1 ตอน Lady with a Tail
โดย FoxxTrot
Chapter 1 : A Lady With A Tail
นี่เป็นครั้งแรกที่ ‘ลอเรไล’ ได้ขึ้นมาเหนือผิวน้ำและเธอก็ตื่นเต้นมากๆ
ดวงตาสีเขียวใสดังฟองคลื่นจ้องมองไปยังอาทิตย์อัสดงซึ่งนอกจากจะอาบย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีส้มแดงแล้วยังพลอยทำให้เส้นผมสีทองที่ยาวจรดเอวของเธอดูเข้มขึ้นอีกหลายเฉดด้วยกัน หางปลาสีเขียวเหลือบน้ำเงินวาวประกายปัดป่ายไปมาอย่างตื่นเต้น เมื่อเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุสิบแปดปีของเธอ และตามกฎของชาวเงือก ลอเรไลสามารถขึ้นมาเหนือผิวน้ำได้ทุกเมื่อ ข้อควรระวังมีแค่อย่าขึ้นมานานเกินไปจนถูกแดดเผา ระวังอย่าถูกนกนางนวลจิกและอย่าให้มนุษย์จับได้เท่านั้น
มันเป็นกฎที่แปลกดี ห้ามติดต่อพูดคุยกับมนุษย์ ไม่รู้ราชามาริอุสหรืออีกนัยหนึ่งพ่อของลอเรไลจะออกกฎเช่นนี้ไปทำไม ทั้งที่ทันทีที่อายุครบยี่สิบปีเหล่าเงือกทุกตนก็สามารถขึ้นมาเดินบนบกพร้อมขาแบบมนุษย์ได้แล้วแท้ๆ
เคยมีเงือกเล่าให้ลอเรไลฟังว่าแต่ก่อนชาวท้องทะเลไม่ได้มีความสามารถเช่นนี้ แต่เมื่อเผ่าพันธุ์ที่ชื่อไลแคนได้ตัดสินใจรับมือกับการรุกรานของมนุษย์ด้วยการอยู่อาศัยอย่างกลมกลืน เผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็เริ่มที่จะเลียนแบบบ้าง ลอเรไลไม่รู้รายละเอียด ที่จริงแล้วควรต้องพูดว่าไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำว่าเผ่าเงือกใช้วิธีใดจึงได้ขาแบบมนุษย์มาครอบครอง
แต่เพราะลอเรไลเพิ่งจะสิบแปด เธอยังไม่มีขา เธอทำได้แค่ลอยคออยู่บนผิวน้ำ เฝ้ามองพระอาทิตย์เคลื่อนลับหายไปโดยมีนกนางนวลบินวนเป็นเพื่อน เธอทำได้แค่นี้
เมื่อไหร่จะยี่สิบสักทีนะ จะได้ไปลองเรียนรู้วิถีแบบมนุษย์ดูบ้าง
วี้ด~
ตูม!!
เสียงแหลมสูงดังขึ้นทันทีที่ตะวันลับฟ้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังสนั่น ท้องฟ้าเปล่งแสงวาบ เป็นสีเขียวและแดงแบบที่ลอเรไลไม่เคยเห็นมาก่อน
อะไรน่ะ?!
ลอเรไลจ้องตาไม่กะพริบ เอื้อมมือลงไปใต้น้ำ หยิบสิ่งที่เกาะหนึบอยู่ตรงปลายหางของเธอให้ขึ้นมาช่วยกันดู
“โทนี่ดูนั่นสิ!! ท้องฟ้าระเบิดเป็นสีได้ด้วย มนุษย์นี่โชคดีจังได้ดูของแบบนี้ทุกวันเลย”
‘โทนี่หรือแอนโธนี’ คือปลาหมึกยักษ์ที่ดันไม่ยักษ์สมชื่อเผ่าพันธุ์ มันมีขนาดแค่สองฝ่ามือเล็กๆ ของลอเรไลเท่านั้น ซ้ำยังจู้จี้ขี้บ่นและขี้กังวลไปเสียทุกเรื่อง สี่หนวดเลื้อยเกาะข้อมือของเงือกสาวเสียแน่น ในณะที่อีกสี่หนวดปัดป่ายไปมาในอากาศ ชี้ไปยังสีเขียวแดงบนท้องฟ้าสลับกับชี้ลงน้ำ
“เรียกว่าดอกไม้ไฟ? มนุษย์สร้างขึ้นมา?! ไม่ได้มีทุกวันแค่นานๆ ครั้งในโอกาสพิเศษ?! ว้าว แต่มันก็ยังสุดยอดอยู่ดีแหละ”
อีกสิ่งที่โทนี่มีมากมายไม่แพ้ความขี้บ่นคือความรอบรู้ สมมติให้ลอเรไลถามโทนี่เกี่ยวกับอะไรก็ได้สิบอย่าง โทนี่จะสามารถตอบได้ถึงเก้า ไม่ว่าจะพิลึกพิลั่น พิสดาร หรือนอกเหนือความรอบรู้ของชาวท้องทะเลขนาดไหนก็ตาม
“ว่าแต่โอกาสพิเศษที่ว่านี่คืออะไรกัน?"
