เป็นอีกครั้งที่ลอเรไลรู้สึกว่าพ่อครัวฝึกหัดคนนี้ไม่ปกติ

 

เขาดูตกใจน้อยมากเมื่อเทียบกับที่โทนี่เคยเล่าไว้ว่ามนุษย์น่าจะมีปฏิกิริยาเช่นไรหากรับรู้ว่าชาวเงือกมีตัวตนอยู่จริง ครั้งแรกยังพอเข้าใจได้ว่าเขาไม่กล้าทิ้งเจ้าชายจึงได้ยืนเถียงลอเรไลฉอดๆ ส่วนครั้งนี้...

 

“ลืมของไว้หรือไงถึงได้กลับมาอีก”

 

เขาเลือกที่จะมานั่งบนโขดหินข้างลอเรไล ม้วนขากางเกงขึ้นมาถึงหน้าแข้งแล้วจุ่มเท้าลงน้ำ แกว่งไปมาเคียงข้างหางสีเขียววาวประกายของเธอ คืนนี้คลื่นลมค่อนข้างสงบ นั่นแปลว่าเขาจะไม่เปียกไปมากกว่านี้ ปูที่ลอเรไลปาออกไปถูกเก็บลงกระตร้าที่เตรียมมาด้วย ดูเหมือนเขาจะออกมาตามล่าหาวัตถุดิบพอดี

 

“หรือว่ามาเพื่อขู่ปิดปากข้าอีกรอบ?”

 

“สำคัญตัวมากไปแล้ว มาข้าดักรอพบเจ้าชายต่างหาก” ลอเรไลตอบครึ่งจริงครึ่งโกหก เธอแค่อยากหาที่เงียบๆ ที่จะไม่มีชาวท้องทะเลตนใดพบเธอ พร้อมกับหวังเล็กๆ ด้วยว่าอาจจะบังเอิญได้เห็นใบหน้าของเจ้าชายจากที่ไกลๆ เธอจะได้อารมณ์ดีขึ้นด้วย “แต่ดันมาเจอเจ้าแทนเสียได้”

 

ลอเรไลเบ้ปากพร้อมสะบัดครีบตีน้ำไปทีหนึ่ง

 

“ขอโทษด้วยแล้วกันที่ไม่หล่อเหลาเหมือนฝ่าบาทแคสเซียน” พ่อครัวฝึกหัดกัดฟันตอบอย่างไม่จริงใจ “ว่าแต่เจ้าชอบเจ้าชายจริงๆ เหรอ?”

 

“รักแรกพบเลยแหละ” ลอเรไลตอบอย่างซื่อตรงด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม “รูปงามออกปานนั้น แถมยังอ่อนโยนสุดๆ ไม่ได้ยินหรือตอนที่เจ้าบอกให้เอาเนื้อพวกข้าไปกินเพื่อความเป็นอมตะ เขายังบอกอยู่เลยว่าทำร้ายสุภาพสตรีไม่ลงหรอก”

 

“เจ้านี่ก็ย้ำประโยคนี้อยู่ได้ ข้าบอกแล้วไงว่ามันเป็นแค่ตำนานจากประเทศของข้าไม่ได้เชื่อกันจริงจังสักหน่อย” เขาเว้นช่วง หรี่ตาพิจารณาลอเรไลก่อนจะเบิกตากว้าง “หรือมันจริง? แท้จริงแล้วเจ้าเป็นยัยแก่อายุร้อยปีใช่ไหม?! ที่ทำตัวเองให้ดูเหมือนเด็กสาวแก่แดดแค่เพื่อล่อลวงเหยื่อเท่านั้น”

 

ลอเรไลกำลังคิดอยู่ว่าจะสั่งคลื่นมาซัดใส่อีกรอบหรือว่าหยิบปูขึ้นมาหนีบปากเสียๆ ของอีกฝ่ายดี

 

“เงือกอายุยืนกว่ามนุษย์แต่ไม่ได้เป็นอมตะสักหน่อย ถ้าจะมีเผ่าพันธุ์ใดที่ใกล้เคียงคำว่าอมตะน่าจะเป็นพวกพ่อมดแม่มดมากกว่า”

 

“พ่อมดมีจริงหรือ?” เขาดูตกใจเป็นอย่างมาก

 

