หลังจากที่ผมได้รู้จักกับปาล์มแล้ว ผมก็รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงที่จะตื่นมาโรงเรียนในทุกเช้าขึ้นมาซะอย่างนั้น ความรู้สึกเบื่อที่เคยมีหายไปจนหมดสิ้น ถึงแม้ว่าการมาเรียนจะยังน่าเบื่อขนาดไหนก็ตาม แต่จะว่าไปมันก็เป็นสัญญาณที่ดีนะ รู้สึกเหมือนกลับไปตอนอยู่ม.ต้นที่โลกทั้งใบยังสดใสยังไงอย่างงั้นเลย ทุกความรู้สึกมันพิเศษหมดเลยอะสำหรับผม แม้กระทั่งตอนเข้าแถวเคารพธงชาติแล้วได้ชะโงกมองหน้าปาล์มแล้วเห็นว่าเขาก็มองมาที่เราอยู่เหมือนกัน นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้หัวใจพองโตกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้

          หลังจากที่เดินขึ้นมาบนห้องเสร็จเรียบร้อย ผมก็หยิบหนังสือใต้โต๊ะแล้วก็กล่องปากกาออกมาก่อนจะเดินไปเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสซึ่งเป็นคาบเรียนแรกของวันนี้ ห้องของผมเป็นสายศิลป์-ภาษาที่ครึ่งหนึ่ง ไม่สิ ส่วนหนึ่งของห้องเรียนเอกภาษาฝรั่งเศส ส่วนที่เหลือเป็นเอกภาษาจีน พวกเราเป็นคนกลุ่มน้อย ก็ต้องไปเรียนแยกอีกห้องตามธรรมเนียม ผมเลือกเรียนศิลป์-ภาษา ก็เพราะว่ามันชิลที่สุดในบรรดาทุกสายการเรียนแหละ ผมอยากเรียนต่อด้านแฟชั่น ถ้าไปลงเรียนอย่างอื่น จะเอาเวลาที่ไหนมาปั่นงานปั่นพอร์ต ส่วนที่เลือกเอกฝรั่งเศสก็เพราะคิดว่าน่าจะเอาไปต่อยอดใช้ในสายแฟชั่นได้

          ผมต้องเดินขึ้นบันไดมาหลายชั้นเพราะลิฟต์ปิดตอนคาบแรก ห้องเรียนภาษาฝรั่งเศสอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของตึก ถ้าเทียบกันชัด ๆ มันก็คือมุมเดียวกับห้องเรียนของปาล์มแหละ ต่างกันแค่ 6 ชั้นและขนาดที่เล็กกว่า ผมเดินกอดหนังสืออย่างใจลอยจนตอนที่กำลังเดินผ่านโถงลิฟต์แล้วก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งทักขึ้นมา ทำให้ผมถึงกับต้องหยุดเดินแล้วหันไปตามเสียงนั้น “ทำไมน่ารักจังอะ”

          ภาพที่ผมเห็นก็คือปาล์มยืนอยู่ตรงหน้าโถงลิฟต์กับเพื่อน ๆ อีก 2-3 คน ด้วยความที่ข้างหลังของปาล์มเป็นกระจกที่ตอนนี้แสงแดดทะลุผ่านเข้ามาจนทำให้ผมมองเห็นคนตัวสูงอย่างเลือนราง แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้แล้วว่าคือปาล์ม ผมยืนนิ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ร่างสูงค่อย ๆ เดินตรงเข้ามาหาผม ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ผมก็ยิ่งได้เห็นใบหน้าและดวงตาคู่นั้นได้ชัดขึ้น ในทีแรกผมนึกว่าปาล์มจะเดินแล้วหยุดตรงหน้าผม แต่เปล่าเลย ปาล์มมองแล้วเดินผ่านผมไป ผมรีบหันไปมองตาม คนตัวสูงเดินเลยไปเพื่อดื่มน้ำตรงตู้กดน้ำด้านหลังผม

