4 ตอน บทที่ 3 ในคุกใต้ดิน (In the dungeon) 1/2
โดย VerbaArcana
เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรื่อง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด
(Trigger Warning! นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)
ตอนที่ 3 มีฉากทำร้ายร่างกาย และความรุนแรง
เวลาแห่งการเดินทางแม้เพียงแค่จากเนินป้อมปราสาททางทิศเหนือของตัวเมืองลงมายังคฤหาสน์อลิสัน บ้านพักตากอากาศของตระกูลอาร์ชิบอลด์ทางทิศตะวันออก ช่างแสนยาวนานราวกับเป็นแรมเดือน
แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นคฤหาสน์สมัยใหม่เพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน ต่างกับป้อมปราสาทคอร์วินัสที่อยู่มาเกือบพันปี กระนั้นคฤหาสน์ซึ่งแต่เดิมเป็ทรัพย์สินของตระกูลอลิสันบนพื้นที่หลายร้อยไร่นี้ก็มีคุกใต้ดินเช่นกัน
และมันจะเป็นที่จองจำนักโทษคนใหม่อย่าง อาชชี่ โคเว่น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไต่สวน
นักโทษหนุ่มร่างสูงกำยำท่อนบนเปลือยเปล่า ถูกคุมตัวโดยมีผ้าสีดำคลุมศีรษะมาตลอดการเดินเท้าต่อเข้ามายังคุกใต้ดิน เขาได้กลิ่นอับชื้นของผนังปูนและไม้ รวมถึงไออุ่นร้อนและแสงสว่างลอดรำไรคล้ายมีคบไฟจุดอยู่ตามทางเดิน
จวบจนเมื่อถูกกดตัวให้นั่งลงกับบางสิ่งคล้ายแท่นหินเย็นเฉียบ ท่ามกลางความมืดมิดแทบมองไม่เห็นแสงลอดผ่าน ทหารอาร์ชิบอลด์จึงถอดผ้าคลุมหัวออก
อาชชี่ โคเว่นพบตนเองไม่ได้ถูกพันธนาการที่คออีกต่อไป หากแต่มีโซ่ตรวนล่ามเขาไว้ตรงข้อเท้าข้างหนึ่งแทน มือทั้งสองข้างยังคงมีเชือกมัดไพล่หลังแน่นหนาอยู่
ทหารเหล่านั้นพากันเดินออกไปจากห้องขังเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ทิ้งชายหนุ่มอดีตขุนนางยศสูงร่างสะบักสะบอมไว้ให้นั่งคอตกอยู่เพียงลำพังในห้องมืดสลัวที่มีเพียงช่องเล็กๆ เจาะมาจากผิวดินด้านบนพอให้แสงจันทร์ลอดผ่าน
ชายหนุ่มแหงนมองดวงจันทร์บิดเบี้ยวพลางถอนหายใจเหนื่อยล้า อยากร้องไห้จนสิ้นลมเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีน้ำตาเหลือให้หยาดหยดอีกแล้วแม้พยายามกะพริบตาถี่ๆ เพียงนั่งนิ่งเหม่อมองพื้นสกปรก ดำดิ่งกับความรู้สึกซึมลึกยากเกินกว่าจะระบายออกมาเป็นคำพูด
ความมืดมิดเงียบงันจมปลักอยู่กับตนเอง ทำให้เขาหวนนึกถึงเสียงทะเลาะเบาะแว้งระหว่างตนและน้องสาว เสียงมารดาและสหายที่คอยห้าม เสียงของทุกคำพูดเสียดแทงทำร้ายจิตใจที่สองพี่น้องสาดใส่กัน ทุกเสียงเหล่านั้นอันไม่น่าจดจำ บัดนี้กลับยิ่งแจ่มชัดในมโนทัศน์ราวกับเหตุการณ์กำลังเวียนวนเกิดขึ้นตรงหน้า ซ้ำไปซ้ำมาในหัว
