เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรื่อง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

(Trigger Warning! นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)

 

ตอนที่ 1 มีการใช้ความรุนแรง เข่นฆ่า ทำร้ายร่างกาย 

 

 

‘มันคือค่ำคืนแห่งความชั่วช้าสามานย์อย่างหาใดเปรียบมิได้

 

พวกมันเริ่มจากบุกเข้ามาเรื่อยๆ ตามทางเดิน ทหารยามและบ่าวรับใช้แค่หยิบมือที่ทำงานอยู่แถวโถงทางเดินหลักของปราสาทยังไม่ทันได้กรีดร้องหรือแสดงความหวาดกลัวก็สิ้นชีพไปเสียก่อนด้วยห่าธนูที่ถูกระดมยิงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

 

ไม่รู้ว่าคนสั่งการมันเสียสติหรือกระไร พวกเราไม่มีอาวุธเลยสักนิด ไม่ได้รบมานานแล้วด้วย มันสั่งการราวกับคนหลอนประสาท เหมือนตนเองยังอยู่ในสงครามก็ไม่ปาน

ไอ้สารเลว!

 

ในตอนนั้น ข้าจำได้ จอห์น โอซัลลิแวน เป็นคนเดียวที่วิ่งพาร่างสะบักสะบอมจากห่าธนูมาแจ้งข่าวการบุกโจมตีให้นายท่านได้รับรู้ เขาสั่งการอพยพและรวบรวมกำลังพลขึ้นทันที

 

แต่ขอโทษนะ เจ้าก็รู้นายท่านเกษียณตัวเองจากการเป็นทหารมาได้สามปีแล้ว ตั้งแต่จบศึกล่าอาณานิคม เขาเอียนเลี่ยนสงครามเต็มทน ข้าเองก็เบื่อ พวกเราถึงได้กลับมาที่นี่มาทำการเกษตรและค้าขาย

 

ไอ้เวรตะไลนั่น ทำให้นายท่านต้องกลับมาจับดาบจับปืนอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นมือของเขาสั่นเทา

 

เขาเป็นห่วงท่านหญิงทั้งสองมาก แต่ทั้งสองนางนั้นเข้มแข็งจริงๆ คุณหนูคาเธรีน่า อาสาเป็นผู้นำเลดี้แมคเดอมอทท์ และสาวรับใช้คนอื่นๆ ลงไปหลบภัยยังชั้นใต้ดิน

 

ความจริงนางอยากอยู่ช่วยพี่ชายของนางต่อสู้ แต่นายท่านไม่สบายใจและรบเร้าให้นางพาผู้หญิงและเด็กลงไปหลบจนเกือบจะทะเลาะกันอีกรอบ

 

ให้ตาย! ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก

 

เราทำได้แค่ถอยร่นออกมายังโถงเต้นรำและรวบรวมอาวุธทั้งหมดเข้าต่อต้านกองกำลังติดอาวุธครบมือของเจ้าโลเทรค อาร์ชิบอลด์

 

ข้าเคยเตือนเขาแล้วว่าให้ระวังการเชิญพวกตระกูลบ้านี่มาเที่ยวบ้าน แต่นายท่านไม่เคยฟัง พร่ำบอกแต่ว่า ถ้าเราดีกับเขาก่อน พวกเขาก็จะดีกับเรา

 

แต่ไม่...ไม่! พวกมันไม่ได้คิดเช่นนั้น เราต่างรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

 

แม้แต่ตัวนายท่านเองยังกังวลถึงขั้นต้องส่งสารขอความช่วยเหลือไปยังดยุคแห่งแอปเปิลไชร์ ญาติของเลดี้แมคเดอมอทท์ แต่ไอ้ดยุค...แฮ่ม....เขาก็มิได้นำพา กลับขอให้ส่งตัวท่านหญิงน้อยไปเป็นการแลกเปลี่ยน และผลก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็น....’

