คล้ายพายุหลังพายุ ฟ้าหลังฝนมีเพียงความมืดหม่นของเหล่าเมฆที่สาใจในน้ำตาตนผู้หนึ่งกำลังก่อร่างสร้างฝนสร้างลมพายุอีกหน เป็นวันวงที่หากเผลอใจคิดว่าหลุดพ้นจะกลับมากลืนกินคนผู้ไร้ซึ่งแรงต้าน สองปีวนรอบวันธรรมดาเวียนรอบวันช้ำน้ำตา นับแต่นิลจากไปเข้ารู้จักเพียงวันยิ้มฝืนและวันที่ไม่อาจขัดขืนน้ำตา ไม่ใช่ว่าเขาร้องไห้เช้าสะอื้นค่ำ เขายังคงทำงาน พบปะผู้คนที่แวะเวียนมาให้กำลังใจวนนำขนมโปรดมาฝาก แต่ยามใดมีเวลาให้พอได้รู้สึกอื่นหากไม่ค้นความหลังนั่งยิ้มพริ้มกับอดีต เขาก็จมลงเตียงซึ่งเคยมีสองร่างเคียงกอดออดอ้อนให้ได้ซึ่งจุมพิตรักวาจาหวานแต่บัดนั้นเขาจมดิ่งสู่อีกห้วงซึ่งคล้ายจะตรงข้าม เป็นรักที่ไม่อาจมอบจูบรสหวานวาจาซ่อนเผ็ดได้อีกต่อไป หนักหนากว่าคู่ตรงข้ามรักอย่างไม่รัก เป็นรสรู้สึกแสนแสบแสนเค็ม น้ำตารินดั่งท่อแตก ไร้ทางหยุดด้วยตนไร้พลังเพียงตนหนึ่ง ได้เพียงปล่อยให้รินไหลออกมาชื้นหมอน ฉ่ำผ้าปู ช้ำดวงตา 

พ้นสู่เช้ากับสองชีวิตต่างสายพันธุ์ สู่วันไม่อาจหวนแก้ ยังคงเจ็บรอบดวงตา ช้ำรอบดวงใจ กาแฟไร้นมขมอมเปรี้ยว น้ำจืดชืดที่ต้องดื่มเพื่อวันต่อไป อาหารไร้ความน่าทาน บรรยากาศของเช้าหม่นแม้ไร้ฝน คนหนึ่งนั่งเหม่อจิตแม้มือกำลังตักอาหาร อีกชีวิตนั่งนิ่งเฝ้ามองเหมือนกังวลว่าหากส่งเสียงใด ฉากคล้ายภาพยนตร์ฉายจอยักษ์จะสะดุดและดับไป เช้าที่โต๊ะอาหารจบไปทั้งอย่างงั้น ไร้เสียงเรียก ไร้เสียงขาน 

ทุกอย่างเหมือนจะกลับสู่สามัญหลังมนุษย์ตัวโตทำงานไปสักพัก คล้ายระบบการมีชีวิตถูกเปิดอีกครั้ง เขากลับมาชวนนครคุย ถามไถ่และขอโทษหากทำให้เป็นห่วง

“แต่นครคงไม่เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม” คำถามไร้คำตอบ น้ำเสียงที่สั่นไหวกับอารมณ์ที่สั่นคลอน เจ้าของบ้านยิ้มให้แมวที่นอนมองพร้อมเอ่ย “วาฬไม่เป็นไร คิดว่านะ” ก่อนหันกลับมาสะสางงานตรงหน้าต่อ 

 

ข้ามสู่อีกวันที่ไม่ช้ำจากน้ำตาของกลางคืน เช้าที่สดใสนิด เบิกบานหน่อย เจ้าของบ้านตั้งใจจะตามแมวออกสำรวจในยามบ่ายหลังจากเมื่อวานอู้เพราะมัวแต่ทำงานและหาทางหนีน้ำตา ดีที่ตารางงานเขายืดหยุ่นจึงไม่ใช่ทุกวันที่ต้องรอจนบ่ายคล้อยเย็นถึงจะได้ทานอีกมื้อ ได้พักสายตาจากหน้าจอสว่างเต็มด้วยตัวอักขระ เขาเขียนบันทึกในบางวันเช่นวันนี้ เขียนในวันที่ผ่านพ้นพายุ ผ่านพ้นคำล่อลวงของความไร้ชีวิต ผ่านพ้นอำนาจไร้แสงแห่งคืนมืด

 

นิทราที่ไม่อาจเอื้อม แรงกระเพื่อมแห่งโศก

สะบัดโบกของสิ้นตาย วันร้ายสั่นพรั่นใจ

ไร้ทางหนีหรือที่ไป ในค่ำย่ำแห่งเฉลียว

โดดเดี่ยวของดาวเดียว ไร้เหนี่ยวรักรั้งใจ

หากสิ้นใจจะได้พบหรือไม่ ที่รักหนึ่งเดียวของจิต ผืนดินเดียวที่ถ่วงรั้งชีวิตนี้กับพื้นโลกได้ จะได้ฟังเสียงหวานหยอกเย้าเล่ากลอนฝากเรื่องอีกไหม เพียงอีกแค่สักครั้งยังดี