          ปาล์มก้มตัวลงไปแล้วใช้มือกดปุ่มจนน้ำดื่มพุ่งออกมา ริมฝีปากหนาเผยอออกรับน้ำดื่มเย็นเข้าปากไป ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงเห็นภาพทุกอย่างเป็นแบบสโลว์โมชั่น ทั้งริมฝีปากที่ค่อย ๆ อ้า น้ำที่ค่อย ๆ แตะลงบนลิ้นและบางส่วนกระเด็นออกมานอกปากไหลออกมาที่คางลงไปตามคอ น้ำหยดน้อยที่กระเซ็นเหล่านั้นไหลต่อเข้าไปใต้เสื้อนักเรียนสีขาว หลังจากดื่มน้ำจนชุ่มคอแล้ว ปาล์มก็ค่อย ๆ กลับมายืนปรกติ น้ำดื่มที่กระเด็นออกมายังชุ่มอยู่ตรงคางและคอ ทำเอาผมต้องกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่

          “เราถามไปว่าทำไมเธอน่ารักจัง เธอยังไม่ตอบเลยนะ” ปาล์มพูดขึ้นแล้วยกมือขึ้นมาเช็ดที่ปากตัวเอง ผมได้แต่มองตาปริบ ๆ เหมือนตัวเองหลุดลอยไปจากตรงนั้นแล้ว จนปาล์มมองหน้าผมด้วยสีหน้าฉงนผมถึงรู้ว่าประโยคที่ปาล์มพูดเมื่อกี้มันเป็นประโยคคำถาม

          “เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี คิดสิบิล คิด เสียงทรงหมดแล้วเนี่ย ปรกติเป็นแบบนี้ที่ไหน ผมพยายามรีบคิดสรรหาคำตอบ “ก็น่ารักให้มีคนมาชมไง” เห้ออ โล่งอกไปที เมื่อกี้อย่างกับมีนาฬิกาจับเวลาอยู่ นี่เกมสามสิบวินาทีทองหรือไงเนี่ย

          ปาล์มยิ้มออกมาหลังจากได้ฟังคำตอบของผม ก่อนจะโน้มตัวลงมาหาผม ใบหน้าของปาล์มเข้ามาใกล้ผมในระยะที่ทำเอาใจผมสั่นไปหมด “เลิกน่า แล้วเปลี่ยนเป็นแค่รักได้แล้วนะ” ปาล์มพูดเสียงเบากึ่งกระซิบออกมา เสียงที่ค่อนข้างแหบตอนพูดเบา ๆ ทำเอาผมขนลุกวาบเลย ผมอยากจะเป็นลมล้มตึงไปตรงนั้นเลย ไม่ไหวแล้ว รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงอ่อนระทวยไปหมด แต่ไม่ได้ ถ้ามาทำท่าทีอ่อนแอ อ่อนระทวยอย่างนี้จะเสียชื่อบิลเลี่ยนหมด ผมพยายามบังคับให้ตัวเองหายใจออกมาเป็นปรกติ แล้วยืนหน้าเข้าไปที่ข้างหูปาล์มแล้วกระซิบออกมาเบา ๆ “ถ้าเปลี่ยนเป็นแค่รักแล้วจะรักกลับปะ”

          เมื่อได้ฟังคำตอบของผม ร่างสูงก็ค่อย ๆ ยืดหลังกลับไปยืนเหมือนเดิมแล้วเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา ผมเลื่อนสายตาขึ้นไปหาดวงตาคมคู่นั้นแล้วยิ้มที่มุมปากกลับออกมาเหมือนกัน ไม่ว่าข้างในใจจะเต้นแรงขนาดไหน จะอ่อนระทวย อยากจะละลายยังไง ผมก็ต้องรักษาอาการเอาไว้ แบบนี้ค่อยสูสีกันหน่อยสิ จริงไหม

          “ขี้อ่อยแบบนี้กับทุกคนเลยปะเนี่ย” ปาล์มถามผมออกมาด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะตอบอะไรกลับไป ก็มีเสียงคนอื่นโพล่งขึ้นมาแทน