 

 

บางที อาชชี่ โคเว่น หรือที่ชาวเมืองคอร์วัสมักเรียกเขาติดปากว่า ลอร์ดโคเว่น อาจยังด้อยประสบการณ์ด้านการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดามากจนเกินไป

 

เขาพยายามมองโลกในแง่ดีและเป็นมิตรกับใครก็ตามที่เดินทางผ่านมายังเมืองอันอุดมไปด้วยพืชพันธุ์ของเขา จนแม้กระทั่งยอมให้ บีอาทริเช่ เดส์ ลูมิเยร์ ภรรยาผู้สูงวัยกว่าได้ออกไปเริงร่า เสวนาพาทีกับเหล่าศัตรู ทั้งที่ในหัวเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

 

น่าเศร้าที่วันเวลาแห่งหายนะของตระกูลกลับมาถึงไวเกินคาดคิด

 

 

เจ้าของใบหน้าคมสันรับกับดวงตาสีฟ้าสดตัดกับผมดำยาวเหยียดตรง รูปร่างสูงใหญ่ ดูโดดเด่นเกินใครในชุดสูทเรียบง่ายสีเข้มตามยุคสมัยยืนสั่งการและช่วยลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขาให้รีบนำเอาบรรดาสิ่งของหนักทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นชุดโซฟาหรู โถลายครามขนาดใหญ่ รูปปั้นประดับขนาดเต็มตัว ไปจนถึงตู้เก็บของ มาขัดประตูทางเข้าโถงเต้นรำที่สามารถจุคนได้เกือบหนึ่งพันคนเลยทีเดียว

 

ตอนนี้โถงเต้นรำซึ่งไม่ใคร่ได้รองรับงานสังสรรคใดมานานพอควร นอกจากงานวันเกิดของเลดี้คาเธรีนา สเตลล่ามาริส ที่เพิ่งฉลองครบรอบสิบแปดปีไปเมื่อหลายเดือนก่อน กลับมาเนืองแน่นขนัดอีกครั้งด้วยกลุ่มทหารและบ่าวรับใช้ชายทุกคนในปราสาทที่เหลือรอด

 

ลอร์ดโคเว่นเอ่ยขอโทษที่ชะล่าใจจนเกิดเหตุในครั้งนี้และขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาอันยากลำบาก ขณะเสียงเดินเท้าของเหล่าอาร์ชิบอลด์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกมันระดมยิงเข้าใส่ประตูอย่างบ้าคลั่ง

 

แม้ไม่มีเวลาให้คิดนานนัก แต่หน่วยพลปืนของตระกูลโคเว่นกลับมิได้ขลาดกลัว พวกเขารีบย่อตัวลงนั่งชันเข่าข้างหนึ่งเรียงแถวหน้ากระดาน จ่อลำกล้องปืนคาบศิลาติดดาบปลายปืนรอพร้อมตั้งรับ โดยมีอีกกลุ่มใหญ่ยืนขึ้นปากกระบอกปืนจ่อรอซ้อนด้านหลังเป็นแถวที่สอง

 

ลอร์ดโคเว่นเหลือบมองแฮมมอนด์ ฟอลเคนเบิร์ก นายทหารผมสั้นสีน้ำตาลแดง รูปร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าเขา ผู้เป็นทั้งคนสนิทและสหายร่วมรบที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยแววตาหวาดหวั่น

 

ทหารหนุ่มพยักหน้าให้กับนายท่านของเขาพลางกระชับมอร์นิ่งสตาร์ อาวุธโบราณรูปร่างเป็นลูกตุ้มเหล็กร้อยโซ่มีหนามแหลม ให้แน่นเข้า ทั้งสองสูดหายใจหนักอึ้งเข้าเต็มปอดก่อนหันไปทางประตูห้องโถงเต้นรำด้านหน้าด้วยหัวใจเต้นสั่นระรัว

 

ประตูห้องโถงนั้นยังเป็นแบบโบราณ จึงมีความแข็งแรงแน่นหนา แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เสียงทุบกระแทกทวีความรุนแรง

