ลอเรไลว่ายน้ำอย่างไม่หยุดพัก

 

 

ความกลัวว่าอาจจะถูกเสด็จพ่อลากกลับไปได้ทุกเมื่อทำให้เงือกสาวไม่ยอมหยุดสะบัดครีบแม้แต่วินาทีเดียว ลอเรไลไม่ยอมเสียเวลาทำแผลที่ครีบหางด้วยซ้ำ การเสียเลือดให้เธออ่อนล้ายิ่งกว่าคราวที่พยายามช่วยเจ้าชายจากการจมน้ำหลายเท่าแต่ถึงกระนั้นก็ยังฝืนดึงดันว่ายต่อ

 

 

ไกลจากอาณาจักรของเหล่าเงือก สู่ห้วงสมุทรอันมืดมิดที่ไร้แสงส่องนำทาง

 

 

ทว่าเมื่อข้ามไปได้แล้ว นั่นคือที่อยู่ของแม่มด

 

 

ชาวบกเรียกสถานที่แบบนี้ป่าแห่งท้องทะเล มันคือดงสาหร่ายเคลป์ซึ่งขึ้นเรียงรายทอดตัวสูงขึ้นไปเหนือผิวน้ำดังเช่นเธอผู้ใฝ่หาแสงตะวัน บางต้นอาจสูงได้ถึงห้าสิบเมตรและมีใบยาวเกือบเมตร ด้วยจำนวนนับพัน สถานที่แห่งนี้จึงดูราวกับเขาวงกตสีเขียวอันวกวนชวนสับสนทิศ บนพื้นเต็มไปด้วยปะการังและหอยแม่น แน่นขนัดจนไม่อาจเห็นเม็ดทราย นากทะเลและแมวน้ำหลายตัวว่ายผ่านลอเรไลไปมาเพื่อหาอาหาร

 

 

และในสถานที่อันอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ย่อมต้องมีนักล่าเป็นธรรมดา

 

 

“กรี้ด!”

 

 

ฉลามขาวตัวยาวเกือบสามเมตรโผล่พรวดมาจากดงสาหร่าย ลอเรไลม้วนตัวหลบได้ทันก็จริง แต่ชัดเจนแล้วว่ามันมองเธอเป็นเหยื่อ เงือกหลงฝูง อ่อนแอและคลุ้งกลิ่นเลือด ไม่มีอะไรล่าง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว

 

 

ฉลามพุ่งกลับเข้ามาอีกครั้ง ทว่าลอเรไลไม่ได้หลบ เธอพยายามรวบรวมพลัง ไม่จำเป็นต้องสู้ชนะขอแค่ทำให้มันตกใจจนหนีไปได้เท่านั้น ขอแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าเธอยังเหลือแรงพอจะควบคุมคลื่นหรือทรายได้

 

 

โทนี่ดึงผมเธออย่างหวาดเสียว เมื่อฉลามขาวอ้าปากกว้างเตรียมจะงับ

 

 

ลอเรไลยื่นมือออกไปข้างหน้า

 

 

และในตอนนั้นเองก็มีหนวดแบบแมงกะพรุนลอยผ่านหน้าของเธอไป ตามมาด้วย...

 

 

ตูม!

 

 

ใครบางคนดึงลอเรไลเข้ามาในอ้อมกอด พร้อมกับฟาดหนวดซัดเข้าไปที่จมูกของฉลามขาวยักษ์อย่างแรงจนใบหน้าของมันสะบัด มันยังไม่ยอมแพ้ให้กับอาหารอันโอชะและทำท่าจะพุ่งเข้ามาอีกครั้งแต่เมื่อเห็นว่าคนที่ช่วยลอเรไลไว้เป็นใคร...

