ถ้าให้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เซียวเต๋อจวิ้นเคยนึกชิงชังชีวิตการเป็นโอเมก้าของตนนับครั้งไม่ถ้วน

‘เพศที่ถูกกดทับ’ พวกเขาอยู่ชนชั้นล่างสุดของสังคม หน้าที่โดยกำเนิดคือสืบเผ่าพันธุ์ร่วมกันกับอัลฟ่า ชนชั้นที่แข็งแกร่งและไม่อาจมีใครทัดเทียมได้

วิถีทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากเรื่องราวพวกนี้อาจเป็นการเป็นเบต้า หรือถ้าไม่อยู่ในจุดสูงสุดอย่างอัลฟ่าก็คือตายไปเสีย แต่นั่นเป็นเรื่องราวที่เขาได้แต่ทบทวนยามก่อนจะตัดสินใจยอมรับสิ่งที่พ่อกับแม่ของเขาได้ทำลงไป––ยกเขาให้กับสกุลหวงในฐานะสะใภ้ใหญ่

ชีวิตที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ถูกจำกัดกรอบให้ต้องประพฤติตนเยี่ยงอิสตรี ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านที่ดี เป็นภรรยาที่เคียงคู่เหมาะสมกับอัลฟ่าผู้นำตระกูล ชีวิตที่เขาไม่อาจหลีกหนีได้ ยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความจริงข้อนี้รุนแรงต่อเต๋อจวิ้นราวกับแส้ที่ฟาดลงบนแผลสด แต่เขาทำได้เพียงก้มหน้าก้มตารับชะตากรรม

ทว่าเรื่องราวมันไม่ได้เลวร้ายเพียงนั้น พระเจ้าอาจจะยังรักเขาบ้าง เพราะหวงสวี่ซี คืออัลฟ่าที่ทำให้เต๋อจวิ้นเริ่มรู้สึกว่า บางทีการเป็นโอเมก้าก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

อย่างน้อย ก็เพราะมีสวี่ซีอยู่ เขาถึงยังอยู่ตรงนี้ได้อย่างสบายใจ

เป็นสะใภ้สกุลหวงที่สมเกียรติ และลูกที่ดีของสกุลเซียว

ขณะที่ชีวิตกำลังดำเนินไปอย่างสงบสุข หวงกว้านเฮิงก็ทำให้เขารู้สึกสั่นคลอนอีกครั้ง

 

 

––––––––––

 

 

สัมผัสแรกกดลงที่ริมฝีปากนิ่มซึ่งเผยอออกอย่างคนไร้สติไม่อาจควบคุมตนเองได้

มือข้างหนึ่งของกว้านเฮิงรวบจับสองข้อมือเล็กของเซียวเต๋อจวิ้นไว้ กดมันไว้เหนือศีรษะให้ไม่อาจใช้สองมือเล็ก ๆ นั่นผลักเขาออกได้ ก่อนที่มืออีกข้างจะไล้ไปตามผิวกายที่ร้อนจัดราวกับเป็นไข้

เปลือกตาสีซีดหลับแน่นราวกับไม่อยากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น นี่อาจเป็นเรื่องอัปยศในชีวิตของเซียวเต๋อจวิ้นเลยก็เป็นได้ แต่กว้านเฮิงรู้ดีว่าเขาไม่อาจปล่อยให้โอเมก้าผู้นี้ทุกข์ทรมานกับสัญชาตญาณตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ

นี่เขากำลังเอาเปรียบเต๋อจวิ้นอยู่หรือเปล่า กว้านเฮิงถามตัวเองซ้ำ ๆ แต่ไม่มีคำตอบให้คำถามในใจ เขาได้แต่ภาวนาให้หย่งชินมาถึงเร็วกว่านี้ กลับมาพร้อมกับยาระงับที่จะทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม

กว้านเฮิงคร่อมอยู่บนกายที่กำลังดีดดิ้นจากความทรมาน เซียวเต๋อจวิ้นพลิกหน้าตะแคงข้างราวกับไม่อยากสบตาเขา ไม่อยากรับรู้ว่าตรงนี้มีเขาอยู่ เสี้ยวหน้าด้านข้างนั้นงดงามจนชวนให้พลั้งเผลอ เขามองสันกรามและลำคอระหงที่เผยอยู่ตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“ได้โปรด” เสียงอีกฝ่ายลอดริมฝีปาก “อย่าทำแบบนี้”