 

โลเทรค อาร์ชิบอลด์ กรอกดินประสิวลงไปในปากกระบอกปืนยิงลูกระเบิด ก่อนยัดกระสุนปืนใหญ่ขนาดเท่ากำปั้นผู้ชายตัวโตเข้าไปในปากกระบอกตาม ดวงตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ นอกจากมองตรงไปข้างหน้า ทหารจำนวนหนึ่งใต้อาณัติของเขาก็กำลังทำแบบเดียวกัน

 

“โชคดียังไม่ได้เปลี่ยนประตูใหม่”

 

ลอร์ดโคเว่น กระซิบกับแฮมมอนด์ มือข้างขวาถือดาบยาวคู่ใจ และข้างซ้ายถือมีดความยาวพอเหมาะ

 

“ข้าสั่งแบบไปแล้ว มาอาทิตย์หน้า ทันสมัยสุด...”

 

แฮมมอนด์ตอบก่อนหันกลับมามองทางประตูที่กำลังถูกกระหน่ำทุบอย่างรุนแรงเสียจนแจกันลายครามใบใหญ่ล้มลงแตก เพราะไม่อาจทานแรงสั่นสะเทือน ตามมาด้วยรูปปั้นเทพธิดากรีกไหวระริกล้มลงหน้าคะมำ กระแทกพื้นหินแกรนิตสีชมพูอ่อน ช่วงคอแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

พวกเขาสะดุ้งเล็กน้อย ส่งเสียงอื้ออึงเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงคล้ายปืนใหญ่ดังกึกก้องขึ้น

 

ทหารและคนของตระกูลโคเว่นเริ่มหวาดหวั่นกับแรงกระแทกหนักหน่วงที่ประตูอย่างรุนแรงของลูกเหล็กหลายลูกซึ่งพุ่งย้อยลงมากลิ้งเกลือกกองกันอยู่หน้าประตูไม้หนาด้วยแรงส่งจากเครื่องยิง เกิดเสียงระเบิดตูมใหญ่ดังตามมาทันที ทุกคนในห้องโถงคราวนี้สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ

 

“ใช้ปืนใหญ่ในที่แบบนี้เนี่ยนะ!” แฮมมอนด์ร้องพลางยกมือขึ้นบังศีรษะกันเศษไม้ปลิวว่อน

 

ส่วนนายท่านของเขากลับทำสีหน้าครุ่นคิด “มันเคยเป็นหน่วยเกรนาดิเยร์*”

 

ลอร์ดโคเว่นรำพึงเบาๆ ก่อนหันไปตะโกนร้องบอกทุกคนที่อยู่ด้านหลัง

 

“เครื่องยิงระเบิด!” * 

 

สิ้นเสียง พลันหมุดยึดประตูไม้ขนาดใหญ่จึงเริ่มกะเทาะออกจากผนังหินแล้วล้มลงมาทั้งแผง ทับข้าวของที่นำมาขัดไว้ เศษไม้ปลิวว่อน ฝุ่นควันคละคลุ้ง

 

ลูกระเบิดถูกกระหน่ำยิงเข้ามาอีกครั้งเพื่อเปิดทางให้โล่งยิ่งขึ้น แรงระเบิดอัดข้าวของที่ขวางทางกระเจิดกระเจิงออก

 

ประตูไม้จากที่พาดอยู่กับข้าวของบางส่วนและทำให้ยังยากต่อการเดินฝ่าเข้าไป คราวนี้ล้มลงพังพาบอยู่กับพื้นหินแกรนิตแข็งแรงซึ่งเริ่มกร่อนเป็นหลุมด้วยแรงระเบิด เช่นเดียวกับผนังหินหนาของปราสาทที่ร่วงหล่นเป็นเศษผง เกิดช่องว่างขนาดเท่าประตูเป็นรูกว้างขึ้น

 

