3 ตอน 2: ขอภายในเที่ยงครึ่งนะครับ
โดย อโศก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งระหว่างที่ลักษณ์กำลังเซ็นเอกสารอยู่ในห้องทำงาน เมื่อเขาอนุญาตไพบูลย์ก็เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มกระดาษเล่มบาง
“รายงานที่คุณธนดลส่งมาให้ครับ”
ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแฟ้มมาพลิกดูคร่าวๆ เมื่อพบว่าเป็นรายงานผลการใช้งานหลังติดตั้งซอฟต์แวร์ของลูกค้าก็เลิกคิ้ว
“ทำไมถึงเอามาให้ผม”
“เขาบอกว่างานนี้ให้คุณเป็นคนไปครับ” ไพบูลย์ตอบอย่างระมัดระวัง เขาปวดหัวทุกทีเวลาต้องเป็นตัวกลางระหว่างประธานกับรองประธาน
ใบหน้าคร้ามคมฉายแววไม่สบอารมณ์เด่นชัด
“เรียกเขาลงมา”
ไพบูลย์ดันแว่นตาไร้กรอบของเขาให้เข้าที่พลางขอตัวออกจากห้องไปทำตามคำสั่ง ไม่นานประตูกระจกก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
“มีอะไรถึงโทรไปไม่ได้ ต้องให้ฉันถ่อลงมาถึงนี่” ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันบ่นนำมาก่อนขายาวๆ ที่สวมรองเท้าคร็อคจะก้าวเข้ามาในห้อง
ไพบูลย์เพียงแต่รับฟังนิ่งๆ ไม่ได้ตอบคำ
ไวเปอร์เทคเช่าตึกสำนักงานใจกลางเมืองชั้นสี่สิบถึงสี่สิบสาม สามชั้นบนเป็นของพวกโปรแกรมเมอร์ มีเพียงชั้นนี้ที่เป็นออฟฟิศสำหรับทำงานเอกสาร ปกติธนดลมักขลุกตัวอยู่ข้างบนนอกจากจะมีประชุมสำคัญถึงค่อยลงมา
ผู้มาใหม่กวาดตามาเห็นคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะก็โพล่งเสียงดังจนได้ยินไปถึงข้างนอก
“อ้าว ทำไมตาเป็นหมีแพนด้าอย่างนี้ล่ะ”
ลักษณ์หน้าบึ้งสนิท
ไพบูลย์รีบปิดประตูห้องอย่างไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการสนทนาครั้งนี้
“ฉันนอนน้อย” คนใต้ตาคล้ำพูดเสียงเรียบ
“ทำไมนอนน้อย เสาร์อาทิตย์ไม่ได้เข้ามาทำงานไม่ใช่เหรอ” ธนดลยังไม่เลิกซัก
ลักษณ์ขมวดคิ้วมองคนที่มาถึงก็เดินไปเปิดขวดน้ำผลไม้สกัดเย็นดื่มอย่างกับเป็นเจ้าของห้อง หนุ่มลูกครึ่งอเมริกันในเสื้อฮู้ดกันหนาวสีเขียวขี้ม้าสกรีนคำว่า NASA กับกางเกงวอร์มสีเทาเดินกลับมานั่งกระดิกเท้ารอฟัง เมื่อยังไม่ได้ยินคำอธิบายก็เลิกคิ้วทำนองว่า ‘สรุปว่าทำไมล่ะ’
ลองได้สงสัยอะไรแล้วธนดลเป็นประเภทกัดไม่ปล่อยจนกว่าจะได้คำตอบ
ลักษณ์เคยชื่นชมนิสัยนี้ของเพื่อนสนิทเพราะมันทำให้อีกฝ่ายทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์แก้ปัญหาได้ดี ความสามารถนี้ของธนดลยืนยันได้ด้วยถ้วยรางวัลด้านเขียนโปรแกรมระดับโลกมากมายในห้องทำงานที่ถูกเขาใช้แขวนแมสก์บ้าง แว่นกันแดดบ้าง แต่ชายหนุ่มชักเกลียดมันขึ้นมาตงิดๆ เมื่อเป็นฝ่ายถูกซักเสียเอง
“เรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับงาน”
“อ้อ เมียเด็กชวนทำการบ้านน่ะเอง” ธนดลพยักหน้า
“...”
