สามวันหลังจากนั้น คฤหาสน์สกุลหวงที่ว่าใหญ่โตแล้ว ดูจะใหญ่และซับซ้อนราวกับเขาวงกตขึ้นไปอีก เมื่อเซียวเต๋อจวิ้นแทบจะไม่มีโอกาสพบปะกับคุณชายกว้านเฮิงนอกจากเวลาอาหารแม้แต่ครั้งเดียว เรียกได้ว่าเขาเกือบจะลืมเลือนการมีอยู่ของแขกและญาติผู้น้องของสามีคนนี้ไปเสียแล้ว หากไม่ได้พบปะกันทุกครั้งบนโต๊ะกินข้าว

อีกเพียงสองวันหวงกว้านเฮิงก็จะลาจากบ้านสกุลหวงไปเยี่ยมเพื่อนที่เยอรมนีตามที่ได้แจ้งไว้ตั้งแต่มื้ออาหารแรก แต่เรื่องคาราคาซังที่วนเวียนในจิตใจของเต๋อจวิ้นก็ไม่มีโอกาสได้สะสางเสียที และดูทีท่าแล้วคงจะได้แต่ปล่อยให้คาใจไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เป็นแน่

เขาไม่ได้อยากให้มันลงเอยแบบนี้เลย แค่ต้องการความชัดเจนที่ยึดบนความถูกต้องและไม่ทำร้ายใครไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนกว้านเฮิงจะอย่างที่เขาคิดไม่ได้

ชายคนนั้นเลือกหันหลังหนีปัญหาที่สร้างไว้ ทิ้งให้เขาจมจ่อมคิดหาทางจัดการกับมันเพียงลำพัง

 

 

––––––––––

 

 

หลังมื้อค่ำ กว้านเฮิงอาศัยจังหวะที่พวกเขาเดินสวนกันกระซิบถ้อยคำสั้น ๆ ว่า “สวนหลังบ้านตอนสี่ทุ่ม”

คืนนี้เจ้าบ้านสกุลหวงไม่อยู่ ออกไปทำธุระที่ต่างเมืองและคงมาถึงพรุ่งนี้บ่าย แม้เต๋อจวิ้นจะอยากไปด้วยแต่เพราะสามีเอ่ยปากขอให้ช่วยดูแลรับรองญาติผู้น้องจึงทำอะไรไม่ได้ สวี่ซีที่เห็นหน้ามุ่ย ๆ ของเขาสัญญาว่าจะซื้อตุ๊กตาแปลก ๆ มาให้เป็นของขวัญ ซึ่งเขาก็ได้แต่ยิ้มรับ

สวนหลังบ้านสกุลหวงเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีสระน้ำกินพื้นที่กว่าครึ่งและศาลาอยู่กลางน้ำ มีสะพานเชื่อมจากฝั่งสวนสู่ศาลา เต๋อจวิ้นมาตรงเวลานัด มองจากฝั่งสวนที่เขายืนอยู่ กว้านเฮิงยืนพิงสะพานมองจันทร์เสี้ยวของคืนนี้ด้วยท่าทางเคร่งขรึม

ยามนี้ไม่มีบ่าวคนไหนมาเดินแถวนี้แน่นอน เพราะต่างวุ่นวายกับงานในครัว กว่าจะมาจัดการสวนก็รุ่งเช้า เต๋อจวิ้นมองซ้ายขวาให้แน่ใจอีกครั้งก่อนก้าวเข้าไปใกล้คนที่จงใจหลบหน้าเขามาตลอดหลายวัน

พอได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเข้าไปใกล้ กว้านเฮิงก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนตรง แล้วหันมามองเขายิ้ม ๆ

“พี่สะใภ้”

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ เราสองคนนัดเจอกันลำพังยามวิกาล ถ้ามีใครรู้คงไม่ดีนัก”

กว้านเฮิงหัวเราะ นัยน์ตาพราวระยับล้อแสงไฟที่ประดับอยู่ตรงหัวสะพาน แล้วทิ้งตัวลงพิงระเบียงกั้นอีกครั้ง

“ก่อนเข้าเรื่อง ร้องเพลงให้ผมฟังอีกสักครั้งได้ไหม”

“…ไม่”

“โธ่ เห็นใจกันหน่อย เดี๋ยวผมก็ไม่อยู่แล้ว สักท่อนหนึ่งก็ยังดี” อีกฝ่ายว่า “โอกาสหายากนะ นาน ๆ ทีพี่สะใภ้จะได้ร้องเพลงอย่าง ‘ค่อนข้าง’ เปิดเผยแบบนี้”