“สิ่งมีชีวิตลึกลับที่ชาวบกเล่าลือกันมีตัวตนจริงๆ เกือบหมดแหละ เพียงแต่จะเข้าใจได้ถูกต้องมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น” ลอเรไลไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมาอธิบายถึงความลับของจักรวาลให้เจ้าพ่อครัวฝึกหัดคนนี้ฟังด้วย แต่ท่าทางเหรอหราของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอบันเทิงไม่น้อย แก้ขัดแทนใบหน้าของเจ้าชายแคสเซียนพอได้แหละมั้ง อีกอย่างพ่อครัวฝึกหัดรู้ไปแล้วจะทำอะไรได้ ไม่มีใครเชื่อเขาหรอก สิ่งมีชีวิตแบบเธอลึกลับและแปลกประหลาดเกินกว่าที่ชาวบกจะทำใจยอมรับได้ พวกเขาจึงได้ผลักไสให้พวกเธอเป็นแค่ตำนานเสมอมา

 

ว่าแต่ หมอนี่ชื่ออะไรนะ?

 

พอจะอ้าปากถาม อีกฝ่ายก็ดันถามคำถามใหม่ขึ้นมาเสียก่อน

 

“นางเงือกร้องไห้เป็นไข่มุกจริงไหม?”

 

“ไม่รู้สิข้าเองไม่เคยเห็นเงือกร้องไห้เหมือนกัน เผลอๆ ชาวท้องทะเลอาจจะไม่มีน้ำตาด้วยซ้ำ”

 

“อยู่ใต้น้ำเลยดูไม่ออกสินะ”

 

“ประมาณนั้นแหละ”

 

แล้วบทสนทนาก็เลื่อนไหลไปอีกเรื่อยๆ เรื่องบนดิน เรื่องใต้น้ำ ยันเรื่องบนฟ้าจนลอเรไลลืมถามชื่ออีกฝ่ายไปเลย

 

“เจ้าชายแคสเซียนเป็นอย่างไรบ้าง? เขาสบายดีใช่ไหม?” เงือกสาววักน้ำทะเลมาลูบหน้าและลำคอ แสงจันทร์ไม่แผดเผาเท่าแสงอาทิตย์ก็จริง แต่ก็ทำให้ผิวของเธอแห้งเอาเรื่อง

 

“สบายดีแหละ พักได้แค่วันเดียวรุ่งขึ้นก็กลับไปทำงานต่อเลย” พ่อครัวฝึกหัดหยิบปูอีกตัวใส่ลงตะกร้าพร้อมกับสาหร่ายอีกหนึ่งกำมือ

 

“แล้วเขาสงสัยไหมว่ารอดจากการจมน้ำมาได้อย่างไร”

 

“เพราะข้าช่วยไว้น่ะสิ!”

 

“แค่เจ้าเหรอ?”

 

“ใช่แล้วแค่ข้า!”

 

“แล้วเจ้าชายตอบแทนอะไรเจ้าบ้างละ”

 

“ทองคำหนึ่งหีบพร้อมกับเลื่อนตำแหน่งเป็นพ่อครัวหลวงแหละ” เขาดูภูมิใจกับรางวัลหลังมากกว่ารางวัลแรกเสียอีก เพราะเขาทั้งยืดอกและจับเสื้อส่วนที่ปักตราประหลาดๆ ที่ลอเรไลอ่านไม่ออกยื่นมาให้ดู เป็นทีของเงือกสาวที่ต้องหรี่ตาอย่างพิจารณาบ้างแล้ว

 

ดวงตาสีเขียวฟองคลื่นจ้องสบดวงตาสีถ่าน เป็นพ่อครัวหนุ่มที่เสหลบไปก่อนแล้วเริ่มเหงื่อซึมเพราะตระหนักได้ว่าพูดมากเกินไป

 

“นี่เจ้า...”

 

“....”

 

“อย่าบอกนะว่า...”

 

“....”