ลักษณ์ไม่รู้ว่าเขาทำกรรมอะไรไว้
ด้วยความที่มีสายตาละเอียดอ่อนช่างจับผิด สองปีก่อนธนดลสังเกตออกอย่างรวดเร็วว่าลักษณ์มีผู้หญิงแถมยังรู้ว่าจะต้องเด็กกว่า แต่เขายังไม่ถึงกับรู้ว่าเป็นคนในบริษัท ลักษณ์ต้องซื้อเก้าอี้นวดหลายตัวให้ชั้นบนเพื่อเป็นการปิดปาก
ก่อนที่อีกฝ่ายจะถามมากไปกว่านี้เขาก็โยนแฟ้มที่ไพบูลย์เอามาให้ไปตรงหน้า
“ติดตามฟีดแบ็กหลังดีพลอยเมนต์ไอซ์เบิร์กให้เซลส์ไปสักคนก็พอแล้ว ทำไมต้องเป็นฉันหรือไม่ก็นาย”
หมอนี่คิดว่ารองประธานของบริษัทที่ประธานเอาแต่ขลุกตัวเขียนโค้ดว่างนักหรือไง
ตามตำแหน่งลักษณ์เป็นรองประธานบริษัท แต่ในทางปฏิบัติเขาคือผู้กุมบังเหียนของไวเปอร์เทคทั้งหมด
ธนดลเป็นคนริเริ่มอยากทำบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ ตอนก่อนจะก่อตั้งเขาเคยบอกว่าให้ลักษณ์ตัดสินใจทุกเรื่องได้เลยเพราะเขาเองไม่มีความสนใจในงานบริหารแล้วก็ไม่ได้ต้องการตำแหน่ง ทว่าลักษณ์ยืนยันว่าถ้ามีธนดลเป็นประธานจะสร้างแรงบันดาลใจและดึงดูดหัวกะทิในสายงานนี้ได้ดีกว่า ธนดลจึงตกลงรับตำแหน่งในนามนี้
ลักษณ์ปล่อยให้เขาทำงานที่ถนัดคือดูแลภาพรวมโปรเจกต์ทั้งหมด ส่วนตัวเองจัดการเรื่องการบริหารและทิศทางของบริษัทซึ่งก็เป็นงานที่เขาถนัดเหมือนกัน แล้วก็ทำอย่างนั้นกันมาตลอดตั้งแต่ตอนที่บริษัทยังเป็นแค่ห้องเล็กๆ หนึ่งห้องจนตอนนี้ขยับขยายครอบครองพื้นที่สี่ชั้นของตึก
ชายหนุ่มรู้ว่าทำไมธนดลถึงอยากให้ระดับผู้บริหารเป็นคนออกโรงครั้งนี้ แต่เขาไม่อยากสนใจ
เพราะลูกค้ารายนี้คือดิเอนด์เลสกรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าของครอบครัวเขา
ประธานหนุ่มลูบคางที่ปกคลุมด้วยหนวดเคราดกหนาจนแทบบอกไม่ได้ว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง
“นายก็รู้ว่าบริษัทพ่อนายเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ถ้าพวกเขาเรียกร้องอะไรเพิ่มเซลส์ไม่กล้าตัดสินใจหรอก”
“แล้วทำไมนายไม่ทำต่อให้จบ” ลักษณ์ถามนิ่งๆ
ธนดลพูดไทยได้แต่มักรู้สึกไม่คล่องปากเท่าไหร่ปกติเลยพูดอังกฤษมากกว่า ตอนเสนองานให้ดิเอนด์เลสกรุ๊ปที่พนักงานส่วนใหญ่เป็นคนไทยธนดลก็เป็นคนนำทัพไปเอง แม้เขาจะไม่ชอบใจที่ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดีแล้วก็ปั้นหน้าพูดคุยตามประสาเนิร์ดเข้าสังคมยาก แต่เมื่อจำเป็นเขาก็ทำได้ดีจนสามารถเอาชนะคู่แข่งแล้วคว้าโปรเจกต์นี้มาครอง แถมยังได้สิทธิ์เสนอโปรเจกต์ระยะยาวอีกหลายโครงการ ขณะที่ลักษณ์ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับดิเอนด์เลสกรุ๊ปไม่ได้โผล่ไปเพื่อป้องกันข้อครหา
“ฉันไม่อยากไปบริษัทพ่อนาย พี่ๆ นายใจร้าย”
