เสียงหอบหายใจดังรัญจวนในห้องนั่งเล่นของเพนต์เฮาส์หรู

            บนพรมนุ่มมีเรือนร่างเปลือยเปล่าสองร่างโรมรันกันอย่างเร่าร้อนท่ามกลางแสงไฟสลัว หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งยันมือกับหน้าอกหนั่นแน่นพลางขยับโยกสะโพกกระชั้นถี่จนได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังกังวาน มือใหญ่สากกร้านของคนที่อยู่ด้านล่างโลมลูบหน้าอกคู่งาม ก่อนเลื่อนลงมากอบกุมเอวคอดกิ่วแล้วกระแทกสวนกลับจนเธอซ่านสะท้าน

“คุณลักษณ์”

เธอพึมพำชื่อเขาเสียงเบาหวิว ดวงตาสีเทาชุ่มโชกไปด้วยแรงปรารถนา

เปลวเทียนไหววูบตามการเคลื่อนไหว เหงื่อหนึ่งหยดไหลจากหางคิ้วสู่ปลายคางก่อนจะตกกระทบลงบนหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม

“แรงอีกหน่อยค่ะ”
            อิสระแหงนหน้าไปด้านหลังด้วยอารมณ์พิศวาส เปิดเปลือยลำคอระหงที่เต็มไปด้วยร่องรอยจากการร่วมรัก กระแสไฟแล่นปราดไปตามร่างกาย

“ฉัน...ฉันใกล้ถึงแล้ว”

ลักษณ์ครางเสียงต่ำ บีบขยำบั้นท้ายงอนงามพลางเร่งความเร็วเพื่อให้ถึงจุดหมายพร้อมกันกับเธอ

ปลายเล็บมนจิกบนผิวกายของเขาเมื่อความหวามไหวไต่ขึ้นสูงเกินต้านทาน ช่องทางรักรัดรึงท่อนลำแข็งขึงรุนแรง

อิสระหวีดร้องแผ่วเบาเมื่อบางสิ่งบางอย่างในร่างกายแตกกระจายก่อนซวนซบลงบนหน้าอกเขาตัวสั่นระริก ลักษณ์หยัดสะโพกลึกเป็นครั้งสุดท้าย ปลดปล่อยราวทำนบเขื่อนแตกทลาย

 

            “คราวหลังถ้าหลอดไฟเสียก็ให้บอกรีเซปชัน เดี๋ยวเขาตามช่างมาซ่อมเอง ไม่ใช่หน้าที่พนักงานที่จะต้องไปเปลี่ยนหลอดไฟ”

ลักษณ์พูดขณะตามเก็บเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งกระจัดกระจายขึ้นมาสวม

“แต่มันเสียเวลานี่ ในเมื่อฉันเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนให้มันจบๆ ไป ไม่เห็นต้องวุ่นวายเลย” อิสระที่นอนคว่ำกอดหมอนอิงแย้งอย่างไม่จริงจังนักด้วยรู้ว่าสุดท้ายต้องทำตามเขาว่าอยู่ดี

ทีแรกเธอนึกว่าจะถูกบ่นตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว แต่เขากลับแค่เรียกเธอไปถามเรื่องลงทะเบียนลูกค้าเจ้าสำคัญเฉยๆ โชคดีที่เธอทำเสร็จตั้งแต่เมื่อวานจึงให้คำตอบที่น่าพอใจกับเขาได้

ลักษณ์ไม่ชอบอะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ

แล้วก็ไม่ชอบคนไม่มีประสิทธิภาพด้วย

รองประธานคนนี้เข้มงวดทั้งกับตัวเองและคนอื่น ชีวิตเขาเต็มไปด้วยกำหนดการถี่ยิบ ไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาด เธอพนันได้เลยว่าเขาคงวางแผนชีวิตล่วงหน้าไว้อย่างน้อยสิบปี

คนหน้าดุมองเจ้าของก้นกลมกลึงสีน้ำผึ้งพลางว่าเสียงเย็นชา
            “บริษัทจ้างคุณมาทำงานแต่คุณเอาเวลามาเปลี่ยนหลอดไฟ ดูจะไม่คุ้มค่าจ้างเท่าไหร่นะ”