          “บิลมันก็ขี้อ่อยแบบนี้แหละ” ผมรีบหันไปมองตามเสียงนั้น แล้วก็พบว่าเป็นไทม์ หนึ่งในเพื่อนที่ยืนอยู่ตอนแรกกับปาล์มนั่นแหละที่พูดออกมา ไทม์และคนอื่น ๆ เดินตรงมาที่พวกผมสองคนยืนอยู่ ปาล์มมองหน้าผมด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่เชื่อมึงก็ถามไอ้โปดูดิ” ทันทีที่ไทม์พูดประโยคนี้จบ ผมถึงกับต้องรีบกวาดสายตามองบรรดาคนที่เหลือที่ยืนอยู่ตรงนั้นอีกที เชี่ยยย โปโลอยู่ตรงนั้นด้วยจริง ๆ ว่ะ เล่นเอาผมหน้าเสียไปเลย ปาล์มหันไปมองหน้าโปโลเหมือนจะเค้นเอาคำตอบอะไรสักอย่างออกมา

          “ก็ไม่ได้ขี้อ่อยนะ กูเพิ่งจะเห็นบิลอ่อยคนอื่นครั้งแรกนี่แหละ” โปโลพูดออกมาหน้านิ่งแล้วหันมาสบตาผมหนึ่งครั้ง “ไอ้ไทม์มึงก็พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไอ้ปาล์มกับบิลตกใจหมดแล้วเนี่ย”  เมื่อโปโลพูดออกมาแบบนั้นก็ทำให้ไทม์ที่ตอนแรกท่าทีดูเก๋ามากเสียทรงไปเลย ขอโทษด้วยนะธราธิป แต่สิ่งที่โปโลพูดก็เป็นเรื่องจริง

          “กลางวันนี้ไปกินข้าวกันไหม” ปาล์มถามออกมาด้วยน้ำเสียงปรกติ ในตอนแรกผมก็กลัวว่าปาล์มจะตกใจแต่ก็ไม่เลย ซึ่งเป็นเรื่องดีแล้วที่ปาล์มไปคล้อยไปตามคนปากพล่อย ๆ อย่างไทม์

          “ได้สิ” ผมตอบออกไปอย่างไม่ลังเล

          “เดี๋ยวพักแล้ว เราเดินไปรับหน้าห้องนะ” ปาล์มตอบแล้วยิ้มออกมาตามสไตล์ แต่ก่อนที่ผมจะได้ฟินกับรอยยิ้มนั้น เสียงของมิสจุ้ยก็แผดดังขึ้นมาเล่นเอาผมสะดุ้ง

          “นพัตธร! จะเข้าเรียนไหม!” ผมรีบชะโงกหน้ามองไปแล้วก็เห็นมิสจุ้ยที่ยืนเท้าเอวอยู่หน้าห้องจ้องเขม็งมาที่ผม ผมหันไปมองหน้าปาล์มแล้วรีบวิ่งตรงไปทางห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางมิสเขาก็ยังแผดเสียงต่อ “แล้วพวกนั้นน่ะ ไม่ร่ำไม่เรียนกันเหรอ เดี๋ยวฉันจะเอาไปส่งห้องปกครองให้หมดเลย คอยดูสิ!!

          ผมรีบวิ่งเข้าไปนั่งในห้องเรียนอย่างรวดเร็วก่อนที่มิสจุ้ยจะตามเข้ามา ปิดประตูเสียงดังปั้ง สายตาของเพื่อนทุกคนในห้องถึงแม้จะมีไม่ถึงสิบคนก็เถอะ จับจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่ตัดสินผมมาก ๆ โดยเฉพาะเจมส์และจัสต์ที่นั่งกอดอกจ้องหน้าผมเขม็งเหมือนผมไปฆ่าใครมาอย่างนั้นแหละ