ลักษณ์เหลือบมองฝรั่งสูงเฉียดสองเมตรที่พูดหน้าตาย
เรื่องที่เขาไม่ค่อยลงรอยกับครอบครัวเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ความจริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนขนาดที่สื่อเอาไปเขียน
เขาแค่รู้สึกว่าอาณาจักรของศิริบริพัฒน์ยิ่งใหญ่เกินไป ดิเอนด์เลสกรุ๊ปที่ก่อตั้งโดยเจ้าสัวบุญ ศิริบริพัฒน์ คุณปู่ของเขามีธุรกิจหลักในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แรกเริ่มบริษัทก่อร่างสร้างตัวมาจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและสำนักงานให้เช่า ต่อมาจึงขยับขยายมาจับทางทาวน์เฮาส์กับหมู่บ้านจัดสรรและกำลังจะก้าวต่อไปยังธุรกิจโรงแรม เดอะซีเคร็ตพาเลซก็เป็นหนึ่งในโครงการระดับพรีเมียมของบริษัท เพนต์เฮาส์ที่เขาอยู่เป็นของขวัญวันเกิดที่คุณปู่ยกให้ตอนอายุครบยี่สิบปี
ว่าตามตรงเขาไม่ได้ตั้งแง่อะไรกับงานพัฒนาอสังหาฯ ทว่าเป็นระบบการทำงานที่อุ้ยอ้ายของบริษัทใหญ่ต่างหากที่เขามีปัญหาด้วย
ความใหญ่โตของดิเอนด์เลสเป็นเหมือนปลอกคอที่รัดแน่นจนคิดหยิบจับอะไรก็ลำบาก เขาจึงออกมาทำอะไรของตัวเองที่คล่องตัวกว่าแล้วปล่อยให้พี่ชายพี่สาวดูแลกิจการของครอบครัวไป แน่นอนว่าการตัดสินใจนี้ทำให้มีการกระทบกระทั่งกันบ้างตามประสาครอบครัว แต่หลังออกจากปากคนนอกที่ไม่รู้จริงหลายทีเข้าก็ทำให้กลายเป็น ‘ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของตระกูลใหญ่’ ไปได้
ธนดลเองรู้ดีในข้อนี้แต่ชอบเออออไปกับข่าวอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก ที่อีกฝ่ายผลักภาระมาให้เขาวันนี้น่าจะเป็นเพราะตัวเองถึงขีดจำกัดแล้วมากกว่า ประธานบริษัทของเขาเป็นพวกชอบเอาทุกอย่างไปสุมไว้กับตัวมาแต่ไหนแต่ไร นั่นก็อยากทำ นี่ก็อยากทำ หมกมุ่นกับความสมบูรณ์แบบจนสุดท้ายก็เกือบไม่ทันเส้นตาย
ลักษณ์มองสารรูปดูไม่ได้ของเพื่อน ช่วงหลายอาทิตย์นี้ได้อาบน้ำบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่าว่าแต่เป็นประธาน บอกว่ามันมีงานมีการทำคนยังแทบไม่ค่อยเชื่อ
ดูท่างานนี้เขาจะไม่ไปก็ไม่ได้
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
“ฉันใจร้ายกว่าพี่ฉันอีก”
ธนดลยิ้มกว้างเมื่อฟังออกว่าลักษณ์ตกลงจะไปแทน เมื่อได้อย่างที่ต้องการแล้วก็เปลี่ยนสีทันที
“ฉันรู้ แต่ฉันกุมความลับนายไว้ในกำมือ”
“ปีเตอร์สัน แค่ฉันมีผู้หญิงไม่ใช่ความลับอะไร”
“รอจนฉันเอาคลิปนายกุ๊กกิ๊กกับเด็กที่บันไดหนีไฟออกมาจะพูดอย่างนี้อยู่ไหม”
ลักษณ์ตวัดสายตาคมกริบมองคนตรงหน้า
หมอนี่กำลังบลัฟฟ์ เขาไม่เคยทำอะไรกับอิสระที่นี่ แต่ชั่วขณะที่ลังเลไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของคนที่ตั้งใจจับตามองอยู่ก่อนได้
