2 ตอน #2 หน้าม้าน่ารักดี
โดย 68+1
ทำไมวันหยุดเสาร์อาทิตย์มันถึงผ่านไปไวขนาดนี้เนี่ย เมื่อวานระหว่างที่เจมส์กลับไปเอาของที่คอนโด ผมก็เคลียร์พื้นที่บ้างส่วนในห้องเพื่อให้เจมส์ได้วางข้าวของเครื่องใช้ของเขา เจมส์ไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กหนึ่งใบ ข้างในมีเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ชุด หลัก ๆ เป็นพวกชุดนักเรียน ชุดพละ ที่เหลือก็เป็นพวกกางเกงใส่นอนแล้วก็ข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ถ้ารู้ว่าจะน้อยขนาดนี้นะ ไม่เคลียร์ที่ไว้ให้เยอะหรอก ผมก็ลืมคิดไปว่าเจมส์เป็นพวกไม่ค่อยแต่งตัว กางเกงยีนส์ตัวเดียวใส่วนไปเป็นชาติ เปลี่ยนก็จะเปลี่ยนแต่เสื้อ เป็นผู้ชายนี่ก็ดีเนอะ ไม่ต้องแต่งตัวอะไรเยอะ มารู้ตัวอีกทีเจมส์ก็ย้ายมาอยู่บ้านผมแบบจริง ๆ แล้ว การตื่นมาแล้วมีคนนอนข้าง ๆ มันก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดีเหมือนกันนะ ผมก็ไม่ได้มีใครมาพักใหญ่ ๆ แล้วเหมือนกัน แต่ปรกติก็ไม่ค่อยให้ใครมานอนบ้านอยู่แล้วเลยรู้สึกไม่ชินไปใหญ่
หลังจากที่ผมทนนั่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่มิสเขาไม่ได้สอนอะไรมากแล้ว ปล่อยให้นั่งทำงานไป ส่วนตัวเองก็ยังมานั่งเม้ากับพวกเด็กหน้าห้องอยู่ ผมเบื่อ ๆ บวกกับรู้สึกปวดฉี่นิดหน่อย ออกไปเดินเล่นหน่อยดีกว่า
“มิส” ผมเดินมาถึงหน้าห้องแล้วเรียกมิสที่กำลังนั่งเม้าอยู่อย่างถึงพริกถึงขิงจนเหมือนจะไม่ได้สนใจเสียงของผมสักเท่าไหร่ “มิสแอน บิลไปขอเข้าห้องน้ำนะ” มิสแอนหยุดพูดแล้วหันมามองหน้าผมก่อนจะพยักหน้าให้แล้วก็หันหน้ากลับไปในวงสนทนาต่อ ผมแอบกลอกตาวนเบา ๆ แล้วก็เดินออกจากห้องมา
หลังจากที่ผมทำธุระอะไรเสร็จ ผมก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา สายตาของผมก็ต้องหยุดเมื่อเจอกับสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมาทางผมผ่านกระจกตรงอ่างล้างมือ ผมยืนสบตากับเจ้าของตาคมคู่นั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความงุนงง ก่อนที่ผมจะเลือกเป็นฝ่ายเบือนสายตาออกแล้วเดินตรงไปที่อ่างล้างมือ ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะมาล้างมือข้าง ๆ เขา แต่ทำไงได้ อ่างล้างมือมันก็อยู่ตรงนี้ จะให้ไม่ล้างแล้วเดินออกไปเลยเหรอ สกปรกตาย
ผมก้มหน้าก้มตาล้างมือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนอยู่ดี ๆ ชายร่างสูงคนนั้นก็พูดขึ้นมา “ทรงผมน่ารักดีนะ” ในทีแรกผมยังคิดว่าเขาพูดกับใคร ผมเงยหน้าแล้วมองแบบงง ๆ “ชมเราเหรอ”