          มิสจุ้ยเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสคนเดียวในโรงเรียน สอนพวกผมมาปีนี้ก็ปีที่สามแล้ว จริง ๆ มิสไม่ใช่คนดุอะไรหรอก เสียงดังไปงั้น ผมพยายามหลบสายตาของมิสที่จ้องมาที่ผม ในใจผมก็ภาวนาว่าให้มิสเขาเปลี่ยนเรื่องเลย แต่มีที่ไหนอะ เหมือนยิ่งคิด ยิ่งกลัว ยิ่งดึงดูด มิสจุ้ยแผดเสียงออกมาอีกรอบ “แล้วนี่อะไร จะมาเสียการเรียนตอนจะจบเพราะผู้ชายเหรอ ฉันเห็นแล้วมันก็ไม่เห็นจะหล่อตรงไหนเลย”

          “ก็หล่ออยู่นะมิส” ผมพูดออกมาเบา ๆ แล้วหลบสายตามิสเขาต่อ

          “ยังจะเถียงอีก!!

          ผมเงียบไม่ต่อปากต่อคำอะไรแล้ว ปล่อยให้มิสเขาใจเย็นแล้วก็เริ่มบทเรียนวันนี้ด้วยตัวเอง ผมเหลียวหลังกลับไปมองเพื่อนตัวที่สองคนที่นั่งข้างหลังผม แค่หันกลับไปมองเท่านั้นแหละ เจมส์ก็ส่ายหน้าแล้วชี้นิ้วไปที่จัสต์เป็นการบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนบอก ส่วนจัสต์ก็ยังนั่งกอดอกแล้วจ้องเขม็งมาที่ผมพร้อมยักคิ้วแบบกวนตีน ๆ ให้ ไอ้เพื่อนคนนี้เนี่ยนะ มันน่าเขกหัวแรง ๆ สักทีให้เจ็บจนกลับไต้หวันไปเลยจริง ๆ เพื่อนอุตส่าห์จะมีความสุข ได้เจอผู้ชายในฝันก็ชอบมาทำแบบนี้ แล้วผมก็ไม่ได้เข้าห้องช้าอะไรไปมากมายเสียหน่อย สายแค่ 20 นาทีเอง ทีตอนมันโดดเรียนนะ ผมยังโกหกให้ตลอดว่าวันนี้มันไม่ได้มา มันไม่สบาย ทีแบบนี้ล่ะไม่มีช่วยกันเลย คิดแล้วก็หงุดหงิด

          ผมทนนั่งเรียนต่อไปจนหมดคาบแล้วก็อย่างที่ผมบอกว่ามิสเขาไม่ได้เป็นคนดุอะไร ตอนเรียนเสร็จยังมีเปิดรูปบิงซูที่ไปกินมาเมื่อวานแล้วบอกกับผมเลยว่าร้านนี้อร่อย ให้พาปาล์มไปลองกินดูสิ แต่มิสเขาใช้คำว่า “พาไอ้หน้าเข้มคนนั้น” นะ ฟังแล้วตลกมาก แต่ก็ขำไม่ได้ ได้แต่เออออตามน้ำไป

          เพราะมิสเขาชวนผมคุยต่อหลังเลิกเรียนนิดหน่อยทำให้ผมเดินออกจากห้องมาช้ากว่าคนอื่น ๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าทุกคนจะเดินกลับห้องกันไปหมดแล้ว แต่พอเปิดประตูห้องออกมาก็เจอเจมส์กับจัสต์ยืนกอดอกรออยู่ ความจริงทุกคนคงจะก็กลับห้องไปหมดแล้วล่ะ เหลือแค่สองคนนี้แหละ ผมมองหน้าชายร่างสูงสองคนด้วยสีหน้างงแทนการถามว่า ทำไมไม่กลับห้อง? แต่สองคนก็ยังยืดกอดอกแล้วจ้องหน้ามาที่ผมนิ่ง ไม่มีท่าทีจะพูดจะตอบอะไร ไม่รู้ว่าเพราะไม่เข้าใจสีหน้าของผมหรือเพราะไม่อยากจะตอบ ผมเลยเดินผ่านสองคนนั้นมา กะจะเดินไปลงที่บันไดอีกฝั่ง ผมไม่รู้ว่าผมเดินช้าหรือว่าเพราะสองคนนั้นขายาวเลยทำให้ทั้งจัสต์และเจมส์เดินตามผมมาได้ไวมาก ทั้งสองคนยืนประกบข้างผม ผมหยุดยืนแล้วหันไปมองหน้าคนทั้งสองคนสลับกัน ตอนนี้ผมเริ่มจะหงุดหงิดละ