“สรุปว่าเป็นพนักงานของเราด้วยเหรอ ท่านรองประธาน นายทำให้ฉันประหลาดใจนะ” ธนดลหัวเราะครึกครื้น
เขาแค่พูดไปเรื่อยเพราะน้ำผลไม้สกัดเย็นดูไม่เข้ากับห้องทำงานเคร่งขรึมของลักษณ์ แล้วไพบูลย์ก็ไม่ใช่คนที่จะห่วงใยสุขภาพเจ้านาย แต่ปรากฏว่าแทนที่จะงงว่าเขาพล่ามเรื่องคลิปอะไรหมอนี่กลับทำหน้าเข้มใส่ราวกับเด็กหวงของ
“คนไหนน่ะ เด็กชั้นนี้สินะ นายดูไม่ใช่พวกชอบเนิร์ด”
“แล้วรู้ไหมมีเนิร์ดคนนึงที่ฉันไม่ชอบเป็นพิเศษ” ลักษณ์เสียดสี เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากคนตรงหน้า
“ไว้แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ อยากคุยด้วยเลยว่าชอบของแปลกหรือไง”
ธนดลตบไหล่เพื่อนขำๆ ทว่าพอเห็นสีหน้าอยากตัดเงินเดือนคนของรองประธานก็ทำมือรูดซิปปากทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม “ฉันไปก่อนดีกว่า”
แต่ก่อนออกจากห้องธนดลกดโทรศัพท์มือถือยุกยิก ใบหน้ารกครึ้มเงยขึ้นมาพลางว่า
“ฉันพึ่งส่งแค็ตตาล็อกแว่นวีอาร์ตัวใหม่ของโฮลท์คอร์ปให้นาย”
“แล้วไง” ลักษณ์ถามอย่างเย็นชา
“อยากได้”
รองประธานหนุ่มปิดประตูกระแทกใส่หน้าเขา
แต่แล้วก็เปิดประตูออกมาสั่งไพบูลย์ที่นั่งอยู่หน้าห้องเสียงเย็น
“ตัดสิทธิ์การเข้าถึงกล้องวงจรปิดของธนดลให้ผมที”
เช้าถัดมาลักษณ์มีประชุมกับฝ่ายกลยุทธ์ตั้งแต่แปดโมงเช้าจึงต้องรีบออกจากห้องกว่าปกติ หลังประชุมเสร็จแล้วไพบูลย์ก็เข้ามาสรุปงานที่ค้างไว้ของเมื่อวานให้ฟัง ก่อนออกไปก็แจ้งกำหนดการว่าวันนี้มีอะไรสำคัญบ้างอีกที
“คุณดารกาโทรมาบอกว่าเธอพึ่งกลับจากบูดาเปสต์ อาทิตย์นี้ให้คุณหาเวลาว่างเข้าไปเอาของฝากที่บ้านด้วยครับ” ไพบูลย์บอกเรื่องที่พี่สาวของลักษณ์โทรมาเป็นอย่างสุดท้าย
“อืม รู้แล้ว”
ลักษณ์พยักหน้าขอบใจอย่างไม่กระตือรือร้นขณะเช็กอีเมล เลขาหนุ่มคิดว่าสุดท้ายเจ้านายคงส่งคนขับรถไปเอาของฝากเหมือนครั้งก่อนๆ
หลังไพบูลย์ออกจากห้องลักษณ์ก็จัดการงานที่สุมอยู่จนเกือบเที่ยง ชายหนุ่มยกหูโทรศัพท์ภายใน ก่อนกรอกเสียงลงไปหาเซลส์ที่ดูแลโปรเจกต์ของลูกค้าที่จะเข้ามาที่บริษัทบ่ายนี้
“สวัสดีครับคุณทรงสิทธิ์ ผมขอดูสไลด์ที่จะใช้นำเสนอยิปซัมโซลูชันหน่อยครับ ดรอปไว้ในโฟลเดอร์ผมได้เลย”
ปลายสายละล่ำละลักตอบทันทีเมื่อจำเสียงได้ว่าเป็นรองประธาน ลักษณ์รีเฟรชหน้าจอก็เห็นไฟล์งานถูกนำมาแปะไว้อย่างรวดเร็ว เขาไล่ดูสักพักก่อนยกหูโทรหาอีกครั้ง
“คุณทรงสิทธิ์ รบกวนมาที่ห้องผมหน่อยครับ”
ทรงสิทธิ์เดินตัวลีบเข้ามาในห้องกระจก ไม่ต้องใช้ลางสังหรณ์ก็บอกได้ว่าคนที่นั่งคิ้วขมวดอยู่เรียกเขามาไม่ใช่จะชมแน่ๆ
“นี่เป็นสไลด์ที่ใช้เสนองานให้ลูกค้าเหรอครับ”