 

“เจ้าขโมยความดีความชอบในส่วนของข้าไปด้วยใช่ไหม!!” ลอเรไลดึงคอเสื้อเขาไว้แล้วเขย่าไปมาอย่างมีน้ำโห “เจ้ากล้าดียังไงถึงบังอาจโกหกเจ้าชายแคสเซียนของข้า แถมยังได้ดีอยู่คนเดียวอีกต่างหาก”

 

“โอ๊ยๆ เบาหน่อยเสื้อจะขาดแล้ว จะให้ทำยังไงเล่า เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าห้ามพูดเรื่องที่เจอเงือกน่ะ โอ๊ย ปล่อยได้แล้ว ข้าเวียนหัว”

 

ลอเรไลยอมปล่อยพ่อครัวหนุ่มที่บัดนี้ไม่ใช่พ่อครัวฝึกหัดเป็นอิสระก็จริง แต่ยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี

 

รู้แหละว่าอีกฝ่ายทำเรื่องที่ถูกต้องและรักษาสัญญากับเธอในการปกปิดความลับของชาวท้องทะเล แต่มันหงุดหงิดนี่! คนอ่อนแอปวกเปียกอย่างเธออุตส่าห์ว่ายน้ำจนหางเป็นเป็นตะคริวแท้ๆ แต่เจ้าชายแคสเซียนกลับชมหมอนี่อยู่คนเดียว ไม่ยุติธรรม!!

 

ลอเรไลตีหางพึบพับจนน้ำกระจายไปหลายทีกว่าอารมณ์จะเริ่มเย็นลง

 

“เอ้านี่”

 

พอดีกับที่พ่อครัวหนุ่มยื่นบางอย่างมาให้

 

“อะไร?”

 

“มนุษย์เรียกว่ายางมัดผม ตามชื่อแหละมันไว้รวบผมเข้าด้วยกันจะได้ไม่ยุ่งเหยิง ข้าเพิ่งซื้อมาใหม่วันนี้ด้วยทองที่เจ้าชายให้มา แต่เจ้าเอาไปเถอะถือว่าเป็นส่วนแบ่งรางวัลแล้วกันที่เหลือข้าจะเอามาให้วันหลัง”

 

ลอเรไลเพิ่งจะสังเกตว่าพ่อครัวหนุ่มดึงมันมาจากมวยผมของเขาเอง ตอนนี้ผมของเขาจึงทิ้งตัวยาวลงมาเกือบแตะบ่าเป็นภาพลักษณ์ที่แปลกตาไม่น้อย ยางมัดผมนี่ว่าเป็นเพียงวงเส้นสีดำเล็กๆ เท่านั้น ทว่ากลับยืดได้เยอะมากจนน่าตกใจ ตกแต่งด้วยหินสีเขียวรูปร่างกลมเกลี้ยงขนาดเท่าปลายก้อยหนึ่งก้อน หินก้อนนั้นต้องแสงจันทร์เป็นเป็นประกายคล้ายสีของครีบหางของเธอ

 

ลอเรไลยืดเจ้ายางมัดผมออกอีกครั้งและสวมลงที่ข้อมือซ้าย ยังไม่กล้าใช้รวบผมตามที่เขาว่า เธอต้องว่ายน้ำอีกไกลและกลัวว่าคลื่นจะทำให้มันหลุดหายไปเสียก่อน แต่พ่อครัวหนุ่มกลับเอ่ยชมขึ้นมา

 

“แบบนี้ก็เหมาะกับเจ้าดีนะ ใส่แทนกำไลไปเลยก็ได้ ข้าเองก็ทำแบบนี้บ่อยๆ เหมือนกันเวลากลัวยางหาย”

 

ลอเรไลพิจารณายางมัดผมบนข้อมืออีกครั้งก่อนจะหลุดยิ้มออกมา

 

“ข้าพอใจแล้ว เก็บทองของเจ้าไว้เถอะมันไม่มีประโยชน์ในโลกใต้ทะเล แต่ครั้งหน้าเจ้าต้องเล่าเรื่องของเจ้าชายแคสเซียนให้ข้าฟังมากกว่านี้นะ”

 

พ่อครัวหนุ่มไม่วายงุบงิบบ่นว่าเธอช่างแก่แดดอย่างไม่จริงจังนักอีกครั้งก่อนจะรับปากตกลง เขายืนขึ้น เก็บตะกร้าและตะเกียงเพื่อเตรียมตัวกลับในขณะที่ลอเรไลทิ้งตัวลงผืนน้ำพร้อมกับของขวัญชิ้นใหม่อันไม่คาดคิด

 

 

 

 

ลอเรไลอารมณ์ดีขึ้นมาจนเผลอฮัมเพลงออกมา

 

