ถ้าซอมบี้มา แล้วกูไม่ทำห่าอะไรเลยล่ะ

 

ปฐมบทแห่งการกรีดร้อง

เคย

โดย เด็กชายผู้นี้มีนามว่า

 

ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในชีวิต

มันอาจจะมีเรื่องราวมากมายที่ทำให้มันเกิดขึ้น

แล้วถ้าความว่างเปล่าราวกับหลุมดำนั้น

เคยมีอะไรบางอย่างอยู่ล่ะ

 

ฉันเคยมีครอบครัว

พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาวสองคน น้องชายอีกคน

ครอบครัวใหญ่เชียวล่ะ

พวกเขาเป็นความรักก้อนใหญ่

และไม่เคยคิดสักนิดว่าจะจางหายไป

 

ฉันเคยมีความฝัน

อยากรีบเรียนให้จบด้วยเกรดที่ไม่ต้องได้มาด้วยความกดดัน

ออกมาทำงานให้หนักเพื่อแลกเงิน

และลาออกก่อนวัยลงโลงเพื่อนอนเฉย ๆ บนกองเงินกองทอง

 

และอีกไม่นาน

การมีชีวิตของฉันก็คงจะเป็นแค่สิ่งที่

เคยเกิดขึ้น

 

 

 

บรรยากาศเงียบเชียบยามค่ำคืนมีเสียงของสะเก็ดไฟดังเปรี๊ยะ ๆ ระคนเสียงครางฮือของบางอย่างที่เดินไปมาอย่างเชื่องช้าอยู่นอกรั้วบ้าน

หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น ข้างกองไฟกองเล็ก ๆ ในมือมีถ้วยใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ถูกกินไปกว่าครึ่ง

"พี่มานั่งอยู่ตรงนี้ไม่กลัวยุงกัดเหรอ"เสียงของเด็กหนุ่มตัวสูงที่พึ่งเดินออกมาจากบ้านเอ่ยถามขึ้น

"ไม่เป็นไรณัฐ พี่ทายากันยุงแล้ว"หญิงสาวยักไหล่ลงมือจัดการกับอาหารมื้อนี้ต่อ

"พี่ไททำไมบ้านพี่มีของตุนไว้เพียบเลยอะ"

"ก็ที่บ้านเคยมีคนช่วยกันใช้น่ะ"

"แล้ว..เอ่อ...ผมขอไปนอนก่อนนะพี่"ไม่รอให้ไทขานรับ เด็กหนุ่มก็ปิดประตูเข้าบ้านไปแล้ว

 

ทั้งร่างสั่นเทา เสียงสะอื้นดังออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่แม้จะพยายามกัดปากเอาไว้ ถ้วยเซรามิกถ้วยเล็กกลับกลายเป็นที่พึ่งเดียวในมือ หญิงสาวกอบกุมมันเอาไว้ด้วยสองมือที่ไร้เรี่ยวแรง หยดน้ำตาพรั่งพรูหยดแล้วหยดเล่าลงใส่น้ำซุป

ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของไทแม้เพียงคำเดียว มีเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ถูกเคี้ยวไม่ละเอียดหลุดร่วงออกมาจากริมฝีปากที่บิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ

 

คำว่าเคยมันตอกย้ำความบอบช้ำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

 

บ้านหลังนี้เคยมีเสียงหัวเราะร่าของแม่กับเจ้าน้องชายตัวแสบ พ่อกับพี่สาวพูดคุยกันอย่างออกรสตอนช่วยกันทำสวน พี่ชายคนโตมักจะอ่านหนังสือเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ และส่งเสียงเคล้าคลอด้วยเสียงพลิกหน้ากระดาษจากหนังสือนิยายเล่มใหม่ในอาทิตย์นั้น พี่สาวอีกคนจะชอบอ่านหนังสือคลังศัพท์เสมอ และท่องเบา ๆ ไปด้วยเดินไปด้วยทั่วลานบ้าน

เสียงที่หมดที่เคยได้ยินพร้อมกันมันช่างหนวกหูวุ่นวาย ทำให้ไทไม่เคยมีสมาธิเขียนนิยายของเธอ 

