“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

เสียงสวี่ซีดังขึ้นตามด้วยน้ำหนักมือที่วางลงบนศีรษะ เซียวเต๋อจวิ้นละสายตาจากหนังสือในมือไปมองหน้าสามี เห็นริ้วรอยแดง ๆ พาดผิวแก้มของคนตัวสูง

“ดื่มมาเหรอ”

“นิดหน่อย แต่ไม่เมาหรอก”

พูดจบก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงฝั่งตัวเอง มือยังคงลูบผมเขาไปมาอย่างเพลิดเพลินราวกับมันเป็นไหมชั้นดี จนเต๋อจวิ้นต้องปิดหนังสือลง

“ฉันกวนเหรอ”

“อ่านไม่รู้เรื่องแล้ว เล่นลูบผมแบบนี้เป็นใครก็ต้องง่วงทั้งนั้น”

สวี่ซีหัวเราะ

เต๋อจวิ้นวางหนังสือลงข้างเตียง สวี่ซีผละมือจากเขาไปแล้ว พอหันกลับมาก็เห็นอีกฝ่ายนั่งจ้องหน้าเขาอยู่

“อะไรเหรอ”

“เปล่า” ว่าพลางเลื่อนมือมาลูบแก้มเขาเบา ๆ ดูจะเป็นสิ่งที่สวี่ซีชอบทำนักหนา

“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เหม็นเหล้า”

“จริงเหรอ” ไม่ว่าเปล่า ขยับหน้าเข้ามาใกล้เขาจนได้กลิ่นสุราจากลมหายใจ “ฉันไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย”

“จมูกตายหรือไง”

“ได้กลิ่นแต่นายเนี่ย อาจวิ้น ไปทำอะไรมาหรือเปล่า ทำไมเหมือนตัวหอมขึ้น”

เต๋อจวิ้นขมวดคิ้ว “จะทำอะไร ไปอาบน้ำเร็ว ๆ ไม่งั้นก็ไปนอนที่อื่นเลย เหม็น”

“ก็ได้ ๆ”

สวี่ซีหัวเราะร่า แล้วลุกออกไปเข้าห้องน้ำ

เต๋อจวิ้นมองจนแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายไป จึงถอนหายใจออกมา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ากลิ่นที่แรงขึ้นนี่เกิดจากอะไร ก็เพราะโดนอัลฟ่าคู่ชีวิตกระตุ้นอย่างไรล่ะ แค่กว้านเฮิงจูบเขานิดเดียวก็เป็นถึงขั้นนี้ เต๋อจวิ้นกลัวเหลือเกินว่าถ้าถึงรอบการฮีตครั้งหน้า ทุกอย่างต้องแย่กว่านี้แน่ ๆ

หวังว่ากวานเฮิงจะออกไปจากบ้านนี้ก่อนจะถึงวันนั้น

 


 

เช้าวันต่อมา เซียวเต๋อจวิ้นดำเนินกิจวัตรประจำวันเช่นทุกวันตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ในบ้านสกุลหวง

ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง มาช่วยพวกบ่าวผู้หญิงเตรียมอาหารเช้าและคิดเมนูเผื่อไว้ของทั้งวัน จัดสำรับต่าง ๆ เสร็จก็อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าไปปลุกสวี่ซีที่มักจะตื่นประมาณเจ็ดโมงเสมอ ช่วยสวี่ซีแต่งตัวแล้วกินข้าวเช้าด้วยกันตอนแปดโมง จากนั้นสวี่ซีจะออกไปทำงาน เขาก็อยู่จัดการงานที่บ้าน ดูแลค่าใช้จ่าย ดูของที่ต้องซื้อเข้ามาเติม จัดแจงเตรียมของที่ต้องใช้สำหรับกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ เป็นความวุ่นวายที่เจอทุกวันจนเคยชิน