เออแน่ะ ว่าไปนั่น พูดซะยังกับเธอเปลี่ยนหลอดไฟสักร้อยดวง
            “ฉันนึกว่าฉันอยู่ที่นั่นเพราะเผื่อคุณเกิดปึ๋งปั๋งในเวลางานซะอีก”

อิสระพลิกกลับมาเย้ายิ้มๆ ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีมูลความจริง

ลักษณ์ในวัยสามสิบสี่ปีบ้างานเข้าเส้นเลือด เขาไม่เคยทำตัวรุ่มร่ามกับเธอนอกเพนต์เฮาส์ที่พวกเขาอยู่ด้วยซ้ำ

ดวงตาคมปลาบหลุบมองปลายเท้าเรียวยาวที่ยุ่มย่ามอยู่บนเป้ากางเกงของตน

“อย่าซน”

เขาดุ แต่ไม่ได้ต่อต้านเมื่อเสื้อเชิ้ตถูกนิ้วเท้าจิกทึ้งดึงออกไป
            “คุณกลัวขาดทุนนักไม่ใช่เหรอ อีกสักรอบเป็นไง”

อิสระยิ้มกริ่มเมื่อเห็นไฟปรารถนาลุกโชนขึ้นในแววตาของเขาอีกครั้ง

ร่างบางบรรจงแยกขาออก เปิดเผยเนินเนื้อของกายสาวสู่ครรลองสายตา
            “อย่าพึ่งรีบนอนเลยน่า”

 

ลักษณ์ยืนรอลิฟต์หน้าบอกบุญไม่รับอยู่ชั้นล่างของตึก

เหล่าพนักงานที่จวนจะเข้างานสายอยู่รอมร่อต่างเกี่ยงกันไปมา หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกับเขา ต่างทำทีเป็นกดโทรศัพท์หาเพื่อน แสร้งมีน้ำใจกับพนักงานบริษัทอื่นที่เช่าสำนักงานในตึกเดียวกันให้ขึ้นลิฟต์ไปก่อน

ใครจะอยากใช้เวลาน่าอึดอัดในที่แคบๆ กับรองประธานสุดโหด ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่พ่อเจ้าประคุณหน้าหงิกเป็นจวักอย่างนี้

คนที่ถูก 'เกรงใจ' อยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวจนไม่ได้สนใจบรรยากาศแปลกๆ รอบข้าง เมื่อคืนเขาถูกอิสระก่อกวนจนเกือบเช้า พึ่งจะได้นอนไปสองชั่วโมงก็ต้องลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน พอออกจากห้องนอนมาเจอเธอฮัมเพลงในครัวหน้าตาอิ่มเอมเหมือนแมวที่พึ่งกินปลาย่างเข้าไปทั้งตัวแล้วก็ขวางหูขวางตาเหลือคณา ยิ่งเธอทำหน้าเห็นอกเห็นใจที่เขาดูอิดโรยแล้วเลื่อนชามที่มีไข่ลวกสามฟองให้ก็คันมืออยากจะยื่นซองขาวให้นัก

‘บำรุงร่างกายหน่อยนะคะ’

เธอตบก้นเขาเบาๆ ก่อนคว้ากระเป๋าแล้วออกจากห้องไปโดยไม่แยแสสายตาขุ่นคลั่กจากข้างหลัง

ลักษณ์หวนนึกถึงราวสองปีก่อนที่เขาเจอเธอเป็นครั้งแรก

เวลานั้นอิสระเป็นบาร์เทนเดอร์ในคลับที่เขาถูกเพื่อนลากไป สิ่งแรกที่เตะตาเขาคือรอยยิ้มเสเพลเกียจคร้านยามเธอพูดคุยกับลูกค้า เธอหันมาทางเขาแทบจะทันทีที่รู้ตัวว่าถูกมอง ไม่กลัวคนเสียด้วย หญิงสาวยิ้มอวดเขี้ยวคู่เล็กๆ พลางขยิบตาให้เขาเหมือนพวกขี้เมาหัวงู