มันเคยเป็นเสียงที่ทำให้บ้านไม่เงียบเหงา

เสียงที่เกิดจากบ้านทั้งหลังที่เคยมีคนอยู่รวมกันจนอึดอัด

ไม่เคยฉุกคิดสักนิดว่าถ้าวันหนึ่งมันว่างเปล่าจะมีสภาพเป็นยังไง

 

มันเละกว่าขี้

แม่งโคตรเลวร้าย

ทำไมกูถึงยังอยู่ด้วยชีวิตที่เละยิ่งกว่าขี้แบบนี้

ทำไมกูไม่ตายพร้อมกับทุกคน

ทำไมวะ

กูไม่อยากอยู่ในโลกที่มัน

แค่เคยมีครอบครัวของกู

 

ใช่ ตายกันหมดแล้วทุกคนเลย ตลกฉิบหายที่สาเหตุการตายของพวกเขามันเป็นอะไรที่โคตรจะห่าเหว

วันนั้นไทออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้า และรีบกลับบ้านมาในช่วงบ่ายแก่ ๆ วันนั้นไม่มีอะไรพิเศษไม่เกิดอะไรผิดสังเกตเลย จนกระทั่งก้าวขากลับเข้าบ้าน ล็อกประตูรั้วเรียบร้อยตามปกติ

ตอนนั้นถึงได้มีเสียงครางฮือจากข้างนอกทำให้หญิงสาวหันกลับไปดูด้วยความตกใจ

คน หรือร่างที่เคยเป็นคนตัวซีดเขียว ร่างเน่าเปื่อยไปกว่าครึ่งกำลังเดินเอื่อยผ่านประตูรั้วบ้านไป 

 

เหี้ย!

นั่นแหละที่คิดตอนนั้น

 

ไทรีบวิ่งไปหาคนในบ้านทันที ก่อนจะพบกับพ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาวสองคน และน้องชายอีกคนของเธอเดินลากขาไปมาในบ้าน ลำตัวซีดจนเขียว อีกทั้งเนื้อแทบทุกส่วนในร่างกายยังเน่าไปแทบหมดแล้ว กระดูกขาว ๆ โผล่ออกมาจากส่วนที่เนื้อเน่าไปหมดแล้ว

 

รู้มั้ยตอนนั้นฉันทำยังไง

ฉันยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ

ฉันล้มลงไปวัดกับพื้น

หายใจไม่ออก แล้วหลังจากนั้นก็วูบ

 

หลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เสียงครางฮือยังไม่หายไปมันไม่ใช่ความฝัน ทุกคนกลายเป็นร่างเน่า ๆ ที่ยังเดินได้ด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างจริง ๆ แต่ไม่มีใครทำอันตรายต่อเธอ แม้เธอจะหวังให้เป็นแบบนั้น

เธอนั่งเหม่ออยู่แบบนั้น นั่งฟังเสียงของพวกเขาร้องฮือออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่ทั้งเจ็ดคนอยู่รวมกันในบ้านหลังนี้ไม่ไปไหน มีเพียงโลกที่ยังคงหมุนไปตามหน้าที่ของมัน ประเทศอิสรนครถูกหมุนหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์อีกครั้ง

หลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะให้ร้อง น้ำตาเหือดแห้งบนหน้าจนเหนียวเหนอะไปหมด

ไทลูกขึ้นก้าวเดินทีละก้าวไปจนถึงพ่อ เธอกอดเขาแน่น และหวังให้เขากัดเธอก่อนจะผละออกไป

ก้าวเดินทีละก้าวไปจนถึงแม่ เธอกอดหญิงวัยกลางคนแน่น และหวังให้เธอถูกกัดหรือข่วนจากผู้เป็นแม่ก่อนจะผละออกไป

ก้าวเดินทีละก้าวไปจนถึงพี่ชาย เธอกอดพี่ชายแน่น และหวังให้ถูกขย้ำหรือสร้างบาดแผลแก่เธอก่อนจะผละออกไป

ก้าวเดินทีละก้าวไปจนถึงพี่สาว เธอกอดพี่สาวอย่างนุ่มนวลจับมือของเธอแนบกับใบหน้าของตัวเอง และหวังให้พี่สาวคนนี้พลั้งมือสร้างบาดแผลให้เธอก่อนจะผละออกไป