“พรุ่งนี้ข้าจะตามพวกเจ้าไป รอก่อนนะ….” อาชชี่รำพึง เสียงสัตว์กลางคืนร้องระงมลอดเข้ามาชัดเจนฝ่าความเงียบสงัด
ในห้วงภวังค์ ขณะกำลังทะเลาะกับน้องสาว ชายหนุ่มเหลือบเห็นบีอาทริเช่ ภรรยาผู้ยังคงยึดติดกับชีวิตหลากสีสันในเมืองหลวง เดินอุ้มบุตรชายของเขา แมกจิโอ อาช ออกไปเงียบๆ
“ก็แค่จะไปงานสังสรรค์เหมือนเคยมิใช่หรือ…" เขาเริ่มฟุ้งซ่าน
"ก็ต้องอยู่ที่นี่สิ คฤหาสน์อลิสัน...หรือไปร้านเหล้าในเมือง” ชักร้อนรนจนเริ่มพูดพล่ามอยู่คนเดียว
“จะว่าไปก็ไม่เห็นทั้งสองคนเลย พระเจ้า...แมกจิโอ ลูกพ่อ เจ้ากับแม่ของเจ้าไปอยู่เสียที่ไหน...จริงสิ! พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน!...หรือจะถูกทำร้ายตั้งแต่ตรงทางเข้า...โอ...ไม่นะ แมกจี้! บี!...” ยิ่งคิดก็ยิ่งกระวนกระวาย
แต่แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าระหว่างถูกลากมาตามทางนั่น ไม่มีศพทารกหรือหญิงสูงศักดิ์ในชุดราตรีฟูฟ่องปรากฎให้เห็น
อาชชี่พรูลมหายใจโล่งอก ค่อยกลับมาสงบจิตสงบใจลงได้บ้างเมื่อคิดได้เช่นนั้น แต่มิอาจปล่อยวางเลยเสียทีเดียวเพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่าชะตาของสองชีวิตนั้นเป็นเช่นไร
“ขอให้ลูกและเมียของข้าจงปลอดภัย”
อาชชี่ โคเว่นเลื่อนตัวลงนั่งคุกเข่า เท้าศอกบนแท่นหิน สองมือประสานกัน แล้วเริ่มสวดภาวนาเป็นประโยคเดิมซ้ำๆ ถึงบุตรและภรรยา อันเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยกระทำนักในชีวิตนี้
ระหว่างนั้น ยินเสียงเหมือนคนไขกุญแจเปิดประตู พร้อมนำแสงตะเกียงดวงใหญ่ส่องสว่างสาดเข้ามาในห้องขังอันมืดมิด ชายหนุ่มค่อยๆ เหลียวมองไปยังต้นเสียง เห็นชายเสื้อนอกสีขาวคุ้นตาโผล่พ้นบานประตูอ้ากว้างอยู่ไหวๆ
ไม่ต้องเห็นหน้าค่าตา ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นใคร เขาอยากพุ่งเข้าไปบีบคอหรือทำอะไรเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการออกกับเจ้าปิศาจชุดขาวจนแทบทนไม่ไหว แต่ต้องสงวนท่าทีไว้ สะกดกลั้นอารมณ์เดือดภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง
มันกำลังเดินตรงเข้ามาหาพร้อมหิ้วถังน้ำและผ้าสีขาวพาดอยู่ตรงขอบ แค่สู้กับมันในปราสาทคอร์วินัสก็มากเกินพอ นี่ยังต้องมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งในที่แบบนี้อีก ไม่มีอะไรจะหดหู่มากไปกว่านี้อีกแล้วด้วยความสัตย์จริง
“ลูกกับเมียของเจ้าปลอดภัยดี…” มันกล่าวเหมือนได้ยินเสียงสวดภาวนา
อาชชี่ค่อยๆ ยันตัวกลับขึ้นมานั่งบนแท่นหิน หลุบตามองปิศาจชุดขาวกำลังย่อตัวนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ดูแปลกตาอย่างไรบอกไม่ถูก