“ใช่สิ ก็ชมเธอไง มีเธออยู่คนเดียวจะให้ชมใคร” ชายคนนั้นหันตัวมาหาผม เสียงของเขาทุ้มแน่นแต่ก็ชวนฟังเหลือเกิน เป็นเสียงที่หล่อมาก ๆ ไม่แพ้หน้าตาคมเข้มของเขาเลย
“ขอบคุณนะ” ผมตอบแก้เขินหลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ปรกติไม่ค่อยมีใครมาชมอะไรผมเยอะ ยิ่งเฉพาะกับคนที่ไม่รู้จักกัน ทำตัวไม่ถูกเลย ผมเลิ่กลั่กไม่รู้จะทำอะไรต่อ เลยเผลอเอามือไปเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างมืออีกครั้ง
“เธอชื่อบิลใช่ปะ” ชายที่ยืนข้าง ๆ ยังชวนผมคุยต่อ
“ใช่ ๆ” ผมตอบกลับไปแล้วก็เอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำแล้วเหลือบหันไปมองเขาช้า ๆ ผู้ชายอะไร ตัวสูงจัง หุ่นก็ดี แขนนี่มีเส้นเลือดขึ้นเป็นเส้นเลย แถมหน้าตาก็ดีอีกต่างหาก ผมก็ไม่ได้อยากมองอะไรมากหรอกนะ แต่จมูกโด่งเป็นสัน ตาคม ปากหนาได้รูป โกนหนวดอะไรเรียบร้อย ดูดีมากเลยจริง ๆ
“เราชื่อปาล์มนะ” เขาแนะนำตัวออกมาทำให้ผมพอจะนึกออกว่าเขาคือใคร
“อยู่ห้องสองใช่ปะ” ผมถามต่อหลังจากพอจะนึกได้เลือน ๆ “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ใช่ ยินดีที่ได้รู้จัก” ปาล์มตอบก่อนจะยิ้มออกมาให้ผมแบบไม่มีสาเหตุ เป็นยิ้มที่ผมเห็นแล้วรู้สึกอยากจะละลายลงไปกองตรงนั้น นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าอาการอยากโดนเธอยิ้ม เอ้ย ไม่ใช่สิ พอ ๆ นพัตธร ดึงสติกลับมาหน่อย เพิ่งเจอกัน ท่องไว้ เพิ่งเจอกัน
“เรา... เอ่ออ” ผมรีบคิดอย่างไวว่าจะพูดอะไรออกมาต่อดี เพราะตอนนี้เหมือนระบบประสาททุกอย่างของตัวเองหยุดนิ่งถูกสะกดด้วยดวงตา รอยยิ้มและเสียงของปาล์มไปหมด “เรากลับไปเรียนก่อนนะ” ผมงึกงักทำท่าจะเดินออกจากห้องน้ำ แต่ก็ต้องหยุดเพราะเสียงทุ้มเสียงนั้นยังคงถูกเปล่งออกมา
“ขอไลน์หน่อยได้ไหม จะได้รู้จักกันจริง ๆ ไง” ผมยืนหยุดนิ่ง ในใจนี่เต้นรัว รู้สึกถึงระบบประสาทของตัวเองที่กลับมาทำงานทั่วร่างอีกครั้ง ความรู้สึกพุ่งพล่านไปหมด แต่ก็ทำได้แค่หันกลับไปหาปาล์มช้า ๆ แล้วบอกไอดีไลน์ตัวเองไป “แอดไปแล้วนะ ทักไปแล้วด้วย” ปาล์มหันหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองมาให้ผมดู ผมมองดูก็เป็นห้องแชทที่มีชื่อผม มีอีโมจิรูปหัวใจสีแดงที่ถูกส่งมา
“โอเค เดี๋ยวเราตอบนะ” ผมตอบกลับไปก่อนจะรีบหันหลังแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ผมกลับเข้ามาในห้องเรียน นั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง จริง ๆ ห้องมันวุ่นวายมากเลยนะ แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงมันเลย ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาดู บนหน้าจอที่ยังไม่ได้ปลดล็อกมีข้อความจากปาล์มทักมาจริง ๆ ผมเม้มปากแน่นเพราะอยากจะกรี๊ดออกมาให้สุดเสียงแต่ก็ทำไม่ได้