          “เดทกับผู้ชายที่เป็นเพื่อนของแฟนเก่าตัวเองเหรอวะ so classic” จัสต์เป็นคนพูดขึ้นมาก่อนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่น่าเป็นตอนอื่นก็คงจะดูปรกติ แต่พอเป็นตอนนี้ ดูโคตรกวนตีนเลย

          “มึงพูดเรื่องอะไร?” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

          “ไอ้โปไง” จัสต์ตอบแล้วดึงหน้าตึงใส่ผม “คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่มึงอย่าลืมนะว่ากูรู้”

          ผมฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบกลับไป “โปโลไม่ใช่แฟนเก่ากู never was”  

          “almost” จัสต์ยังคงพูดต่อ ผมกลอกตาแล้วหันไปมองหน้าเจมส์ที่ยืนมองผมด้วยท่าทีปรกติ ไม่มีสีหน้าแปลกใจอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกผมคิดว่าเจมส์คงจะต้องงงหรือสงสัยอะไรแล้วไหม

          ผมไม่ได้โกหกหรือไม่พูดความจริงออกมา ก็คนมันไม่เคยคบกันจะให้ยอมรับได้ยังไง ผมกับโปโลเคยสนิทกันมากจริง ๆ แต่นั่นก็ปีนึงแล้วปะ ถ้าจะบอกว่าเคยคุยกันก็โอเค เข้าใจได้ แต่ผมและโปโลไม่เคยมีฟีลแบบจะคบกันเป็นแฟนเลย คุยเล่นไปไหนมาไหนกันปรกติ จะให้ผมยอมรับว่าเคยชอบโปโลยังดูจะเป็นไปได้กว่าแต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงอยู่ดี แต่โปโลเคยชอบผมไหม อันนี้ผมไม่รู้นะ เขาไม่เคยบอก ผมก็ไม่เคยถาม ถึงแม้ว่าโปโลกับปาล์มจะเป็นเพื่อนกันจริง ๆ และผมก็รู้เรื่องนั้นก็ตาม แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรเลย เรื่องของผมกับโปโลมันไม่มีอะไรที่เกินขอบเขตของเพื่อนกันเลยอะ ผมคิดแล้วก็งง สังคมมัธยมมันเป็นอะไรที่แปลกนะ การที่ผมสนิทกับผู้ชายสักคน ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ช่วงหนึ่ง มันต้องหมายความว่าผมกับคนนั้นต้องมีอะไรเกินเพื่อนกันเลยเหรอโคตรไร้สาระ ถึงผมจะมีเรื่องราวในอดีตอื่น ๆ ที่มันจะมาประกอบว่าสมมติฐานนี้ดูน่าเชื่อถือแต่มันก็ไม่ได้จะเป็นเหมือนเดิมตลอดปะ จัสต์ควรจะเป็นคนที่เข้าใจผมเรื่องนี้ที่สุดเลยนะ โคตรน่าหงุดหงิด

          “จัสต์ ฟังกูดีดีนะ” ผมหันไปยืนประชันหน้ากับมันโดยตรง “Polo has never been my boyfriend nor a date, nor anything close to that. And my relationship with Palm has nothing to do with it.” ผมจงใจพูดเป็นภาษาอังกฤษก็เพราะว่าอยากจะให้จัสต์เข้าใจทุกอย่างที่ผมพูดไปจริง ๆ และให้มันรู้ด้วยว่าผมจริงจัง “Which part of it you don’t understand?”