เมื่อเห็นว่าทางค่อนข้างโล่งแล้ว โลเทรค อาร์ชิบอลด์ จึงสั่งให้ทหารเดินทัพเข้าไป

 

ทันใดนั้น ลอร์ดโคเว่น ออกคำสั่งให้พลปืนของเขาที่ตอนนี้แปรขบวนมาหลบอยู่ตรงข้างประตู จากที่เรียงแถวหน้ากระดาน ระดมยิงใส่เหล่าทหารอาร์ชิบอลด์ที่กรูกันเข้ามาทันทีจนพวกมันร่วงหล่นเป็นใบไม้

 

แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งให้เหล่าทหารที่เหลือบุกตะลุยเข้ามาได้ พวกมันยังคงรุกคืบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับ โลเทรคที่ฝ่าเข้ามาในห้องโถงพร้อมพลปืนชุดใหญ่

 

มันบัญชาให้ทหารระดมยิงเข้าไปอีกชุด แต่ก็สายเกินไป เพราะแฮมมอนด์พร้อมสมัครพรรคพวกที่ซุ่มอยู่ตามแนวผนังไม่ไกลจากประตูต่างก็วิ่งเข้ามาประชิดพวกมันที่กำลังขึ้นลำกล้องปืน

 

หนุ่มผมน้ำตาลแดงทักทายโลเทรคทันทีด้วยตุ้มเหล็กมอร์นิ่งสตาร์ ทว่าขุนนางหนุ่มหน้าตางดงามในชุดขาว กลับไวพอจะก้มตัวหลบ ตุ้มเหล็กแหลมเหวี่ยงไปกระแทกใบหน้าทหารเคราะห์ร้ายใกล้ๆ แทน จนกะโหลกยุบ ลูกตาหลุดกระเด็นออกจากเบ้า

 

กลุ่มทหารอาร์ชิบอลด์จำนวนหนึ่งกำลังบรรจุกระสุนปืนอยู่นอกทางเข้า เมื่อเห็นดังนั้นจึงพุ่งเข้าใส่แฮมมอนด์ด้วยดาบปลายปืน

 

ชายผมแดงกระชากศพหัวยุบด้วยมอร์นิ่งสตาร์ ใช้ต่างโล่รับคมดาบไว้แทน ก่อนยันศพใส่พวกทหารอาร์ชิบอลด์แล้วดึงตุ้มหนามออก รีบหนีกลับออกมาตั้งหลักทันที

 

ลอร์ดโคเว่น เห็นว่ากองกำลังอาร์ชิบอลด์ที่เตรียมพร้อมอยู่ด้านนอก กำลังจะบุกเข้ามาเพิ่ม จึงสั่งให้ลูกน้องใช้ธนูสำรองที่เตรียมไว้ ระดมยิงอัดหน้าปากประตูทางเข้าเพื่อเป็นการสนับสนุนและสกัดไม่ให้พวกมันทะลักกันเข้ามามากไปกว่านี้

 

ทว่ายิ่งทีก็ยิ่งสุดต้านทาง การปะทะซึ่งหน้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

 

โลเทรค อาร์ชิบอลด์ เงยหน้ามองลูกธนูที่พุ่งเป็นสายราวห่าฝนผ่านเหนือหัว เขารีบมุดเข้าไปหลบใต้กองศพลูกน้อง แล้วหยิบลูกระเบิดที่กลิ้งหล่นออกมาจากกระเป๋าสะพายของศพ ใช้มีดตัดปลายสายชนวนให้สั้นลง จุดไฟกับสายชนวนสั้นนั้นอย่างรวดเร็ว

 

ชายหนุ่มในชุดขาวเปรอะเลือดนิดหน่อยโผล่ตัวขึ้นมานั่งคุกเข่ากลางดงศพทหาร ปาลูกระเบิดเข้าไปตกกลางห้องโถง

 

กลุ่มทหารโคเว่นกระโจนหลบกันไปคนละทิศ รวมถึงลอร์ดโคเว่นที่กำลังจะเข้าปะทะ แฮมมอนด์รีบวิ่งฝ่ามาหาเจ้านาย กลุ่มทหารอาร์ชิบอลด์เห็นเป็นโอกาสยิ่งบุกเข้าไปจนลึกกว่าเดิมได้

 

“จับเป็นอาชชี่ โคเว่น ส่วนคนอื่นฆ่าให้หมด!”