โทนี่ยกหนวดสองข้างหนึ่งด้วยท่าทางประหนึ่งกำลังยักไหล่แทนคำตอบว่านี่คือคำถามข้อที่สิบสำหรับมัน
“งั้นไปดูใกล้ๆ กัน”
ไม่รอให้เจ้าหมึกน้อยได้คัดค้าน ลอเรไลก็สะบัดครีบมุ่งตรงไปทางเรือเดินสมุทรที่เส้นขอบฟ้าทันที
แว่วเสียงดนตรีรื่นเริงลอยมาจากเรือเดินสมุทร
เช่นเดียวกับเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ลอเรไลแหงนจนคอตั้งบ่าแต่ก็เห็นเพียงแผ่นไม้ที่สูงขึ้นไปและเงาวูบไหวของชาวบกเท่านั้น โทนี่เกาะหนึบอยู่ที่ต้นแขน ประท้วงเป็นระยะๆ ว่าใกล้เกินไปแล้วทว่าลอเรไลไม่คิดเช่นนั้น เธอยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นเนื่องในโอกาสอะไร
เงือกสาวรอจังหวะที่คลื่นตีสูงและเรือเอียงต่ำ ดีดตัวขึ้นจากน้ำไปเกาะขอบเรือไว้ ขาหลายคู่เดินผ่านเธอไปทว่าไม่มีใครสังเกตเห็น อาจเพราะมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ตรงนี้พอดี
มนุษย์ที่สวมผ้าขาวผืนยาวทับเสื้อผ้าอีกทีลำเอียงเอาอาหารหน้าตาแปลกประหลาดที่เธอไม่รู้จักมาวางบนโต๊ะตัวนี้
โทนี่บอกว่าพวกนี้เรียกว่าพ่อครัว เป็นมนุษย์ที่มีหน้าที่ทำอาหารให้คนอื่นกิน แต่ถึงจะยอมอธิบายอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง เจ้าคู่หูขี้บ่นก็ยังพยายามลากลอเรไลกลับลงน้ำอยู่เนืองๆ
พ่อครัวมีกันทั้งหมดห้าคน หนึ่งในนั้นมีรูปลักษณ์แปลกไปชัดเจนจนลอเรไลอดไม่ได้ที่จะมองตาม
ในขณะที่มนุษย์คนอื่นมีสีผิวออกแทนไม่ก็ขาว มนุษย์ชายคนนี้กลับมีผิวสีออกเหลือง นอกจากจะอายุน้อยกว่าคนอื่นอย่างชัดเจนเขายังมีรูปหน้าเรียวและดวงตาชั้นเดียวสีถ่านที่ดูไม่เหมือนใคร ผมสีดำยาวมัดรวบครึ่งศีรษะเป็นจุกเล็กๆ ในขณะที่ครึ่งล่างตัดสั้นเสียจนเห็นหนังศีรษะ
แม้จะมีส่วนสูงพอๆ กับกะลาสีคนอื่นๆ ทว่าด้วยรูปร่างที่เพรียวกว่าเขาจึงดูเหมือนตัวเล็กกว่าไปโดยปริยาย เขาวิ่งไปนู้นนี่ตลอดตามแต่พ่อครัวที่คนอื่นจะชี้นิ้วสั่ง
ลอเรไลได้ยินคนอื่นเรียกเขาว่า ‘เจ้าเด็กฝึกงาน’
โทนี่อธิบายให้ฟังอีกทีว่าเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ยังไม่ได้มีอาชีพนั้น แต่มาทำงานเพื่อเรียนรู้และเตรียมตัวจะเป็นเฉยๆ ลอเรไลพยักหน้าร้องอ๋อออกมาสั้นๆ แปลได้อีกความหมายว่าชายคนนี้คือพ่อครัวฝึกหัดนั่นเอง
เงือกสาวมองตามพ่อครัวฝึกหัดผู้มีสีผิวและรูปร่างแปลกตาอยู่นานสองนานเลยทีเดียวจนกระทั่งเสียงฮือฮาและเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังขึ้น พร้อมกับการที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากใต้ท้องเรือ
เรือนกายสูงใหญ่ทว่าไม่ถึงกับกำยำอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีตและมีเหรียญตรามากมายกลัดอยู่เต็มอก ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลทองชวนให้นึกช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์จะพ้นเส้นขอบฟ้าในยามย่ำรุ่ง ดวงตาสีฟ้าใสกระจ่างเหมือนผลึกแก้วล้อมกรอบด้วยเส้นขนตางอนยาวสีอ่อนยิ่งทำให้ยากจะละสายตาได้ ยิ่งตอนที่ริมฝีปากหนาสีสดหยักยิ้มอย่างอารมณ์ดี ลอเรไลก็เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเงือกสาวเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอรู้สึกเหมือนกำลังร่วงหล่น เหมือนตอนที่ทิ้งตนเองลงในหุบเหวใต้เขตทะเลลึกโดยไม่ยอมสะบัดครีบแข่งกับพวกพี่ๆ
“ใครน่ะ” ลอเรไลครางถามโดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากบุรุษตรงหน้าได้
คำตอบตามมาอย่างรวดเร็วทว่าไม่ใช่จากโทนี่ แต่เป็นชายวัยกลางคนที่ก้าวเข้ามาพร้อมกล่องของขวัญและคำอวยพร
“ขอให้เกษมสำราญทุกโมงยามพระเจ้าค่ะ ‘เจ้าชายแคสเซียน’” เขาค้อมกายลงต่ำเช่นเดียวกับกะลาสี เหล่าพ่อครัวรวมไปถึงพ่อครัวฝึกหัดผิวเหลืองคนนั้นด้วย เจ้าชายหนุ่มเพียงยิ้มนิดๆ พร้อมกล่าวว่าไม่ต้องมากพิธีไป หลังจากนั้นดนตรีก็บรรเลงขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนเริ่มดื่มกินและพูดคุยอย่างสนุกสนาน
ทีนี้ลอเรไลก็ได้รู้แล้วว่าบุรุษรูปงามคนนี้ชื่อแคสเซียนซ้ำยังเป็นเจ้าชายอีกด้วย และแม้จะมีวรรณะสูงกว่ามาก ทว่าเจ้าชายแคสเซียนกลับไม่ถือตัวเลยสักนิด เขาพูดคุย ดื่มกินและหัวเราะไปกับเหล่าข้าราชบริพารอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายว่าคุ้นชินกับการทำเช่นนี้เป็นอย่างดี
โทนี่นิ่งไปนิดหนึ่งราวครุ่นคิดก่อนจะอธิบายให้ฟังว่าชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีฟ้าคนนี้น่าจะเป็นรัชทายาทของอาณาจักรลัวร์ลอง ดินแดนเล็กๆ ติดทะเลซึ่งไม่ไกลจากนี้มากนัก แปลว่าพลุที่ถูกจุดขึ้นก่อนหน้านี้ก็คงเพื่อเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของเจ้าชาย
หลังจากนั้นโทนี่ก็บ่นพึมพำอะไรไม่รู้อีกสองสามอย่างเกี่ยวเรื่องสภาพอากาศกับความเสี่ยงของการล่องทะเลในฤดูนี้ ทว่าลอเรไลไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไร เธอมั่วแต่มองตามรอยยิ้มอันเจิดจ้าของเจ้าชายหนุ่มและเคลื่อนตัวเกาะขอบเรือตามเขาไปอย่างไม่ลดละ เขาตัวสูงกว่าคนอื่นค่อนข้างมาก เมื่อรวมเข้ากับเสื้อผ้าอันประณีตหรูหราแล้วจึงโดดเด่นขึ้นมาเสมอไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตาม
ลอเรไลยอมรับเลยว่าการเฝ้ามองเจ้าชายแคสเซียนเป็นอะไรที่เพลิดเพลินเอามากๆ
ไม่แปลกอะไรไม่ใช่หรือ เธอเป็นเงือกสาววัยแรกรุ่น การสนใจเพศตรงข้ามย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้เพศตรงข้ามที่ว่าจะต่างเผ่าพันธุ์ไปสักหน่อยก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าเธอจะยอมกรีดหางให้กลายเป็นขาแล้วตะกายขึ้นหาดเพื่อให้ได้ครองคู่กับเขาเสียหน่อย…
“กระหม่อมว่าวันนี้เราอาจได้เจอนางเงือกก็ได้นะพระเจ้าค่ะ!!”
กะลาสีที่เริ่มเมานิดๆ คนหนึ่งโหวกเหวกขึ้นอย่างบังอาจโดยที่เพื่อนๆ ปรามไม่ทัน ทว่าเจ้าชายหนุ่มดูจะไม่ได้ถือสาเท่าไร เขาถามกลับอย่างชวนคุย
“ทำไมคิดเช่นนั้นละกัปตันแลง?”
“เพื่อนนักเดินเรือของกระหม่อมชอบพูดกันในวงเหล้าว่าในวันที่คลื่นลมนิ่งเรียบและมีหมอกจางๆ แบบนี้นางเงือกจะโผล่ขึ้นมาร้องเพลงเพื่อสะกดจิตกะลาสีไปครองคู่ด้วยก่อนจะกินเนื้อชายคนนั้น”
อี๋ ไม่มีทางอ่ะ
ลอเรไลเบ้หน้า ให้กินเนื้อฉลามเหม็นๆ ยังดีเสียกว่าอิตากัปตันพุงพลุ้ยตัวหึ่งเหล้าร้อยเท่า
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหนุ่มรูปงามอย่างพระองค์มาด้วยแบบนี้ ระวังไว้เถิดพระเจ้าค่ะ!!”
แต่ถ้าเป็นเจ้าชายก็น่าสนอยู่ ถึงแม้ว่าชาวท้องทะเลไม่ได้มีรสนิยมเปิบพิศดารอย่างที่ชาวบกเข้าใจกันไปเองก็เถอะ
“เราได้ยินมาว่านางเงือกร้องไห้เป็นไข่มุก จริงหรือเปล่า” เจ้าชายถามพลางรับแก้วเครื่องดื่มมาจากชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางน่าจะเป็นข้าหลวงคนสนิท
ไม่จริงสักหน่อย ขืนเป็นแบบนั้นพวกหอยมุกก็ตกงานพอดี
“จริงพระเจ้าค่ะ” กะลาสีอีกคนตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ ทำเอาลอเรไลชักหงุดหงิด “กระหม่อมเคยเห็นมาก่อน นางนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนโขดหินใกล้ปากอ่าวมอร์เรีย ข้างตัวมีแต่ไข่มุกแวววาวเกลื่อนกระจายเต็มไปหมด”
“หืม? เจ้าเคยเห็นนางเงือกมาก่อนด้วยหรือ”
“เคยพระเจ้าค่ะ แค่เสียงร้องไห้ของนางยังเพราะขนาด กระหม่อมถึงกับลืมตัว โดดจากเรือว่ายน้ำไปปลอบใจนางเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะพวกลูกเรือเหวี่ยงแหมารั้งไว้เสียก่อนคงได้เมียเป็นเงือกไปแล้ว”
“อย่ามาโม้น่าตาเฒ่า เจ้าเมาตกเรือจนพวกเราต้องใช้แหช่วยลากขึ้นมาต่างหาก”
กะลาสีอีกคนตะโกนแย้งมาจากข้างหลังทำเอาทุกคนฮาครืน ลอเรไลถึงกับต้องกลั้นขำเช่นกัน ที่จริงเธอไม่น่าใส่ใจกับความเพ้อเจ้ออันเกิดจากความไม่รู้ของชาวบกเลยจริงๆ
“แล้วเจ้าล่ะ ‘เก็น’ ” อยู่ๆ เจ้าชายแคสเซียนก็หันไปทางพ่อครัวฝึกหัดที่กำลังเอาชามกุ้งมาวางเสิร์ฟ “เจ้ามาจากต่างแดน ทางตะวันออกมีความเชื่อเกี่ยวกับเงือกบ้างหรือไม่
“มะ...มีพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อครัวฝึกหัดนามเก็นตอบแบบเกร็งๆ เหมือนกำลังตกใจที่อยู่ๆ ก็ถูกคนสูงศักดิ์กว่าชวนคุยด้วย สำเนียงของเขาแปร่งปร่า แต่ละคำออกเสียงสั้นกว่าที่ควรทว่าก็ไม่ถึงกับฟังยาก มันแค่แปลกเหมือนรูปลักษณ์และชื่อของเขา
เช่นเคยลอเรไลเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เธออยากรู้ว่าชาวบกคิดเห็นกับชาวท้องทะเลอย่างไร
"ชาวนิฮงเชื่อว่าเนื้อนางเงือกเป็นยาอายุวัฒนะ จึงต้องการล่าเอามากินพ่ะย่ะค่ะ"
ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!!!
ลอเรไลกรีดร้องอยู่ในใจ ในขณะที่เหล่ากะลาสีร้องโหอย่าทึ่งๆ ปนไปกับความสนอกสนใจ
“คงไม่ใช่ว่าต้องกินดิบๆ เหมือนเมนูปลาหมึกเมื่อวันก่อนที่เจ้าเอามาขึ้นโต๊ะให้เราหรอกนะ มันยังขยับยุกยิกได้อยู่เลย” เจ้าชายแคสเซียนถามกลั้วเสียงหัวเราะ ทว่ากลับทำเอาลอเรไลและโทนี่ตัวสั่นเทิ้ม
เธอพอรู้มาบ้างเหมือนกันว่าชาวบกสามารถกินได้แทบทุกอย่าง แต่ไม่นึกเลยว่าจะกินไม่เลือกกระทั่งสัตว์เลี้ยงเช่นนี้ ซ้ำยังเอาไปทรมานก่อนด้วยการแลเนื้อทั้งที่ยังมีชีวิตอีกด้วย
โหดร้ายเกินไปแล้ว!!
โดยเฉพาะอิตาพ่อครัวฝึกหัดพูดไม่ชัดคนนั้นน่ะ!!
ป่าเถื่อนที่สุด!!
“ไม่ทราบเหมือนกันพระเจ้าค่ะ กระหม่อมไม่เคยทานเนื้อเงือกมาก่อน” เก็นยังคงตอบด้วยท่าทีประหม่าเหมือนเคย “แต่ถ้าถามกระหม่อม หากเนื้อเงือกเป็นเหมือนพวกปลาน้ำลึก ทานสดๆ เนื้อจะหวานอร่อยมากที่สุด ไม่ก็ต้องเผาไฟเพียงผิวหน้าบางๆ พระเจ้าค่ะ”
เธอเกลียดหมอนี่!!!
นอกจากจะทรมานเพื่อนรวมเผ่าพันธุ์ของโทนี่แล้วยังมายืนบังเจ้าชายแคสเซียนของเธอทำให้มองไม่เห็นรอยยิ้มของเขาอีก!!
ทว่าในขณะที่ลอเรไลกำลังกัดฟันกรอดนึกแช่งให้พ่อครัวฝึกหัดผู้มาจากต่างแดนถูกปลาแฮคฟิชกัดนิ้วขาด…
“ไม่ต้องทำท่าเครียดขนาดนั้นก็ได้เก็น เราแค่ถามไปอย่างนั้นเอง เพราะถึงต่อให้มีคนเอาเนื้อเงือกที่ทำให้เป็นอมตะได้จริงๆ มาให้เราก็คงกินไม่ลงอยู่ดี” เจ้าชายแคสเซียนไหวไหล่พลางเดินมาพิงขอบเรือ “ถึงครึ่งล่างจะเป็นปลาแต่ยังไงครึ่งบนก็เป็นมนุษย์ ใครจะไปกล้าทำร้ายสุภาพสตรีได้ลงคอกัน”
วาจาหยาบโลนหรือถ้อยแห่งความกลัวที่ชาวบกมีต่อชาวท้องทะเลไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ ทว่าทัศนคติเช่นนี้ ความสุภาพอ่อนโยนที่มองว่าเงือกและมนุษย์ต่างทัดเทียมกันของเจ้าชายแคสเซียนทำเอาลอเรไลถึงกับนิ่งไปอย่างคาดไม่ถึง
หัวใจของเธอเต้นระรัวขึ้นอีกครั้ง สั่นไหวราวระลอกคลื่นที่ไม่อาจหยุดยั้ง ขยายกว้างและเออล้น จนเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง มันก็ทำให้ลอเรไลอาจหาญพอเอ่ยประโยคนั้นออกมา
“โทนี่...ข้าว่าข้าตกหลุมรักเจ้าชายเข้าแล้วแหละ”
นาทีนี้เธอแน่ใจแล้วว่าจะยอมกรีดหางให้กลายเป็นขาแล้วตะกายขึ้นบกเพื่อไปครองคู่กับเขาให้ได้!!!
Comments (0)