เขาและนิลมีสิ่งต่างกันมากมายแต่สิ่งหนึ่งซึ่งเหมือนทางกายภาพคือเขาทั้งสองมีอัณฑะและองคชาติประดับแกว่งอยู่หว่างขา นิลนั้นนิยามตนเป็นเพศชายส่วนวาฬบอกว่าระบุตนเป็นนอนไบนารี่ ผู้อึดอัดใจทุกครั้งที่ต้องเข้าห้องระบุเพศสำหรับชาย เขาทั้งคู่สูงเท่ากันด้วยตัวเลข 180 เซนติเมตร นักเขียนว่านี่เป็นส่วนสูงตามแบบฉบับตัวเอกนิยายเขาทั้งสองจึงสูงระหงพ้นไหล่ผู้คนทั่วไป แต่ไหล่บ่าทั้งคู่ไม่ได้กว้างดั่งภูผาตามที่เรื่องอื่นมักเป็นกันเพราะคนหนึ่ง — นิล ผู้มีปณิธานจะไม่เข้ายิม มีเพียงอดีตหวานชื่นในวันซนวัยหนุ่มที่เล่นกีฬาทุกอย่างที่พอจะเล่นได้ ส่วนอีกคน — วาฬ รายนี้เกลียดการเล่นกีฬาแต่รักการเดิน และด้วยขาชะลูดจึงได้ลงแข่งวิ่งบ้างตามแต่คนจะขาด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีร่างเพรียวเปรี้ยวซ่าเหมือนหุ่นจำลองในห้าง กินจุตามภาษาวัยกำลังโตและพอชราตามภาพจำสังคมที่มองว่ายี่สิบปีนั้นใกล้ลงโลงก็หันมาทานวีแกน ด้วยรักสุขภาพ รักแวดล้อม รักสัตว์ ก็แล้วแต่ผู้อ่านจะศรัทธาให้ทั้งคู่เป็น โดยรวมคือมีร่างกายรูปลักษณ์ที่ดาษดื่นในสายตาฝูงชนแต่กลับเด่นสกัดรับสายตาของกันและกันแม้กลางผู้คนนับร้อย ส่วนนี้ถือว่าเชยทีเดียวที่คู่รักมักหากันเจอไม่ว่าแห่งหนใด

ในทางด้านใจจิตเขาทั้งคู่คือผู้มีฝันและหวัง ลอยลิ่วปลิวตามลมหอบ ยอมแพ้บ้าง ขว้างโยนบ้าง ฝันที่ได้เพียงใฝ่ ฝันที่ต่อให้ดูรางเลือนก็จะมุ่งฝันรอวันไขว่คว้ามาได้ ฝันง่ายอย่างการแต่งงานกันของนิล ถูกกีดโดยกฎหมายกันโดยสังคม หาว่าผิดเพศ ด่าว่าเสื่อมเสีย กลายเป็นหมู่คนผู้ผิดธรรมชาติ ผิดต่อจารีต บอกว่าปัจจุบันแบบที่เป็นนั้นดีแล้ว ได้คำนึงถึงขนบประเพณีทั้งหมดแล้ว ฝันที่อาจเป็นจริงในรุ่งขึ้นแต่นิลไม่ฟื้นกลับมาแล้ว ฝันที่เขาให้นิลไม่ได้ วาฬ วารินคนนี้ไม่อาจทำให้ฝันของคนรักเป็นจริงได้ จะนึกโกรธต่อชะตาที่มาเกิดในยุคสมัยกเฬวรากในชาติโสมม หรือโกรธในตนที่ไม่อาจสู้ ไม่อาจปฏิเสธประกาศิตแห่งกฎหมายในบ้านเกิด 

เขารู้ดีว่าความดาลเดือดที่ถือครองอยู่นั้นไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยสู้ เขาสู้ในแบบที่ตนไร้นามหนึ่งจะพอทำได้ แต่พายุแห่งโกรธเกรี้ยวไม่ได้มีเหตุหรือผลพอจะเข้าใจในความไร้อำนาจของคนผู้ด้อยผู้หนึ่ง พอจะเข้าใจว่าเขาปันรักปันสุขให้คนรักเท่าที่ตนผู้หนึ่งยินดีจะมอบ พอจะเข้าใจว่าความตายที่มานั้นมิอาจล่วงรู้ได้ก่อน พอจะเข้าใจว่านิลไม่ได้นึกโกรธแค้นอะไรเขา พอจะเข้าใจว่ารักของตนนั้นดีเท่าที่มันสามารถเป็นได้ โทสะของวังวนน้ำตาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้น ไม่ฟังซึ่งสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากเสียงสะอื้นที่ก่อเกิดจากความพรั่นใจอันนำมาซึ่งลมแปรปรวนในใจผู้สูญเสีย