 

โลเทรค อาร์ชิบอลด์ รีบลุกขึ้นสั่งการด้วยน้ำเสียงดุดันหลังสิ้นเสียงระเบิด 

 

ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ทหารอาร์ชิบอลด์ยิ่งรุกคืบต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง

 

ลอร์ดโคเว่นค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นบ้าง เขาเสียคนไปบางส่วนแล้วจากแรงระเบิดเมื่อครู่นี้ ไม่มีเวลามานั่งคร่ำครวญนอกจากเดินหน้าต่อสู้ต่อ

 

ชายหนุ่มผมดำทุลักทุเลคว้าดาบคู่ใจขึ้นมาแทงสวนทหารอาร์ชิบอลด์นายหนึ่งที่กำลังพุ่งมาหา ตวัดมีดในมืออีกข้างปาดคอหอยอีกฝ่ายจนขาดใจตาย ก่อนยกเท้ายันร่างทหารนายนั้นเพื่อดึงดาบออก 

 

การตะลุมบอนอย่างเต็มรูปแบบได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างเริ่มบุกเข้าหากันจนไม่ทันได้บรรจุกระสุนปืน พวกเขาใช้ดาบติดปลายปืนแทงเข้าไปที่อีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งเมื่อจวนตัว

 

 

ในเวลาเดียวกัน คาเธรีน่ากำลังพามารดา เด็กๆ และเป็นบ่าวรับใช้หญิง ทยอยเดินลงไปทางคุกใต้ดินขนาดใหญ่ใต้เนินปราสาท สถานที่เก็บกางเขนประจำตระกูลขนาดยักษ์ สูงเกือบสิบเมตร

 

พวกนางเดินผ่านโถงทำพิธี ครอบไว้ด้วยเพดานสูงโค้ง มีคานแข็งแรงรองรับน้ำหนักพาดไปตามแนว พลางเงยหน้าเหลือบมองกางเขนทะมึนสีดำเหลือบแดงนั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นบูชา สองหูเงี่ยฟังเสียงตะลุมบอนดังก้องสะท้อนมาจากข้างบนไกลๆ ก่อนจะล่วงเข้าสู่ส่วนของห้องคุมขังที่เพดานเตี้ยลงมาหน่อย และมีทางแยกมากมายน่าขนลุก

 

คาเธรีน่ายังจำเส้นทางได้ดีพอที่จะพาเหล่าหญิงสาวและเด็กๆ ไปยังประตูทางออกขนาดใหญ่ด้านหลังของปราสาทได้ เพราะพี่ชายของนางเคยพามาเดินเลาะที่นี่เป็นประจำ

 

แม้จะกลัวความมืดมิดเพียงใด แต่แสงสว่างรำไรที่ปลายสุดทางเดินนั้น ก็ยังพอจะทำให้นางใจชื้นขึ้น คาเธรีน่ารีบรุดเข้าไปไขกุญแจเปิดประตู โดยมีสาวรับใช้สองสามคนมาช่วยกันดึงออกเพราะมันค่อนข้างหนักและฝืด

 

เด็กสาวยกตะเกียงขึ้นจ้องมองฝ่าความมืด สองเท้าหยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นเงาตะคุ่มของกลุ่มคนสวมหมวกยืนออกันแน่นขนัดหน้าทางเข้าราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง และนางยังได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังอื้ออึงมาจากเนินทุ่งหญ้าด้านบนอีกด้วย

 