          จัสต์ฟังแล้วก็ยกริมฝีปากของตัวเองขึ้นแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “I do understand it all but…”

          “เดี๋ยวดิ” ก่อนที่จัสต์จะได้พูดอะไรต่อออกมา เจมส์ก็พูดแทรกขัดขึ้นมา “คุยกันภาษาไทยได้เปล่าวะ” ผมไม่แปลกใจอะไรเลยที่เจมส์จะพูดอย่างนี้ เจมส์ไม่ถนัดภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่และเจมส์เองก็คงอยากรู้เรื่องที่ผมกับจัสต์พูดกันอยู่

          “เอ่อ...” จัสต์คิดคำที่จะพูดออกมาต่อแป๊บนึง “กูเข้าใจนะบิล แต่ที่กูพูดก็เพราะกูคิดว่าคนอื่นจะไม่ได้เข้าใจแบบกูว่ะ”

          “ไม่เห็นเป็นไรเลย คนที่รู้เรื่องว่ากูกับโปโลเคยสนิทกันก็มีไม่เยอะ อีกอย่างต่อให้คนพวกนั้นจะเอาไปคุยกันให้สนุกปาก กูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว”

          “แล้วถ้ามันไปเข้าหูไอ้ปาล์มขึ้นมาล่ะ?” จัสต์ยังคงถามต่อ ผมเริ่มพอจะเดาอาการนี้ของจัสต์ออกละ คือมันเป็นห่วงผมแหละ แต่เป็นคนเวลาจะเตือนอะไรชอบพูดจาชวนทะเลาะแบบนี้ ตอนนี้อารมณ์หงุดหงิดของผมหายไปหมดแล้ว เพราะเรื่องที่มันพูดก็พอจะมีเหตุผลจริง ๆ

          ผมคิดในสิ่งที่จัสต์พูดอยู่ครู่หนึ่ง วินาทีแรกที่ฟังจบประโยค ยอมรับนะว่าผมก็มีความรู้สึกกลัวแวบขึ้นมาบ้าง แต่มาลองคิดไปคิดมา เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับผม ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องกลัวอะไรเลย ถ้าปาล์มจะรู้ ผมคิดว่าคนแรกที่ปาล์มจะไปถามก็คือโปโลและโปโลก็ต้องพูดเหมือนที่ผมพูดอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีอะไรเกินนั้นจริง ๆ แต่ถ้าลองคิดอีกที ผมคิดว่าปาล์มก็น่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วนะ

          “เชื่อกูเถอะจัสต์ว่าปาล์มรู้เรื่องนี้ คนอย่างปาล์มไม่สนใจเสียงนกเสียงกาหรอก” ผมตอบออกไปอย่างมั่นใจ

          “ดีเนอะ เพิ่งรู้จักกันก็มั่นอกมั่นใจในตัวมันขนาดนี้เลย” เจมส์พูดตัดพ้อออกมา ผมหันไปมองหน้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผมที่ตอนนี้แสดงสีหน้าผิดหวังอยู่

          “เอาที่มึงสบายใจละกันนะบิล” จัสต์เอื้อมมือมาวางบนบ่าผมพร้อมส่งสายตาห่วงใยมาให้ ผมยกมือขึ้นมาวางบนมือของมันแล้วพูดขอบใจมันไป

          “ขอบใจนะมึง...กลับห้องกันเถอะ กูร้อน” ผมบอกทั้งสองคนแล้วเดินนำมาก่อน สองคนนั้นยังไม่เดินตามหา คงจะลีลาหาเรื่องเข้าห้องช้าเหมือนเดิมตามสไตล์ ก็เป็นแบบนี้มาตลอด