 

 

“เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่านางเงือกน่ะห้ามกิน”

 

 

มันก็เผ่นหนีไปทันทีด้วยความหวาดกลัว

 

 

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าทากน้อยของข้า”

 

 

หากรูปลักษณ์ของนางเงือกว่าประหลาดแล้ว อีกฝ่ายน่าจะเรียกได้ว่าพิสดารที่สุดในห้วงสมุทร เป็นส่วนผสมระหว่างมนุษย์และแมงกะพรุน ท่อนบนเป็นหญิงสาว ทว่าผิวกายกลับซีดเซียวจนเกือบโปร่งใส ท่อนล่างเป็นส่วนลำตัวของแมงกะพรุน เป็นริ้วระบายสีขาวแซมด้วยหนวดเส้นเรียวยาวสีม่วง ราวกับกำลังสวมใสกระโปรงเช่นเหล่ามนุษย์

 

 

ดวงตาของเธอเป็นสีดำสนิทและไร้ซึ่งส่วนของตาขาว ปาก คาง จมูก ล้วนสมส่วนและงดงาม เหนือศีรษะขึ้นไปไม่ใช่เส้นผม เป็นส่วนหัวของแมงกะพรุนที่แผ่กว้างออกไปเหมือนกำลังสวมหมวกใบใหญ่อยู่มากกว่า ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับสีหน้าและน้ำเสียงอันติดจะเหย่อหยิ่ง เธอจึงดูเหมือนสตรีสูงศักดิ์ยิ่งกว่าลอเรไลผู้เกิดมาเป็นเจ้าหญิงเสียอีก

 

 

เซอร์ซี!” ลอเรไลโผเข้ากอดคนที่ช่วยเธอไว้หรืออีกนัยหนึ่ง แม่มดแห่งท้องทะเลเซอร์ซี ด้วยความดีใจ เซอร์ซีกอดกลับ ตบหลังเธอเบาๆ สองสามครั้งก่อนจะบีบแก้มเธอด้วยความหมั่นเขี้ยว

 

 

“กระแสน้ำอะไรหอบเจ้ามาในช่วงนี้ของปีได้กันเจ้าทากน้อย? ยังไม่ถึงเวลานัดระหว่างเราเสียหน่อย”

 

 

“ข้าหนีออกจากบ้านน่ะ”

 

 

“เอ๊ะ”

 

 

คำตอบของลอเรไลทำเอาเซอร์ซีถึงกับหลุดเสียงแปลกๆ ด้วยความตกใจออกมา

 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ? ”

 

 

ทว่าลอเรไลพุ่งเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วด้วยการกอบกุมมือของแม่มดแห่งท้องทะเลไว้และเว้าวอนขอ

 

 

“ขอขาให้ข้าหน่อยเถอะเซอร์ซี ข้าอยากขึ้นไปใช้ชีวิตบนบกกับเจ้าชายเดี๋ยวนี้เลย!”

 

 

 

 

 

 

งานศพแบบเงือกเป็นอะไรที่น่าหดหู่มาก

 

 

เพราะผืนทรายจะเปลี่ยนไปตามกระแสน้ำทุกวันจึงไม่อาจใช้วิธีฝั่งศพเช่นมนุษย์ได้ แต่จะปล่อยให้ชาวบกค้นพบว่าชาวท้องทะเลมีตัวตนอยู่ก็ไม่ได้เช่นกัน เหล่าเงือกจึงต้องถ่วงศพลงสู่หุบเหวลึก ร่องสมุทรที่ไม่มีแสงใดส่องถึงและมีสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถดำรงอยู่ได้ เป็นหลุมสุสานขนาดใหญ่อันน่าพรั่นพรึง

 

 

ศพของเงือกจะถูกบรรจุในโลงที่ทำจากหินและตกแต่งด้วยมุกไม่ก็เปลือกหอยตามแต่ฐานะ โลงศพของแม่ลอเรไลตกแต่งด้วยเศษของปะการังเขากวางที่หลุดหักออกมาเพราะกระแสน้ำ และคนที่ผลักต้องโลงศพลงสู่ร่องสมุทรก็คือเหล่าญาติมิตรที่เหลืออยู่

 

 

ลอเรไลจำได้อย่างแม่นยำว่ามันเป็นงานศพที่เงียบเหงาขนาดไหน เสด็จพ่อไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาบอกลาเสด็จแม่เป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ มีแค่เธอกับลอเรนซ์ เงือกตัวเล็กๆ สองตนที่ต้องตะเกียดตะกายดันโลงหินอันหนาหนักเพียงลำพัง หลังงานศพลอเรไลยังไม่อยากกลับวังเลยว่ายน้ำเล่นไปเรื่อยๆ ไม่เชิงหนีออกจากบ้านหรอก แค่หลงทางเท่านั้น หลงมาไกลจนถึงเขตแดของแม่มดเลยแหละ