ลมปรวนแปรที่หอบแรงกรรโชกมาพบ หมอนที่ถูกทุบ ผ้าปูที่เยินยับ เสียงตวาดแ่งหวั่นหวาดดังลั่นป่าอันนำความเงียบมาสู่เหล่าเรไรผู้กำลังประสานเสียง ยินยอมในความไม่อาจสู้ซึ่งเสียงอันอุดมไปด้วยอารมณ์ที่มันมิอาจเข้าใจ พิโรธแห่งรักที่รุนแรงเมื่อยามขาดรัก แม้ไม่ได้มาเยี่ยมเยือนจิตใจผู้สูญเสียทุกย่ำตะวันฉาบแต่การมาพบกันแค่เพียงหนึ่งคราวก็เอาทุกความทนฝืนขาดสะบั้น ไร้หนทางจะต่อเชื่อมเหมือนเก่า




“จะโกรธมั้ยถ้าบอกว่าเอาขนมเธอมากิน” คำถามชวนสงสัยจากหนุ่มนักศึกษาชั้นปีที่สอง น้ำเสียงที่อ่อนชวนใจยวบหลังตกลงปลงใจคบหา สายตาเปี่ยมรักยามนี้ฉายแววหวั่นใจนิดหน่อย

“จะว่าทำไม แต่ถ้าหมดก็หามาเติมด้วย” หลังฟังคำตอบ — นิล ผู้เมื่อครู่ยังมีท่าทีหวั่นกลัวคล้ายสุนัขหูลู่ยามทำผิดก็กลับมามีสายตาเปี่ยมรักเปี่ยมซนเช่นเคย

น้อยครั้งที่ความโกรธจะมาคั่นกลางระหว่างคู่รักเพื่อนชีวิตคู่นี้ ด้วยหนึ่งรู้ทัน นิลพอจะรู้ว่านิสัยไหนจะทำให้วาฬโกรธ เขาจึงเลี่ยงที่จะยั่วความเกรี้ยวของอีกฝ่าย วาฬไม่ชอบอารมณ์โกรธ จึงมีน้อยเหตุการณ์ที่เขาจะมีโทสะ วาฬไม่ชอบการทะเลาะนิลรู้ข้อนี้ดี ทั้งคู่จึงมักใช้วันว่างนั่งตกตะกอนสะท้อนสิ่งที่เห็นในอีกฝ่าย ปรับทุกข์ปรุงสุขเข้าหากัน เป็นช่วงวันรักฉบับวัยรุ่นที่น่าจำจด ถึงอย่างนั้นการกระทบกระทั่งของสองชีวิตก็มีให้เห็นบ้าง ความครึกครื้นไม่รู้ดึกรู้เช้าทำงานไม่หลับยอมนอนของนิล การปลีกตัวของวาฬยามงานถมซึ่งนำมาซึ่งความน้อยใจของหนุ่มผู้แต่เดิมก็เครียดกับงานเป็นทุนเดิม ความไม่อาจกอดอาจหอมได้ในบางช่วงกาลนำพาซึ่งน้ำตารินของคุณผืนดินที่ยามหลังจะได้รับโอมกอดจากคุณผืนน้ำพร้อมถ้อยคำประโลมว่าเขาไม่ได้หายไปไหน สายน้ำและธรณีมอบรักให้หวังล่อเลี้ยงฝันของกันและกัน พลันวันคืนอดีตหวนดับ เหมือนยามภาพยนตร์ฉายจบ กลับสู่ปัจจุบันที่ไม่อาจรับอุ่นโอบแห่งรักได้อีก

 

หากมีสิ่งให้ยึดเหนี่ยวก็คงดี เพียงให้ดึงรั้งยามโลกทั้งใบพลันสั่นไหว เพียงรู้สึกแห่งคงมั่น เพียงเสียงกระซิบบอกว่าไม่เป็นไร เพียงกอดอุ่นที่หมอนใบเก่าไม่อาจให้



“ไว้เราเลี้ยงแมวกันเนอะ” นิลเอ่ยด้วยความร่าเริงที่แม้อายุเพิ่มขึ้นก็มิได้จากหายไป

“อือ เลี้ยงแมวจรจัดสักตัว ให้บ้านเขาเหมือนที่เราให้กัน” วาฬตอบ และได้รับซึ่งแรงกระแทกของกอด ทำเอางุนงงไปเล็กน้อย

“บ้านของเรา” เสียงอู้อี้ที่พอฟังได้ความจากนิลที่ฝังหน้าตนลงไหล่อีกคนหลังถลากอด

วาฬจดไว้ในใจ นิลแพ้ให้กับคำง่ายแต่เปี่ยมด้วยสองเราอย่างคำว่าบ้าน และจดไว้อีกอย่างว่าต่อให้ต้องแลกซึ่งความวายวุ่นของสองคนเขาก็ยินดีจะเติมสุขพูนสันต์ให้บ้านแห่งสองเรา 



เสียงเรไรถูกกลบอีกคราในบ่ายวันหนึ่งด้วยเสียงเครื่องยนต์เคลื่อนเข้าตัวเมือง สู่ร้านสัตว์เลี้ยงและสู่จุดนัดพบรับชีวิตจัดจรร่อนเร่กลับบ้านแห่งสองคนที่ตอนนี้กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งคนหนึ่งตัว