แรก ๆ เขาปรับตัวได้ยากมาก เซียวเต๋อจวิ้นก็เติบโตมาในแบบผู้ชายคนหนึ่ง แม้จะรู้ว่าสักวันคงต้องเจออัลฟ่าคู่ชีวิตของตนเอง แต่ก็ไม่เคยคิดจะเตรียมบ้านเรือนในสถานะของ ‘ภรรยา’ ตามคติคนตะวันออกสักนิด แต่โชคดีที่ที่บ้านสวี่ซีเข้าใจและเอ็นดูเขามากพอ สวี่ซีเองก็ฝากฝังคนในบ้านให้ดูแลเขาจนเขารู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง บอกแล้วว่าการอยู่ในบ้านสกุลหวงน่ะ ถ้ามองข้ามเรื่องที่พวกเขาไม่ได้รักกันมากจริง ๆ เต๋อจวิ้นก็ไม่มีปัญหากับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย

เว้นก็แต่ คนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา

“อรุณสวัสดิ์ สวี่ซี พี่สะใภ้”

หวงกว้านเฮิงเดินยิ้มเข้ามาในห้องอาหารในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวและกางเกงขายาวทรงสุภาพ มีสูทสีเดียวกับกางเกงพาดอยู่บนแขน ท่าทางเหมือนจะออกไปข้างนอก

“กว้านเฮิง เป็นไงบ้าง นอนหลับสบายดีไหม”

อีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ทางขวาของสวี่ซีที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เท่ากับว่านั่งตรงข้ามเขา

พอสบตากัน กว้านเฮิงก็ยิ้มกว้าง

“หลับสบายดี พี่สะใภ้เตรียมห้องให้อย่างดีเลย”

“อาจวิ้นก็เก่งแบบนี้แหละ”

เต๋อจวิ้นได้แต่ยิ้มรับคำชมนั้น

“ว่าแต่วันนี้จะไปไหนเหรอ” สวี่ซีถาม “เห็นมีสูทด้วย”

“นัดเพื่อนไว้อะ ไม่เจอกันนาน ว่าจะออกไปหาหน่อย วันนี้นายไปทำงานใช่ไหม”

เจ้าบ้านพยักหน้ารับ “กว่าจะกลับก็เย็นเลย ไปหาอะไรกินกันข้างนอกไหม”

กว้านเฮิงเลิกคิ้ว แล้วหันมามองเต๋อจวิ้น ก่อนจะอมยิ้ม

“กินบ้านนี่แหละ กับข้าวฝีมือพี่สะใภ้อร่อยดี”

“อร่อยที่สุดในมณฑลนี้แล้ว”

ฟังสวี่ซีอวยแล้วเต๋อจวิ้นก็ถอนหายใจขำ ๆ

“แล้วพี่สะใภ้ไม่ออกไปไหนบ้างเหรอ อยู่แต่บ้านไม่เบื่อหรือไง”

“เอ๊ะ?”

เต๋อจวิ้นที่กำลังจะใช้ตะเกียบคีบหมูเข้าปากตัวเองถึงกับชะงัก

“นั่นสินะ” สวี่ซีพยักหน้าพลางทำท่าครุ่นคิด แล้วก็หันมามองเขา “ออกไปข้างนอกบ้างก็ได้นะคุณ เบื่อตายเลยอยู่แต่ในบ้าน”

“ในบ้านมีอะไรให้ทำเยอะออก ไหนจะเตรียมของ…”

“เอาน่าคุณ นาน ๆ ออกไปที พ่อแม่ฉันก็ไม่ว่าหรอก อย่าห่วงเลย”

เต๋อจวิ้นเม้มปาก “แต่ว่า…”

“ออกไปกับฉันก็ได้” กว้านเฮิงเสนอตัวขึ้นมา “นี่ก็ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ว่าจะออกไปดูในเมืองเสียหน่อยว่ามีอะไรเปลี่ยนไปไหม พี่สะใภ้ไปด้วยกันเถะ”

เต๋อจวิ้นอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายสวี่ซีก็เออออไปกับกว้านเฮิงด้วย

“ไปเถอะคุณ ไปเปิดหูเปิดตาหน่อย นะ”

“…ก็ได้”