ลักษณ์ดูออกตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตากันว่าภายใต้ท่าทางไม่อินังขังขอบนั่น เธอเป็นคนสุดโต่งที่บ้าดีเดือด

‘เฮ้ คุณมีให้ยืมสักสิบล้านไหม’

น้ำเสียงติดจะแหบเอ่ยถามเขา

ชายหนุ่มมองคนที่นั่งพิงกำแพงสกปรกพลางยิ้มให้เขาอย่างจนตรอก

‘ทุกอย่างของฉันเป็นของคุณ’

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นแบบนั้น เธอย้ายเข้ามาอยู่ในห้องนอนแขกของเขา อิสระดรอปเรียนออกมาทำงานลักษณ์จึงให้เธอกลับไปเรียนต่อจนจบ หลังจากนั้นก็ให้เลขาเขาจัดแจงหางานให้ทำที่บริษัท

คืนแรกที่ร่วมเตียงกันอิสระเป็นฝ่ายเคาะประตูห้องเขาโดยสวมแต่เสื้อคลุมอาบน้ำ ใบหน้าแดงซ่านอย่างประหม่า เธอก้าวยาวๆ มานอนแข็งทื่ออยู่บนเตียงแล้วยกนิ้วโป้งให้เป็นสัญญาณว่า ‘พร้อมแล้ว’ เขาเกือบจะคิดว่าเธอน่าเอ็นดู

แต่หลังจากคุ้นเคยกันเขาพบว่าเธอห่างไกลจากคำว่าน่าเอ็นดูโข

อิสระยียวน ช่างเย้าแหย่ แล้วก็ปากว่ามือถึง

ลักษณ์ไม่ได้ต้องการนางบำเรอที่เจียมเนื้อเจียมตัวเห็นเขาเป็นเจ้าชีวิต เขามองนี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม เขาสนับสนุนเธอด้านการเงิน ส่วนเธอสนับสนุนเขาด้านความสุขบนเตียง เขาไม่เคยกะเกณฑ์อย่างอื่นในชีวิตเธอนอกจากว่าระหว่างนี้เธอต้องมีเขาคนเดียว อิสระไม่คัดค้าน ทั้งยังทำตัวอิสระสมชื่อ จากที่เคยไม่กล้ามองหน้าเขาอยู่สามวันหลังนอนด้วยกันเดี๋ยวนี้เธอไม่ลังเลที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

ชายหนุ่มหน้าร้อนวาบเมื่อนึกถึงฟันคมๆ ที่ขบกัดใบหูกับมือนุ่มๆ ที่โอบกอดเขาจากด้านหลัง

อยู่กับเขาเธอนึกอยากจับตรงไหนก็จับ นึกอยากจูบตรงไหนก็จูบ
            ไม่รู้ว่าใครปรนเปรอใครกันแน่

ประตูลิฟต์เปิดออก คนห้าคนเดินออกมา ตามด้วยใบหน้ากระจ่างใสที่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขา

"อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณลักษณ์"

พนักงานชายหญิงที่ยืนแถวนั้นลอบยกแก้วเหล้าให้เธอในใจ น้องลมคนนี้เส้นใหญ่ขนาดไหนกันถึงได้ไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างนี้

"สวัสดี" ลักษณ์กัดฟันพูดกับคนที่วันทยหัตถ์เขากวนๆ คร้านจะใส่ใจสายตาสอดรู้สอดเห็นที่เมียงมองมาอย่างรอดูเรื่องสนุก

ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างอิสระกับเขาแม้เธอจะเข้าทำงานมาเกือบปีแล้ว ด้วยเพราะในแง่หน้าที่การงานพวกเขาแทบไม่มีความเกี่ยวข้องให้ต้องใกล้ชิดกัน เขาเป็นรองประธานบริษัท ส่วนเธอเป็นเซลส์แอดมินที่ดูแลข้อมูลลูกค้า