ก้าวเดินทีละก้าวไปจนถึงพี่สาวอีกคน เธอกอดพี่สาวแล้วลูบแผ่นหลังของเธอ และหวังให้เธอฝังเขี้ยวลงบนลาดไหล่ของเธอก่อนจะผละออกไป

ก้าวเดินทีละก้าวจนก้าวสุดท้ายไปถึงน้องชาย เธอกอดเขาแล้วเอียงตัวโยกเยก แล้วหัวเราะเบา ๆ เหมือนที่เคยทำ และหวังให้เขากอดเธอกลับให้แน่นมากพอจะสร้างบาดแผลให้ก่อนจะผละออกไป

 

แต่ไม่มีเลย

ไม่ว่าจะคนไหน

ทุกคนกลับรับอ้อมกอดของฉัน

พวกเขายืนนิ่งให้ฉันได้กอด

เป็นครั้งสุดท้าย

 

ไทไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นแบบนั้น ทำไมร่างกายถึงเน่า ทำไมถึงได้ไม่มีสติสัมปชัญญะหลงเหลือ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าถูกกัดหรือข่วนโดยพวกเขา ตัวเองจะติดเชื้อเหมือนกับในหนังไหม

 

 

แต่ฉันรู้

ว่าพวกเขาเจ็บปวด

 

ขวานขนาดตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงข้อศอกถูกหยิบออกมาจากตู้เก็บของ

ไทจับพ่อนอนลงกับพื้น เขาทำตามอย่างว่าง่าย ไทเงื้อมือเหนือหัว ก่อนจะพาคมขวานผ่าลงที่ลำคอของเขา

ไทร้องไห้

ไทจับแม่นอนลงกับพื้น เธอทำตามอย่างว่าง่าย ไทเงื้อมือเหนือหัว ก่อนจะพาคมขวานผ่าลงที่ลำคอของเธอ

ไทร้องไห้อีกครั้ง

ไทจับพี่ชายนอนลงกับพื้น เขาทำตามอย่างว่าง่าย ไทเงื้อมือเหนือหัว ก่อนจะพาคมขวานผ่าลงที่ลำคอของเขา

ไทร้องไห้อีกครั้ง

ไทจับพี่สาวคนรองนอนลงกับพื้น เธอทำตามอย่างว่าง่าย ไทเงื้อมือเหนือหัว ก่อนจะพาคมขวานผ่าลงที่ลำคอของเธอ

ไทร้องไห้อีกครั้ง

ไทจับพี่สาวอีกคนนอนลงกับพื้น เธอทำตามอย่างว่าง่าย ไทเงื้อมือเหนือหัว ก่อนจะพาคมขวานผ่าลงที่ลำคอของเธอ

ไทร้องไห้อีกครั้ง

ไทจับน้องชายนอนลงกับพื้น เขาทำตามอย่างว่าง่าย ไทเงื้อมือเหนือหัว ก่อนจะพาคมขวานผ่าลงที่ลำคอของเขา

ไทร้องไห้อีกครั้ง

 

ฉันใช้เวลาหลายวัน

กว่าจะฝังพวกเขาลงไปในสวนครบทุกคน

ฉันเผาไม่ได้

ที่บ้านไม่มีเชื้อเพลิงมากพอ

 

จากนั้นไม่กี่วันเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมาด้วยสภาพย่ำแย่ เนื้อตัวมอมแมมไปหมด ไทตะโกนเรียกเขาให้เข้ามาพักในบ้าน ให้อาบน้ำ และให้ใช้ห้องของน้องชายคนเล็กอยู่

ผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็ได้รู้ว่าเขาเป็นคนแถวนี้ เรียนอยู่โรงเรียนมัธยมใกล้ ๆ นี่เอง ที่ออกมาข้างนอกก็เพราะพ่อกับแม่หายตัวไป และไม่มีของยังชีพเหลือในห้องแล้ว

ไทไม่ได้เอ่ยถามอะไร มีเพียงณัฐที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งสองใช้เวลาด้วยกันบ้างเวลาที่ณัฐต้องการเพื่อน

โดยปกติไทจนชอบก่อไฟเสียงดังเปรี๊ยะ ๆ อยู่ที่สวน ตรงบริเวณที่คนในบ้านถูกเธอฝังเอาไว้ และนั่งเงียบ ๆ คนเดียวก่อนจะเข้านอน