แม้ในใจจะต่อต้าน แต่เต๋อจวิ้นก็ไม่มีเหตุผลจะไปงัดสู้กับกว้านเฮิงได้เลย

ดังนั้นกิจวัตรวันนี้ของเซียวเต๋อจวิ้นจึงต่างออกไป เขากลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับใส่ไปข้างนอก เนื่องจากไม่รู้ว่าจะไปไหนบ้างเลยเลือกชุดกลาง ๆ ที่ดูสุภาพมาใส่ เสื้อเชิ้ตแขนกระบอกมีเชือกเส้นเล็ก ๆ ผูกที่คอ กางเกงขายาวสีเทาเข้มสวมทับเสื้อเชิ้ตทำให้ช่วงขาเขาดูยาวขึ้น มองตัวเองในกระจกแล้วเซียวเต๋อจวิ้นรู้สึกเหมือนเขาไม่ได้แต่งตัวเพื่ออกไปข้างนอกมานานมาก

“อาจวิ้น เสร็จหรือยั– โห”

สวี่ซีเข้ามาตามเข้าที่ห้อง พอเห็นเขาก็เบิกตากว้าง

“เหมือนไม่เห็นคุณแต่งตัวแบบนี้มานานมาก”

“ก็ไม่ได้ไปไหนเลยนี่” เต๋อจวิ้นพูดยิ้ม ๆ

“ไว้พาคุณไปออกงานบ้างดีไหม”

“ขี้เกียจแต่งตัว”

สวี่ซีหัวเราะ ยื่นมือมาลูบผมเขา “ตามใจคุณเลย”

พวกเขาเดินออกมาหน้าบ้าน ระหว่างทางเต๋อจวิ้นมอบหมายงานให้บริวารในบ้าน ก่อนจะออกมาเจอกว้านเฮิงยืนรออยู่ข้างรถ

“งั้นฉันไปทำงานก่อนนะ” สวี่ซีหันมาบอกเขา “ฝากกว้านเฮิงดูแลอาจวิ้นด้วยล่ะ”

“ฉันดูแลตัวเองได้น่า” เขาขมวดคิ้วใส่ สวี่ซีเลยยื่นมือมาดึงแก้มเขาเบา ๆ ทีหนึ่ง

“เที่ยวให้สนุกครับ ไว้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันในเมือง”

“ร้านเดิมไหม” กว้านเฮิงถาม

“ร้านเดิม ๆ ร้านพี่คุน ไปละ เดี๋ยวสาย”

“เจอกัน”

สวี่ซีก้าวขึ้นรถ เต๋อจวิ้นมองจนรถลับหายไปตรงหัวมุมถนน จึงกลับมามองกว้านเฮิงอีกครั้ง

“จำเป็นต้องออกไปด้วยเหรอ”

“พี่สะใภ้แต่งตัวขนาดนี้แล้ว จะยกเลิกเหรอครับ”

เต๋อจวิ้นถอนหายใจ

“ไม่ต้องเรียกพี่สะใภ้ก็ได้ ฉันก็รุ่นเดียวกับสวี่ซี”

“งั้นผมเรียกอาจวิ้นเหมือนสวี่ซีได้ไหม”

เต๋อจวิ้นตวัดสายตามอง

“ไม่ตอบแปลว่าตกลงนะครับ งั้นเราขึ้นรถกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย”

กว้านเฮิงรุนหลังเขาให้ขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วตัวเองอ้อมไปนั่งอีกฝั่ง ก่อนจะสั่งให้คนขับรถเคลื่อนรถออกจากหน้าบ้าน

ตลอดทางไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา เต๋อจวิ้นนั่งเงียบ ๆ มองสองข้างทางที่ไม่่ค่อยต่างจากในความทรงจำนัก ขณะที่กว้านเฮิงดูจะตื่นตากับทุกอย่าง เพียงแค่ไม่พูดมันออกมาตรง ๆ แต่เต๋อจวิ้นเห็นจากเงาในกระจก

รถเข้ามาถึงเขตชุมชนซึ่งไม่อนุญาตให้ขับรถเข้าไปอีก พวกเขาจึงตัดสินใจลงเดิน กว้านเฮิงสวมสูททับเชิ้ตของตัวเองแล้ว เดินมาหาเขาพร้อมกับร่มหนึ่งคัน