อิสระอาศัยจุดยืนที่แตกต่างราวฟ้ากับเหวของพวกเขาในการ ‘ทำตัวธรรมชาติ’ ตบตาคน เธอมักทักทายเขาเมื่อเจอกันตามทางเดิน แม้จะดูกล้าหาญเกินพนักงานคนอื่นๆ ไปบ้างแต่ก็รับกันดีกับบุคลิกขี้เล่นสนุกสนานของเธอ บางครั้งลักษณ์เผลอตัวตีฝีปากออกไปตามความเคยชิน ทำให้ตอนนี้มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าเขาเหม็นขี้หน้าอิสระ

...ก็ไม่นับว่าผิดล่ะนะ

ชายหนุ่มปรายตามองคนที่แม้จะไม่ได้ยิ้มก็ยังเหมือนมีรอยยิ้มแฝงอยู่ในแววตา

ทว่าวันนี้หญิงสาวไม่ได้เซ้าซี้กับเขาต่อ เธอแค่หันไปทักเพื่อนร่วมงานสองสามคนข้างหลังแล้วเดินไปร้านสมูธตี้เพื่อสุขภาพที่เปิดอยู่ชั้นล็อบบี้ทั้งที่คนอื่นรีบร้อนกลัวเข้างานไม่ทันจะแย่

อิสระยืนเขย่งปลายเท้าอ่านเมนูอยู่หน้าร้านสักพักก่อนจะมีคนออกมารับออเดอร์

สงสัยฝ่ายขายงานน้อยไปหน่อยแล้วมั้งช่วงนี้

ลักษณ์หรี่ตามองคนที่หัวเราะกับพนักงานชายของร้านอย่างไม่ประสงค์ดีก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง

 

            บรรยากาศในออฟฟิศตอนเช้าค่อนข้างเงียบ แอร์เย็นเฉียบตัดกับอากาศร้อนจัดภายนอกช่วยให้คนที่เดินทางมาร้อนๆ สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทว่าสำหรับคนที่หย่อนก้นประจำที่นั่งสักพักแล้วออกจะหนาวอยู่บ้าง

ภาณุจิบกาแฟสดหอมกรุ่นพลางพรมนิ้วใส่รหัสเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ยังไม่ทันจะได้ชื่นชมลูกๆ พืชอวบน้ำที่เขาตั้งเป็นภาพพื้นหลังหน้าจอ โปรแกรมแชทของบริษัทก็เด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติพร้อมแจ้งเตือนจากบรรดาคนที่ทิ้งข้อความไว้ให้เขาทำนั่นทำนี่แม้จะเห็นตำตาว่าเขาออฟไลน์ไปแล้ว

หนุ่มตี๋ตัดสินใจไม่เปลี่ยนสถานะเป็นออนไลน์เพราะยังไม่อยากถูกทวงงานตอนนี้ พอดีกับที่อิสระยกกล่องกระดาษมาวางบนโต๊ะว่างข้างๆ

            “กล่องอะไรน่ะพี่ลม”

            “ของฟรีจากลูกค้า พี่โป้งฝากมาแจกฉันเลยเอามาให้นายเลือกก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวจะเอาไปให้ทีมอื่นต่อ”

อิสระเป็นแอดมินของฝ่ายขาย เวลาไปเสนองานเซลส์มักเอาของใช้จุกจิกที่มีตราบริษัทติดมือไปให้ลูกค้าเพื่อเป็นการแสดงไมตรีและสร้างความคุ้นเคยให้ลูกค้าได้เห็นชื่อบริษัทผ่านตาบ่อยๆ บางครั้งอีกฝ่ายก็ให้ของแบบเดียวกันกลับมา หัวหน้าเธอจึงมักให้เอามาแบ่งแผนกอื่นๆ ใช้

เธอหยิบที่เสียบปากกาอันที่คิดว่าน่ารักขึ้นมา ขณะที่คนยังไม่มีอารมณ์ทำงานคุ้ยดูของภายในกล่องอย่างสนใจ

ภาณุเป็นพนักงานแผนกการเงินที่เข้ามาทำงานที่ไวเปอร์เทคพร้อมกับอิสระ แม้ที่นั่งจะอยู่คนละฟากแต่ด้วยอัธยาศัยคล้ายคลึงกันทำให้เธอสนิทกับเขาแล้วก็กาญจนาที่เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ของเขา ถ้าไม่ติดงานอะไรก็มักรอรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับทั้งคู่