เสียงของเธอสะท้อนก้องไปตามระเบียงทางเดินของวังใต้สมุทร เล่นเอาเวรยามเงือกหลายตนถึงกับลืมตัว เงี่ยหูเอียงคอโน้มตัว จนเกือบเผลอว่ายน้ำตามเสียงไพเราะที่ได้ยินเลยทีเดียวก่อนจะสำนึกได้ว่ากำลังอยู่ในหน้าที่จึงกลับมาทำตัวขึงขังตามเดิม

 

ลอเรไลลูบหินสีเขียวที่ใช้ตกแต่งยางมัดผมไปมาอย่างเพลิดเพลิน ทว่าขณะที่กำลังจะเปิดประตูห้องนอนนั้น โทนี่กลับพุ่งมาดักหน้า หนวดทั้งแปดยืดออกสุดความยาว กางกั้นไม่ยอมให้เธอเข้าไปได้โดยง่าย ประตูงับปิดลงอีกครั้ง

 

“โทนี่? เป็นอะไรน่ะ ทำไมดูหลุกหลิกขนาดนี้”

 

ลอเรไลขยับซ้าย โทนี่ก็ขยับตาม ลอเรไลไปทางขวา โทนี่ก็ยังตามมา พอจะเปิดประตูห้อง โทนี่ก็ใช้สี่หนวดช่วยกันดึงปิดดังปังอีกครั้ง

 

“อะไรของเจ้าเนี่ย นอนละเมอจนหมึกเลอะที่นอนข้าอีกแล้วหรือไงถึงไม่อยากให้เข้าไปเห็น” ลอเรไลถามกลั้วเสียงหัวเราะ ทว่าโทนี่ยังคงส่ายหน้า หนวดขยับเล่าเรื่องจนแทบพันกันทว่ายังฟังไม่เข้าใจอยู่ดี ลอเรไลอาศัยจังหวะนั้นแทรกผ่านไปเปิดประตูห้อง “ถ้าไม่ใช่แล้วไปทำความผิดอะไรมาอีก”

 

“ข้าเองก็อยากจะถามเจ้าด้วยคำถามคล้ายกันนี่แหละ”

 

สุรเสียงที่ดังก้องทำเอาลอเรไลชะงัก ทั้งห้องยังคงมืดสนิทมีเพียงแสงจากทางเดินที่ส่องให้เห็นร่างกำยำของราชามาริอุสซึ่งอยู่กลางห้องของเธอ

 

“ไปทำเรื่องเหลวไหลอะไรมาอีกแล้วลอเรไล”

 

เส้นผมและหนวดเคราของราชาเงือกเป็นสีน้ำตาลดกหนา ทว่าข้างขมับทั้งสองด้านแซมด้วยเส้นริ้วสีขาวของผมหงอก เกล็ดของเหล่าเงือกจะมีสีเข้มขึ้นตามอายุ ดังนั้นหางสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำคือสิ่งที่บ่งบอกว่าอายุของราชาเงือกล่วงเลยมามากเพียงใดแล้ว

 

ดวงตาสีเขียวใสคล้ายของลอเรไลจ้องมองมาอย่างเย็นชาและกึ่งจะจับผิด

 

ซึ่งเธอชาชินเสียแล้ว

 

ที่ไม่ชินคือการที่อีกฝ่ายมาปรากฏอยู่กลางห้องของเธอนี่แหละ หรือว่าลอเรนซ์จะเอาไปฟ้อง ก็เป็นไปได้ พี่ชายคงเหลืออดและหมดปัญญาจะจัดการกับเธอแล้ว แต่มันก็ยังน่าแปลกอยู่ดีที่ราชามาริอุสจะมาจัดการกับเรื่องหยุมหยิมอย่างลูกสาวตนเล็กผู้ไม่เอาอ่าวด้วยตนเองเช่นนี้

 

“ก็แค่เที่ยวเล่น ตรงนั้นทีตรงนี้ทีไปเรื่อยตามประสา แต่เสด็จพ่อไม่ต้องกังวลหรอก ลูกไม่ได้ป่าวประกาศไปว่าเป็นใครตอนที่สร้างปัญหา ไม่มีใครกล้ากลับมาตำหนิการเลี้ยงดูของเสด็จพ่อได้แน่นอน” ลอเรไลวางมือลงบนไข่มุกก้อนโตเท่ากำปั้น มันเรืองแสงสีนวลส่งผลให้ห้องกว้างสว่างขึ้นมาทันที รวมทั้งทำให้ดูน่ากลัวน้อยลงด้วย โทนี่ลอยมาพัดรอบแขนของลอเรไลอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อราชามาริอุสตรัสถามอย่างกึ่งคาดคั้นว่า

