เซียวเต๋อจวิ้นจดจำวินาทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านสกุลหวงได้เป็นอย่างดี

รอยยิ้มยินดีวาดประดับใบหน้าของทุกผู้คนใต้ร่มเงาของสกุลหวง ญาติพี่น้อง ผู้ใหญ่ทุกฝ่าย บริวารทุกนายต่างพากันสรรเสริญถึงการก้าวเข้ามาเป็น ‘สะใภ้ใหญ่’ ของเขา คุณและคุณนายหวงมอบสินสอดให้บ้านเขาเป็นจำนวนเงินอันนับไม่ถ้วน หรือจะให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพ มันก็มากมายพอที่จะทำให้สองสามีภรรยาแซ่เซียวออกเดินทางรอบโลกได้ทั้งปีโดยแทบไม่สะเทือนเงินเก็บที่มีอยู่ ขณะที่พ่อแม่สุขสบาย เต๋อจวิ้นอยู่ในอ้อมกอดของหวงสวี่ซีผู้เป็นสามี — แต่นั่นก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น

เป็นที่รู้กันดีว่าสกุลหวงเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของมณฑลนี้ มีอำนาจล้นฟาเสียยิ่งกว่ารัฐบาลท้องถิ่นเอง และยิ่งได้รับการนับหน้าถือตาว่าเป็นตระกูลอัลฟ่าเก่าแก่ที่อยู่เคียงคู่แผ่นดินใหญ่มายาวนาน สมกับที่มีเชื้อสายของขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดราชวงศ์มาตั้งแต่ยังไม่ล่มสลาย แม้ในปัจจุบันจะไม่มีราชวงศ์ให้รับใช้แล้ว แต่เครือข่ายของสกุลหวงก็ยังกว้างขวางมากพอที่จะทำให้มีกินมีใช้ไปอีกหลายรุ่น ดังนั้นการที่คุณและคุณนายหวงมาถูกอกถูกใจเซียวเต๋อจวิ้นและทาบทามให้มาเป็นสะใภ้จึงเรียกได้ว่า ไม่ต่างอะไรกับหนูตกถังข้าวสาร

บ้านสกุลเซียวไม่ได้ยากจนอะไร แต่เมื่อเทียบกับสกุลหวง เขาก็เหมือนมดปลวกโดยแท้

“อยากได้อะไรก็บอกฉัน” สวี่ซีกระซิบ ด้วยระยะอันใกล้ชิดก็ดังพอที่เขาจะได้ยิน “ไม่ต้องเกรงใจ”

เราไม่ได้รักกัน หรืออย่างน้อยสำหรับเซียวเต๋อจวิ้น เขาก็ไม่ได้รักใคร่ชอบพอแบบฉันท์สามีภรรยากับหวงสวี่ซี อีกฝ่ายเป็นอัลฟ่าที่ดี ไม่ป่าเถื่อนรุนแรงเหมือนอัลฟ่าคนอื่น ๆ ที่เขาเคยพบเจอ แต่ก็ไม่ได้มีความพิสวาสอะไรขึ้นในความรู้สึกหรือสัญชาตญาณของเขา สวี่ซีให้ความรู้สึกเหมือนหลักยึดที่พึ่งพาได้ ซึ่งเต๋อจวิ้นก็คิดว่าดี อย่างน้อยก็ดีกว่าการแต่งงานกับคนที่เกลียดขี้หน้า

ยิ่งเป็นโอเมก้าที่สถานะต่ำที่สุดในสังคมนี้ การพบเจออัลฟ่าแบบหวงสวี่ซี จะเรียกว่าสวรรค์ทรงโปรดก็ไม่ผิด

“…ไม่จำเป็นต้องกอดฉันก็ได้นะ” เขาว่า ยกมือขึ้นแตะอ้อมแขนที่พาดตนอยู่ “รู้ว่านายไม่ได้อยากทำ”

พอเขาบอก สวี่ซีก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบผิวแก้มเขาเบา ๆ ตอนแรก ๆ ที่เพิ่งเจอกันพวกเขาทำตัวไม่ถูกเลย แต่พอนานวันเข้า เจอหน้ากันทุกวัน นอนเตียงเดียวกันทุกคืน ก็รู้สึกคุ้นไม้คุ้นมือกันไปเอง แค่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยระหว่างกันก็เท่านั้น

“ก็ต้องให้กลิ่นฉันติดหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นก็รู้กันหมดสิว่าเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน”

เต๋อจวิ้นถอนหายใจ ลุกจากที่นอนขึ้นมานั่งมองหน้าคนพูด

“เขาเรียกว่าเป็นแค่ในนาม”

“หรืออยากเป็นทางพฤตินัยด้วย?”