“มึงเป็นไร เจอผีเหรอ” กุชชี่ถามผมซึ่งเป็นการดึงผมกลับมาในโลกปรกติ เสียงรอบข้างเริ่มดังขึ้น ความวุ่นวายเริ่มกลับมา
“ปะ.. ปะ.. เปล่า” ผมเลิ่กลั่ก “ไม่ได้เจอ”
“แล้วเจออะไร” กุชชี่วางปากกาในมือลงบนโต๊ะแล้วนั่งกอดอกมองมาที่ผม
“เปล่า ไม่ได้เจออะไรเล้ย” โอ๊ย นพัตธร จะเสียงสูงทำไม ความโป๊ะเป็นล้าน มองมาจากดาวอังคารยังเห็นเลยว่าโป๊ะ
“เจอผัวเก่าหรือผัวใหม่ในอนาคต” กุชชี่เริ่มเค้นคำตอบจากผม สีหน้าจริงจังอย่างกับว่าถ้าได้คำตอบแล้วจะเอาไปชิงโชคลุ้นรางวัลอย่างงั้นแหละ
“ไม่ได้เจออะไรทั้งสอง” ผมกระแอมสองทีเพราะเสียงที่พูดออกมาแหบอย่างไม่มีสาเหตุก่อนจะพูดต่อ “กูบอกมึงแล้วไงว่ากูเหนื่อยกับความรักแล้ว กูอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
“ถ้ากูเชื่อมึง กูก็ไม่ต้องเรียนแล้วหนังสงหนังสือเนี่ย กูคงจะต้องไปแดกหญ้าให้หมดโลก คนอย่างมึงมีเหรอถ้าไม่ได้เจอผู้ชายมา จะมีท่าทีแบบนี้ กูเป็นเพื่อนมึงมานานแล้วนะ กูฟังจากเสียงลมหายใจมึงยังรู้เลย...” กุชชี่กลืนน้ำลายลงคอหนึ่งครั้ง “ว่ามึงกำลังสั่น!!”
อยู่ดี ๆ แม่นางเขาก็แผดเสียงขึ้นมา ทำเอาผมสะดุ้ง ผมรีบหันไปมองคนรอบข้างที่ตอนนี้เงียบสนิท ทุกสายตากำลังจับจ้องมาทางผมกับกุชชี่ ก่อนที่ทุกสายตาจะค่อย ๆ หันกลับไปสู่สิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่แล้วห้องก็กลับเข้ามาสู่สถานการณ์ปรกติอีกครั้ง
ผมถลึงตาใส่กุชชี่หนึ่งครั้ง “เงียบ ๆ ไม่ได้เลยนะมึงเนี่ย”
“ก็กูเป็นคนเสียงดัง เสียงระดับดิว่า พูดนิดหน่อยก็ได้ยินกันครบทุกคนละ” กุชชี่เชิ่ดหน้าเชิ่ดตาตอบผม เห็นแล้วหมั่นไส้อยากจะถอดรองเท้ามาฟาดสักที อิเพื่อนคนนี้
“กูจะไปเจอใครมาก็เรื่องของกู ให้กูได้ใช้ชีวิตสงบ ๆ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตนักเรียนบ้างเถอะนะ”
“อย่าให้กูเห็นว่าร้องไห้อีกละกันค่า นังคนเก่ง เก่งทุกสถานการณ์ ถ้าครั้งนี้มาให้กูปลอบนะ กูจะด่าซ้ำให้” แม่นางเขาพูดแล้วก็เบะปากใส่ผม
“ไม่ต้องปลอบจ้า เพราะคนปลอบกูกลับมาแล้ว” ผมตอบอย่างเย้ยหยันแล้วหันไปมองเจมส์ที่อยู่โต๊ะถัดไป... นอนนิ่ง ฟุบหน้าอยู่บนเสื้อสเวตเตอร์สีดำของผม ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย กลางคืนก็นอนตั้งเยอะแล้ว กลางวันยังมานอนต่ออีก