แค่ประโยคแรกก็ทำเขาหัวใจหยุดเต้นแล้ว
ลักษณ์เอาสไลด์ขึ้นจอข้างผนังก่อนเลื่อนเมาส์เร็วๆ ให้ดูว่าเหมือนกับที่ผู้มาใหม่ทำในเครื่องของตัวเองไหม เพราะบางครั้งเวลาเปิดไฟล์จากแชร์โฟลเดอร์จะทำให้เกิดเหตุการณ์ตัวหนังสือเลื่อน ภาพเคลื่อนอยู่เป็นครั้งคราว
เมื่อทรงสิทธิ์พยักหน้าและยังดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่ามีข้อผิดพลาดอะไรคิ้วเข้มก็ขมวดหนักกว่าเดิม
“ข้อมูลกระจัดกระจาย บางหน้าเนื้อหาแน่นเกินไป บางหน้าเนื้อหาน้อยเกินไป บางหน้าผมเห็นแล้วยังนึกไม่ออกว่าคุณจะสื่ออะไร”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาตั้งใจโจมตี
“คุณต้องเข้าใจนะครับว่านี่เป็นสไลด์ที่ใช้อธิบายกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้คนที่เราอนุมานไปเลยว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับด้านนี้มาก่อน ไม่จำเป็นต้องลงลึกถึงพวกศัพท์เทคนิคหรือกระบวนการซับซ้อน เอาแค่ให้เห็นภาพรวมว่าหนึ่งไปสองไปสามก็พอ”
ธรรมดาลักษณ์ไม่ใช่คนจ้ำจี้จ้ำไช เขาจะปล่อยให้พนักงานทำงานของตัวเองด้วยความเชื่อใจเพราะคิดว่ายังไงต้องมีการตรวจงานจากหัวหน้างานอยู่แล้ว แต่บังเอิญซอฟต์แวร์ตัวนี้เป็นโปรเจกต์ใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครรวบรวมข้อมูลเอาไว้ แล้วทรงสิทธิ์ก็พึ่งเริ่มงานได้สองอาทิตย์เขาจึงยังไม่เคยเห็นว่าอีกฝ่ายทำงานเป็นยังไงวันนี้จึงได้เรียกดู
“ระ...รับทราบครับ” ทรงสิทธิ์ตอบตะกุกตะกัก
ยามปกติเขาเป็นเซลส์ที่พูดจาฉะฉานแต่ไม่รู้ทำไมเมื่ออยู่ต่อหน้ารองประธานกลับติดอ่างขึ้นมา บางทีอาจเป็นเพราะใบหน้าดุๆ ไร้รอยยิ้มนั่นก็ได้ ถึงอีกฝ่ายจะแนะนำเขาดีๆ โดยไม่ได้ใช้อารมณ์แต่มันก็ชวนให้ใจฝ่อดีชะงัดนัก
“ผมไม่แน่ใจว่าใครให้ไทม์ไลน์คุณมา โปรเจกต์เมเนเจอร์เหรอครับ”
“ครับ ผมคุยกับห่าวหรานมา เขาบอกว่าเวลาประมาณนี้ได้แล้วครับ”
“คุณได้ลองรีเช็กกับดีเวลอปเปอร์ด้วยหรือเปล่า”
“ยังไม่ได้เช็กครับ”
“ผมว่าไทม์ไลน์มันแน่นไปครับ ไม่เผื่อเวลาให้เกิดปัญหาได้เลย คุณลองคุยกับคุณธนินท์แล้วก็ห่าวหรานอีกที ถ้าให้ดีก็คุยพร้อมกันเลย ให้พวกเขาตกลงกันเอง ไม่อย่างนั้นถ้ามีปัญหาที่ไม่คาดคิดหรือเกิดลูกค้าขอปรับเพิ่มฟีเจอร์แล้วดีเวลอปเปอร์ต้องใช้เวลาแก้งานจนเบียดบังขั้นตอนทดสอบคุณภาพ ปล่อยงานออกไปเดี๋ยวจะโดนตีกลับมาว่าผ่านทดสอบยังไงให้บั๊กเยอะขนาดนี้”
“เข้าใจแล้วครับ” ทรงสิทธิ์ลูบหน้าเมื่อคิดว่าจุดนี้อาจทำให้เกิดปัญหาได้จริงๆ
“แล้วก็…”
ยังไม่หมดอีกเหรอ
เขาคร่ำครวญเมื่อความมั่นใจแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