            “ฉันขอสมุดโน้ต เล่มเก่าใกล้หมดพอดี” กาญจนาที่นั่งข้างๆ บุ้ยปากไปยังสมุดปกหนังสีน้ำตาลพลางรัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดเพื่อตอบแชท

            “พี่กาญมีอะไรให้จดนักหนา ตั้งแต่เข้ามาผมยังเขียนหนังสือไม่เกินสามบรรทัดเลย”

ภาณุถามอย่างสงสัย สมุดที่เขาได้มาตอนเข้างานวันแรกยังไม่ได้แกะจากซีลด้วยซ้ำ ถ้าจะจดอะไรเขาเดาว่าเขาคงเหมาะกับโพสต์อิทมากกว่า

            “เออ ฉันรู้ ประชุมทีไรแกถึงได้มาถามฉันทุกทีว่าสรุปอะไรยังไง”

            ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินพลางหันมาถามอิสระ

            “แล้วพี่โป้งใช้พี่ยกกล่องใหญ่อย่างนี้คนเดียวน่ะนะ”

            “มันไม่ได้หนักขนาดนั้น ให้ฉันเดินอู้แจกของอย่างนี้ยังดีกว่าให้ทำงานอีก” เธอว่า

            กาญจนาขยับแว่นตาทรงกลมของเธอขณะที่หน้าจอมีข้อความใหม่เด้งเข้ามา

“ยายพีบอกว่าไวเปอร์ปาร์ตี้ปีนี้จัดที่ Ring-A-Ding ธีมนีออน เดี๋ยวเอชอาร์คงจะออกเมลประกาศบ่ายนี้แล้ว”

สาวรุ่นใหญ่พูดถึงงานเลี้ยงบริษัทที่จัดขึ้นปีละครั้ง อิสระพึ่งเข้ามาปีแรกแต่ได้ยินคนพูดถึงปาร์ตี้นี้ตั้งแต่ก่อนจะเข้าทำงานว่ายิ่งใหญ่อลังการ ในแฮชแท็กของปีก่อนๆ ที่เคยเข้าไปส่องดูตามโซเชียลมีเดียเห็นมีทั้งคอนเสิร์ต กิจกรรม แล้วก็บูธอาหารไม่อั้น

ไวเปอร์เทคเป็นบริษัทสายไอทีที่ขึ้นชื่อเรื่องเลี้ยงดูพนักงานอย่างดี ด้วยภาพลักษณ์ทันสมัยบวกกับวัฒนธรรมองค์กรที่ค่อนข้างอินเตอร์ทำให้มีทั้งชาวไทยและต่างชาติสนใจอยากร่วมงานด้วย นับดูคร่าวๆ แล้วสัดส่วนพนักงานคนไทยกับฝรั่งน่าจะเป็นครึ่งต่อครึ่งได้ ยิ่งพักหลังคนไทยที่รับเข้ามาส่วนใหญ่ก็จบจากเมืองนอกเกือบทั้งนั้น อิสระคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะลักษณ์ให้ไพบูลย์เป็นคนฝากเธอไม่มีทางเข้าทำงานที่นี่ได้

กาญจนายื่นโทรศัพท์มาให้ดูเอี๊ยมสีส้มสะท้อนแสงในร้านค้าออนไลน์แล้วถามว่าเข้าท่าไหม

“ถึงกับต้องซื้อชุดใหม่เลยเหรอ”

“แกไม่รู้อะไร คนที่นี่จริงจังเรื่องคอสตูมมาก แม้แต่พวกเนิร์ดชั้นบนก็ไม่เว้น คอยดู พอเอชอาร์ออกเมลธีมปาร์ตี้บ่ายนี้นะไม่มีใครมีแก่ใจทำงานละ”