 

“ข้าได้รับรายงานว่าเจ้าขึ้นไปยังผิวน้ำในช่วงที่เรือของเหล่าชาวบกแล่นผ่านเมื่อหลายวันก่อน”

 

ลอเรไลนิ่วหน้า เธอมั่วแต่ดีใจที่จะได้ขึ้นไปยังโลกเบื้องบนแต่ลืมนึกไปเลยว่าปกติไม่มีเงือกตนใดขึ้นไปกัน แม้จะมีกฎอนุญาตหรือแม้จะได้ขามาตอนยี่สิบ ทว่าชาวท้องทะเลก็ยังเลือกจะเก็บตัวเงียบและใช้ชีวิตอยู่เบื้องล่างมากกว่าจะขึ้นไปสัมผัสโลกของชาวบกอยู่ดี มีแค่หนึ่งในพันเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็นพอจะลองใช้ขา และหนึ่งในพันของจำนวนนั้นอีกทีที่ตัดสินใจเดินไปไกลมากกว่าชายหาด ทว่าที่น้อยนิดยิ่งกว่าจนเรียกได้ว่าไม่มีเลยมาตลอดหลายร้อยปีคือเงือกที่ตัดสินใจมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์

 

ดังนั้นการที่เจ้าหญิงเงือกตนหนึ่งตัดสินใจว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำ จึงเป็นอะไรที่สังเกตเห็นได้ง่ายมาก

 

“มีอะไรจะเล่าให้ฟังหรือไม่?” ราชามาริอุสยังไม่เลิกคาดคั้น

 

“ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด” ลอเรไลเชิดหน้ายืนยัน “เพราะถ้าทรงลืมลูกก็จะเตือนความจำให้ ลูกเพิ่งจะสิบแปดเมื่อไม่กี่วันก่อน วันเกิดครบสิบแปดที่ไม่มีใครจำได้แม้กระทั่งพ่อแท้ๆ ของลูกเอง! และกฎระบุไว้ชัดเจนว่าลูกสามารถขึ้นไปยังผิวน้ำเมื่อใดก็ได้!”

 

“อย่าได้คิดโป้ปดข้า!!” ราชามาริอุสตะโกนก้องด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว ลอเรไลผงะ โทนี่รัดแขนเธอแน่นขึ้น ตกใจจนเปลี่ยนสี “เจ้าช่วยมนุษย์ไว้จากการจมน้ำ ไม่ใช่เพียงหนึ่งแต่ถึงสอง ข้าปล่อยผ่านไม่ดึงพวกมันกลับมาลงก้นทะเลก็เมตตาเท่าไรแล้ว”

 

“พวกเขาหมดสติ! ไม่มีใครเห็นลูกทั้งนั้น” ที่ถูกคือคนหนึ่งหมดสติ ส่วนอีกคนสัญญาจะไม่พูด ซึ่งลอเรไลเห็นแล้วว่าพ่อครัวหนุ่มรักษาสัญญาเพียงใด

 

“เจ้าควรจะปล่อยให้พวกมันจมน้ำตายไปเสีย ไม่มีมนุษย์หน้าไหนคู่ควรให้เอาความลับของใต้สมุทรไปเสี่ยงด้วยทั้งนั้น” ราชาเงือกบีบนวดขมับอย่างเคร่งเครียด ลอเรไลถึงกับสั่นสะท้านในสิ่งที่ได้ยิน เธอรู้ว่าเสด็จพ่อเป็นผู้นำที่เข้มงวดแต่ไม่นึกว่าจะเหี้ยมโหดได้ถึงเพียงนี้ “แล้วดูเจ้าสิ! เจ้าอ่อนแอถึงเพียงนี้ยังคิดจะไปช่วยพวกมันอีก ดีเท่าไรแล้วที่พวกมันไม่ลากเจ้าขึ้นฝั่งแล้วสับเป็นชิ้นๆ”

 