กว้านเฮิงขบเม้มริมฝีปากของตนเองแน่น

ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอสถานการณ์โอเมก้าฮีต เขาผ่านอะไรมามากมายเกินกว่าจะสาธยายให้ฟัง แต่โอเมก้าคนไหนก็ไม่เหมือนคนตรงหน้าเขา เซียวเต๋อจวิ้นคือคู่ชีวิตของเขา คือคนที่เขาสามารถสร้างพันธะต่อกันได้ตามธรรมชาติ ตามลิขิตสวรรค์ หรืออะไรก็แล้วแต่

ปลายนิ้วสัมผัสกับโลหะตรงข้อนิ้วข้างซ้ายของเซียวเต๋อจวิ้น แหวนทองวงเกลี้ยงที่ด้านในสลักตราสกุลหวง กว้านเฮิงรู้ดีแม้ไม่ต้องถอดมันออกมา เพราะเขาก็มีอยู่วงหนึ่ง แหวนที่ทายาทสกุลหวงต่างมีไว้มอบให้ผู้ที่เป็นแก้วตาดวงใจของตน

เขาหรี่ตามองมัน นึกถึงใบหน้าของญาติผู้พี่แล้วก็ถอนหายใจ

หากอัลฟ่าควบคุมสัญชาตญาณของตนไม่ได้เหมือนโอเมก้า แล้วจะเอาอะไรไปเหยียบย่ำเพศอื่นว่าตกต่ำกว่าตน ในเมื่อเราต่างก็กลายเป็นอีกคนหนึ่งเมื่อถูกอารมณ์ทางเพศครอบงำเหมือนกัน

เขาผละมือที่กดข้อมือของเต๋อจวิ้นไว้ เลื่อนมาลูบสัมผัสผิวแก้มขาวที่ขึ้นสีจัดเบา ๆ มันมีร่องรอยคราบน้ำตาจากความทรมานและอาจมีความรู้สึกผิดปะปนอยู่

“ผมไม่ทำหรอก ขอโทษนะ”

เขาพูดขึ้น

บรรยากาศร้อนแรงในห้องเหมือนจะหายไปทันที กลายเป็นความตกตะลึงลอยตัวอยู่กลางอากาศ เต๋อจวิ้นค่อย ๆ เบือนหน้ามามองเขาอย่างแปลกใจ นัยน์ตาคู่สวยพราวระยับด้วยหยาดน้ำตา ราวกับมีดาวนับล้านอัดแน่นอยู่ข้างใน

“คุณรู้สึกผิดอยู่ ผมรู้”

“…”

“ผมจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น”

เขาพูดแล้วลุกออกมายืนข้างเตียง เซียวเต๋อจวิ้นยังคงหอบหายใจแรง ผิวหน้ายังขึ้นสีจัดและเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรเพิ่ม เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

“กว้านเฮิง! ฉันได้ยามาแล้ว!”

เขารีบเปิดประตูให้หย่งชิน อีกฝ่ายพรวดพราวเข้ามาหน้าตาแตกตื่น ก่อนที่เขาจะบุ้ยใบ้ให้ไปทางคนบนเตียง

“ฝากพี่จัดการด้วย เดี๋ยวผมมา”

เขาไม่พูดอะไรอีก รีบร้อนหันกายออกจากห้อง ก่อนที่ความอดทนจะพังทลายลงจริง ๆ

 

 


 

 

เซียวเต๋อจวิ้นขังตัวเองอยู่ในห้องจวบจนถึงเวลาที่สวี่ซีมาถึงร้านอาหาร หย่งชินอาสาเป็นคนไปตามให้ ส่วนกว้านเฮิงออกไปหาเพื่อนตามนัด และกลับมาอีกครั้งตอนใกล้จะสี่โมงเย็น ฆ่าเวลาไปกับบุหรี่ในมือที่สวนหลังร้าน เมื่อเห็นใบหน้าของญาติผู้พี่ที่เดินมาหาถึงที่ก็ดับบุหรี่ในมือ

“กว้านเฮิง เป็นไงบ้างวันนี้”