เขาถอนหายใจแรง นึกอยากหาอะไรมาตีปากคนพูดมากตรงหน้าเหลือเกิน

“อย่ามาลีลาน่ะ หวงกว้านเฮิง ฉันไม่ได้มีเวลามาเล่นกับนาย”

“สวี่ซีรู้ไหมว่าคุณร้องเพลงเพราะมาก”

คำถามที่โพล่งขึ้นมากะทันหันทำให้เต๋อจวิ้นนิ่งไปครู่หนึ่ง

“…ไม่”

คราวนี้กว้านเฮิงหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ

“อย่างน้อยผมก็มีเรื่องที่ชนะเขาได้สักเรื่อง”

“พูดเรื่องอะไร”

กว้านเฮิงผละออกจากระเบียงตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็วจนเต๋อจวิ้นตกใจเผลอถอยเท้าหนี กว้านเฮิงจึงหยุดฝีเท้า

“แค่เพลงเดียว”

“…”

“ถือว่าปลอบใจผม”

“ปลอบใจ?”

กว้านเฮิงยิ้ม เป็นรอยยิ้มเรียบนิ่งพอ ๆ กับน้ำในสระที่ไร้ลมพัด

“ผมที่เป็นคู่ชีวิตของพี่สะใภ้ กับสวี่ซีที่มาก่อนแต่ตบแต่งกันแล้วถูกต้องตามประเพณี”

“…”

“คุณจะเลือกใคร”

เซียวเต๋อจวิ้นนิ่งค้าง

ใช่ว่าเขาไม่มีคำตอบในใจ เขามี แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดมันออกไปอย่างไร

“ไม่ต้องตอบหรอก ผมพอรู้อยู่” กว้านเฮิงโบกมือไปมาในอากาศ “ก็แค่อยากเห็นกับตาก็เท่านั้น”

“เห็น?”

“สีหน้าของคุณเมื่อกี้น่ะ”

เต๋อจวิ้นเม้มริมฝีปาก

“ฉันไม่ได้มีสิทธิเลือกขนาดนั้น”

กว้านเฮิงส่ายหน้า “คุณมีสิทธิ สวี่ซียังไม่ได้ผูกพันธะกับคุณ”

“…แต่”

“คุณมีเหตุผลมากมาย ผมรู้” หวงคนน้องถอนหายใจ “ผมก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาที่ไม่สมควรที่สุดก็เท่านั้น”

“…”

“ถ้าหลังจากนี้อีกสักสิบปี เรากลับมาเจอกันอีก และคุณยังไม่ผูกพันธะกับสวี่ซี หรือคุณยังไม่มีลูก ตอนนั้นผมอาจจะเป็นคนที่ใช่ ในเวลาที่ถูกต้องของคุณก็ได้”

เซียวเต๋อจวิ้นมองคนตรงหน้าที่พูดยาวเหยียดเหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ มันดูเพ้อฝัน แต่ขณะเดียวกันก็ดูจะเกิดขึ้นได้จริง

เพราะตัวเต๋อจวิ้นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าวินาทีหลังจากนี้เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

“สวี่ซีเป็นคนดี”

เขาว่า

“สำหรับโอเมก้า อัลฟ่าอย่างสวี่ซีคือพ่อพระ เขาทำอะไรให้ฉันมากมายเกินกว่าที่ฉันจะมองข้ามสิ่งดี ๆ ที่เขาทำแล้วเลือกนายเพียงเพราะว่า ‘สวรรค์ลิขิต’ ให้เป็นแบบนั้น”

“…”

“ฉันไม่ได้เข้าใจความรักอะไรมากมาย แต่ตอนนี้ ตรงนี้ กับสวี่ซี มันดีมาก ๆ และฉันไม่อยากทำลายมัน”

“…”

“ฉันไม่อยากให้เขาเสียใจ”

นั่นคือสิ่งที่ติดอยู่ในใจเซียวเต๋อจวิ้นมาตลอด

การถูกขโมยจูบ การที่เกือบจะพลาดผูกพันธะกับอัลฟ่าคู่ชีวิต ขณะที่ตนเองมีข้อสัญญากับอีกคนหนึ่งไว้แล้ว สำหรับเขามันคือการหักหลัง เขาไม่อยากเป็นคนโกหก และมันผิดกับหลักการใช้ชีวิตของเต๋อจวิ้นอย่างร้ายกาจ

กว้านเฮิงจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย

“ขอโทษนะครับ”

“…ขอโทษเหมือนกัน”

“คุณคงวุ่นวายใจมาก”

เขาพยักหน้ารับ “มากจนคุณคิดไม่ถึงเลยแหละ”

