สองปีที่พ้นผ่านของห้วงกาลหากแต่จิตและใจของคนผู้หนึ่งพึ่งได้ก้าวสู่การยอมรับในเวลาที่ผ่านพ้น และหากว่าตามบทจะเริ่มโหมด้วยโอบโกรธา หากว่าตามบทที่เรียก 5 stages of grief น่ะนะ

          สองปีหลังเหตุพิบัติที่ นิล ธรณิน ได้ประสบ ตอนนี้เขาได้ชื่อเป็นบุคคลสาบสูญตามคำสั่งศาล และได้ตายอีกครั้งอย่างเป็นทางการจากอำนาจกฎหมาย ตัวละครหลักผู้รับบทคนรักของนิล ผู้จมปลักสู่ห่วงบึ้งไร้ก้นแห่งโศกา วาฬ วาริน ผู้ที่ดูคล้ายว่าทำจิตละวางใจได้แล้ว ได้ดีกว่าเมื่อตอนรู้ข่าวเรืออับปางของคนผู้เป็นที่รัก 

          “เสียใจแค่ไม่มีโอกาสได้จดทะเบียนตามที่เธออยากทำ” เสียงบ่นพึมพำหลังจากจดจ้องใบมรณบัตรจนสัมผัสถึงจากลาที่ได้แปรรูปมาอยู่ในกระดาษหนึ่งแผ่น

          “ยังดีที่ทำพินัยกรรมทิ้งบ้านไว้ให้กัน ไม่งั้นฉันคงต้องเร่ร่อนหลอนคนทั้งน้ำตา” หากยังเป็นตอนเด็กกว่านี้อีกเพียงนิดเขาคงบ่นจนควันออกหูเรื่องความเท่าเทียมที่มาไม่ถึง การโดนกีดกันจากสิทธิพึงมีของตน ด้วยความไม่ชราแต่ไร้ซึ่งแรงไฟเขาทำได้เพียงร่ำเสียงก่นด่าในจิตเพียงลำพัง

 


 

“แต่งงานกัน” พูดในวันเกิด 18 ปี ครั้งแรกและครั้งเดียวของเจ้าตัว

“อยากแต่งงานกับมึง” พูดตอนพักหายใจจากธีสิสที่จ่ออยู่ต้นคอ

“ถ้ากฎหมายผ่านเราแต่งงานกันนะ” ก่อนออกเดินทางไม่หวนคืน



 

          ทั้งเขาและนิลต่างมีเพียงกันและกัน ไร้บ้านเกิดให้หวนคืน บ้านที่พักใจไร้สิ่งเร้ากวนมีเพียงที่นี่ ที่ที่เปี่ยมด้วยอดีต ดำเนินซึ่งปัจจุบัน แบกรับอนาคต มีเพียงที่นี่ที่เขาพึงพอใจจะเรียกว่า บ้าน บ้านสองชั้นใหญ่เกินจะอยู่เพียงสองคนแต่ถึงอย่างนั้นยังคงอุ่นแม้ในวันฝนพรำ ด้วยมีกัน ด้วยเคียงข้าง ด้วยอวลรักอวลอุ่นจากคนอาศัย เขาไม่ได้เก็บของคนรักทิ้งเพื่อยาแผลใจ หรือจัดลงกล่องตามแบบนิยายที่มักอ่านเจอ เขาปล่อยให้ของเหล่านั้นได้เป็นไป ได้ใช้ชีวิตแทนเจ้าของเก่าของมัน

          ก้าวขาออกทางประตูหน้าจะเจอระเบียงไม่เล็กใหญ่ ที่ประจำของกวีเจ้าวาจาแม้จะถูกเขาว่าเสียๆหายๆในใจด้วยไม่อาจยอมรับว่าตนขวยเขินไปกับบทกลอนเหล่านั้น กวีเจ้ากรรมมักนั่งอยู่ข้างชาเฝื่อนๆที่อ้างว่าคือรสชาติของการเติบใหญ่ แท้จริงแค่ไม่อยากปรุงเสริมเพิ่มอะไร เขาพูดอย่างนี้มาตั้งแต่อายุย่างเข้าสิบเก้าปีในรั้วมหาวิทยาลัย

          หากจะย้อนเวลาไปสักนิด ภาพเหล่านั้นยังคงแจ่มชัดเท่าที่ความทรงจำจะทำได้ เธอที่เริงร่าอย่างสุขสมเพราะชีวิตดำเนินมาถึงปีที่สิบแปด “ปีแห่งอิสรภาพ!” เธอตะโกนหลังชนแก้วสุรา แต่เมื่อเวลาผ่านไปฤทธิ์ร้ายของเหล้าเข้าทำงานก็เหมือนว่าเธอนึกบางอย่างได้ "แต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนี่" เธอพึมพัม หน้าซุกโต๊ะเหมือนอุ่นไอเดียวที่หาได้