เขาเหยียดยิ้ม ไม่รู้จะหาคำตอบแบบไหนมาให้ดี

สวี่ซีทรุดกายลงนั่งห่างจากเขาไปเล็กน้อย ควักบุหรี่ออกมาบ้าง เห็นดังนั้นเขาจึงยื่นซิปโป้ของตนจุดให้ อีกฝ่าย

“ไม่เห็นพี่สูบมานานแล้ว”

“ก็นายไม่อยู่บ้านเลยจะเห็นได้ยังไง”

เขาหัวเราะ สวี่ซีพรูลมหายใจ คีบบุหรี่ไว้ด้วยปลายนิ้ว

“ถามจริง ๆ นะ กว้านเฮิง”

“ว่า?”

“นายกับอาจวิ้น มีอะไรกันใช่ไหม”

หวงกว้านเฮิงลมหายใจกระตุกไปชั่วขณะ เขาเหลือบมองคนข้าง ๆ แม้สีหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่แววตาของหวงสวี่ซีคมกริบ ราวกับว่าถ้าเขาโกหกแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะถูกแทงตายตรงนี้

เขาถอนหายใจอย่างอึดอัด

“…พี่สะใภ้เป็นคู่ชีวิตของฉัน”

“อะไรนะ”

น้ำเสียงตื่นตระหนกตามคาด

“ก็อย่างที่บอกไป” กว้านเฮิงเท้าแขนไปด้านหลัง เหยียดตัวมองฟ้าสีเข้มเหนือศีรษะ “เซียวเต๋อจวิ้นมีชะตาที่ผูกไว้กับฉัน เรารู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน”

หวงสวี่ซีเงียบไป บุหรี่ในมือถูกดับไปแล้ว คงไม่มีอารมณ์สูบต่อ

“…พี่จะทำยังไง”

“ทำอะไร”

“ถ้าเต๋อจวิ้นเลือกผม พี่จะทำยังไง”

สวี่ซีเลิกคิ้ว ก่อนเหยียดยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย กว้านเฮิง”

เจ้าของชื่อเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า ขณะนั้นเองที่สัมผัสได้ถึงความห่างชั้นของพวกเขาสองคน

“เพราะยังไง เต๋อจวิ้นก็จะเลือกฉันอยู่ดี”

มันอาจเป็นเหตุผลที่สวี่ซีได้เป็นผู้สืบตำแหน่งผู้นำสกุลหวงต่อไป และเป็นเหตุผลที่เขาทำได้เพียงเดินทางไปรอบโลกเพื่อหาที่ที่ตัวเองจะปักหลักตรงนั้นได้ โดยไม่แย่งชิงกับคนตรงหน้า

รอยยิ้มมาดมั่นนั้น เซียวเต๋อจวิ้นคงไม่มีวันได้เห็นมัน เพราะคนอย่างหวงสวี่ซีคงไม่เผยมุมแบบนี้ให้คนที่เขารักเห็นเป็นแน่

 

 


 

 

เซียวเต๋อจวิ้นยิ้มรับชาร้อนที่เพิ่งรินใส่ถ้วยและวางลงตรงหน้า ก่อนเอ่ยเสียงเบาให้กับเจ้าของร้านผู้มีน้ำใจ

“ขอบคุณครับพี่คุน”

“ตามสบายเลย น้องจวิ้น” เฉียนคุน เจ้าของร้านอาหารและห้องพักที่เต๋อจวิ้นขังตัวเองอยู่ครึ่งวันยิ้มกว้างให้เขา “คนของสวี่ซีก็เหมือนครอบครัวเดียวกับฉัน ไม่ต้องเกรงใจ”

เขาได้แต่พยักหน้ารับ ยกชาขึ้นจิบ ความอุ่นร้อนแผ่ซ่านในปากไปถึงลำคอ ให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อเทียบกับสถานการณ์เมื่อบ่าย

บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมายหลายชนิด ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ แต่เต๋อจวิ้นก็ให้ความสนใจกับมันได้ไม่เต็มที่เมื่อมีเรื่องเมื่อบ่ายกวนใจอยู่ราวกับคนมีชนักติดหลัง เขาเหลือบมองหวงกว้านเฮิงที่นั่งตรงข้ามเขา ส่วนข้างขวาของเขาแน่นอนว่าต้องเป็นสวี่ซี ด้านซ้ายว่างเปล่า หย่งชินกับเฉียนคุนนั่งขนาบข้างกว้านเฮิง