“แดดแรงอยู่นะครับ”

เต๋อจวิ้นหันมาขมวดคิ้วใส่ “ไม่ต้องหรอก”

“ผิวคุณขาว เดี๋ยวก็ไหม้หมดหรอก”

“เมื่อก่อนก็ออกมาแถวนี้บ่อย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

กว้านเฮิงยักไหล่ แล้วถือร่มเอง

“คุณไปหาเพื่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันเดินรอบ ๆ นี้เอง”

“ไม่เป็นไร ผมนัดเพื่อนตอนเที่ยง เดินเป็นเพื่อนคุณรอบ ๆ ก่อนก็ได้”

กว้านเฮิงปฏิเสธทันควัน ทำเอาเต๋อจวิ้นคิดคำโต้เถียงต่อไม่ออก

แผนการจะเดินเล่นเที่ยวชมเมืองคนเดียวเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้ลูกชายอาของสามีล่มลงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เซียวเต๋อจวิ้นหดหู่ใจเกินจะเอ่ย แต่เขาจะทำอะไรได้ ชายหนุ่มตัวเล็กตัดสินใจตั้งหน้าตั้งตาเดิน ถ้าอีกฝ่ายจะตามทันก็เอา แต่คนที่เติบโตมาในมณฑลนี้อย่างเขาจะพลาดให้เจ้าคนที่แทบไม่ได้อยู่ที่นี่จับได้น่ะหรือ

พอเริ่มคิดอะไรสนุก ๆ ได้เต๋อจวิ้นก็รู้สึกว่าบางทีวันนี้อาจจะไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น

“ถ้าอย่างนั้น” เขาหันมาพูดกับกว้านเฮิงตรง ๆ “ถ้าตามฉันทัน ก็ตามมา แต่ถ้าตามไม่ทันจนเลยเวลานัดของคุณแล้ว ก็เจอกันอีกทีที่ร้านอาหารเลย ตกลงไหม”

กว้านเฮิงเลิกคิ้ว “จะเล่นอะไรเหรอครับ”

“วิ่งไล่จับ”

สิ้นคำ เต๋อจวิ้นก็หมุนกายออกตัววิ่งทันที

กว้านเฮิงมองตามตาค้าง เขาเห็นเงาหลังเซียวเต๋อจวิ้นเข้าไปในตรอกหนึ่ง แต่ตัวเขาจะมีปัญญาไปตามทันได้ยังไง

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะชะงักเมื่อรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง

กลิ่นแบบนี้มัน…

กลิ่นหอมของดอกลิลลี่ฟุ้งมาจากทิศทางที่เต๋อจวิ้นวิ่งไป กว้านเฮิงขมวดคิ้ว เมื่อวานเขาได้กลิ่นนี้มาจากตัวอีกฝ่าย แต่มันไม่ได้รุนแรงขนาดนี้

หรือว่า

พอคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา ชายหนุ่มก็รีบวิ่งตามกลิ่นนั้นไปทันที

 


 

แปลก

เซียวเต๋อจวิ้นรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เขาสลัดหวงกว้านเฮิงหลุดแล้ว นั่นนับเป็นเรื่องน่ายินดี แต่เขากลับรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาทางเขาหลายสิบคู่ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแปลกไปจากคนอื่น

ชายหนุ่มเหลือบซ้ายแลขวา มีคนแอบมองเขาอยู่จริง ๆ จากหลายทิศทาง นี่มันอะไรกัน

เขาอยู่ในจตุรัสกลางเมืองที่มีผู้คนสัญจรมากมาย จู่ ๆ เต๋อจวิ้นก็รู้สึกอึดอัดและหายใจลำบาก เขามองไปรอบกาย พยายามหาสถานที่สำหรับพักผ่อน แต่กลับรู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

ชายหนุ่มลงไปคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดแรง หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างผิดปกติ ถึงตอนนี้เต๋อจวิ้นพอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา

ฮีต

อาการที่ควรจะมาในอีกสองอาทิตย์จู่ ๆ มาเป็นอะไรตอนนี้ ชายหนุ่มหน้าซีดเผือดเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่า ถ้าเขาเกิดฮีตเต็มขั้นขึ้นมากลางจตุรัส ไม่มีอัลฟ่าอยู่ข้างกาย ทั้งยังไม่มีรอยประทับจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี จะเกิดอะไรขึ้น

เต๋อจวิ้นกำเสื้อตัวเองแน่นด้วยความอึดอัด ความรู้สึกร้อนวูบวาบสลับกับอาการอึดอัดเป็นช่วง ๆ กำลังโจมตีเขา พร้อม ๆ กับการรับรู้ที่ชัดเจนขึ้น มีอัลฟ่าหลายคนกำลังตรงมาทางเขา

กลิ่นของอาจวิ้นเป็นกลิ่นดอกไป่เหอ* หอมมากเลยนะ

เสียงของสวี่ซีที่เคยพูดกับเขาตั้งแต่เจอกันแรก ๆ ดังขึ้น จะว่าไปตั้งแต่แต่งเข้าบ้านสกุลหวง เขาก็แทบไม่ได้ออกไปไหนเลย ยิ่งออกมาข้างนอกช่วงฮีตยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

นี่เป็นครั้งแรกที่เขากำลังจะฮีตกลางที่สาธารณะ

ทำยังไงดี

ระบบความคิดตีรวนไปหมด เซียวเต๋อจวิ้นพยายามเพ่งสายตามองหาลู่ทางในการหลบไปอยู่ที่อื่น ให้ห่างไกลจากสายตาของอัลฟ่าอื่น ๆ มากที่สุด แต่กลับไม่เห็นทางเลย

กลางจตุรัสที่คนเดินไปมาและพร้อมจะพุ่งเข้าหาเขาได้ทุกเมื่อ สวี่ซีอยู่ห่างไปอีกหลายเขต จะมีก็แต่…

หวงกว้านเฮิง

คนที่เขาเพิ่งสลัดหลุดไปเมื่อครู่ แล้วก็อยากให้จะหายไปจากชีวิตเลยด้วยถ้าจะเข้ามาทำให้ความสงบสุขในชีวิตของเขาพังทลาย

แต่ตอนนี้เขานึกหน้าคนอื่นไม่ออกแล้ว

เต๋อจวิ้นหอบหายใจเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ในหูอื้ออึงไปหมด เสียงคนที่เคยได้ยินจากสามคนดูจะเป็นสามสิบคนในเวลาอันสั้น เขาเริ่มครองสติไว้ไม่ได้

ทันใดนั้นก็มีสัมผัสหนึ่งตรงหัวไหล่ พร้อมกับผ้าที่คลุมศีรษะเขา

เต๋อจวิ้นหันควับ อยากจะขืนตัวหนีแต่ได้ยินเสียงของอีกคนเสียก่อน

“ผมเอง พี่สะใภ้”

“…กว้านเฮิง?”

“ไปจากตรงนี้กันเถอะ ผมว่าไม่ปลอดภัยแล้ว” อีกฝ่ายโอบเขาเข้าใกล้ตัว “เอาเสื้อผมคลุมไว้ก่อนนะ กลิ่นของผมน่าจะพอเจือจางกลิ่นคุณได้”

เต๋อจวิ้นเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างสับสน

“อย่าเพิ่งมองแบบนั้น เผื่อคุณจะลืมว่ากลิ่นของคุณมีปฏิกิริยากับทุกคนก็จริง แต่คนที่จะโดนหนักสุดคือผมที่เป็นคู่ชีวิตของคุณนะ”

เขาได้แต่ฟังกว้านเฮิงพูดประโยคยาว ๆ ทั้งที่จับใจความไม่ค่อยได้ แล้วซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างนั่นอย่างหมดแรง

กว้านเฮิงไม่พูดอะไรอีก แต่รีบพาเขาออกจากจตุรัสนั้นอย่างรวดเร็ว

 


 