“พวกเขาไม่มีวันทำแบบนั้น!” ลอเรไลแก้ตัว ไม่ใช่กับเหล่ามวลมนุษย์ เธอไม่รู้จักคนพวกนั้น เธอหมายถึงแค่เจ้าชายผู้อ่อนโยนและพ่อครัวหนุ่มซึ่งมอบของขวัญให้เธอเท่านั้น

 

“พวกมันทำได้ทุกอย่างนั้นแหละ! เหนือกว่าที่ใครจะคาดคิดทั้งนั้น ชาวบกทั้งกักขฬะและหยาบช้า พวกมันทำให้ท้องทะเลแปดเปื้อน กอบโกยและทำลายทุกอย่างที่ต้องสัมผัส ไม่รู้หรือไรว่าเมื่อก่อนพวกมันทำอะไรกับชาวท้องทะเลบ้าง!”

 

“ทำไมลูกจะไม่รู้เล่า” ลอเรไลกำยางมัดผมที่รอบข้อมือแน่นราวกับเสาะหาความกล้า “ในเมื่ออาจารย์ที่เสด็จพ่อหามาให้พร่ำสอนอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นว่าชาวบกน่าชิงชังเพียงใด”

 

เงือกเหล่านั้นพ่นออกมาแต่ถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง พยายามขัดเกลาให้เธอเดียจฉันท์มนุษย์ไปด้วย ซึ่งมันทำให้ลอเรไลอึดอัด พวกเขาไม่เคยพบมนุษย์เลยด้วยซ้ำแต่กลับเอาแต่พูดแบบเดียวกันซ้ำๆ ว่ามนุษย์นั้นเลวร้ายเพียงใด ว่ามนุษย์เคยฆ่าเงือกด้วยวิธีไหนบ้าง ลอเรไลอาจจะยังอายุน้อยและไม่เคยพบมนุษย์เช่นกัน แต่เธอรู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านั้นไม่ถูกต้อง ไม่มีอะไรดีหรือเลวไปเสียทั้งหมด เงือกยังมีตนที่ชั่วร้าย นั่นแปลว่าย่อมมีมนุษย์ที่ดีด้วยเช่นกัน

 

และการที่ลอเรไลกอบกุมของขวัญที่ได้รับมาแน่นอย่างหาที่ยึดเหนี่ยวพลอยเรียกสายตาของราชาเงือกไปด้วย

 

“นี่อะไร?” ราชามาริอุสกระชากแขนของลอเรไลมาดู

 

“ไม่! เดี๋ยว!”

 

และเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่รอบข้อมือ เขาก็เบิกตากว้าง รู้ได้ทันทีว่ามันมาจากโลกเหนือผิวน้ำ

 

“เจ้ากล้าเอาของโสโครกชิ้นนี้มาที่วังของข้าได้อย่างไร!”

 

“ลูกเก็บได้ มันไม่ผิดกฎไม่ใช่หรือ ไม่มีข้อไหนห้าม...”

 

“ข้าต่างหากคือกฎ!!” ราชาเงือกตวาดอีกครั้ง ดึงยางมัดผมอย่างแรงจนมันขาดออกจากข้อมือของลอเรไล “และเมื่อข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่!”

 

ราวกับว่ายังไม่สาแก่ใจ ราชามาริอุสกำมือแน่น บีบหินประดับสีเขียวเหมือนสีของครีบหางของเธอจนแตกละเอียด พร้อมกับขยับมือ บงการคลื่นให้หอบเศษซากทั้งหมดออกไปให้พ้นตา ไม่หลงเหลืออะไรที่บอกว่าเคยมีวัตถุจากโลกเหนือผิวน้ำอยู่อีกเลย

 

ลอเรไลรู้สึกหมดสิ้นแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น ได้แต่นิ่งอึ้งที่ของขวัญที่เพิ่งได้รับมาถูกทำลายไปแบบนั้น

 

“หลังจากนี้ห้ามเจ้าขึ้นไปยังผิวน้ำ และข้าจะส่งเงือกมาคอยคุมความประพฤติเพื่อไม่ให้เจ้าได้ทำตัวเหลวไหลอีก”

 

ทว่าในขณะที่ราชามาริอุสกำลังว่ายออกจากห้องของเธอไปนั้น ลอเรไลก็ได้กล่าวขึ้น

 

“อย่าคิดว่าแค่นี้จะหยุดลูกได้”

 

เป็นทีของราชาที่ต้องชะงักบ้าง

 