“จ่ะ จะรอดูนะจ๊ะ” ผมขี้เกียจจะต่อปากต่อคำอะไรกับกุชชี่ต่อ เหนื่อยจริง ๆ เลยมีเพื่อนขี้เสือกเนี่ย ไม่เคยได้มีชีวิตส่วนตัวอะไรกับเขาเลย เบื่อโว๊ย
หลังจากทนนั่งเบื่อ ๆ มาอีกหลายชั่วโมง ในที่สุดก็ได้พักกินข้าวสักที แน่นอนว่าผมก็ลงมากินข้าวกับเพื่อนสาวของผม กุชชี่, เพียวและไวท์ สองคนหลังนี่เป็นเพื่อนต่างห้อง จริง ๆ ต้องเรียกว่าเป็นเพื่อนกุชชี่อีกที แต่ก็คบกันมาตั้งแต่ม.ต้น มีคนที่ล้มหายตายจากไปบ้าง ตอนนี้ก็เหลือกันอยู่แค่สี่หน่อ พวกผมมักจะลงมาช้ากว่าคนอื่น ๆ เพราะถึงจะรีบลงมา คนก็เยอะอยู่ดี ลงมาช้านิดหน่อย ไม่ต้องรอแถวนาน ผมเลยปล่อยให้พวกสาว ๆ เขาเข้าไปเติมแป้งอะไรก่อน ส่วนผมก็ยืนเล่นโทรศัพท์รอ
P: “นั่งกินข้าวไหนอะ”
มีข้อความในไลน์จากปาล์มส่งมาถึงผม ผมเหลือบมองซ้ายขวา โอเค เพื่อนกำลังวุ่นอยู่กับการเติมแป้ง ทาลิปมันอยู่ ทางสะดวก ตอบได้
Billian: “ยังไม่ได้ลงไปเลย”
“เข้าห้องน้ำอยู่”
P: “อ่อ ๆ”
“เย็นนี้ไปไหนปะ”
Billian: “เปล่านะ”
“มีไรเหรอ”
P: “อยากเจอ”
อยากเจออะไรอะพ่อคุณ เพิ่งเจอกันไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง ไอ้คนบ้า อย่ามาอยากเจอไม่มีเหตุผลนะ คนอื่นเขาเขินไปหมดแล้วเนี่ย
Billian: “เจอไหนอะ”
P: “บันไดฝั่งห้องเราได้ปะ”
Billian: “โอเค”
ถึงผมจะมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับบันไดฝั่งนั้นของตึก แต่ก็ยอมตอบปากรับคำไปเจอกับปาล์ม ทำไงได้ ก็อยากเจอเหมือนกัน อยากจะมองตาคู่นั้นอีกหลาย ๆ ครั้ง อยากจะฟังเสียงหล่อ ๆ นาน ๆ แค่คิดก็ฟินแล้ว
ในที่สุดเวลาเลิกเรียนก็มาถึงไวอย่างที่ผมอยากให้มันเป็น ถ้าเป็นแบบนี้ได้บ่อย ๆ ก็คงจะดี โชคดีนะที่วันนี้เจมส์กับพวกจัสต์จะไปเตะบอลกันที่สนามบอลกัน ผมเลยไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรมาโกหกใคร ไม่ใช่ว่าผมอยากจะปกปิดอะไรหรอกนะ แต่เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ได้อยากบอกให้ใครรู้เยอะ ๆ หรอก
“เดี๋ยวบิลตามลงไปนะ ขอเคลียร์การบ้านก่อน” ผมพูดกับเจมส์ที่ตอนแรกพยายามชวนให้ผมลงไปนั่งดู แต่ผมไม่ค่อยถูกกับการนั่งดูกีฬาสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะพวกบอล บาสอะไรเทือก ๆ นี้ ไปนั่งดูทีไรเหมือนตัวเองเป็นหลุมอากาศที่คอยดูดลูกบอลลูกบาสเข้ามา เจ็บตัวไปหลายครั้ง เข็ดเลย
“อย่านานนะ คิดถึง” เจมส์โน้มตัวลงมาหาผม แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เจมส์มักจะทำอะไรแบบนี้บ่อย ๆ จนใครต่อใครเขาก็ชอบแซวว่าผมกับเจมส์คบกัน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เจมส์ก็เป็นแบบนี้ของเจมส์ ผมว่าน่ารักดีออก และยิ่งน่ารักกว่าด้วยที่เจมส์ทำแบบนี้แค่เฉพาะกับผม