 

ส่วนที่เขาเขียนในคืนนั้น อ่านทวนซ้ำแล้วชวนน้ำตารื้น บางครั้งเขาเขียนในวันหลังพายุและบางครั้งขณะที่มันกำลังโหม น่าเวทนาตัวเขาเอง เปลี่ยวแสนเปลี่ยวแต่รั้นไม่รับใครมาช่วยพยุงเวลาแห่งทุกข์ เขาไม่อยากดึงใครมาร่วมหัวจมน้ำตากับเขา โชคดีที่เพื่อนเขาเข้าใจจึงแค่ส่งข้อความมาหาวันเว้นวัน นัดทานเข้าอาทิตย์ละครั้ง แค่ให้เห็นว่าร่างนี้ยังสมประดี ไร้แผลไร้ช้ำแม้ดูเหมือนล้มคะมำมาสิบตลบก่อนถึงร้านนัดพบก็ตาม 

หลังจากขีดเพิ่มลบกลบข้อความในบันทึกเสร็จเขาก็เผชิญกับกองงานและหน้าที่ของตัวเองต่อจนถึงยามนัดหมายของคนและแมว ทานข้าวดื่มน้ำเรียบร้อยวาฬก็หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาด รอให้นคร — ตัวเอกในการสำรวจครั้งนี้โดดขึ้นขั้นบันไดสู่ชั้นสองของบ้าน แมวดำมองข้ามมุมเล่นตนในปีกซ้ายของบ้านเดินดิ่งไปนั่งทำความสะอาดขนตัวเองหน้าประตูห้องทำงานของเจ้าบ้านอีกคนที่มันไม่เคยได้พบ วาฬเดินไปเปิดประตูให้ โต๊ะทำงานไม่ได้ถูกขยับย้ายตั้งอยู่ติดกับหน้าต่างฝั่งข้างบ้าน ต้นไม้ปลอม หุ่นไม้ที่จับขยับท่าได้ แก้วใส่ดินสอปากกา แก้วใส่พู่กัน โต๊ะที่ถูกยึดพื้นที่ส่วนกลางโดย cutting mat สีชมพูอ่อนที่นิลชอบ ถึงจะเปื้อนง่ายไปหน่อยแต่เจ้าตัวก็พยายามถนอมให้อยู่ในสภาพสะอาดตาเสมอ ซ้ายมือจากโต๊ะยังคงเป็นตู้อุปกรณ์ศิลปะสารพัดที่วาฬไม่รู้ชื่อเรียก หน้าต่างหน้าบ้านอยู่คั่นกลางระหว่างตู้เก็บของนั้นและชั้นวางที่เต็มไปด้วยอัลบั้มรูป วาฬเพียงจับปัดฝุ่นในส่วนที่เห็น ใจเขาไม่ได้กล้าแกร่งพอจะเปิดมันดูในวันนี้ ในห้องมีประตูเลี่อนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน เป็นประตูเชื่อมสู่ห้องนอนที่เคยเป็นของเขาทั้งสอง 

ตอนนี้โดนนครยึดที่ไปแล้วนะนิล” วาฬพึมพำขณะเปิดบานเลื่อนเคลื่อนหาอีกห้อง เตียงอยู่ติดอีกฟากของห้อง ใกล้บานเลื่อนมีประตูสู่โถงกลางและอีกประตูสู่ระเบียง 

ห้องนอนของสองชีวิตในความทรงจำเขายังคงโลดแล่นแม้ไม่แจ่มชัด

 

 

“เราจะไม่ทำงานในห้องนอน ดีลป่ะ” นิลหันมาถามวาฬที่กำลังเคลิ้มกับเตียงนุ่ม

“ดีล” เขาเห็นด้วยที่ไม่ควรเอางานมาทำในห้องที่มีเตียงนุ่มคอยเรียกหาแบบนี้

 