“เมื่อลูกอายุครบยี่สิบและได้ขามาเมื่อไร ลูกจะเดินขึ้นบกและไม่ให้ขาของลูกได้สัมผัสน้ำทะเลอีกเลย”

 

“คงยังไม่เคยมีใครบอกเจ้าสินะ” ราชามาริอุสว่ายกลับมา หยุดนิ่งอยู่ข้างลอเรไล ทว่าไม่ได้ย่อตัวลงมาพูดคุยหรือประคองเธอให้ลุกขึ้นแต่อย่างใด เพียงกล่าวด้วยสุรเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่ากระแสน้ำของแดนเหนือ “เหล่าเงือกได้ขามาเพราะผู้เป็นราชาอวยพรมอบให้ในวันพิธีเปลี่ยนผ่าน และในเมื่อขึ้นอยู่กับข้า ก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะได้ขึ้นไปยังโลกเบื้องบนอีก”

 

ประตูปิดลง เช่นเดียวกับความรู้สึกในใจลอเรไล

 

อยู่ๆ คำถามของพ่อครัวหนุ่มก็ดังขึ้นมาหัว

 

“นางเงือกร้องไห้เป็นไข่มุกจริงไหม?”

 

ถ้านางเงือกร้องไห้เป็นไข่มุกได้เช่นตำนานว่าก็คงดี เพราะลอเรไลเองก็อยากรู้เหลือเกินว่าเธอร้องไห้ไปมากขนาดไหนแล้ว

 

 

 

 

ลอเรไลกลายเป็นนักโทษโดยสมบูรณ์

 

เวรยามเฝ้าหน้าห้อง มีพี่เลี้ยงคอยจับตาดูเวลาเธอเรียน ยามกลางคืนห้องนอนถูกล็อคจากด้านนอก หน้าต่างมีซี่กรงเป็นหินปะการังที่ยื่นงอกออกมา

 

โทนี่พยายามปลอบใจเธออยู่เรื่อยๆ ด้วยการเปลี่ยนสีเป็นลวดลายตลกๆ แต่ว่าไม่ได้ผล ไม่สิ ไม่จำเป็นมากกว่า

 

เพราะลอเรไลจะหนีออกจากวังวันนี้แล้ว!

 

การทำลายของขวัญและถ้อยข่มขู่ของราชามาริอุสไม่ได้ทำให้ลอเรไลท้อถอยแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขาจุดไฟในตัวเธอขึ้นมา (ถ้าใต้ทะเลติดไฟได้ละนะ) ลอเรไลต้องการขึ้นไปใช้ชีวิตบนบกยิ่งกว่าที่เคยเสียอีก

 

 

และในเมื่อราชาเงือกไม่ยอมมอบขาให้ เธอก็จะไปหาเอาจากแม่มด!

 

 

ลอเรไลแสร้งทำตัวเป็นเด็กดีว่าง่ายในยามกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนก็ใช้เปลือกหอยตะไบซี่กรงของหน้าต่างในห้องนอนไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย และเมื่อถึงวันที่เจ็ด ความพยายามของเธอก็สัมฤทธิ์ผล

 

กึก!

 

ซี่กรงหลุดออก เป็นช่องเล็กแคบแต่น่าจะพอให้เงือกตัวเล็กๆ เช่นเธอลอดผ่านได้ โทนี่พยายามห้ามอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นความดื้อดึงของเธอกับความเข้มงวดที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของราชามาริอุส เจ้าหมึกน้อยก็เปลี่ยนใจมาช่วยเธอแทน ลอเรไลแทรกตัวผ่านช่องหน้าต่างโดยมีโทนี่ช่วยดัน ตัวผ่านมาได้แล้ว ทว่าหางของเธอติด พอดึงดันมากเข้า ซี่กรงส่วนที่ยังแหลมคมจึงบาดปลายหางอย่างช่วยไม่ได้

 

“โอ๊ย” เงือกสาวกัดปาก กลั้นเสียงร้อง หยดเลือดละลายหายไปกับน้ำอย่างรวดเร็ว โทนี่ว่ายมาพันรอบหางส่วนที่มีแผลเพื่อห้ามเลือดให้ “ข้าไม่เป็นไร รีบไปกันเถอะ”

 

เพราะว่าเขตแดนของแม่มดต้องว่ายไปอีกไกลนัก