“เผื่อเจ้าอยากรู้ นางกับลูกพักอยู่ในห้องที่พวกข้าจัดไว้ให้ เราดูแลนางในฐานะทูตระหว่างสองตระกูล” มันวางถังน้ำไว้ข้างกาย ก่อนควักมีดพกเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมด้านใน
“จะทำอะไร…” ชายหนุ่มนักโทษถาม
อีกฝ่ายไม่ตอบกลับก้มหน้าก้มตาตัดกางเกงเปรอะเลือดที่มีผ้าพันแบบลวกๆ รอบบาดแผลกระสุนของเขาออก จนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า จากนั้นปิศาจชุดขาวหรือโลเทรค อาร์ชิบอลด์ จึงใช้ผ้าชุบน้ำซับเบาๆ ยังบาดแผลตรงต้นขา
"ข้าตั้งใจยิงถากๆ ไม่งั้นเจ้าอาจเสียเลือดจนตาย…” มันเงยหน้าส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ เบือนหน้าหนี จำใจทนโดนผ้าชุบน้ำเช็ดทั่วร่าง โลเทรคเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างเสียมิได้ก่อนก้มหน้าเช็ดร่างกายเปรอะเลือดนั้นต่อ
“หลายปีมานี้ฝีมือยิงปืนของข้าแม่นขึ้นมาก เจ้าเชื่อไหม ฮะๆๆ …” มันหลุดหัวเราะ
อาชชี่หันกลับมาเขม็งมอง เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าปิศาจผมทองจึงหยุดทำทีกระแอมกลบเกลื่อน
“แฮ่ม...ข้าอยากคุยกับเจ้าแบบนี้มานานแล้ว เราไม่ค่อยได้คุยกันดีๆ เท่าไหร่ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เรายังคุยดีกันได้ก็ตั้งแต่สมัยเรียน ตอนช่วงสงครามปราบกบฏเจ้าก็หลบหน้า พอมาถึงสงครามล่าอาณานิคมเราก็ดันทะเลาะกัน ข้าก็ไปทาง เจ้าก็ไปทาง เราต่างมีภาระต้องรับผิดชอบกันคนละอย่าง”
มันสาธยายชวนระลึกถึงความหลังพลางควักผ้าสีขาวสะอาดที่เตรียมไว้ขึ้นมาพันแผลตรงต้นขาให้
“ตอนนั้น หลังเราจบใหม่ๆ พวกเราก็ก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบกับพวกแบ่งแยกดินแดน ข้า...ข้ายังตื่นเต้นเสมอเมื่อได้เห็นเจ้า...เจ้า...คือความหวังของพวกทหารรุ่นใหม่ ผู้เปิดทางให้เราได้ฝันถึงการขึ้นเป็นผู้นำทัพตั้งแต่อายุยังน้อย…”
อาชชี่เอนหลังพิงผนังกลอกตามองเพดานปล่อยโลเทรคพล่ามต่อ สองมือง่วนอยู่กับการทำแผลและทำความสะอาดเนื้อตัวร่างบาดเจ็บ
“ทุกคนคิดว่า เจ้าได้นำกองร้อยก็พอแล้ว แต่ไม่..เจ้าไปไกลกว่านั้น ในสงครามล่าอาณานิคมที่สู้รบกับพวกชนพื้นเมือง พระเจ้า! เจ้าขึ้นเป็นผู้บัญชาการ! แต่...แต่เจ้าจำได้ไหม...เจ้าเคยช่วยข้าไว้...เจ้าเคยช่วยข้าไว้หลายหนตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ จนถึงช่วงศึกสงคราม แม้ว่าเจ้าจะพูดไม่ดีใส่...เจ้าไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม หรือแค่หงุดหงิด…”