แสงสว่างที่เห็นลอดแนวช่องประตูเข้ามามิใช่แสงแห่งทางออก หากแต่เป็นแสงตะเกียงซึ่งอยู่ในมือของใครสักคน หนึ่งในกลุ่มเงาทะมึนเหล่านั้นที่กำลังหันหน้ายกตะเกียงชูขึ้นมาทางเหล่าหญิงสาว

 

เลดี้แมคเดอมอทท์บีบมือบุตรสาวแน่น นางถอดสร้อยลูกประคำห้อยจี้กางเขนที่คอออกมาเกาะกุมไว้แล้วเริ่มสวดภาวนา ระหว่างแสงตะเกียงจากฝั่งตรงข้ามเคลื่อนมาใกล้เข้า จนเริ่มเห็นใบหน้าและสีเสื้อผ้าได้อย่างชัดเจน

 

บีอาทริเช่ เดส์ ลูมิเยร์ ปรากฏกายโผล่พ้นเงามืด ใบหน้าขาวประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางมาอย่างดีเปื้อนรอยยิ้มเย็น นางยื่นสร้อยลูกประคำประดับจี้กางเขนประจำตัวซึ่งห้อยอยู่ที่มือของนางออกไปจ่อหน้ากลุ่มหญิงสาว

 

“สวดภาวนาซะสิ ให้กับสิ่งนี้ แล้วดูว่ามันจะปกป้องพวกเจ้าจากข้าได้ไหม หึ หึ หึ....”

 

สิ้นประโยค เหล่าทหารอาร์ชิบอลด์พร้อมอาวุธกลุ่มใหญ่จึงย่างสามขุมตรงเข้าหากลุ่มผู้หญิงและเด็กจากตระกูลโคเว่น ด้วยสีหน้าถมึงทึงราวกับไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่

 

“บีอาทริเช่ นี่เจ้า....”

 

คาเธรีนากัดฟันกรอด นางปล่อยมือจากมารดาก่อนชักดาบออกมาจากซองหนังคาดเอว เช่นเดียวกันกับหญิงรับใช้บางส่วนที่หยิบเอาปืนพกขึ้นมาพร้อมรับมือ

 

หากพี่ชายของนางมีเลือดนักสู้เช่นไร สาวน้อยสายเลือดโคเว่นผู้นี้ก็มีไม่ต่างกัน

 

_______________________________________________________________________

* เครื่องยิงลูกระเบิดพกพา (Hand Mortar) เป็นต้นแบบปืนยิงลูกระเบิดสมัยใหม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เกรเนด ลันเชอร์ (Grenade Launcher) 

* เกรนาดิเยร์ (Grenadier) หน่วยทหารราบยุทโธปกรณ์หนัก แต่เดิมมีไว้เพื่อทำหน้าที่เขวี้ยงลูกระเบิดและเชี่ยวชาญด้านการใช้เครื่องยิงลูกระเบิดพกพา ต่อมาถูกลดบทบาทลงเหลือเพียงทำหน้าที่ดูแลขนย้ายปืนใหญ่และพาหนะสงครามอื่นๆ ทำหน้าที่แบบเดียวกับทหารแนวหน้า เพราะช่วงหนึ่งระเบิดมือไม่ได้ใช้ยากจนต้องอาศัยหน่วยเฉพาะทาง ปัจจุบัน หน่วยนี้กลับมาทำหน้าที่ Grenadier อีกครั้ง สำหรับทหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้เครื่องยิงระเบิด

________________________________________________________________________________

 อาชชี่ ซัลวาตอเร แมคเดอมอทท์ ดา โคเว่น (Ashe Salvatore McDemott Da Coven)

หรือ อาชชี่ โคเว่น (Ashe Coven)

บีอาทริเช่ เดส์ ลูมิเยร์ (Beatrice des Lumieres)

คาเธรีนา สเตลล่ามาริส (Caterina Stellamaris)

แฮมมอนด์ ฟอลเคนเบิร์ก (Hammond Falkenburg)