หวงกว้านเฮิงเชื่อเรื่องคู่ชีวิต

ชีวิตเขาอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง เดี๋ยวเดินทางจากบ้านไปทำงานที่ต่างเมือง เดี๋ยวได้นั่งเรือไปเยี่ยมเพื่อนที่อีกฟากของมหาสมุทร นั่งเครื่องบินข้ามโลกก็ทำมาแล้ว ทุกครั้งที่ไปเยือนดินแดนต่าง ๆ กว้านเฮิงจะมองหาคนที่น่าจะเป็นคู่ชีวิตของเขาเสมอ

แต่ก็ไม่เคยพบเจอเลย

เขาผ่านคู่นอนมามากมาย พอ ๆ กับจำนวนครั้งที่ตม.แต่ละประเทศประทับตราลงในหนังสือเดินทาง แต่ก็ไม่มีใครที่เขาผูกพันหรืออยากสานต่อความสัมพันธ์ใด ๆ จะว่าเขายึดติดกับเรื่องคู่ชีวิตก็ใช่ เพื่อนเขาหลายคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่สำหรับกว้านเฮิงที่เคยเห็นพ่อแม่ที่อยู่ด้วยกันมาตลอดเพราะเป็นทั้งคนรักและคู่ชีวิต มันทำให้เขาอยากตามหาอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองให้เจอบ้าง

ในโลกที่โอเมก้ามีอยู่มากมาย คู่ชีวิตของเขาจะอยู่ตรงไหนกัน กว้านเฮิงไม่รู้เลย

เขารับหน้าที่ดูแลกิจการส่วนคาสิโนของสกุลหวง งานรัดตัวจนแทบไม่ได้กลับบ้าน แม้แต่งานแต่งของหวงสวี่ซี ลูกชายคนโตของตระกูลเขาก็ไม่ได้เดินทางมาร่วม ได้แต่ส่งเงินและถ้อยคำแสดงความยินดีมาให้ เล่าลือกันในหมู่ญาติว่าเจ้าสาวของสวี่ซีเพียบพร้อมนัก แม้ฐานะทางบ้านจะไม่อาจสู้สกุลหวงได้ แต่ก็ไม่ยากจน มีการศึกษา หน้าตาดี มารยาทน่ารักเรียบร้อย เป็นที่ถูกอกถูกใจคุณลุงคุณป้าของเขามาก จึงได้ไปทาบทามมาให้สวี่ซีจนตบแต่งกันเรียบร้อย

บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคู่ชีวิตของสวี่ซี เขาเคยคิดแบบนั้น กระทั่งได้พบเจออีกฝ่ายจัง ๆ จึงรู้ว่าตนคิดผิดไปหลายอย่าง

อย่างแรก เจ้าสาวของสวี่ซีเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีมาก สมกับที่เล่ากันมาว่าหน้าตาเพียบพร้อม กว้านเฮิงสะดุดนัยน์ตาสีเข้มที่ฉายแววไม่ยอมใครอยู่เสมอนั่นเป็นอย่างแรก ก่อนจะสะดุดรอยยิ้มน้อย ๆ ของอีกฝ่ายเป็นอย่างที่สอง

เรื่องถัดมาที่เขาคิดผิดก็คือ เซียวเต๋อจวิ้นคนนี้ แม้จะดูเหมาะสมกับสวี่ซีไปหมดทุกอย่าง ยืนข้างกันก็เป็นภาพที่งดงาม แต่เขาไม่ใช่คู่ชีวิตของสวี่ซี

แค่มองตากันกว้านเฮิงก็รู้แล้ว

คนที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ คนที่เป็นคู่ชีวิตของเราน่ะ แค่สบตากันก็รู้แล้ว

ถ้อยคำของพ่อของเขาดังอยู่ในหัวทุกครั้งที่เขาบังเอิญสบสายตากับเซียวเต๋อจวิ้น

และจูบในห้องหนังสือของสวี่ซีนั่นก็พิสูจน์ทุกอย่างแล้วจริง ๆ — เขากับเซียวเต๋อจวิ้นเป็นคู่ชีวิตกัน