 

 

เหนื่อยและหิว ลอเรไลเผลอหลับไปท่ามกลางดงสาหร่ายเคลป์

 

 

ตอนนั้นแหละที่เซอร์ซีมาพบเธอเข้า

 

 

“ตัวเล็กนิดเดียว นึกว่าเป็นทากทะเลเลยเก็บมา เกือบโยนลงหม้อปรุงยาไปเสียแล้วนะเนี่ย”

 

 

แม่มดแห่งท้องทะเลกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ลอเรไลยอมรับเลยว่าตอนแรกกลัวเซอร์ซีเป็นอย่างมาก ผู้ใช้มนตราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับยิ่งกว่าเผ่าเงือกหลายเท่าซ้ำยังคาดเดาไม่ได้ บางตนกล่าวว่าพ่อมดสามารถกวาดล้างทั้งเมืองได้ด้วยมนตร์เพียงบทเดียวและแม่มดนิยมกินเนื้อของเด็กๆ เพื่อเพิ่มพลัง

 

 

แต่ก็คงเหมือนเรื่องเล่าของชาวบก

 

 

ทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการอันเพ้อพกของความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้เท่านั้น

 

 

เซอร์ซีดีกับลอเรไลมาก นอกจากจะหาอาหารให้กินจนอิ่มหนำแล้วยังพาไปส่งถึงเขตวังโดยไร้รอยขีดข่วน

 

 

“บ๊ายบาย เจ้าทากน้อย ไว้มาเล่นกันใหม่นะ”

 

 

แม่มดแห่งท้องทะเลกล่าวเช่นนั้นพร้อมโบกมือมาให้ และที่น่าเศร้าคืออะไรรู้ไหม ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าลอเรไลหายตัวไป เธอหลงทางอยู่ในทะเลเปิดถึงสามวัน และอยู่กับเซอร์ซีอีกสามวัน เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แต่กลับไม่มีใครตามหาเธอเลย

 

 

เพราะแบบนั้นลอเรไลจึงแวะเวียนกลับไปหาเซอร์ซีอีกครั้งและอีกครั้งจนกลายเป็นแขกประจำในที่สุด เงือกสาวสนิทกับแม่มดแห่งท้องทะเลเป็นอย่างมากจนสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้ทุกเรื่อง เรื่องที่ไม่พอใจพ่อ เรื่องที่น้อยใจพี่ชาย เรื่องที่ไม่สามารถควบคุมคลื่นลมได้ดั่งใจหวัง

 

 

ไม่เว้นกระทั่งความปรารถนาที่จะขึ้นไปใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์

 

 

“สรุปคือเจ้าทะเลาะกับมาริอุส เลยหนีออกจากบ้านเพื่อขึ้นบกไปหาผู้ชาย แต่จะทำแบบนั้นได้ต้องมีขาเสียก่อนเจ้าจึงได้มาหาข้า ข้าเข้าใจถูกไหม”

 

 

“ถูกต้อง” ลอเรไลพยักหน้า แต่เซอร์ซีกลับใช้หนวดเคาะลงมาที่กลางศีรษะของเธออย่างแรงจนได้ยินเสียงปึก

 

 

“ผิด”

 

 

“หา? มันจะผิดได้อย่างไรในเมื่อข้าบอกท่านแบบนั้นเอง” ลอเรไลลูบศีรษะไปมาในขณะที่เซอร์ซีดันขอบหมวกแมงกะพรุนขึ้นไป ดวงตาสีดำเหมือนหุบเหวจ้องมองมาในระยะประชิด

 

 

“เจ้าก็รู้ข้าพูดถึงอะไรลอเรไล เจ้าแค่อยากหนีไปให้ไกลจากพ่อและมหาสมุทร จึงใช้เจ้าชายรูปงามและวลีที่ถูกตีค่าให้ยิ่งใหญ่เกินจริงอย่างรักแรกพบมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น”

 

 