“เริ่มจากพี่คนแรกเลย” ภาณุเสริม

กาญจนาทำท่าจะเขกหัวลูกน้องแต่ชายหนุ่มรีบไถเก้าอี้ไปหลบหลังอิสระเสียก่อน เธอจึงเปลี่ยนเป็นจะประทุษร้ายต้นไม้แคระในกระถางใต้หน้าจอเขาแทน ภาณุร้องเสียงหลงแล้วรีบตะครุบไว้

“แล้วนี่ณุหาคอนโดใหม่ได้หรือยัง เจ้าของเขาจะเอาห้องคืนสิ้นเดือนนี้แล้วใช่ไหม” อิสระพยายามช่วยรุ่นน้องโดยการเปลี่ยนเรื่อง จำได้ว่าคนที่ปล่อยห้องให้เขาเช่ากลับมาอยู่ไทยกะทันหันเลยขอให้เขาคืนห้อง สัญญาเช่าไม่ได้ระบุระยะเวลาไว้เขาเลยต้องย้ายออกทันที

ภาณุเอียงกระถางซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าต้นไม้เขาไม่บุบสลายก่อนเงยหน้าขึ้นมาตอบเธอ

“ใช่พี่ แม่บอกว่าหาใหม่ทั้งทีก็ให้เอาใกล้ๆ ไปเลย เสียค่าคอนโดแล้วยังต้องเสียค่ารถไฟฟ้าวันละเกือบร้อยอย่างนี้เมื่อไหร่จะเก็บเงินได้ พี่ลมก็อยู่แถวนี้ใช่ไหม คอนโดชื่ออะไรนะ”

เธอตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก

“เดอะซีเคร็ตพาเลส”

“ที่ห่างไปสถานีเดียวป่ะ คุ้นๆ ว่าที่เดียวกับที่คุณลักษณ์อยู่เลย ค่าเช่าน่าจะแพงเอาเรื่องไม่ใช่เหรอนั่น” กาญจนาว่า

“พี่ไปรู้ได้ไงว่ารองประธานอยู่ที่ไหน” เธอแสร้งเป็นถามรุ่นพี่กลับยิ้มๆ เมื่อการสนทนาเข้าสู่ประเด็นสุ่มเสี่ยงอย่างไม่คาดคิด

อิสระย้ายมาอยู่กับลักษณ์เพื่อความสะดวกแต่แยกกันมาทำงานเพราะไม่ต้องการเป็นจุดสังเกต หลังออกกำลังกายเสร็จตอนหกโมงครึ่งเธอจะอาบน้ำแต่งตัวแล้วค่อยมารับประทานอาหารเช้าที่นี่ ขณะที่ลักษณ์จะตื่นราวเจ็ดโมงกว่าแล้วรอคนขับรถมารับ

สาวใหญ่ค้อนขวับพลางว่าเธอเคยได้ยินคุณเลขาสั่งคนให้ไปเอาเอกสารที่เพนต์เฮาส์ลักษณ์วันที่เจ้านายหยุดงาน

“พอดีลมมีคนรู้จักเลยได้เช่าราคาถูกน่ะ” อิสระยักไหล่สบายๆ

“แกโชคดีชะมัด ย่านใจกลางเมืองอย่างนี้ห้องนึงน่าจะสิบล้านอัพ”

หญิงสาวดูดน้ำแครอทจากแก้วโดยไม่ได้พูดอะไร

เพนต์เฮาส์ของลักษณ์น่าจะเกินราคานั้นไปไกลเพราะว่ามีสองฟลอร์แล้วก็สระว่ายน้ำกับสวนหย่อมของตัวเอง ชั้นบนเป็นห้องนอนกับห้องทำงานของเขา ส่วนเธออยู่ชั้นล่างใกล้กับห้องนั่งเล่น

            “คุณไพบูลย์ ว่างแล้วแวะทางนี้หน่อยสิคะ” เธอเรียกเลขาของลักษณ์เมื่อเห็นเขาเดินผ่านไป

ชายหนุ่มที่สวมแว่นตาไร้กรอบหันมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนเดินมาหา

“หัวหน้าฉันให้เอาของจากลูกค้ามาแจกน่ะค่ะ คุณจะเอาอะไรไปหน่อยไหม” อิสระพยักพเยิดไปยังกล่องกระดาษ เขากวาดมองตามแล้วก็พยักหน้า