แต่จะทำอย่างไรต่อไปดี แค่การรู้ว่าเซียวเต๋อจวิ้นเป็นคู่แท้ของเขาไม่ได้ลบล้างเรื่องที่เต๋อจวิ้นแต่งงานกับสวี่ซีและอยู่ในฐานะพี่สะใภ้ของเขา กว้านเฮิงเดาว่าเต๋อจวิ้นไม่ได้รักสวี่ซีในฐานะคนรัก เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการประทับตราใด ๆ หากรักกันมากจริง ๆ ก็คงไม่ลังเลไปแล้ว แต่สำหรับสวี่ซี… กว้านเฮิงที่เห็นอีกฝ่ายมาตลอดย่อมดูรู้เลยว่า มีความรู้สึกดี ๆ ให้ภรรยามากอยู่

จะไปเอ่ยปากบอกตรง ๆ ว่า “สวี่ซี ภรรยาของนายคือคู่ชีวิตของฉัน” มีหวังโดนมีดเสียบกบาลพอดี แต่คนอย่างกว้านเฮิงที่ตัดสัมพันธ์ทุกอย่างเพื่อรอคอยคู่แท้ของตนเอง เขาคงปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้

แต่จะรอจังหวะไหนเนี่ยสิ…

แล้วดูเหมือนพระเจ้าจะเห็นใจเขา มอบโอกาสอันดีงามมาให้จริง ๆ เสียด้วย

 


 

ร้านอาหารที่อยู่ในตรอกเล็ก ๆ ไม่ห่างจากจตุรัสมากคือจุดที่สวี่ซีนัดพวกเขาไว้ตอนเย็น แต่นี่เพิ่งสิบโมง กว้านเฮิงก็มาอยู่ตรงหน้าร้านเสียแล้ว

เขาประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของเต๋อจวิ้นไว้ แล้วเคาะประตูร้านรัว ๆ อยู่ห้าหกครั้ง

ประตูเปิดออกพร้อมสีหน้าหงุดหงิดของหนึ่งในหุ้นส่วนร้านที่เขาคุ้นชิน หลี่หย่งชินขมวดคิ้วแน่ตอนเปิดประตู ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขา

“กว้านเฮิง มาได้ไงเนี่ย”

“พี่ชิน ขอเข้าไปก่อน ตอนนี้รีบมาก”

“แต่ร้านยังไม่เปิ– เดี๋ยว นั่นใคร”

เขาไม่มีเวลาอธิบาย รีบพาร่างของเต๋อจวิ้นเข้ามาด้านใน ในภัตตาคารอาหารจีนไร้ผู้คน มีเพียงโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งเรียงรายไว้รอแขกมาใช้ ตรงเคาท์เตอร์บาร์ไม่มีพนักงานสักคน

“พี่คุนล่ะ”

“อยู่ข้างบน นี่มันอะไรกัน” หลี่หย่งชินขมวดคิ้ว “กลิ่นแรงขนาดนี้ จะฮีตเหรอ”

“อืม” เขาพยักหน้ารับ “มันกะทันหันน่ะ พอจะมีห้องให้ไหม”

“แล้วเขาเป็นใคร ไม่เห็นหน้าเลย”

กว้านเฮิงถอนหายใจ ดึงเสื้อตัวเองที่คลุมเต๋อจวิ้นอยู่ หย่งชินเห็นแล้วอ้าปากค้าง

“เฮ้ย นี่มันสะใภ้สกุลหวง”

“ใช่ พี่สะใภ้ผมเอง ขอห้องหน่อยได้ไหม จะแย่แล้วเนี่ย”

“ได้ ๆ” หย่งชินชี้ไปที่บันได “ขึ้นไปชั้นบน ห้องริมสุดทางเดินเลย เดี๋ยวฉันไปหายาระงับให้ น่าจะมีติด ๆ ไว้”

เขาพยักหน้ารับ แล้วประคองร่างเต๋อจวิ้นขึ้นไปด้านบน

ห้องพักที่หย่งชินแนะนำน่าจะเป็นห้องรับแขกของพี่คุน ด้านล่างร้านเป็นภัตตาคารก็จริง แต่ด้านบนเป็นห้องเช่าที่เปิดไว้ให้พวกนักท่องเที่ยว ส่วนชั้นสองเป็นเขตที่อยู่อาศัยของพี่คุนเจ้าของร้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบเตียงขนาดห้าฟุตและเครื่องเรือนเล็ก ๆ น้อย ๆ กว้านเฮิงวางร่างเต๋อจวิ้นลงที่เตียงแล้วเดินไปปิดประตูห้อง

เซียวเต๋อจวิ้นนอนตะแคงหอบหายใจอยู่บนที่นอน ใบหน้าขาวแดงจัด ท่าทางเหมือนคนเป็นไข้

กว้านเฮิงมองภาพตรงหน้าแล้วได้แต่กัดริมฝีปาก กลิ่นหอมของเต๋อจวิ้นฟุ้งไปทั่วห้อง เขาไม่รู้ว่าควรช่วยอีกฝ่ายให้บรรเทาจากอาการตอนนี้ยังไงดี แต่สัญชาตญาณมันน่ากลัวมาก

มองริมฝีปากที่แดงเรื่อจากความร้อนในกายแล้วกว้านเฮิงก็ได้แต่ลูบหน้าตัวเองแล้วหายใจเข้าลึก ๆ หากเขาทำอะไรเกินเลยไปโดยที่เต๋อจวิ้นไม่ยินยอม เรื่องคงจะบานปลาย

แค่จูบเขาในห้องหนังสือสามีเขาก็ดูเป็นคนเลวมากพออยู่แล้ว

กว้านเฮิงกระสับกระส่ายไม่ต่างกับคนบนเตียง เขารอหย่งชินเอายาขึ้นมาให้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่มาเสียที

พอขยับเข้าไปใกล้ ก็เห็นตาที่เคยดุของเต๋อจวิ้นปรือปรอย

“…ออกไป…”

แล้วก็เปล่งเสียงแหบพร่าออกมา

กว้านเฮิงมองผมที่ปรกหน้าปรกตาคนตรงหน้า เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ อาบทั่วร่าง หอบหายใจหนักเหมือนวิ่งมาเป็นสิบกิโลแต่ก็ยังไม่วายปากดีไล่เขาอีก

“จะให้ผมออกไปไหน”

“ไปไหนก็ได้…” เต๋อจวิ้นหายใจแรง “กลิ่นนายมัน…”

กลิ่น?

กว้านเฮิงเกือบลืมไปแล้ว กลิ่นของอัลฟ่าจะมีผลตอนโอเมก้าฮีต แต่สำหรับคู่ชีวิตมันคงรุนแรงกว่าเดิม เพราะตอนนี้เขาก็รู้สึกอยากกอดคนตรงหน้าแทบบ้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่ายืนมองอยู่ข้างเตียงเพราะคำว่าศีลธรรม

“ถ้าจะไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น…” เต๋อจวิ้นยังพูดต่อ “…ก็ออกไป”

กว้านเฮิงขมวดคิ้ว

“ปกติเวลาฮีตคุณทำยัง สวี่ซีช่วยเหรอ”

เต๋อจวิ้นเงียบไปเหมือนใช้ความคิด ก่อนจะตอบเสียงเบา

“อืม”

“ช่วยยังไง”

คนโดนถามตวัดสายตามามองเขา ตาดุ ๆ ที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์พอมาจ้องเขาแบบนี้ก็ทำเอารู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน

“ไม่แน่ใจ” เต๋อจวิ้นว่า “ฉันจำไม่ค่อยได้ มัน…ไม่ค่อยมีสติ”

ก็น่าอยู่หรอก

กว้านเฮิงมองไปที่ประตูสลับกับคนบนเตียง อาการเต๋อจวิ้นดูจะหนักหนาพอสมควรและคงไม่หยุดส่งกลิ่นหอมไปทั่วแน่ ๆ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างให้อาการฮีตลดลง หย่งชินก็ดูจะหายาให้เขาไม่ได้ในครึ่งชั่วโมงนี้ หายไปนานจนเขาทำตัวไม่ถูก

ชายหนุ่มถอนหายใจกับตัวเอง

“ขออนุญาตนะ สวี่ซี”

ก่อนจะเดินไปล็อกประตู

 

TBC

___

* ดอกไป่เหอ = ดอกลิลลี่