“คำขอสุดท้ายของผม ขอเป็นเพลงเพราะ ๆ สักเพลงเถอะครับ”

เซียวเต๋อจวิ้นถอนหายใจ หรี่ตามองคนตรงหน้าที่เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มแย้มอีกครั้ง

“นิดเดียวเท่านั้นนะ”

แล้วเขาก็เปล่งเสียงออกมา

มันกังวานอยู่เหนือสระน้ำ เป็นท่วงทำนองสั้น ๆ ที่ราวกับจะฝังลึกอยู่ในใจของผู้ฟังตราบนานแสนนาน กว้านเฮิงมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้ที่กำลังขับร้องดนตรีที่ไพเราะที่สุดในโลกออกมา สายตาไร้จุดหมายของเต๋อจวิ้นยามนี้กลับน่ามองที่สุด ยิ่งเมื่อเขาตระหนักได้ว่า นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ใกล้ชิดโชคชะตาของตัวเองขนาดนี้

คู่ชีวิตที่เขาเฝ้าตามหามาตลอด เมื่อพบเจอกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ไม่ถูก ไม่ต้องเอ่ยคำขอใด ๆ ก็ถูกปฏิเสธเสียตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว

เหลือบมองริมฝีปากคู่นั้นแล้ว กว้านเฮิงก็ซบใบหน้าด้านข้างลงกับระเบียง เหม่อมองภาพวาดอันงดงามของเซียวเต๋อจวิ้นท่ามกลางแสงจันทร์นวลตาและแสงไฟที่ประดับอยู่สองข้างของขอบสะพาน

เขาอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้เหลือเกิน

 

 

––––––––––

 

 

ทันทีที่รถของหวงสวี่ซีเทียบหน้าบ้านสกุลหวง เซียวเต๋อจวิ้นก็หน้าตาตื่นตรงไปหาทันที

“อาจวิ้น” สวี่ซีสับสนกับสีหน้าของคนรัก “มีอะไรหรือ”

“น้องกว้านเฮิง”

ชื่อสั้น ๆ ที่ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันที ก่อนที่เต๋อจวิ้นจะรีบบอก

“น้องกว้านเฮิงไปแล้ว”

แล้วเขาก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้คนตัวสูง

“ฉันเจอมันอยู่ในห้องที่กว้านเฮิงพัก”

มันจ่าหน้าซองถึงเจ้าบ้านสกุลหวง สวี่ซีแกะจดหมายเปิดออกอ่าน เนื้อความในนั้นทำให้เขาถอนหายใจ

 

 

ถึง สวี่ซี

ตอนที่นายอ่านจดหมายฉบับนี้ฉันคงอยู่บนเรือที่มุ่งหน้าสู่เยอรมนีแล้ว ขอโทษที่ไปโดยไม่บอกกล่าว ทั้งต่อเจ้าบ้านอย่างพี่ คุณลุงคุณป้า รวมถึงพี่สะใภ้ที่ดูแลรับรองตลอดเวลาที่ฉันอยู่ที่นี่ แต่ฉันคิดว่าฉันสะสางเรื่องราวที่เป็นปัญหาได้หมดแล้ว และการอยู่ที่นี่ต่อไปแม้อีกสักวินาทีเดียว ก็อาจทำให้ความตั้งใจฉันสั่นคลอนได้ ดังนั้นจึงคิดว่า ฉันควรรีบออกไปจากเมืองนี้ดีกว่า

สวี่ซี ฉันขอย้ำอีกครั้งว่าคนอย่างฉันเชื่อมั่นในเรื่องคู่แห่งโชคชะตามาก การเดินทางรอนแรมหลายเมืองยิ่งตอกย้ำว่าสุดท้ายแล้ว คนที่สวรรค์ลิขิตมาให้คู่กับเราย่อมอยู่สักที่บนโลก น่าเสียดายที่ฉันเจอเขาช้าไป แต่ในอนาคตถ้าระหว่างพี่กับเต๋อจวิ้นยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ถึงตอนนั้นฉันคงไม่อาจปล่อยมือได้อีก และมันคงเป็น “เวลาที่ใช่” แล้วจริง ๆ

สุดท้ายนี้ เซียวเต๋อจวิ้นเป็นคนดีมีคุณธรรมมาก หากพูดกันตามตรงก็เหมาะสมกับสกุลหวงที่สุด หากไม่สามารถโน้มน้าวใจให้เขาตกลงปลงใจกับพี่ได้จริง ๆ สกุลหวงของพี่ก็สูญเสียเพชรเม็ดงามไปแล้ว

หวังว่าจะรีบจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่ฉันจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง

 

 

กว้านเฮิง

 