“แต่ข้ารักเขาจริงๆ นะ แค่คิดถึงเขาหัวใจของข้าเต้นแรงไม่หยุด แถมข้ายังยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขาด้วย” ลอเรไลพยายามเถียง เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนนอกจากเจ้าชายแคสเซียน นับตั้งแต่วันที่ช่วยเขาไว้ ในหัวใจของลอเรไลก็มีเพียงความปรารถนาเดียวเท่านั้นคือการได้ขึ้นไปใช้ชีวิตบนบกและใช้สองขาเดินเคียงข้างเขาท่ามกลางแสงตะวัน

 

 

เซอร์ซีถอนหายใจพรืด ปรากฏฟองอากาศลอยสูงเป็นทางจากจมูกเล็กๆ

 

 

“ทำไมไม่มาอยู่กับข้าแทนล่ะ ข้าเคยบอกแล้วไงเผ่าพันธุ์แห่งสายน้ำอย่างเงือก นาคาหรือแม้แต่เซลกี้ต่างมีเวทมนตร์ในตนเองทั้งนั้น ถึงจะไม่ได้มากมายเท่าผู้ใช้มนตรา แต่หากฝึกฝนดีๆ เจ้าเองก็สามารถกลายเป็นแม่มดแห่งท้องทะเลได้เช่นกัน ถึงตอนนั้นจะเสกขาให้ตนเองขึ้นไปเดินเล่นข้างบนเมื่อไรก็ได้ แถมไม่ต้องใส่ใจกับคำพูดของมาริอุสด้วย”

 

 

“มันใช้เวลาเกินไป ข้าอยากได้ขาเดี๋ยวนี้เลยนี่นา ถ้าเกิดเจ้าชายแต่งงานกับคนอื่นไปก่อนจะทำไง”

 

 

“หาคนใหม่สิ” เซอร์ซีกล่าวตัดรอนพร้อมรอยยิ้ม “ผู้ชายมีมากมายดังเม็ดทราย แถมข้ามั่นใจว่าที่หล่อกว่าแคสเปียน...”

 

 

“...แคสเซียน”

 

 

“นั่นแหละ มีอีกถมเถ หรือจะให้ข้าเสกให้เจ้าขึ้นมาสักคนดี”

 

 

“ก็ข้าอยากได้เจ้าชายแคสเซียนนี่น่า ข้ารักเขาจริงๆ นะ” ลอเรไลแบะปาก ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ปกติแล้วเซอร์ซีมักจะใจอ่อน ยอมตามใจเธอแต่โดยดี เงือกสาวเป็นที่โปรดปรานของแม่มดแห่งท้องทะเลถึงเพียงนั้น ทว่าคราวนี้ไม่ง่ายดายเหมือนที่แล้วมา

 

 

“แล้วรักมากพอที่จะยอมโดนสาปหรือไม่”

 

 

ลอเรไลชะงัก

 

 

เซอร์ซีลอยไปทางด้านในของถ้ำพำนัก เหนือหินก้อนใหญ่ที่ถูกเกลาเสลาเป็นหลุมลึกและถูกใช้เป็นหม้อปรุงยาของแม่มด มันเรืองแสงสีเขียวขึ้นมาทันทีที่เซอร์ซีโยนหญ้าทะเลชนิดหนึ่งลงไป

 

 

“ข้าไม่มีอำนาจที่จะมอบขาให้นางเงือกอย่างถาวร สิทธิ์นั้นเป็นของราชาแห่งโลกใต้ผิวน้ำแต่เพียงผู้เดียว ทว่าข้าสามารถสาปให้เจ้ามีขาได้”

 

 

“ท่านทำได้จริงหรือ? ” ลอเรไลถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เซอร์ซียังคงโยนอะไรต่อมิอะไรลงไปในหม้ออีกหลายอย่าง มันเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ และเริ่มส่งกลิ่นแปลกๆ ออกมา ลอเรไลรีบดึงโทนี่มากอดไว้ก่อนจะถูกเซอร์ซีโยนลงหม้อไปด้วยอีกตัว

 

 

“ได้สิ ทว่ามีสองเงื่อนไขและหนึ่งข้อแลกเปลี่ยน”

 

 

“ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น”

 

 

“เงื่อนไขแรก เจ้าจะได้ขาเมื่อขึ้นไปบนบกก็จริงแต่พึงระวัง หากสัมผัสน้ำทะเล เจ้าจะกลับสู่รูปลักษณ์แห่งเผ่าพันธุ์ เงื่อนไขที่สองเจ้ามีเวลาแค่สามเดือน”