“ผมอยากให้คุณระวังเรื่องความคงที่ของฟอนต์ด้วยนะครับ มีหลายหน้าเลยที่ใช้ฟอนต์ไม่เหมือนกันในหน้าเดียว หัวข้อในแต่ละเซคชันก็ควรจะให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกันด้วย ถ้าจะจัดกึ่งกลางก็ให้กึ่งกลางทั้งหมด จะชิดซ้ายก็ชิดซ้ายทั้งหมด ที่สำคัญโลโก้บริษัทเราที่มุมขวาล่างมันไม่เท่ากันสักหน้าเลยนะครับ ทีมแบรนดิ้งมีบทความให้ความรู้อยู่ว่าถ้าจะใช้โลโก้บริษัทในงานนำเสนอลักษณะนี้ต้องเว้นระยะเท่าไหร่ เดี๋ยวผมจะหาในไลบรารีแล้วส่งลิงค์ให้”
ลักษณ์ว่าพลางคลิกหาบทความในฐานข้อมูลกลางของบริษัท ไม่นานก็หาเจอจึงส่งให้อีกฝ่ายทางแชท
ความจริงด้วยตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ของทรงสิทธิ์ไม่ควรต้องมีใครตรวจงานแล้ว หรือถ้ามีคนตรวจก็ควรจะเป็นพิพัฒน์ที่เป็นผู้จัดการฝ่ายขายไม่ใช่เขา ทว่าด้วยเวลาที่มีค่อนข้างกระชั้นชิดในเมื่อลักษณ์เห็นแล้วก็เลยแนะนำด้วยตัวเองไปก่อน ไว้เขาจะเรียกพิพัฒน์มากำชับเรื่องความเป็นมืออาชีพในการทำงานนำเสนอของลูกทีมที่เป็นด่านหน้าของบริษัทภายหลัง
ชายหนุ่มเห็นทรงสิทธิ์ดูใจเสียก็เอ่ยปลอบประโยคหนึ่ง
“คุณลองไปแก้ไขมาก่อน เดี๋ยวผมจะตรวจให้อีกที”
“ได้ครับคุณลักษณ์ ขอบคุณมากครับ”
ลักษณ์พยักหน้า ก่อนเอ่ยอีกประโยคที่ไม่เรียกได้ว่าเป็นการปลอบใจเท่าไหร่
“ขอภายในเที่ยงครึ่งนะครับ”
เสียงคุยโทรศัพท์สลับกับตอกแป้นคีย์บอร์ดดังผสมปนเปกันในแผนกฝ่ายขาย เหล่าเซลส์แมนเดินวุ่นวาย ผุดลุกผุดนั่งหยิบเอกสารพลางเจรจาอย่างคึกคัก
ที่มุมหนึ่งของห้อง อิสระนั่งเขย่าขาเอนหลังพิงเก้าอี้ขณะจิ้มคีย์บอร์ดทีละตัวอย่างเชื่องช้า
“ลม โควเทชันของผมเสร็จหรือยัง” ราเจชเคาะโต๊ะเรียกความสนใจจากเธอ
“เสร็จแล้ว ฉันใส่ไว้ในแชร์โฟลเดอร์น่ะ”
หนุ่มอินเดียตาหวานทำเสียงสูงอย่างประหลาดใจ
“เอ๊ะ ทำไมเร็วจัง ผมบอกว่าอาทิตย์หน้าก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
“แล้วทำไมมาเรียกหาเอาตั้งแต่วันนี้ล่ะ” เธอมองเขาอย่างเอาเรื่อง รู้ดีว่าเวลาให้งานเขาชอบบอกว่า ‘ไม่รีบ เมื่อไหร่ก็ได้’ แล้วชอบมาเร่งให้ทำเอาตอนที่เธอไม่มีเวลาที่สุด อีกฝ่ายลูบหลังคอพลางหัวเราะแห้งๆ
“ก็เผื่อว่าจะได้ไง ขอบใจที่รัก”
เขาชูนิ้วโป้งให้แล้วกลับไปที่โต๊ะเพื่อตรวจงานก่อนส่งไปให้ลูกค้า ราเจชคลิกดูเร็วๆ จนแน่ใจว่าเรียบร้อยก็ตะโกนข้ามฝั่งมาว่า ‘คุณยอดที่สุด’
“ฉันรับคำขอบคุณเป็นเงินสดเท่านั้นนะ” เธอป้องปากตะโกนกลับไป
“ผมจำไม่ได้ว่าพูดว่าขอบคุณนะ ผมพูดว่าขอบใจ”
อิสระหัวเราะร่วนกับความทันคนของเขา พิพัฒน์เดินถือแก้วกาแฟผ่านมาหยุดที่โต๊ะอิสระจึงหมุนเก้าอี้กลับมาทักทายหัวหน้า เขาพยักพเยิดไปทางซองเอกสารสีใสนับสิบที่วางระเกะระกะ ทว่าคงมีแบบแผนสำหรับเจ้าของโต๊ะเพราะเธอหาเจอทุกครั้ง