 

ป.ล. ระหว่างฉันกับเต๋อจวิ้นมีความลับข้อหนึ่ง และนายจะไม่มีวันรู้จนกว่าฉันจะตาย สาบาน

 

 

เซียวเต๋อจวิ้นไม่อาจคาดเดาได้ว่าเนื้อหาในจดหมายนั้นคืออะไร ทว่าหลังจากพวกเขาย้ายมาคุยกันที่ห้องอาหาร และสวี่ซีอ่านจดหมายจบ เจ้าตัวก็เผามันทิ้งทันที แล้วพูดกับเขาเสียงดังราวกับตะโกน

“อาจวิ้น ฉันรักอาจวิ้นจริง ๆ นะ”

เขาที่กำลังจะรินน้ำชาเกือบทำกาน้ำชาหล่นแตก รีบร้อนวางมันลงบนโต๊ะแล้วมองสวี่ซีด้วยความตกใจ

“…เป็นอะไรไป”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่ปล่อยให้อาจวิ้นเดินหนีฉันไปเด็ดขาด”

ไม่พูดเปล่า สวี่ซีเดินอ้อมโต๊ะมาหาเขา คว้ามือข้างหนึ่งขึ้นไปกดจูบหนัก ๆ จนเต๋อจวิ้นงงกว่าเดิม

“สวี่ซี นี่กลางวันแสก ๆ ทำอะไรเนี่ย”

“ขอบคุณที่เลือกฉันนะ”

เขานิ่งไปชั่วขณะ ก่อนตาจะเบิกกว้างเมื่อระลึกได้ว่าสวี่ซีกำลังพูดถึงอะไร

“…นี่นาย...รู้?”

แต่เจ้าบ้านสกุลหวงไม่ตอบ กลับคว้าเขาไปกอดแน่นจนใบหน้าจมลงไปในแผ่นอกกว้าง เต๋อจวิ้นได้ยินเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นเร็วราวกับคนที่ไปออกกำลังมา ทั้งที่ความจริงสิ่งที่ทำมีแค่อ่านและเผาจดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น

“ฉันรักอาจวิ้นมากจริง ๆ นะ”

เซียวเต๋อจวิ้นฟังถ้อยคำนั้นอีกครั้งแล้วถอนหายใจ

“ฉันรู้”

เขารู้มาตลอด

เพียงแต่รอเวลาที่สุดท้ายความรู้สึกของตนจะชัดเจนมากพอที่จะตอบรับสิ่งที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้

“…ฉันก็รักสวี่ซีมากเหมือนกัน”

ในตอนนี้ เวลานี้ หวงสวี่ซี คือคนที่ใช่ที่สุดสำหรับเขา

หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เซียวเต๋อจวิ้นคิดว่า สิ่งที่เขาเลือกตอนนี้ คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว และเขาจะไม่เสียใจภายหลัง

 

 

FIN

 

 

แถม

“ว่าแต่ ระหว่างอาจวิ้นกับกว้านเฮิง มีความลับอะไรกันหรือ”

เสียงของสวี่ซีกระซิบถามในความมืด ทั้งที่ขาของพวกเขาทั้งสองยังก่ายเกี่ยวกันไปมา มือข้างหนึ่งของผู้เป็นสามีไล้ผิวแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา

เซียวเต๋อจวิ้นเลิกคิ้ว ช้อนตามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“ความลับ?”

“ใช่ ความลับที่รู้กันแค่สองคนนั่นน่ะ”

เขากะพริบตาช้า ๆ ใช้เวลาเรียบเรียงความคิดอยู่นาน ขณะที่สวี่ซียังสาละวนอยู่กับการประทับริมฝีปากลงบนช่วงคอและลาดไหล่ของเขาอย่างเพลิดเพลิน

“…อ๋อ”

สุดท้ายแล้วก็นึกออก

“อะไรหรือ”

“ไว้ถ้ากว้านเฮิงกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะบอกแล้วกัน” เขายิ้ม “หรือไม่ถ้าสวี่ซีทำตัวดี ๆ ไม่เกาะแกะกันจนเกินงาม อาจจะพิจารณาบอกเร็วกว่านั้นก็ได้”

สวี่ซีทำหน้าหงอยเหมือนลูกหมาหูตก

“งั้นไม่อยากรู้แล้วก็ได้”

สุดท้ายแล้ว สวี่ซีก็คงไม่มีวันรู้เรื่องนี้จริง ๆ เพราะให้ตายก็คงไม่เลิกวอแวเกาะแกะเต๋อจวิ้นราวกับคนเสพติดขนาดนี้หรอก

 

THE END