“ขอสมุดสักเล่มก็พอครับ”

กาญจนาส่งสายตาให้ภาณุทำนองว่า ‘นี่ไง คนทำงานเขาก็เลือกสมุดทั้งนั้น’ เธอมองชายหนุ่มที่รอบคอบพอจะเปิดดูเส้นข้างในว่าใช่อย่างที่ต้องการ พลางมองเลยไปยังห้องกระจกที่มีเจ้านายของเขานั่งขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่หลังคอมพิวเตอร์ ตาเหยี่ยวมองปราดก่อนว่า

“นี่ คุณไพบูลย์ พักนี้คุณลักษณ์งานหนักเหรอ เขาดูซูบไปนะ”

ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นคุณแม่ลูกสอง การสังเกตความกินดีอยู่ดีของคนในบริษัทเป็นงานอดิเรกของซูเปอร์ไวเซอร์สาว เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนตัดผมหรือลดน้ำหนักกาญจนามักเป็นคนแรกๆ ที่สังเกตเห็น แล้วก็เป็นความสามารถที่เธอภาคภูมิใจเสียด้วย

ไพบูลย์เงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง

“ผมไม่ทันสังเกต แต่ทางผมยังปกตินะครับ”

“ฉันดูไม่ผิดหรอก เขาดูไม่เนี้ยบเท่าแต่ก่อน วันนี้เขาผูกเนกไทเบี้ยวด้วย เมื่อก่อนนะลมพัดผมยังไม่กระดิกสักเส้น ออร่าสูงส่งเย็นชาแผ่กระจาย ยืนใกล้ๆ ทีไรเป็นต้องรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าทุกที”

“พี่เขาจะบอกว่าปกติรองประธานเราดูเหมือนคนรวยนิสัยไม่ดีน่ะ” อิสระเสี้ยมยิ้มๆ

“ฉันก็ยังไม่ได้พูดขนาดนั้น” กาญจนาว่าอย่างร้อนตัว

“ผมว่าเขามีแฟน”

ภาณุพูดขึ้นมาหลังวิเคราะห์ความเป็นไปได้

เขารู้ว่าไพบูลย์เป็นพวกไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากงานจึงปลอดภัยถ้าจะนินทาลักษณ์ต่อหน้า อีกฝ่ายไม่มีทางเอาไปฟ้องเจ้านายเด็ดขาด

“เชื่อผม มันเป็นเซ้นส์ของผู้ชาย พี่สังเกตป่ะว่าถึงเขาหน้าดุเหมือนเดิมแต่ไม่ขี้เหวี่ยงเท่าแต่ก่อน แลดูจับต้องได้”
            “ไหนแกลองเดินไปจับเขาให้ดูซิ” สาวใหญ่ตบบ่าลูกน้อง
            “โธ่ พี่ก็”

ภาณุโอดครวญ จะให้เขาหาเรื่องให้ถูกเกลียดหรือไง

“ผมเดาถูกหรือเปล่าครับคุณไพบูลย์”

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่รู้เรื่องส่วนตัวของคุณลักษณ์” ไพบูลย์ยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง อิสระนึกชมเขาในใจว่าเป็นคนหน้าตายมันดีอย่างนี้นี่เอง

คุณเลขาไร้อารมณ์คนนี้เป็นคนเดียวที่รู้ความสัมพันธ์ของเธอกับลักษณ์ ถ้ารวมคนนอกบริษัทด้วยก็มีป้านวลแม่บ้านที่ทำความสะอาดเพนต์เฮาส์อีกคน อิสระยังจำสีหน้าของไพบูลย์ในวันแรกที่เห็นเธอลงมาจากห้องนอนของลักษณ์ได้ วันนั้นคนหน้านิ่งเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก เล่นเอาเธอที่เตรียมใจรับสายตาดูแคลนจากคนแปลกหน้าไว้แล้วไปต่อไม่ถูก

“ใครจะกล้ามาจีบคุณลักษณ์วะไอ้ณุ ดุยังกับอะไรดี” ประโยคหลังกาญจนาพูดเสียงเบาเพราะกลัวใครจะได้ยิน