“ไปเร็วไอ้เจมส์ ไม่ต้องอะไรกับเมียมึงเยอะ” จัสต์พูดเร่งทำให้เจมส์ดึงตัวขึ้นจากตัวผม
จัสต์ จัสติน หวัง เป็นเพื่อนสนิทของทั้งผมและเจมส์ เป็นคนไต้หวันแท้ ๆ ถูกพ่อส่งมาเรียนโรงเรียนเราตอนม.ต้น ผมก็รู้จักกับจัสต์ได้เพราะเจมส์ สองคนนี้เหมือนเป็นคู่หูดูโอ้กัน ที่ไหนมีจัสต์ ที่นั่นมีเจมส์ ช่วงหลัง ๆ ก็เพิ่มผมเข้ามาด้วยเลยกลายเป็นทรีซั่ม เอ้ย! ทรีโอ เรียนมาทั้งวันก็แบบนี้แหละ สมองมันจะมึน ๆ หน่อย
ผมรอให้เพื่อน ๆ ออกจากไปสักพักจนมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครอยู่แล้วค่อยเดินออกมา ผมเดินตรงไปที่บันไดอีกฝั่ง ห้องของปาล์มจะอยู่ล่างลงไป 2 ชั้น ถ้าต้องเดินขึ้นผมไม่มีทางใช้บันไดอยู่แล้ว แต่โชคดีที่แค่เดินลง สองชั้นก็นิดเดียว เดินฮัมเพลงเพลิน ๆ แป๊บเดียวก็ถึง
ผมเดินมาถึงบันไดชั้นสอง ร่างสูงยืนรอผมอยู่อย่างใจเย็น ในมือของเขากำลังถือโทรศัพท์เลื่อนดูนั่นนี่อยู่ มืออีกข้างก็สอดเข้าในกระเป๋า ให้ตายเถอะ คนอะไรเนี่ย ดูดีทุกมุมจริง ๆ ยืนเฉย ๆ ยังเหมือนนายแบบ
“ปาล์ม” ผมเรียกชื่อเขาเบา ๆ ก่อนที่ปาล์มจะเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วใช้มือหนาของตัวเองเสยผมที่ตกลงมาปกคลุมหน้าของเขา เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มชัด ๆ ที่ผมอยากจะมองอีกครั้งมาทั้งวัน ในที่สุดก็ได้มองแล้ว “มีอะไรเหรอ” ผมถามออกไปอย่างพยายามรักษาอาการของตัวเองที่ภายในมันพลุ่งพล่านไปหมดแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากเจอ หน้าม้าเธอน่ารักดี” อย่านะ อย่ายิ้มนะ โอ๊ยย ปาล์มพูดแล้วก็ยิ้มออกมา จะทำให้ผมละลายไปถึงไหนเนี่ย แล้วคนเรามาชมอะไรหน้าม้าอย่างเดียวทั้งวันเลย
“แล้วอย่างอื่นไม่น่ารักเหรอ” หมดแล้ว จบกัน ความตั้งใจที่จะไม่หยอด ไม่เล่นอะไรกลับ จะแค่ตั้งรับเฉย ๆ พังทลายลงไปแล้ว อยากจะตีปากตัวเองแรง ๆ สักทีสองที ไวเกินความคิดตลอดเลยเนี่ย
“น่ารักสิ น่ารักหมดเลย” ปาล์มตอบพลางเก็บโทรศัพท์ในมือลงกระเป๋ากางเกง ผมก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าแค่ยืนยิ้มรับอยู่แบบนั้น ก็รู้ตัวแหละว่าเป็นคนน่ารัก แต่ถ้าเป็นเธอรักเลยได้นะ ไม่ต้องน่า แอร๊ย ผมล่ะอยากจะพูดสิ่งนี้ออกมาจริง ๆ
“เธอมีแฟนยัง” ปาล์มพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ฮะ!” ผมถึงกับตกใจจนหุบยิ้ม คนเราเพิ่งเจอกันวันแรก เพิ่งคุยกัน เขาถามกันตรงแบบนี้เลยเหรอ เฮ้ย ไวไปเปล่าเนี่ย