ตอนกลางวันก็จะออกไปข้างนอกบ้างเพื่อหาของยังชีพเพิ่มเติม

 

ท่ามกลางคนที่ร้องเสียงครางฮือ หรือซอมบี้ตามที่ไทเรียกตามนิยาย หรือหนังหลาย ๆ เรื่อง สำหรับไทแล้วไม่ใช่บรรยากาศที่อันตรายเลย พวกเขาแค่ร้องครางน้ำเสียงเจ็บปวด และมาพร้อมกับร่างเน่า ๆ ที่เชื่องช้าเพียงเท่านั้น 

อีกอย่างพวกเขายังไม่ทำอันตรายอะไรเลยต่อทั้งพวกเขากันเอง และสิ่งของรอบข้าง 

เมืองที่ไทอาศัยอยู่ยังคงมีสภาพปกติดี แม้จะไม่เคยพบเจอคนปกติแบบณัฐอีกเลยก็ตาม ไฟฟ้าและน้ำในเมืองยังคงใช้งานได้ดี ดังนั้นของกินก็สามารถที่จะเดินไปหยิบได้เลยแม้จะอยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก็ตาม

เพราะของสดส่วนใหญ่ ไทจัดการจัดแบ่งใส่ถุงและยัดใส่ลงตู้แช่แข็งเอาไว้แล้ว เพื่อให้เก็บไว้ได้นาน ๆ และแน่นอนว่าถ้าหากมีใครที่รอดชีวิตเข้ามาเจอ ก็จะสามารถหยิบกลับออกไปได้เช่นกัน

นอกจากเรื่องการใช้ชีวิตยังไงให้ไม่ถึงขั้นอัตคัดขัดสนแล้ว ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ไทรู้อีกแล้ว ช่องฟรีทีวีปิดตัวในทุกช่อง ไม่มีข่าวสารจากสื่อหลัก

โซเชียลก็แทบไม่เหลือคนที่รู้จัดแอคทีฟกันอีกแล้ว ชีวิตรอบตัวของไทราวกับถูกแช่แข็งให้รอวันตายเท่านั้น

 

ไม่รู้เลยว่าโลกไปถึงไหนกันแล้ว

ฉันทำได้แค่ร้องไห้อยู่ที่เดิม

อยู่กับที่

ที่ซึ่งเคยมีครอบครัว

และความฝัน

ก่อนที่มันจะว่างเปล่า

 

โดย เด็กชายผู้นี้มีนามว่า

TW : @JustAimXIII_fic

 


 

 

สวัสดีค่ะ!

ก่อนอื่นขออนุญาตแนะนำตัวก่อนเลย เอม นะคะ

เป็นนักพยายามเขียนที่อยากจะเป็นนักเขียนในสักวันค่ะ

เรื่องราวที่มาของนิยายเรื่องนี้มาจากการที่เรากำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ แล้วคิดได้ว่าเราอยากช่างแม่งกับทุกอย่าง

ก็เลยมีคำว่า "แล้วถ้ากูไม่ทำอะไรเลยล่ะ" ออกมาค่ะ 

ทีนี้วินาทีต่อมามันก็เลยออกมาเป็นชื่อเรื่องเลย "ถ้าซอมบี้มา แล้วกูไม่ทำห่าอะไรเลยล่ะ"

ใช่ เพราะมันไม่มีแรงจะทำยังไงล่ะ วิ่งเข้าหาซอมบี้ก็แล้ว ก็ยังไม่ตายเลย ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว

สูญเสียแม่งทุกอย่าง หมดเรี่ยวแรง และตายในที่สุด นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวค่ะ 

ดังนั้น ก่อนที่ไทจะหมดลมหายใจ และจากไป

มาตามอ่านเรื่องราวที่เธอบันทึกไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหมดลมหายใจกันเถอะค่ะ

 

***ตอนถัด ๆ ไปไม่เศร้าหรือรุนแรงเท่าตอนนี้แล้วนะคะ ส่งกำลังใจให้มีไฟเปิดตอนต่อไปค่ะ***

 

สามารถพูดคุยกับเอมได้ทางช่องคอมเมนต์ 

และทางทวีตเตอร์ผ่านการติด #ถ้าซอมบี้มาแล้วกูไม่ทำห่าอะไรเลยล่ะ

แล้วมาเจอกันนะคะ