“เธอบอกว่าไม่ชอบงานบริษัทแต่เธอทำงานของทุกคนเสร็จก่อนเวลานะ”
อิสระเป่าหมากฝรั่งแตกดังโพล๊ะพลางยิ้มเผล่
“ลมเป็นคนขี้เกียจประเภทที่จะส่งงานเป็นคนแรกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงมันในวันหลังอีกน่ะ พี่โป้งอย่าพึ่งมองลมในแง่ดีเลยค่ะ”
ผู้จัดการหนุ่มหัวเราะเบาๆ เมื่อถูกดักคอ
ในแผนกมีเขาคนเดียวที่รู้ว่าอิสระเป็นพนักงานที่ไพบูลย์ฝากมาเมื่อราวหนึ่งปีก่อน เวลานั้นทีมกำลังขยับขยาย บวกกับความอยากรู้อยากเห็นว่าคนแบบไหนที่เลขาของรองประธานผู้เถรตรงอย่างกับไม้บรรทัดออกปากฝากฝังเขาเลยตกลงรับเข้ามา
พอเห็นหน้าก็ต้องรู้สึกว่าผิดคาด
เดิมเขานึกว่าเธอจะเป็นลูกท่านหลานเธอขี้วีนที่รบเร้าพ่อแม่ว่าอยากทำงานที่เดียวกับลักษณ์เพื่อหาทางใกล้ชิด แต่เขาคงจะดูละครมากไป คนที่นั่งรอในห้องสัมภาษณ์กลับเป็นลูกครึ่งหน้าใสที่สวมชุดแต่งหน้าเลยวัยไปไกล เธอเอียงคอมองเสื้อโปโลกางเกงยีนของเขาแล้วก็หัวเราะออกมา เธอว่าเธอโดนไพบูลย์ตุ๋นเสียเปื่อย เขาเป็นคนเลือกชุดนี้ให้
‘ถึงเขาจะฝากมาแต่คุณไม่ต้องกังวลถ้าจะปฏิเสธ’
คนที่ควรจะอยากได้งานกลับพูดอย่างนั้น ผู้จัดการฝ่ายขายที่คลุกคลีในวงการนี้มายี่สิบกว่าปีอย่างเขามองออกว่าเธอมีแววขัดเกลาได้ เขาบอกเธอว่าให้โอกาสตัวเองสักปีเป็นไง
เธอรับปากตามนั้น
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคาด อิสระทำงานไม่เลว พวกเซลส์ก็ชอบเธอ แม้ไม่ถึงกับเรียกได้ว่าผลงานโดดเด่น แต่มีที่ว่างสำหรับการพัฒนา
เสียแต่เธอดูไม่ค่อยอยากก้าวหน้าเท่าไหร่
หลังเข้ามาแล้วไพบูลย์แวะมาถามความคืบหน้าของเธอเป็นครั้งคราว เขาก็รายงานไปตามตรง คุณเลขาหน้านิ่งพยักหน้ารับรู้โดยไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ทั้งคู่ไม่มีบรรยากาศของคนรัก แต่จะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกันก็ดูไม่คล้าย ถ้าไม่ใช่ว่าเธอพิมพ์งานช้าเหมือนเต่าคลานเขาคงนึกว่าอิสระเป็นคนที่รองประธานส่งมาตรวจสอบการทำงานของฝ่ายขาย
เขาพิจารณาคนตรงหน้าก่อนเอ่ยออกมา
“รู้ไหมเธอเป็นคนมีศักยภาพนะ แต่เธอไม่มีความทะเยอทะยาน แก้ตรงนี้อีกนิดฉันว่าเธอจะไปได้ไกล”
ดวงหน้าแฉล้มยิ้มให้เขาจนตาหยีโดยไม่ได้ตอบอะไร ผู้จัดการหนุ่มถอนหายใจยาวเมื่อดูออกว่าเปลี่ยนใจเธอไม่ได้ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นทรงสิทธิ์ที่เดินเร็วๆ เข้ามา
“เป็นไงบ้างย้ง คุณลักษณ์ว่าอะไรไหม” พิพัฒน์ถามซูเปอร์ไวเซอร์คนใหม่ที่พึ่งเข้ามาไม่ทันไรก็ได้รับโปรเจกต์ใหญ่ไปทำ
“ยาวเลยพี่ ผมขอแก้งานก่อนเดี๋ยวเล่าให้ฟังตอนกินข้าว”