ปาล์มยังคงยืนหน้านิ่งรอฟังคำตอบของผม “ยัง ยังไม่มีเลย” ผมกระพริบตาถี่อย่างเสียอาการ “แล้วปาล์มอะ มีแฟนยัง”
“ยังไม่มีเหมือนกัน แต่คิดว่าคงจะใกล้มีแล้วล่ะ” ปาล์มตอบแล้วใช้มือเสยผมที่เริ่มตกลงมาขึ้นอีกครั้ง ผมแอบรู้สึกใจแป้วนิดหน่อย ไม่รู้ว่าตอบแบบนี้แปลว่าปาล์มมีคนคุยแล้วหรือว่ายังไง จะหมายถึงผมเหรอ บ้าหน่า คนเพิ่งคุยกัน จะมาตอบอะไรแบบนี้ได้ยังไง
“อ๋อ ดีจังเลย” ผมหัวเราะออกมาแห้ง ๆ “บิลไม่มีแม้แต่คนคุยเลย” เดี๋ยวนะ นี่ผมหลุดเรียกตัวเองออกไปว่าบิลเหรอ ปรกติผมจะเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นก็เวลาคุยกับผู้ใหญ่ที่สนิทเท่านั้นและอีกคนก็คือแค่เจมส์
“งี้คุยกับเราได้ปะ เธอจะได้มีคนคุยไง” หึ้ยยย อะไรเนี่ย ไอ้ต้าวบ้า พูดอะไรแบบนี้ออกมา
“อ่าว แล้วคนที่ปาล์มคุยอยู่ล่ะ” ผมพยายามถามเพื่อความแน่ใจ เพราะถึงแม้ว่าจะละลายไปแล้ว แต่ถ้าจะให้ไปเป็นเบอร์ 2 เบอร์ 3 เบอร์ 4 เบอร์ 5 ในชีวิตคนอื่นก็ไม่เอาหรอก เบื่อแล้วชีวิตแบบนั้น
“เรายังไม่มีคนคุยเลยเหมือนกัน” ปาล์มตอบปฏิเสธออกมา ซึ่งทำให้ผมยังคงงงอยู่นิด ๆ เรื่องพวกนี้มันต้องเคลียร์
“แล้วที่บอกว่าคงจะใกล้มีแฟนแล้วอะ” ผมถาม ส่วนปาล์มมองหน้าผมนิ่งก่อนจะขำออกมาเบา ๆ ซึ่งทำให้ผมงงไปกันใหญ่ ตามไม่ทันเลยผู้ชายคนนี้
“เราก็หมายถึงเธอไง”
หมายถึงเธอไง... หมายถึงผมเหรอ บ้า บ้าไปแล้ว อย่ามาคิดว่าหล่อแล้วจะมาพูดหยอดใครไปได้เรื่อย ๆ นะ ไม่คิดถึงหัวอกหัวใจคนฟังบ้างเลยว่าอ่อนไหวละลายไปถึงไหนแล้ว
ผมดึงสติตัวเองกลับมาแล้วพร่ำบอกตัวเองว่า ใจเย็นนะนพัตธร ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากก็จริงและเขาก็หล่อมาก ตรงสเปคสุด ๆ ไปเลย แต่นึกถึงอดีตเยอะ ๆ ผิดพลาดเสียใจมากี่ครั้งแล้วเพราะคนที่เข้าหาแรง ๆ ตรง ๆ แบบนี้ อย่าไปตามน้ำ ค่อย ๆ ดูกันไปก่อน ผมพร่ำบอกตัวเอง
“นี่จะจีบกันเหรอ ไวไปเปล่า เพิ่งรู้จักกันเองนะ” ผมพูดออกมาหน้านิ่ง ปาล์มถึงกับหุบยิ้มไปกลายเป็นสีหน้าเคร่งขรึม
“อืม จีบได้เปล่าล่ะ” ทำหน้าดุเฉย แต่จะว่าไปหน้าดุยังหล่อเลยอะ งื้อออ
“จีบอะจีบได้ แต่เราแค่คิดว่าถ้าปาล์มรู้จักเราจริง ๆ ปาล์มอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ...เพราะเราไม่ได้น่ารักเหมือนหน้าม้าเรานะ” ผมเผลอหลุดอมยิ้มออกมา ซึ่งมันก็ทำให้ปาล์มยิ้มตามออกมา
“เรื่องนี้เดี๋ยวเราตัดสินเอง เธอไม่ต้องห่วง แต่จะน่ารักหรือไม่น่ารักก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่สุดท้ายเธอรักเราก็พอ”
Comments (0)