 

 

“สำหรับอะไร? ”

 

 

“สำหรับจุมพิตแห่งรักแท้”

 

 

“หา? ”

 

 

“หากเจ้าได้รับจุมพิตแห่งรักแท้ เจ้าจะได้รับขาและกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่หากไม่สำเร็จในสามเดือนเจ้าก็ต้องกลับมายังโลกใต้ผิวน้ำและกลายเป็นทาสทำงานรับใช้ข้าโดยไม่มีโอกาสได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีก โฮะๆ ” เซอร์ซีหัวเราะด้วยเสียงแหลมสูง พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ดูชั่วร้าย แต่ด้วยจริตอันนุ่มนวลและใบหน้าแบบนั้น สำหรับลอเรไลแล้วดูยังไงก็ไม่ชั่วร้ายเลยสักนิด

 

 

“แล้วทาสนี้ต้องทำอะไรบ้างล่ะ? ”

 

 

“หลักๆ ก็ทำทุกอย่างที่ข้าสั่ง ช่วยข้าปรุงยา เรียนเวทมนตร์ที่ข้าสอน คัดตำราโบราณ ทำความสะอาดห้องทำงานของข้า รวมถึงต้องแต่งตัวและทำผมในแบบที่ข้าบอกให้ทำด้วย”

 

 

ลอเรไลเลิกคิ้ว “นั่นมันเท่ากับเป็นลูกศิษย์ของท่านชัดๆ เลยไม่ใช่หรือ”

 

 

“ก็เจ้าบอกเองนี่ว่าไม่อยากเป็นศิษย์ของข้า ข้าเลยให้ตำแหน่งทาสแทน ไม่พอใจหรือ? หรืออยากได้สวัสดิการเพิ่มด้วย” เซอร์ซีเสกม้วนกระดาษขึ้นมาจากความว่างเปล่า แน่นอนว่าเพราะทำจากเวทมนตร์มันจึงยังไม่เปื่อยยุ่ยไปเสียก่อนในห้วงมหาสมุทรแห่งนี้ เซอร์ซีเขียนอะไรไม่รู้ยุกยิกเติมเข้าไปอีกหลายอย่าง ลอเรไลรีบยกมือห้าม

 

 

“แล้วข้อแลกเปลี่ยนที่ท่านว่าสำหรับคำสาปล่ะ”

 

 

“ขอคิดก่อนนะ ปกติก็ต้องเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของคนผู้นั้น สิ่งที่หากหายไปแล้วจะสร้างความลำบากและเติมเต็มเงื่อนไขของเวทมนตร์ได้ยากยิ่งขึ้น” แม่มดแห่งท้องทะเลยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะเอื้อมมือไล้ไปตามกรอบหน้าของเงือกสาว ก่อนจะลากต่ำ กรีดปลายเล็บยาวแหลมลงไปยังลำคอ “ข้าขอเสียงของเจ้าแล้วกันแม่ทากน้อย เสียงซึ่งไพเราะที่สุดในเจ็ดคาบสมุทร เจ้าจะยอมยกมันให้ข้าเพื่อแลกกับขาในการตามหารักแท้ได้หรือไม่”

 

 

“ตกลง”

 

 

เงือกสาวตอบเร็วมากจนเป็นแม่มดแห่งท้องทะเลเสียเองที่ตกใจ แม้แต่โทนี่ก็ยังผงะและถึงกับเปลี่ยนสี มันส่ายหน้ารัว หนวดทั้งแปดหงิกงอไปมาคล้ายจะถามว่าคิดดีแล้วเหรอ คิดดีแล้วหรือยัง ช่วยคิดดีๆ ก่อนเถิดดดดด

 

 

และดูเหมือนว่าเซอร์ซีจะรู้สึกเช่นเดียวกันจึงได้ถาม

 

 

“นี่คิดดีแล้วหรือ? ”

 

 

“คิดดีแล้ว ถี่ถ้วนมากด้วย” ลอเรไลตอบอย่างมั่นใจ

 

 

“แล้วเข้าใจหรือเปล่าเถอะว่าเวทมนตร์ที่ข้าให้ไปทำงานอย่างไร”