“โอเค โทษทีว่ะ อาทิตย์ก่อนยุ่งๆ เลยไม่ได้ตรวจงานให้” ปกติเซลส์ทุกคนจะเอาสไลด์ใส่ไว้ในแชร์โฟลเดอร์แล้วทักมาให้เขาดูก่อนเอาไปเสนองานจริง วันนี้เขานึกได้ว่าทรงสิทธิ์มีต้องนำเสนอแต่อีกฝ่ายยังไม่ได้ส่งไฟล์ให้เขา ตอนจะเรียกให้เอามาให้ดูก็พบว่าลักษณ์โทรเรียกทรงสิทธิ์ไปหาที่ห้องแล้ว
“ไม่เป็นไรพี่ จริงๆ ส่วนใหญ่แค่ปรับการจัดหน้า มีต้องแก้เนื้อหานิดเดียว”
“งั้นเหรอ ลม ตอนนี้ยุ่งหรือเปล่า ช่วยย้งปรับสไลด์ได้ไหม” พิพัฒน์ถามอิสระเมื่อทรงสิทธิ์โทรหาโปรเจกต์เมเนเจอร์กับดีเวลอปเปอร์
“ได้ค่ะ วันนี้ไม่มีงานอะไรด่วนต้องส่งแล้ว”
ทรงสิทธิ์เอามือบังไม่ให้เสียงเข้าโทรศัพท์ที่คุยอยู่พลางว่าด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ “คุณลักษณ์เขาให้แก้หลายที่อยู่นะ พี่จดมายังไม่รู้ครบหรือเปล่าเลย”
ราเจชที่ไม่รู้มาร่วมวงตั้งแต่เมื่อไหร่แทรกขึ้นมา
“พี่ย้งไม่ต้องห่วง ลมเป็นลัคกี้ไอเท็มของทีมฮะ ถ้าให้ลมทำสไลด์ถูกใจคุณลักษณ์แน่นอน”
“ลัคกี้ไอเท็มกะผีน่ะสิ เขาทำได้เพราะรู้จักสังเกตว่าเจ้านายชอบแบบไหนแล้วปรับปรุงต่างหาก ใครจะเหมือนนายที่ชอบทำผิดที่เดิมซ้ำซาก”
อิสระหัวเราะเมื่อราเจชถูกพิพัฒน์บ่นต่ออีกยืดยาว เธอเปิดไฟล์ของทรงสิทธิ์ดูคร่าวๆ แล้วก็รู้ว่ามีตรงไหนที่ต้องแก้โดยไม่ต้องอ่านโน้ตที่อีกฝ่ายแชทมาให้
ที่ราจเรียกเธอว่าเป็นลัคกี้ไอเท็มก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล สไลด์ที่เธอทำถูกตำหนิน้อยมาก แต่ที่คนอื่นไม่รู้ก็คือจะถูกตำหนิเยอะได้ยังไงในเมื่อลักษณ์เป็นคนสอนเธอทำสไลด์เอง
ตอนเธอเข้าทำงานแล้วต้องทำสไลด์ครั้งแรก ลักษณ์เกือบลมใส่เมื่อเห็นภาพเคลื่อนไหวดุ๊กดิ๊กกับพื้นหลังสีรุ้ง รองประธานผู้เข้มงวดอดตาหลับขับตานอนเปิดเลคเชอร์ให้เธออยู่ครึ่งค่อนคืน
แน่นอนว่า...เธอตอบแทนเขาเป็นอย่างดีในครึ่งคืนหลัง
วันถัดมาก็เลยโดนคนที่ต้องประชุมเช้าสวดไปตามระเบียบ
อิสระนึกภาพใบหน้าบูดๆ กับผมยุ่งเหยิงยามตื่นนอนของเขาพลางหัวเราะในใจ จะว่าไปลักษณ์เป็นเจ้าหนี้ที่ไม่หน้าเลือดเอาเสียเลย มีแต่เธอนี่แหละที่ขยันทบต้นทบดอกให้เขาจนสมควรได้ตำแหน่งลูกหนี้ดีเด่น
“ใจเย็นๆ ครับคุณธนินท์ ผมยังไม่ได้รับปากเดดไลน์นี้กับลูกค้า นี่เป็นแค่เวลาคร่าวๆ ที่ห่าวหรานประเมินไว้ ถ้าทีมคุณเห็นว่าไม่ได้ก็เรียกมาเลยว่าต้องประมาณไหน หืม กลางพฤษภา เยอะไปครับ…”
เสียงทรงสิทธิ์ที่เจรจาไปเปิดดูข้อมูลรายงานไปเรียกความสนใจเธอให้กลับมา เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปเกือบห้านาทีแล้วร่างบางก็ขยับขึ้นมานั่งหลังตรงก่อนเริ่มต้นแก้สไลด์ในส่วนที่ทำได้ ส่วนไทม์ไลน์เดี๋ยวคงจะได้ข้อสรุปหลังวางสาย
Comments (0)