          ใช่ เสียแต่จะแต่งงาน เขาคิดในใจและเหมือนมนุษย์ตรงหน้าจะอ่านมันได้ “แต่งงานกัน” เธอเลิกฝากใจกับไออุ่นจากโต๊ะ หันมาเผชิญกับคู่สนทนาแทน ควรตอบอย่างไรดีเล่า เขาบ่นในใจอีกหน  ไม่ใช่ว่าไม่ตกลง แต่เขากับเธอกับเวลานี้มันไม่ได้

          “ใช่ซี้ แค่เพื่อนอย่างฉันใครมันจะอยากแต่งด้วย” เธอบ่นแล้วหันไปสนใจแก้วสุราที่ดื่มค้างไว้ต่อ แล้วแต่งงานกับเพื่อนมันไม่ได้หรือ ถ้อยคำที่ไม่ได้เอ่ยเอื้อน และค่ำคืนจบไปพร้อมกับเสียงบ่นครวญของมนุษย์ชวนฉงนตรงหน้า


 

          หลังจากนั้นไม่นานเกินใจรอทั้งตัวเขา— วาฬ และนิลก็ได้เข้าสู่อีกชั้น วัยที่ได้ขนานนามว่าตนเป็นเด็กมหาลัย ยังคงตัวติดชิดกันไปในสถาบันเดียวกันหากแต่ต่างคณะ และตามติดมาด้วยการบรรลุนิติภาวะของเขาทั้งคู่ เด็กวัย 20 ปีสองคน ผู้ไม่ได้อยากจะเรียกตนว่าผู้ใหญ่เสียเท่าไรหนึ่งคนและตื่นเต้นกับการข้ามผ่านวัยอีกคนหนึ่ง

          วาฬ วารินเป็นประเภทแรก ยิ่งโตยิ่งมากความ เขาว่า และเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องสดับรับฟังเสียงค้านจากเพื่อนคู่ชีวิตข้างกันที่ตื่นเหลือตื่นกับการได้บัตรผ่านแห่งผู้ใหญ่ ร้านเหล้าก็เข้าได้ เหล้าก็ไม่ต้องแอบซื้อ พูดประหนึ่งตนดื่มบ่อยทั้งที่หนีทุกงานเลี้ยงที่มีสุรา ไม่อยากเมากับคนอื่น เขาว่า ขณะนอนหนุนตักเพื่อนผู้หน้านิ่งเฉยและขาที่เริ่มจะชา

          ครั้งหนึ่งย้อนไปสมัยมัธยมปลาย มีเพื่อนคนหนึ่งมาถามเขาว่า “รู้ตัวบ้างไหมว่าถูกเพื่อนสนิทชอบ” เขาไม่รู้จะตอบสิ่งใดกลับไป อีกฝ่ายอยากฟังคำตอบแบบใดกัน เขารู้ว่านิล ธรณิน — เพื่อนสนิทที่ตัวติดกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น — ชอบเขาและเขาก็รู้ตัวว่าตนรู้สึกในสิ่งเดียวกัน หากชอบที่ว่าคือความรู้สึกปลอดภัย สบายใจยามอยู่ข้างกัน หากอีกฝ่ายขอเขาเป็นแฟนเขาก็คงไม่ปฏิเสธแค่ขอทำความเข้าใจถึงเส้นแบ่งที่เรียกว่าแฟนกันก่อน หากเป็นเพื่อนกันต่อไปแล้วอีกฝ่ายมีแฟนที่ไม่ใช่เขาก็ไม่น่าจะมีปัญหา — ที่จริงก็ไม่มั่นใจนัก ไม่เคยเห็นนิลคบใคร อาจจะน้อยใจบ้างที่ถูกลดความสำคัญแต่คิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไร


 

          ครั้นนิลเลิกลิงโลดตื่นตากับการเป็นผู้ใหญ่ เขาก็เอ่ยถามวาฬผู้มานอนตากลมบนเตียงในห้องของเขาเพื่อประหยัดไฟห้องตน “แก่ไปแล้วไม่มีใครคบมาคบกันมั้ย” ประโยคนั้นทำเอาวาฬตกใจไม่น้อย ด้วยน้ำเสียงที่ติดจะประหม่าและเบาหวิวดูไม่มั่นคงมากเท่าที่เคย เขาจึงสัพยอกไปว่า “ก็ไม่คบตอนนี้เลยล่ะ” พูดไปโดยไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะตกใจแข็งข้างอยู่กลางห้อง เป็นภาพที่น่าบันทึกไว้และนำไปเขียนบทผีสยองสักบท