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองเป็นลอนคลื่น ดวงตาสีน้ำตาลทองอ่อน จ้องหน้าเขาพยายามเค้นเอาคำตอบ สองมือบีบคลึงต้นขาแน่นเต็มด้วยมัดกล้ามเนื้อนั้นไปมาโดยไม่รู้ตัวจนนักโทษหนุ่มรู้สึกขยะแขยง
"เอามือออกไป…" ถ้าเพียงแต่เขามีแรงอีกสักหน่อยคงได้ลุกกระทืบมัน
“โอ้...โทษที" มันปล่อยมือ "เสร็จพอดี"
โลเทรคนำผ้าลงชุบน้ำบิดหมาด
"เจ้า...เอ่อ...ไม่ได้ชอบข้านัก ข้ารู้ แต่ว่า...ทำไม...ทำไม เจ้าถึงได้ตามมาช่วยข้าตลอดเลย ข้ายังจำได้วันนั้นที่เราสู้กับพวกชนพื้นเมืองตัวใหญ่ ที่เราสองคนช่วยกันไง เจ้าจำได้ไหม…”
ยิ่งมันพูดพล่ามรำพันมากเท่าไหร่ อาชชี่ โคเว่นยิ่งได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงพร่ำเพ้อพรรณนาของเจ้าปิศาจผมทองค่อยๆ จมหายลึกสู่ห้วงแห่งโทสะ
ลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง ลึก ยาว และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ร่างทั้งร่างเริ่มสั่นเทิ้มเบาๆ ด้วยพยายามสะกดกลั้นความโกรธซึ่งเกาะเกี่ยวก่อตัวขึ้นในจิตใจ เขาไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียง 'จี๊ดดด...' ดังลากยาวท่ามกลางความเงียบสงัดราวกับตกอยู่ในอาการหูอื้อชั่วขณะ
“...เจ้าช่วยข้าน่ะ ข้าดีใจ...แต่...คำพูดของเจ้า...ไม่คิดว่ามันจะแรงไปหน่อยเหรอ...ข้าเสียใจมากนะ...ข้าไม่เคยที่จะได้อยู่ในจุดนั้นแบบที่เจ้าเป็น...แต่...คนเรามันไม่เหมือนกัน ข้าพยายามแล้ว...ทั้งพ่อของข้าก็กดดัน...แล้วก็….”
ยังไม่ทันที่โลเทรคจะพล่ามอะไรต่อ ชายหนุ่มจึงยกเท้าข้างหนึ่งซึ่งไม่ได้โดนตีตรวน ถีบใบหน้าของมันเสียเต็มแรง ร่างนั้นกระเด็นไปโดนถังน้ำจนหกเลอะเทอะ เลือดกำเดาไหลโกรก
อาชชี่บรรดาลโทสะผุดลุกขึ้นจากแท่นหินแล้วสืบเท้าเข้าหาไม่ลดละ เจ้าโลเทรคตกใจหนัก รีบดันตัวถอยกรูดชนเข้ากับขอบบันไดของประตูห้องขัง
“ที่ช่วย...ก็เพราะสมเพชไง!”
ชายหนุ่มผมดำระเบิดเสียง อีกแค่ไม่กี่ก้าวจะถึงตัวมันแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องหยุดชะงักเพราะโซ่ตรวนแน่นหนาดึงรั้งขาข้างนั้นไว้
เขาเผลอเหลียวหลังมองเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ก่อนสะดุ้งสุดตัว เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบหนักๆ ขยุ้มคอของตน
โลเทรคยันร่างขึ้นตั้งหลักทันทีแล้วคว้าคอเขาด้วยความโมโห ก่อนกระแทกร่างนั้นเข้ากับม้านั่งหิน ง้างหมัดกระหน่ำชกใบหน้าเขาอย่างรุนแรงจนเลือดกบปาก
“สมเพชงั้นเหรอ! คิดดีแล้วใช่ไหมที่พูดคำนั้นออกมา!”
มันหยุดชกแล้วใช้แขนข้างเดียวกันนั้นกดหน้าอกช่วงบนของเขาไว้ ส่วนอีกข้างเปลี่ยนไปแก้กางเกงตัวเองออก
“แต่ข้าไม่คิดว่าข้าจะเหมาะกับคำนั้น…” มันกรีดยิ้ม