          ผมเดินลงบันไดมาถึงที่ห้องเรียนตัวเองพอดี แค่มองลอดผ่านกระจกเล็กตรงประตูเข้าไปยังดูออกเลยว่ามิสที่สอนคาบนี้ยังไม่มา เพราะในห้องวุ่นวายมาก ในจังหวะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปเลื่อนเปิดประตูห้อง หางตาของผมก็เห็นว่ามีคนกำลังเดินตรงมา ผมเลยหันไปมอง แล้วก็เห็นว่ามิสมณีพันธ์ที่สอนภาษาอังกฤษซึ่งก็คือคาบนี้กำลังเดินมา ถือกระเป๋าไฮเอนด์แบรนด์เดินประหนึ่งลอยมา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจเลย สิ่งที่ดึงความสนใจมากกว่าก็คือปาล์มที่ถือชีทกองโตตามมิสเขามาต้อย ๆ มิสยิ้มมาให้ผมก่อนจะถามออกมาด้วยเสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ “ไปไหนมาจ๊ะ คนสวย” แต่ผมไม่รู้สึกว่าเสียงแหลมที่เปล่งออกมานั้นดังพอที่จะดึงความสนใจของผมไปจากปาล์มได้เลย ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นจ้องมองปาล์มเดินเข้ามาใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น จนหยุดอยู่ตรงหน้าผม

          “แล้วนี่จะให้ฉันเข้าไปสอนไหมเนี่ย” ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วก็พบว่าตอนนั้นมิสยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วเช่นกัน มือขาวซีดที่มีรอยเหี่ยวบ้างจับอยู่ตรงราวประตูเหมือนอยู่กับผม ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามิสเขาเดินมาถึงตอนไหน แต่ก็คงจะมาถึงพร้อมปาล์มแหละ ไม่ ต้องก่อนสิ ก็มิสเขาเดินนำมาก่อน ผมรีบปล่อยมือออกจากเหล็กที่ผมจับค้างไว้อยู่ แล้วมิสเขาก็เลื่อนประตูให้เปิดออกก่อนจะสั่งให้ปาล์มเอากองชีทในมือวางลงบนโต๊ะของเพื่อนร่วมห้องผมสักคน ปาล์มวางสิ่งของในมือลงก่อนจะเดินออกมายืนประกบผมแล้วพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ไปไหนมาจ๊ะ คนสวย” มันเป็นประโยคเดิมที่เมื่อกี้มิสเขาถามผม แต่พอเป็นเสียงของปาล์มแล้วผมได้ยินมันเต็มสองรูหูเลย แม้ว่าจะพูดเบากว่ามิสเขาเยอะ ผมยิ้มออกมาด้วยความเขิน

          “ตัวบิดตัวงอเลยลูกสาวคนนี้!” มิสมณีพันธ์พูดขึ้นมา ผมรีบหันไปมองมิสเขาที่ยืนมองมาที่ผมและปาล์มอยู่อย่างไม่ละสายตา

          “ลูกสาวมิสสวยนะครับ” ปาล์มตอบมิสเขากลับไปแล้วหันมายิ้มให้ผม ใช่ รอยยิ้มที่ชวนละลายนั่นแหละ

          “ฉันว่าแล้ว!” มิสแผดเสียงแหลมและสูงออกมา “อยู่ดี ๆ ภัทรธรอาสาจะเดินมาส่งฉัน ที่ไหนได้ จะมาจีบสาวห้องนี้นี่เอง เด็กสมัยนี้นี่นะ”

          “กลับไปเรียนได้แล้ว” ผมพูดกับปาล์มออกมาอย่างไม่ได้สนใจเสียงของมิสเขาเลย

 

          “เดี๋ยวพักแล้วเดินมารับนะ” ปาล์มพูดก่อนจะเอื้อมมือมาวางบนแก้มของผมแล้วใช้นิ้วบีบเบา ๆ ก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินจากไป ส่วนผมก็เดินตัวบิดตัวงอเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว อ๋อ แล้วก็ไม่ต้องถามนะว่าโดนมิสเขาแซวขนาดไหน บอกได้เลยว่า ไม่เหลือ!