“อย่างน้อยก็มีพี่ไม่ใช่เรอะที่เป็นแฟนคลับตัวยง สังเกตกระทั่งเนกไท กับสามีสังเกตขนาดนี้ไหมครับ”

“บ๊ะ! ผัวฉันมันไม่ได้ดูดีอย่างเขานี่หว่า ฉันแค่เสียดายที่ภาพลักษณ์เจ้านายร้ายๆ ของคุณลักษณ์มันเสื่อมมนต์ขลังลงโว้ย อยากให้เด็กรุ่นใหม่ได้รับรู้ว่าของสูงคืออะไร”

“ถึงอย่างงั้นผมก็ว่าเขายังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแถวนี้นะ พี่ลมสนใจจะจีบไหม” ภาณุพยักพเยิดมาทางเธอขำๆ

“ไม่เอา รวยไป” อิสระโบกมือ

ไพบูลย์เหลือบตามองเธอแวบหนึ่ง

“เหตุผลอะไรของแก แต่ก็นะ ต่อให้คิดจีบก็คงจะยากหน่อย ฮีดูมาตรฐานสูงจะตาย ระดับเขาน่าจะเดตแต่กับพวกดารานางแบบไม่ก็นักธุรกิจพันล้าน ต่อให้เป็นพวกนั้นยังไม่รู้จะถูกใจหรือเปล่าเลย”

สาวใหญ่ใคร่ครวญแล้วก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นรองประธานผู้เย่อหยิ่งไปมาหาสู่กับผู้หญิงคนไหน แต่การที่เขาไม่เข้าหาใครใช่ว่าจะไม่มีคนบากบั่นทอดสะพานข้ามมา ทว่าเมื่อเผชิญกับความเย็นชาไม่ไว้หน้าคนของเขาก็ต้องถอยทัพกลับจ้าละหวั่น

สำหรับคุณหนูผู้ดีทั้งหลายลักษณ์กลายเป็นของห้ามที่ได้แต่มองทว่าครอบครองไม่ได้ อย่างเกรงอกเกรงใจที่สุดยังได้รับแค่เพียงรอยยิ้มตามมารยาท

            อิสระนึกภาพผู้หญิงที่ลักษณ์จะชอบไม่ออกเหมือนกันเพราะเขาไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะสนใจอะไรนอกจากงาน สองปีที่ผ่านมาเขากลับบ้านไปเจอครอบครัวแทบนับครั้งได้ นอกจากมาทำงานก็ไม่เห็นจะไปไหน เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็นพวกไม่มีเพื่อนด้วย

            คนในห้องกระจกตวัดตาขึ้นมาราวกับจะรู้ว่าถูกนินทา

            อิสระสบตากับเขา ดวงตาสีเทาใสแวววาวมองเรื่อยไปจนถึงไทสีครามก่อนจะต้องหลุดหัวเราะเมื่อพบว่ามันเบี้ยวจริงๆ อย่างที่กาญจนาว่า

            คงจะเป็นความผิดของเธอเอง เมื่อเช้าเธอเป็นคนผูกไทให้เขาหลังลงมาจากห้องนอนด้วยใบหน้างอง้ำที่นอนไม่พอ เธอรู้เธอพูดว่าไม่คิดจีบเขา แต่ต้องยอมรับว่าเธอต้านทานเวลาเขาทำหน้าบึ้งไม่ได้จริงๆ

ดังนั้นกว่าจะผูกไทเสร็จลักษณ์ก็โดนแต๊ะอั๋งไปหลายที

            อิสระยิ้มกริ่มอย่างรื่นรมย์พลางเหลือบมองเขาอีกครั้งแต่เขาก็ไม่อยู่ที่โต๊ะแล้ว

            ร่างสูงใหญ่ลุกจากเก้าอี้มายืนอยู่มุมห้อง ใบหน้าหล่อเหลาแฝงแววอิดโรยขึงตาใส่ราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องลามกอะไร

ก่อนจะกระตุกเชือกปิดมู่ลี่