“วาริน กอดได้มั้ย” เขาอ้าแขนตอบรับคำขอจากน้ำเสียงเหนื่อยล้าของพ่อศิลปินงานล้นตัว ลูบหัวสัมผัสผมนิ่มที่ไม่ว่าจะลูบอีกกี่ครั้งก็ไร้เบื่อ ถึงจะตัวใหญ่ในสายตาชาวบ้านแค่ไหนนิลก็คือนิลคนเดิม นิลที่มุดกอดเขาเหมือนตัวเองขนาด 10 เซนติเมตร นิลที่ไม่เคยกลัวจะร้องไห้กับเขา สบัดความอ่อนล้าสยายปีกโอบเราสองในกอดของกันและกัน นิลที่ชอบสีชมพูเพราะมันสีเดียวกับท้องฟ้าเวลาตะวันลับ สีเดียวกับเล็บของวาฬตอนเจอกันครั้งแรก สีตัวดีที่ทำให้เขายืนเถียงกับครูอยู่สองนานว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะทาเล็บ เขาไม่จำเป็นต้องยอมก้มหัวให้กฎระเบียบล้าสมัยที่ลิดรอนสิทธิเขา นิลเล่าให้ฟังว่าปลื้มความไม่ยอมคนของเขาและชอบสีชมพูบนตัวเขา ชอบจนเข้ามาคุยด้วย เข้ามาผสานมิตรภาพเด็กสองคนให้เบ่งบาน นิลที่ชอบชวนไปร้านกาแฟแม้เจ้าตัวดื่มไม่เป็น หกปีในรั้วมัธยมที่ตามติดกันไปทุกที่ นิลขอชิมกาแฟเขาทุกครั้งที่สั่งเมนูใหม่โดยเอาชาสารพัดของตัวเองมาแลก ลองชิมแล้วก็บ่นว่าขมบ้างเปรี้ยวบ้างแต่ก็พยายามจะดื่มอยู่นั่น เป็นคนไม่รู้จักยอมแพ้จริงๆ นึกแล้ววาฬก็ยิ้มให้กับการพยายามของนิลที่เข้าหาผ่านการรู้จักของชอบของเขา นิลชอบถามว่าเขาชอบอะไร หลังได้คำตอบก็จะเห็นนิลอยู่กับสิ่งนั้น บอกว่าชอบดอกไม้ก็โดนลากมาเฝ้าตอนอีกคนฝึกวาดดอกไม้ในสวน บอกว่าชอบน้ำเต้าหู้หวานๆก็เอามาให้ตอนเช้า บอกว่าชอบมองเมฆขยับก็ลากกันมานั่งแหงนมองฟ้าที่หน้าตึกเรียน นิลที่ทำสิ่งที่เขาก็ไม่เข้าใจ นิลที่วาดรูปเขาจากด้านหลัง ด้านข้าง นานครั้งจะเป็นมุมที่เห็นหน้าชัดๆ เจ้าตัวมาเฉลยว่า “มองหน้าวาฬนานๆแล้วไม่มีสมาธิวาด” นิลที่ขอจูบเขาครั้งแรกตอนมอห้า นิลที่หลังจากได้รับอนุญาตก็มักจะจุ๊บเขาเป็นการทักทายเวลาอยู่กันสองคน นิลที่ถามบ่อยๆว่าทำไมเขาไม่มีแฟนสักทีแต่ก็เป็นนิลเดียวกันที่ตัวแข็งตอนมีคนมาจีบเขา นิลที่รู้ว่าการเป็นผู้ชายไม่ได้แปลว่าอ่อนแอไม่ได้ นิลที่อยู่ข้างเขาไม่ว่าจะตอนไหน 



เหล่าความหลังผลัดกันฉายภาพไร้เสียงขึ้นในหัวเขา รู้ตัวอีกทีก็นอนขดกอดหมอนอยู่บนเตียง เบะปากน้ำตาคลอ คล้ายจะสุขกับอดีตที่อย่างน้อยเคยเกิดขึ้นแต่ก็เศร้าที่จะไม่มีโอกาสสร้างมันขึ้นอีก กระนั้นน้ำตาที่เคยไหลไม่รู้หยุดบัดนี้ก็เหมือนจะหมดโควตาไหล พลันเสียงแมวดำร้องทัก

“ขอนอนอู้บนนี้ต่ออีกหน่อยนะนคร” ว่าพลางลูบหัวเล็กที่เดินมาให้จับ หลังพอใจก็สะบัดหางโดดลงเตียง เดินผ่านประตูเชื่อมห้องแต่งตัวและผ่านอีกบานสู่ห้องอาบน้ำกว้าง ผ่านไปสองสามนาทีก็เดินออกมาร้องทักเจ้าของบ้านอีกครั้ง โดดขึ้นมาหาเมื่อเห็นว่ามนุษย์ตัวดีไม่ยอมขยับ

“วันนี้ก็ทำหน้าที่ได้ดีครับผู้ตรวจการณ์นคร” ลูบพุงแมวดำที่ขึ้นมานอนแผ่อยู่ข้างกัน หวังว่าความอุ่นจากพุงเล็กจะช่วยเติมใจที่พร่องไปของเขาได้ 



หากชีวาจักสูญสิ้น บนลิขิตแห่งนภา

หากโลกาจักมอดไหม้ และดับไปชั่วกัปกาล

หากเสียงขานไร้สดับ ขอจมปลักสู่วาริน

ยังอาจิณแห่งรัก ไร้พักของคลื่นวน

— แด่ วาฬ