะไม่มีใคร แต่เซียนซีหยางก็กระซิบกลับเช่นกัน “จะเป็นไปได้ยังไงเล่า ตอนที่ความแตกเสียเยี่ยใช่ว่าจะโตเต็มวัยเสียที่ไหน หลัวซายังคิดจะสับเละอยู่เลย ตอนนี้ถ้ารู้แล้วว่าเด็กที่พามาเป็นมาร หัวเจ้าหนูนั่นคงหลุดออกจากบ่าไปนานแล้ว”

จ้าวฉีหลินส่ายหน้า “การฟื้นตัวเร็วขนาดนั้น ทั้งที่สาหัสกว่านายก็น่าสงสัยแล้ว ถ้าเกอไม่ยื่นคำขาดดึงดันเอาหมอประจำตระกูลตัวเองมา ก็ไม่รู้จะขู่ให้เขาหาข้ออ้างดีๆ ได้ยังไง”

“เดี๋ยว คุณทำอะไรเนี่ย?”

“ความจริง ด้ายเซียนจิ้งจอกสะกดปราณมารของเขาไม่ให้ถูกตรวจพบได้ แต่เจ้าหนูนั่นพึ่งปล่อยพลังมารแทรกซึมร่างกายไปเมื่อคืน อีกอย่างรอยแผลจากการร้อยโซ่ดำตรึงกระดูกมันไม่หายไปง่ายๆ เหมือนที่อื่น หากให้มือปราบตรวจสอบย่อมต้องระแวงแน่ๆ เกอก็เลยให้หมอของสกุลเป็นคนตรวจ ขู่ไม่ให้เขาบอกเรื่องน่าสงสัยข้อนี้ ให้อธิบายไปว่าเด็กน้อยต้องถูกฝึกมาก่อน มีพลังปราณสูงกว่าคุณชายสาม หลัวซาเคยเป็นทาสอยู่ที่เปี้ยนไถ เขาก็ฟื้นตัวเร็วเหมือนกัน คำอธิบายนี้จึงไม่ถูกสงสัยมาก” จ้าวฉีหลินแค่อ้อนบิดาสักหน่อยให้เขาเข้ามาแทรกแซงการรักษาแทนคนของมือปราบก็เป็นอันเรียบร้อย “นายไปดูมันหน่อยก็แล้วกัน เกอถามอะไรไปก็ไม่ตอบสักคำ เฮ้อ...ไม่ค่อยถูกกับพวกเด็กๆ ซะด้วยสิ” จ้าวฉีหลินแบสองมือยักไหล่ให้เขา เซียนซีหยางจำต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย ตอนนี้ทราบว่าบิดาและหลัวซา รวมทั้งเจ้าสำนักจากซางเหรินสิงกำลังประชุมกันอยู่ที่เรือนหลัก ทางสะดวกก็บอกเฉินฝูเตรียมสำรับอาหารให้

เฉินฝูเห็นเขาฟื้นตัวแล้วก็ดีใจ รีบเตรียมอาหารให้เขาทันที เซียนซีหยางยกสำรับเข้าไปในห้องข้างๆ เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็พบว่ามารน้อยนั่งคู้ตัวอยู่มุมห้อง ไม่เงยหน้ามอง เซียนซีหยางขบคิดเล็กน้อยก็พบว่าแต่เดิมชื่อเสียเยี่ยเป็นเขาที่ตั้งให้เอง “เจ้าหนู จำเสียงของข้าได้หรือไม่”

ทันทีที่กล่าวจบประโยคมารน้อยก็เงยขึ้นขวับ ใบหน้าไม่ได้บวมตาปิด คุณชายจึงเห็นดวงตากระจ่างใสชัดเจน เด็กน้อยมองเขาอย่างตกตะลึง ไม่ได้กล่าวอะไรแค่จ้องตามการเคลื่อนไหวของเขาตาไม่กะพริบอยู่อย่างนั้น เซียนซีหยางย่างเท้าเข้าหาช้าๆ ท่วงท่าสบายๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ขยับหนีก็วางสำรับลงข้างหน้าเด็กน้อย เขาเปิดหน้าต่างออกให้สายลมและไอแดดเข้ามาข้างใน กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ได้ยินว่าเจ้าไม่ได้กินอะไรเลย ทานสักหน่อยเถอะ”

เซียนซีหยางลงนั่งข้างเขา ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป ทิ้งระยะห่างเอาไว้เล็กน้อย “เชื่อใจข้าไหม”

เชื่อใจข้า....