“ว่าแต่วันนี้กว้านเฮิงไปเจอใครมาล่ะ ที่บอกว่านัดไว้”

สวี่ซีเปิดบทสนทนาขึ้นมา ทำเอาทั้งเขาและคนโดนถามชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกว้านเฮิงก็เป็นตอบเอง

“เสี่ยวหยาง สกุลลิ่ว แล้วก็พี่ซื่อเฉิง สกุลต่ง พี่น่าจะจำได้”

เจ้าบ้านสกุลหวงทำหน้าเข้าใจ ขณะที่เซียวเต๋อจวิ้นได้แต่งง เลยทำทีเป็นไม่สนใจแล้วคีบอาหารใส่จานตัวเองแทน

“ว่าง ๆ คงต้องนัดเจอทั้งสองคนบ้าง”

“พี่ซื่อเฉิงบ่นคิดถึงพี่ เสี่ยวหยางก็อยากเห็นหน้าพี่สะใภ้”

“อ้าว แล้วไม่ได้ไปด้วยกันหรือ”

มือที่กำลังจะคีบผักเข้าปากของเต๋อจวิ้นชะงัก เขาเห็นกว้านเฮิงวางถ้วยชาที่กำลังจะยกจิบลงบนโต๊ะ

แต่ก่อนที่กว้านเฮิงจะทันพูดอะไร เขาก็รีบพูดก่อน

“ฉันไม่ค่อยสบายเลยขอนอนอยู่ที่ร้านน่ะ หย่งชินก็อยู่เป็นเพื่อน” เขาบุ้ยใบ้ไปทางคนที่ได้แต่ยิ้มค้าง “เสียดาย นายอุตส่าห์อยากให้ฉันออกมาเปิดหูเปิดตา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย”

“อาจวิ้นเป็นอะไรมากหรือเปล่า” สวี่ซีเลิกสนใจอาหาร ยกมือมาทาบแก้มเขาสีหน้ากังวล “มีไข้หรือ”

“เปล่าหรอก แค่เพลีย ๆ นิดหน่อย” เขาหัวเราะ “ช่วงนี้อาจจะตื่นเช้าไปหน่อย กินเถอะ อาหารอร่อยทั้งนั้น”

เขาเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนหัวข้อไปอีกครั้ง

 

 


 

 

กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว เซียวเต๋อจวิ้นใช้ข้ออ้างว่าตนไม่ค่อยสบายรีบกลับเข้าบ้านไปก่อน ดูจะเสียมารยาทที่ไม่ได้ร่ำลาแขก แต่เขาคิดว่ากว้านเฮิงคงเข้าใจเจตนาดี

ซึ่งก็จริง หวงกว้านเฮิงคิดว่าดีแล้วที่เต๋อจวิ้นเข้าบ้านไปก่อน เพราะเขาก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไงเมื่ออยู่ด้วยกันดี

“กว้านเฮิง”

สวี่ซีเรียกเขาไว้ก่อนที่จะได้เดินกลับห้องของตัวเอง ญาติผู้พี่ตัวสูงยืนนิ่งอยู่ตรงทางแยกไปเรือนพัก มองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ถึงฉันจะพูดแบบนั้น แต่นายก็ควรจะต้องจัดการตัวเอง”

“อะไร”

“คุยกับอาจวิ้นให้รู้เรื่อง เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง” สวี่ซีปรายตามองเขาก่อนทิ้งคำพูดชวนขนหัวลุกไว้ให้

“ฉันได้กลิ่นแปลก ๆ จากตัวอาจวิ้น ปกติอาจวิ้นมีแต่กลิ่นไป่เหอ และอัลฟ่าที่ใกล้อาจวิ้นช่วงนี้ก็มีแค่นายคนเดียว”

“…”

“อย่าทำให้เรื่องมันยากไปกว่านี้”

นั่นคือคำพูดสุดท้าย ก่อนที่สวี่ซีจะเดินแยกไป

 

 

TBC