 

 

“เสียงข้าแลกกับขา และข้ามีเวลาสามเดือนเพื่อหาทางขโมยหัวใจและจุมพิตของเจ้าชายให้ได้” พูดไปแล้วลอเรไลก็รู้สึกเขินหน่อยๆ เหมือนกันนะ “หากทำไม่สำเร็จข้าก็แค่กลับมาอยู่ใต้ทะเลกับท่าน”

 

 

คิดยังไงก็กำไรชัดๆ ได้ขึ้นไปลองใช้ชีวิตบนบก ได้อยู่กับเจ้าชาย หรือหากมีอะไรผิดพลาดลอเรไลทำไม่สำเร็จจริงๆ เธอก็แค่กลับมาอยู่กับเซอร์ซีที่ป่าแห่งท้องทะเลแห่งนี้ไม่ต้องกลับวังไปเผชิญหน้ากับพ่ออยู่ดี

 

 

แต่ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น

 

 

“ทุกคำสาปและทุกมนตรามีราคาค่างวดในตัวของมันเองลอเรไล” ไม่บ่อยนักที่เซอร์ซีจะเรียกเงือกสาวด้วยชื่อจริง “เพื่อให้เวทมนตร์ดำเนินไปได้ เจ้าต้องจ่ายด้วยเสียง และเมื่อเวทมนตร์สิ้นสุดลง เจ้าเองก็ต้องจ่ายอีกครั้งที่ไม่อาจเติมเต็มเงื่อนไขเหล่านั้นได้ ข้าพูดว่า เจ้าต้องกลับมายังโลกใต้ผิวน้ำโดยไม่มีโอกาสได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีก ใช่ไหม ซึ่งมันไม่ได้เรียบง่ายอย่างกลับมาใช้ชีวิตเป็นนางเงือกดังเดิมเท่านั้น แต่หมายความว่าแม้แต่ปลายนิ้วเจ้าก็ไม่อาจเอื้อมขึ้นไปเหนือผิวน้ำ ไม่อาจบรรเทาความโหยหาได้ด้วยการเฝ้ามองดังเช่นที่เคยกระทำ ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับโลกเบื้องบนเจ้าไม่อาจรับรู้ได้ทั้งนั้น”

 

 

ลอเรไลรู้สึกได้ถึงความลังเลที่ปกคลุมหัวใจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่คิดจะขึ้นไปใช้ชีวิตท่ามกลางแสงตะวัน

 

 

เซอร์ซียื่นม้วนกระดาษเมื่อครู่มาให้ สัญญาเวทมนตร์ ซึ่งมีรายละเอียดของเงื่อนไข สิ่งแลกเปลี่ยน และราคาที่ต้องชดใช้หากทำไม่สำเร็จระบุไว้อย่างชัดเจน

 

 

“รู้แบบนี้แล้วยังจะยินยอมให้ข้าสาปเจ้าอีกหรือไม่”

 

 

ลอเรไลนิ่งคิด ใคร่ครวญ หากปฏิเสธเวทมนตร์ของเซอร์ซีเธอยังมีเวลาอีกสองปีด้วยกันในการเกลี่ยกล่อมเสด็จพ่อให้ยอมมอบขาให้พิธีบรรลุนิติภาวะของเหล่าเงือก ทว่าโอกาสสำเร็จช่างริบหรี่ ซ้ำร้ายในระหว่างสองปีนี้เธอต้องใช้ชีวิตในแบบที่เธอเกลียดที่สุด โดดเดี่ยว ไม่มีใครเห็นค่า ต้องพยายามเป็นในสิ่งที่ไม่อาจเป็นได้ หรือที่ร้ายแรงยิ่งกว่า เธออาจต้องใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ที่ใต้ทะเลตลอดไป

 

 

ซึ่งจะต่างอะไรจากการที่ต้องจ่ายค่าล้มเหลวให้เวทมนตร์ของเซอร์ซีล่ะ?