ประโยคนี้เขาเคยได้ยินมาแล้วในป่า คนผู้นี้เป็นคุณชายท่านหนึ่งที่เคยเห็นร่างมารของเขา เด็กน้อยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดถึงได้ถูกช่วยเหลือ แต่รอยยิ้มสว่างไสว ทำให้เขาลังเล ทว่าสุดท้ายก็ยอมทานอาหาร

รสชาติที่เฉินฝูทำค่อนข้างจืด แต่กับเด็กที่เป็นทาสมาก่อน ไม่เคยได้กินแม้กระทั่งซุปดีๆ สักถ้วย อาหารมื้อนี้ทำให้ขอบตาของเขาร้อนผ่าว เซียนซีหยางถามว่า “เจ้ามีชื่อหรือไม่”

ในนิยายดั้งเดิมคุณชายผู้นี้ไม่ได้ถามไถ่ก็ยัดเยียดชื่อให้เขาไปแล้ว ชุบเลี้ยงมารน้อยเหมือนเก็บสุนัขมาเลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น

มารน้อยหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก็จะตอบกลับมาว่า “... มัน

‘มัน’ เป็นชื่อที่เขาถูกเรียกบ่อยๆ จากพ่อค้าทาส เด็กน้อยคิดว่านี่คือชื่อของเขา เซียนซีหยางยิ้มค้าง ในใจลุกไหม้ ไอ้หมูบัดซบเอ๊ย! ขอให้แกโดนเจ้าบ้านจ้าวเชือดทิ้งเร็วๆ !

“นั่นไม่ใช่ชื่อ” เซียนซีหยางอดยกมือขึ้นลูบหัวเขาไม่ได้ เด็กน้อยได้รับสัมผัสอบอุ่นครั้งแรก เกร็งจนตัวสั่น “เจ้าอยากอยู่กับข้าหรือไม่ หากต้องการข้าจะตั้งชื่อให้เจ้า”

มารน้อยเบิกตากว้าง จ้องมองหน้าของคุณชายสาม สองมือกำชายเสื้อแน่น คิดถึงคืนวันสุดแสนจะทรมานที่ผ่านมา เจ็บปวดกายไม่เท่าใจมาตลอด ยามมีคนดูถูกเหยียดหยามตบตีด่าทอ เขาไม่ปล่อยน้ำตาให้ไหลสักหยด พวกมันกล่าวว่ามารไม่มีน้ำตาจริงหรอก ทั้งหมดเป็นแค่การเสแสร้งหลอกให้ผู้อื่นตายใจเท่านั้น มารน้อยจึงไม่คิดจะร้องไห้ให้ผู้ใดเห็น ทว่าฝ่ามือที่วางบนหัวยิ่งกว่าเข็มร้อนพันเล่ม ทิ่มแทงใจด้านชาของเขา จากนั้นน้ำตาที่กักมานานก็เอ่อล้นไม่ขาดสาย เซียนซีหยางสะดุ้งโหยง

เชี่ย! ทำเด็กร้องไห้ซะแล้วเว้ย! ช่วยไม่ได้ ฉีหลินไม่ถูกกับเด็ก ส่วนเขาไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน!

เขามือไม้ไม่อยู่สุขไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน สุดท้ายก็รวบเอาเจ้าหนูมากอด โยกตัวปลอบเขาเบาๆ “ไม่ต้องร้องๆ เป็นลูกผู้ชายร้องไห้น่าดูที่ไหน ข้าคือเซียนซีหยาง หากเจ้าต้องการเรียกข้าว่า...หยางเกอเกอ (พี่ชายหยาง) ก็ได้” เซียนซีหยางกล่าวส่งเดช ปลอบเด็กน้อยอยู่พักใหญ่เขาก็หยุดร้องไห้ เด็กน้อยเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้า...อยากอยู่กับท่าน”

เซียนซีหยางส่งยิ้มละมุน “ดี เช่นนั้นชื่อของเจ้าคือ...เสียเยี่ย”

 

..........................................................................................................................................................

12] Can I play, Daddy? = โหมดง่ายของเกม Wolfenstein the new order ที่มีระดับความยากถึงห้าระดับ

13] อาจารย์มาซาชิ = มาซาชิ คิชิโมโตะ นักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่น โดยเริ่มเป็นที่โด่งดังจากเรื่อง นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