“อยากตายเหรอ หวงสวี่ซี”

สวี่ซีหัวเราะเบา ๆ แล้วดึงให้เขาล้มลงตัวลงนอน

เซียวเต๋อจวิ้นเหม่อมองเพดานสีแดงคล้ำประดับประดาด้วยไฟ และม่านสีเข้มที่ล้อมรอบเตียงสี่เสา สกุลหวงยิ่งใหญ่เพียงไหน เข้ามายลห้องนอนของลูกชายคนโตก็เห็นชัดแล้ว

“กอดอาจวิ้นก็เหมือนกอดตุ๊กตา” สวี่ซีว่า ซบหน้าลงกับไหล่เขา “หอมด้วย”

“เหอะ” เต๋อจวิ้นแค่นลมหายใจ “หยุดพูดได้แล้ว”

“งั้นก็นอนสักที พรุ่งนี้กว้านเฮิงกลับมา ต้องต้อนรับอีกไม่ใช่หรือไง”

เต๋อจวิ้นได้แต่พยักหน้ารับเออออในความมืด ก่อนจะข่มตาหลับลงบ้าง

กว้านเฮิง ชื่อที่เขาแทบไม่ได้ยินในบ้านสกุลหวง ใช่ว่าเป็นคนไม่สำคัญ แต่เพราะไม่ได้อยู่ในบ้านนี้ต่างหากจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอ่ยถึง เต๋อจวิ้นไม่เคยพบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ สักครั้ง งานแต่งเขาก็ไม่โผล่มา ทั้งที่มีศักดิ์เป็นลูกชายของอาของสวี่ซีแท้ ๆ สวี่ซีเล่าให้ฟังว่าอีกฝ่ายวุ่นวายอยู่กับธุระที่มาเก๊า นาน ๆ จะกลับบ้านที่แผ่นดินใหญ่ที แม้แต่ตัวสวี่ซีเองก็ไม่ได้พบหน้ามาหลายปีแล้ว

ไม่มีรูปของกว้านเฮิงอยู่ในบ้านด้วย เต๋อจวิ้นเดาไม่ออกเลยว่าอีกคนจะเป็นอย่างไร

เขาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของหวงสวี่ซี

 


 

เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความวุ่นวาย

เซียวเต๋อจวิ้นคุมคนจัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของ หวงกว้านเฮิง ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า สาละวนกับการชิมอาหารและเตรียมข้าวของที่จำเป็น หวงสวี่ซีตื่นขึ้นมาตอนสาย แวะมาหาเขาที่ครัวพร้อมน้ำเย็น ๆ หนึ่งแก้วและการทักทายด้วยอ้อมกอดแน่น ๆ จนเขาจมหายเข้าไปในแผ่นอกกว้างหนึ่งที เพราะแบบนี้บริวารในบ้านถึงได้คิดว่าพวกเขารักกันหวานชื่นและคงมีทายาทให้สกุลหวงเร็ว ๆ นี้ ทั้งที่ความจริงก็แค่กอดกันเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นสักนิด

กว่าจะจัดเตรียมของเสร็จก็ใกล้เที่ยง สวี่ซีที่เป็นเจ้าบ้านยังอุตส่าห์มาช่วยเขาอีก พอบอกว่าไม่ต้องก็ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มว่า “จะให้คุณลำบากคนเดียวได้ยังไง” ก็เลยปล่อยตามเลย ให้พวกบ่าวผู้หญิงหัวเราะคิกคักกันกับคำพูดเหมือนหลุดออกมาจากละคร ส่วนเต๋อจวิ้นก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมต้อนรับแขกคนสำคัญของวันนี้

ตามกำหนดเวลาที่หวงกว้านเฮิงแจ้งมา เขาจะมาถึงบ้านราวบ่ายโมง เป็นช่วงอาหารกลางวันพอดี สำรับต่าง ๆ จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเขามาถึงเต๋อจวิ้นและสวี่ซีจะเป็นคนไปต้อนรับ พาไปรอที่ห้องรับแขก ให้สวี่ซีพูดคุยกับกว้านเฮิงไปแล้วเต๋อจวิ้นจะไปเชิญบรรดาญาติผู้ใหญ่มาร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วย พอพร้อมหน้าพร้อมตากันก็กินเลี้ยงจนเสร็จงานจึงแยกย้าย นี่คือสิ่งที่เขาต้องทำวันนี้

เต๋อจวิ้นสวมกี่เพ้าชายสีน้ำเงินสดใสปักดิ้นทองลายมังกร ยืนเคียงข้างกับหวงสวี่ซีที่สวมกี่เพ้าสีดำปักดิ้นทองลายมังกรคู่กันอยู่หน้าบ้าน เวลาหนึ่งนาฬิกา รถหรูสีดำก็จอดเทียบหน้าประตู

บ่าวชายคนหนึ่งวิ่งไปเปิดประตูรถให้ แล้วเซียวเต๋อจวิ้นก็ได้เห็น ‘หวงกว้านเฮิง’ เป็นครั้งแรก

ชายหนุ่มตัวสูงโปร่ง อาจจะไม่สูงเท่าสวี่ซีแต่สูงกว่าเขา ตาโค้งเป็นทรงสวยรับกับคิ้วเข้มพาดเฉียง จมูกเป็นรูปพอเหมาะพอดีราวกับจับปั้น ทำให้เครื่องหน้าเขาดูโดดเด่นไปหมด แม้จะไม่ได้คมเข้มแบบสวี่ซี แต่ไม่ได้ห่างไกลกับคำว่าหน้าตาดีเหมือนรูปปั้นเลย เพราะเขาทำให้เต๋อจวิ้นนึกถึงรูปสลักจริง ๆ

อีกฝ่ายสวมสูทสีเทาแบบฝรั่ง พอเห็นสวี่ซีก็ร้องว่า “กลับมาแล้ว!” แล้วโผเข้ากอดกันเหมือนเด็ก ๆ ก่อนจะหันมาเห็นเขา

วินาทีที่สบตากัน เซียวเต๋อจวิ้นนึกถึงเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาในหมู่อัลฟ่าและโอเมก้า

เรื่องของ ‘คู่ชีวิต’

ความรู้สึกบางอย่างแล่นปราด และเขาคิดว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกเหมือนกัน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มให้เขาอย่างมีมารยาท

“พี่สะใภ้ สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ น้องกว้านเฮิง”

พวกเขาจับมือทักทายกันตามมารยาทสากล ชั่วจังหวะที่ผิวเนื้อสัมผัสกัน เต๋อจวิ้นรู้สึกราวกับถูกไฟช็อต แต่จำต้องฝืนจับมือตอบ หากเขาสะบัดทิ้งคงเสียมารยาทน่าดู และสวี่ซีก็อาจจะสงสัย

พวกเขาจับมือกันพร้อมกับฉีกยิ้มให้กันแบบฝืน ๆ พอผละออกจากกัน สวี่ซีก็กว้านเฮิงไปที่ห้องรับแขก

เต๋อจวิ้นมองแผ่นหลังของสามีและญาติผู้น้องหายลับไปในมุมทางเดิน แล้วก็ส่ายหน้ากับตัวเองไล่ความคิดสะระตะออกไป ก่อนจะรีบไปตามญาติผู้ใหญ่ให้มาร่วมโต๊ะ

 


 

มื้ออาหารต้อนรับการกลับมาของหวงกว้านเฮิงผ่านไปได้อย่างสวยงาม เต๋อจวิ้นในฐานะแม่งานได้รับคำชื่นชมจากทุกฝ่ายอย่างดี อาหารถูกปากทุกคน ญาติ ๆ พากันสรรเสริญตัวเขา สวี่ซี และพ่อแม่ของพวกเขาไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งเต๋อจวิ้นก็น้อมรับทุกคำชมไว้อย่างยินดียิ่ง

กว้านเฮิงจะพักอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนและไปเที่ยวเยอรมัน แล้วค่อยกลับไปทำงานที่มาเก๊าต่อ ได้ยินจากสวี่ซีว่านี่เป็นช่วงพักร้อนที่กว้านเฮิงสะสมไว้ พอได้เวลาก็ใช้ให้เต็มที่ แล้วค่อยไปลุยงานต่อ

เต๋อจวิ้นได้ยินมาพักใหญ่แล้วว่ากิจการคาสิโนของสกุลหวงที่มาเก๊าทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลงานของฝีมือของหวงกว้านเฮิงคนนี้นั่นเอง

ตกเย็นพวกเขารับประทานอาหารกัน สวี่ซีขอตัวออกไปสังสรรค์กับเพื่อนที่ไม่เจอกันหลายเดือน จึงเป็นเวลาในรอบครึ่งปีที่เต๋อจวิ้นได้อยู่กับตัวเองลำพังหลังจากแต่งเข้ามาในบ้าน เขาทิ้งตัวลงนั่งในห้องหนังสือของสวี่ซี ใช้เวลานี้ทำสิ่งที่อยากทำที่สุดแต่อดทนไม่ทำมาตลอดหกเดือน

ร้องเพลง

ไม่ใช่การร้องอย่างตั้งใจอะไร เป็นการร้องเพื่อระบายความกดดันเสียมากกว่า เขานอนแผ่กลางพื้นห้อง พึมพำทำนองเพลงอะไรก็ตามที่ลอยเข้ามาในหัว ตั้งแต่เข้ามาในบ้านนี้เขาไม่ได้ร้องเพลงเลยสักครั้ง นอกจากจะไม่มีเวลาแล้ว เขาก็ไม่นึกอยากบอกใครเรื่องความสามารถในการขับร้องของตนด้วย อยากให้มันเป็นสิ่งพิเศษที่อยู่กับเขาเฉพาะเวลาที่เขาอยากอยู่กับตัวเองเสียมากกว่า

เต๋อจวิ้นนอนมองเพดาน ปล่อยให้เสียงของตนลอยวนในห้องหนังสือที่เก็บเสียงนี้ เมื่อไฟบนเพดานชักจะสว่างเกินไปก็หลับตาร้องเพลงเบา ๆ โดยไม่รู้เลยว่ามีคนเข้ามาในห้อง

และมาหยุดยืนอยู่ข้างเขา ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิข้างคนที่นอนแผ่อยู่

“…เพลงอะไร”

เต๋อจวิ้นได้ยินเสียงเอ่ยถาม

เขาลืมตาโพลง ผุดลุกขึ้นทันที ก่อนจะผงะจนแทบชิดกำแพงเมื่อพบว่าคนที่เข้ามาคือกว้านเฮิง

“น้องกว้านเฮิง”

“ขอโทษที่เสียมารยาทเข้ามาตอนพี่สะใภ้กำลังทำตัวตามสบายน่ะครับ แต่เพลงเพราะดี อดเข้ามาฟังไม่ได้ นึกว่าพี่เปิดเพลงเสียอีก ว่าจะขอแผ่นไปฟังหน่อย”

เซียวเต๋อจวิ้นกะพริบตาปริบ ๆ รู้สึกได้เลยว่าตัวเองทำตัวไม่ถูก อาจจะอ้าปากค้างนิด ๆ ด้วย

“…ผมร้องเองน่ะ ไม่ใช่เพลงที่เปิดแผ่น”

“เหรอครับ”

กว้านเฮิงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยิ้มให้เขา

“เพราะดีนะครับ”

อ่า…

บรรยากาศแปลก ๆ โรยตัวอยู่ระหว่างพวกเขา นับตั้งแต่แต่เข้าบ้านนี้มา เต๋อจวิ้นไม่ได้มีโอกาสจะอยู่ตามลำพังกับใครสองต่อสองเลย โดยเฉพาะพวกอัลฟ่า แล้วหวงกว้านเฮิงก็เป็นพวกที่มองจากนอกเมืองเข้ามาก็รู้ว่าเป็นอัลฟ่าแน่นอนแบบไม่ต้องสืบ สกุลหวงมีโอเมก้านับหัวได้ เบต้ายิ่งแล้วใหญ่ แทบไม่มีโผล่มา

“ผมว่า ผมออกไปดีกว่า”

เต๋อจวิ้นทำท่าจะลุก แต่ไม่ทัน กว้านเฮิงคว้าข้อมือเขาไว้ก่อน ชั่วจังหวะนั้นราวกับเวลาหยุดเดินอีกรอบ

เขาไม่อยากจะยอมรับ แต่เขาคิดว่านี่ต้องใช่แน่ ๆ ความรู้สึกแบบนี้ ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้

“…พี่ก็รู้สึกใช่ไหมครับ”

หวงกว้านเฮิงกระซิบเสียงเบา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใบหน้าคมนั้นเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระผิวแก้ม เต๋อจวิ้นแทบกลั้นหายใจเมื่อสบกับนัยน์ตาสีเข้มนั่นตรง ๆ

“…รู้สึกอะไร…”

“ผมกับพี่สะใภ้ เรามีอะไรเชื่อมกันอยู่ใช่ไหมครับ”

เต๋อจวิ้นไม่ตอบ เขานึกอยากหลบตาแต่ก็ทำไม่ได้ กว้านเฮิงเลื่อนมือจากข้อมือเขามาเป็นเกาะเกี่ยวนิ้วไว้ ไล้นิ้ววนไปมาบนหลังข้อมือ

เพียงแค่นั้นก็ทำให้เซียวเต๋อจวิ้นรู้สึกหายใจติดขัด

“…พี่รู้เรื่องคู่ชีวิตของอัลฟ่ากับโอเมก้าใช่ไหมครับ”

“…”

“พี่ไม่ใช่คู่ชีวิตของสวี่ซีใช่ไหม และเขาก็ยังไม่ได้ประทับตราด้วย ผมรู้นะ”

มืออีกข้างที่ว่างของหวงกว้านเฮิงแตะเบา ๆ ที่หลังคอเขา เต๋อจวิ้นสะดุ้งเหมือนโดนของร้อนนาบผิว แต่เขาหนีไปไม่ได้เพราะกว้านเฮิงยังยึดข้อมือข้างหนึ่งของเขาไว้ได้อย่างแน่นหนา

“ทำยังไงดีล่ะครับ ดูเหมือนผมจะเป็นคู่ชีวิตของพี่นะ”

“อย่าพูดเองเออเอง”

“พิสูจน์ไหมล่ะครับ”

“ยัง—”

คำถามยังไม่พ้นริมฝีปาก มันก็ถูกกลืนหายไปด้วยความเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของหวงกว้านเฮิง มือข้างที่เคยแตะหลังคอเขาอย่างแผ่วเบาเปลี่ยนมาเป็นยึดต้นคอเขาไว้แน่น ให้เขารับสัมผัสร้อนแรงจากริมฝีปากได้รูปนั่น เต๋อจวิ้นตาเบิกโพลง กำหมัดแน่นหมายจะชกให้อีกฝ่ายล้มลงไปแต่หวงกว้านเฮิงคว้าข้อมือทั้งสองของเขารวบไว้ด้วยกัน และกดจูบซ้ำไปมาจนเต๋อจวิ้นรู้สึกประหลาด จากความเจ็บที่ริมฝีปากกลายเป็นความวาบหวาม และมีความรู้สึกอื่น ๆ แทรกขึ้นมาเต็มไปหมด จนเขาขมวดคิ้ว

“พอ—พอก่อน…”

เขาพยายามเปล่งเสียงพูดออกมาจนอีกฝ่ายยอมผละออก เต๋อจวิ้นหอบหายใจหนัก ตักตวงอากาศที่ถูกช่วงชิงไปราวกับคนกระหายน้ำ เขาเหลือบมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกมากมาย และมันคงอัดแน่นในแววตาจนหวงกว้านเฮิงหัวเราะเบา ๆ

“ผมจะบอกอะไรให้นะครับ พี่สะใภ้”

“…”

“ผมเองก็คบใครมามาก พอจะมีประสบการณ์ว่าแค่คู่นอนกับคู่ชีวิตมันต่างกันยังไง”

“ยะ—ยังไง”

“แล้วผมก็คิดว่าพี่น่ะ” หวงกว้านเฮิงเกลี่ยนิ้วลงบนริมฝีปากเขาเบา ๆ “น่าจะแยกออกเหมือนกัน ใช่ไหมครับ”

ในห้องหนังสืออันเก็บเสียง เต๋อจวิ้นไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงหอบหายใจของตนเอง

“ทีนี้ พอจะพิสูจน์ได้ไหมล่ะครับ ว่าผมคือคู่ชีวิตของพี่ ไม่ใช่สวี่ซี”

และคำพูดของหวงกว้านเฮิงดังสะท้อนอยู่ในห้อง

 

TBC