 

 

เช่นนั้นแล้วลอเรไลขอใช้ชีวิตให้เต็มที่ ไขว้คว้าทุกโอกาสที่เกลียวคลื่นพัดพามาให้โดยไม่คิดเสียใจเมื่อมองย้อนมา

 

 

“ข้าอยากเป็นมนุษย์”

 

 

เงือกสาวกล่าวยืนยันในความปรารถนา

 

 

แม่มดแห่งท้องทะเลไม่กล่าวอันใดนอกจากเสกปากกาขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วยื่นให้ เมื่อรวมเข้ากับม้วนสัญญาเวทมนตร์และมุมล่างขวาของกระดาษซึ่งว่างเปล่า ลอเรไลจึงจรดลายเซ็นลงไป

 

 

“ยินดีด้วย! ทีนี้เจ้าก็ได้เป็นมนุษย์แล้ว ว่ายขึ้นบกแล้วลองเดินได้เลยแม่ทากน้อย รับรองด้วยเกียรติของแม่มดว่าแม้แต่มาริอุสเองก็ไม่อาจขัดขวางเจ้าได้แน่นอน”

 

 

“หา? ”

 

 

แค่นี้เองเหรอ? ลอเรไลเลิกคิ้วอย่างงงงัน ไม่ใช่ว่าต้องใช้เวทมนตร์มากรีดแยกหางของเธอออกจากกัน หรือมีแสงวิบวับอะไรสักอย่างก่อนที่เกล็ดกับเหงือกจะหายไปก่อนหรือ

 

 

เห็นถึงท่าทีของเธอ เซอร์ซีมุ่ยหน้าและทำปากยื่น

 

 

“แหม่ ขอโทษด้วยแล้วกันที่เวทมนตร์ของข้ามันไม่อลังการอย่างที่เจ้าคาดหวัง”

 

 

“มะ ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะคะ” ลอเรไลรีบปฏิเสธ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ก็เซ็นสัญญายอมโดนสาปไปแล้วนี่ทำไมยังใช้เสียงได้อยู่ล่ะ

 

 

“เสียงแลกกับขา ถ้ามีหางก็จะได้เสียงคืนมายังไงละแม่ทากน้อย”

 

 

“ละ...แล้วหม้อยานั่นล่ะคะ ข้าไม่ต้องดื่มมันด้วยเหรอ” เห็นปรุงอยู่ตั้งนานสองนาน

 

 

“พูดอะไรของเจ้า นั่นมันอาหารมื้อดึกของข้าต่างหาก”

 

 

เกือบลืมไปเลยว่าเมนูของเซอร์ซีไม่ธรรมดาขนาดไหน

 

 

“อ่อ มีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าอยากจะให้เป็นของขวัญ” แม่มดแห่งท้องทะเลเสกสิ่งของขึ้นมาจากความว่างเปล่าของมวลน้ำถึงสองชิ้นด้วยกัน ชิ้นแรกลอเรไลรู้จัก มันคือเครื่องนุ่งห่มแบบหนึ่งเรียกว่าชุดกระโปรง ลอเรไลเคยเห็นจากรูปวาดที่จมลงสู่ก้นทะเล แม้จะไม่รู้วิธีสวมใส่ก็เถอะ แต่โทนี่น่าจะช่วยได้ ส่วนอีกชิ้นไม่คุ้นเอาเสียเลย ทำจากผ้าเหมือนกัน ตัดเป็นชิ้นสามเหลี่ยมขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของเธอเล็กน้อย

 

 

“เขาเรียกว่ากางเกงใน ไว้เจ้ามีขาขึ้นมาเมื่อไรก็จะเข้าใจได้เองว่าใช้งานอย่างไร” เซอร์ซีหัวเราะคิกคักในขณะที่ลอเรไลยังคงพลิกชิ้นผ้าในมือไปมาอย่างฉงน โทนี่จึงตัดสินใจใช้หนวดแย่งชิงทั้งสองชิ้นมาถือไว้ให้ “เอาละ ได้เวลาขึ้นไปลองเดินแล้วแม่ทากน้อย แล้วอย่าลืมมัดใจเจ้าชายมาให้ได้ละ”

 

 

“ขอบคุณนะคะ” เงือกสาวโผเข้ากอดแม่มดแห่งท้องทะเลอีกครั้งเป็นการอำลา “ขอบคุณมากจริงๆ ”

 

 

เซอร์ซีไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากลูบผมของเธอไปมาเท่านั้น