Chapter 2 : Life Saver


 

พายุก่อตัวขึ้นพอดีตอนที่ลอเรไลรู้ตัวว่าตกหลุมรักเจ้าชายแคสเซียน

 

เธอได้ยินเสียงฟ้าร้อง คำรามลั่นมาจากดินแดนที่ไกลออกไป เมฆทะมึนก่อตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะกลั้นเป็นฝนเม็ดโต ลมพัดแรงจนคลื่นปั่นป่วน ชนกระแทกเรือให้เอียงกระเท่เร่

 

ลอเรไลจำต้องปล่อยมือ โทนี่ยังคงเกาะหนึบอยู่ตรงต้นแขน เมื่อได้สัมผัสน้ำทะเลอีกครั้งมันก็ทำท่าปาดเหงื่อเลียนแบบมนุษย์ด้วยความโล่งอก แต่ก็ได้แค่ไม่นานเท่านั้น เพราะอยู่ๆ ลอเรไลก็สะบัดครีบ ว่ายกลับขึ้นไปเหนือผิวน้ำอีกแล้ว

 

“ข้าต้องดูให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัย”

 

เขาที่ว่าก็คงไม่พ้นเจ้าชายรูปงามคนนั้น

 

และถ้าปลาหมึกร้องกรี้ดได้โทนี่คงทำไปแล้วที่เงือกน้อยของเขาดื้อดึงได้ขนาดนี้

 

ลอรไลถูกคลื่นซัดม้วนกลับลงมาใต้น้ำอยู่สองสามครั้งกว่าจะตั้งตัวได้ เรือโคลงเคลงอย่างน่าหวาดเสียวว่าอาจจะพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ พายุต้นฤดูร้อนยังคงคลุ้มคลั่งเหมือนเคย และเมื่อว่ายเข้าไปใกล้มากพอ เธอก็ได้ยินเสียงกัปตันแลงโหวกเหวกสั่งให้เหล่ากะลาสีหุบใบเรือให้เสร็จในขณะที่งัดข้อแข่งกับพังงาเพื่อหัวเรือหันเข้าหาคลื่น

 

และนั่น เธอเห็นเจ้าชายแคสเซียนแล้ว เขาอยู่ที่กราบเรือ กำลังช่วยลูกเรือมัดเชือกกับเสากระโดงอย่างแข็งขัน เสื้อตัวนอกที่ประดับเหรียญตราอย่างเป็นทางการถูกถอดโยนไว้ที่ไหนสักแห่ง ส่วนเสื้อสีขาวตัวในเปียกน้ำทะเลอย่างไร้ประโยชน์ ผมสีทองลู่แนบใบหน้า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังดูองอาจและสง่างามมากเหลือเกินในสายตาของลอเรไล

 

และเธอคงลอยคอชื่นชมความหล่อเหลาของเจ้าชายไปเรื่อยๆ โดยไม่สนต่อฟ้าฝน หากไม่ใช่เพราะคลื่นลูกใหญ่ได้ซัดเขาและลูกเรือคนหนึ่งตกเรือไปต่อหน้าต่อตาเธอ

 

“เจ้าชายตกเรือ! มีคนตกเรือ!”

 

กะลาสีที่อยู่ด้วยกันตะโกนแข่งกับเสียงหวีดหวิวของสายลม และมีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะได้ยินซึ่งหนึ่งในนั้นคือลอเรไล

 

เงือกสาวดำกลับลงไปในน้ำทันที และพูดได้เลยว่าเธอลำเอียง เพราะคนแรกที่เธอเลือกจะช่วยคือเจ้าชายในฝันอยู่แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้นลอเรไลก็สามารถคว้าแขนเจ้าชายแคสเซียนผู้หมดสติได้สำเร็จ ทว่าการพาเขากลับขึ้นสู่ผิวน้ำกลับเป็นอะไรที่ยากกว่าที่คิด 

 

แต่แม้จะเป็นแค่เงือกสาวตัวเล็กๆ ก็ไม่ควรจะเป็นสาเหตุที่เธอสะบัดครีบไม่ไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ มีบางอย่างรั้งเธอไว้ อะไรกัน เชือกเหรอ? เศษเรือ? ขยะทะเล?

 

ลอเรไลก้มมองและ....

 

“!!!!!!”

 

ถ้านางเงือกร้องกรี๊ดใต้น้ำได้เธอคงทำไปแล้ว เพราะสิ่งที่เกาะหางเธออย่างแน่นหนึบจนสะบัดครีบไม่ไปน่าจะเรียกได้ว่าเป็นปีศาจใต้ทะเลชนิดหนึ่ง สาหร่ายเขียวอื้อแผ่นโตปกคลุมทั่วไปหมดจนเห็นเพียงดวงตาเรืองแสงและแขนที่โผล่พ้นออกมาเท่านั้น

 

ลอเรไลสะบัดครีบพึ่บพั่บจนฟาดหน้าเจ้าปีศาจไปหลายที ผลคือนอกจากจะทำให้มันปล่อยหางเธอแล้ว ยังทำให้สาหร่ายที่แปะอยู่ตามตัวหลุดออกไปด้วย สิ่งที่ปรากฏข้างใต้นั้นคือผิวเนื้อสีขาวเหลือง ผมสีดำที่รวบครึ่งศีรษะและดวงตาสีดำเรียวรี

 

เจ้าพ่อครัวฝึกหัดป่าเถื่อนคนนั้น!!

 

อีกฝ่ายเบิกตาโพล่ง นิ่งอึ้งไปกับเกล็ดและครีบของเธอ ลอเรไลก็อึ้งเช่นกันเพราะเธอเพิ่งจะละเมิดกฎข้อใหญ่แห่งท้องทะเลที่ว่า ห้ามมิให้มนุษย์ผู้ใดพบเห็น ไปอย่างจัง ถ้ามีเงือกตนใดรู้เข้าเธอได้ถูกขับไล่ไปยังร่องลึกมาเรียนาที่มีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่เป็นแน่

 

ในชั่วขณะที่คิดว่าจะเอาหางฟาดให้พ่อครัวฝึกหัดสลบไปเลยดีไหมทุกคนจะได้คิดว่าเขาสำลักน้ำทะเลมากไปจนละเมอเห็นเงือก ฟองอากาศเฮือกสุดท้ายก็หลุดลอยออกมาจากปากของเจ้าชายแคสเซียนพอดี

 

“!!!!!!”

 

“!!!!!!”

 

เงือกสาวและพ่อครัวหนุ่มเหมือนจะกรีดร้องออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะคว้าแขนเจ้าชายหนุ่มคนละข้างช่วยกันว่ายพาคนสูงศักดิ์ขึ้นสู่ผิวน้ำ

 

 

 


 

ลอเรไลพาเจ้าชายแคสเซียนมาขึ้นฝั่งได้สำเร็จ

 

เงือกสาวเหนื่อยมากจนต้องนอนแผ่หลาอยู่บนหาด ลำตัวท่อนบนแนบทรายในขณะที่ท่อนล่างยังแช่อยู่ในน้ำทะเลซึ่งคลื่นซัดมาเป็นระยะ ครีบหางเหมือนจะเป็นตะคริวไปแล้วเพราะใช้งานมากไป แต่เมื่อหันไปและพบเจ้าชายหนุ่มรูปงามอยู่เคียงข้าง ก็พลันรู้สึกว่าที่เหนื่อยยากช่างคุ้มค่าแล้ว

 

ภายใต้แสงตะวันเช่นนี้เจ้าชายแคสเซียนดูจะรูปงามขึ้นอีกหลายเท่า ลอเรไลตะแคงไปมองโดยใช้แขนยันศีรษะไว้ อีกมือเกลี่ยเส้นผมสีทองดังแสงอรุณรุ่งที่ปรกหน้าออก 

 

และเงือกสาวคงจะใช้เวลาละเลียดชื่นชมเครื่องหน้าอันสมบูรณ์แบบของเจ้าชายต่อไปเรื่อยๆ แล้วถ้าไม่ใช่เพราะ

 

“ฝ่าบาท!! ฟื้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ!!”

 

เจ้าพ่อครัวฝึกหัดที่ลอเรไลลืมชื่อไปแล้วรี่ตรงเข้ามา พยายามจะปลุกเจ้าชายให้ตื่นขึ้นมาด้วยการตบหน้าซ้ำๆ ร่างสูงสำลักน้ำทะเลออกมาทีหนึ่งบ่งบอกให้รู้ว่ายังไม่ตายแต่ก็ไม่ยอมลืมตาอยู่ดี

 

“เจ้าน่ะพอสักทีเถอะ! เดี๋ยวใบหน้าของเจ้าชายแคสเซียนก็เป็นแผลหรอก!” ลอเรไลตะโกนอย่างทนไม่ไหวเมื่อพ่อครัวหนุ่มทำท่าจะเพิ่มแรงตบมากขึ้น

 

“เหวอ! ปีศาจทะเลยังไม่ไปอีก” อีกฝ่ายร้องลั่น ลากร่างของเจ้าชายให้ออกห่างเธอ แต่ด้วยส่วนสูงที่น้อยกว่าคนที่กำลังหมดสติอยู่เขาจึงไปได้ไม่ไกลนัก

 

“ข้าเป็นนางเงือกต่างหาก! และข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าไว้ด้วย!”

 

“ช่วยเหรอ!? ใช้หางฟาดเอาๆ แบบนั้นมันเรียกว่าช่วยตรงไหนไม่ทราบ!”

 

“กะ..ก็ใครใช้ให้เจ้าเอาสาหร่ายมาแปะไว้บนหัวจนดูเหมือนสัตว์ประหลาดจากทะเลลึกแบบนั้นกันเล่า ข้าก็ตกใจน่ะสิ” 

 

โอเค เธอมีความผิดนิดหน่อยจริงๆ น่ะแหละที่ด่วนสรุปว่าอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามจนลงมือไปแบบนั้น

 

“ไม่ได้อยากแปะโว้ยย แต่ตอนที่ตกน้ำมาพร้อมฝ่าบาทมันร่วงลงมาบนกอสาหร่ายพอดีต่างหาก!”

 

อ่อ หมอนี่เองสินะลูกเรืออีกคนที่ถูกคลื่นซัดตกลงมา คงเพราะไม่ได้ปะทะผืนน้ำโดยตรงเหมือนเจ้าชายแคสเซียนก็เลยยังประคองสติไว้ได้ แต่พูดก็พูดเถอะ เจ้าพ่อครัวคนนี้เป็นมนุษย์ที่แปลกชะมัด คนปกติถ้าเห็นเงือกต้องเผ่นหนีจนทรายฟุ้ง เป็นลมหมดสติ ไม่ก็ละล้าละลังไปตามคนอื่นมาดูแล้วไม่ใช่เหรอ ไหงถึงได้มาขู่แฟ่ๆ แล้วเถียงกับเธออยู่แบบนี้กัน

 

“ว่าแต่เจ้าเถอะต้องการอะไรกันแน่” เขาคว้าหินกลมเกลี้ยงขนาดพอดีมือขึ้นมาเป็นอาวุธขู่ “ถ้าข้าไม่มาขวางไว้คงลากเจ้าชายกลับรังไปเคี้ยวเล่นแล้วใช่ไหม!?”

 

“ช่างกล้าพูดนะ มนุษย์อย่างพวกเจ้าต่างหากที่อยากจะกินเนื้อเงือกเพื่อให้เป็นอมตะน่ะ” ลอเรไลโต้กลับด้วยประโยคที่พ่อครัวหนุ่มเพิ่งจะพูดไปบนเรือ 

 

ข้าแต่เทพสมุทร เธอไม่เคยเกลียดขี้หน้าใครตั้งแต่แรกพบขนาดนี้มาก่อนเลยสาบานได้ ปากเสีย ขี้โวยวาย ซ้ำยังมาคั่นกลางระหว่างเจ้าชายแคสเซียนกับเธออีก แต่จะให้ขึ้นบกไปไกลกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะแค่นี้แดดก็เผาเธอจนแสบไปหมดแล้ว 

 

“อีกอย่างชาวบกน่ะงมงายและคิดไปเองทั้งนั้น สำหรับชาวท้องทะเลแล้วให้ยัดเนื้อฉลามลงท้องไปทั้งก้อนยังอร่อยกว่าแทะเนื้อพวกเจ้าเสียอีก”

 

“ตะ แต่เนื้อฉลามมันเหม็นมากเลยไม่ใช่เหรอ”

 

“ก็ใช่น่ะสิ!”

 

พอลอเรไลประกาศไปเช่นนั้น พ่อครัวฝึกหัดก็ลดก้อนหินอันไร้ประโยชน์ในมือลงแล้วนั่งแหมะลงข้างเจ้าชายแทน ดูเหมือนจะคิดได้แล้วว่าเธอคงไม่เป็นอันตรายต่อเขาและเจ้าชายผู้ยังไม่ได้สติ

 

เสียงคลื่นคลอมากับเสียงนางนวลร้อง ลอเรไลวักน้ำเกลือขึ้นมาลูบไปตามลาดไหลและแผ่นหลังเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อนจากดวงตะวัน สักพักถัดมาพ่อครัวฝึกหัดก็ถามขึ้น

 

“ไม่รีบกลับทะเลหรือไงเดี๋ยวก็มีคนมาเห็นเข้าหรอก ปราสาทน่ะอยู่ห่างไปแค่นี้เองนะ” เขาชี้นิ้วไปด้านบน หาดซึ่งมีความยาวราวหนึ่งกิโลเมตรนี้อยู่ใต้หน้าผาซึ่งปราสาทของอาณาจักรลัวร์ลองตั้งอยู่พอดี ใกล้ขนาดนี้อีกไม่นานก็คงมีคนลงมาช่วย

 

ทว่าลอเรไลไม่กลัวหรอก จุดที่เธอแช่น้ำอยู่เป็นจุดที่อยู่ไกลจากทางเดินที่สุด เธอสามารถว่ายน้ำหนีได้ทันทีก่อนที่จะมีใครทันเห็นตัวเธอเสียอีก เธอแค่อยากแน่ใจว่าเจ้าชายจะปลอดภัยดีเท่านั้นรวมทั้ง...

 

“สัญญามาก่อนว่าจะเก็บเรื่องที่พบนางเงือกเป็นความลับ”

 

“หา?”

 

“สัญญามาเร็วๆ เข้า”

 

“ทำไมข้าต้องสัญญาด้วย”

 

“เพราะข้าสั่งน่ะสิ”

 

พ่อครัวหนุ่มแปะปาก “เจ้าไม่ลองเปลี่ยนเป็นขอร้องล่ะข้าอาจจะยอมทำก็ได้นะ”

 

แสงอาทิตย์ว่าร้อนแรงแล้ว แต่อารมณ์ของลอเรไลน่าจะเดือดกว่า เธอสะบัดครีบกระแทกผิวน้ำแล้วทันใดนั้นคลื่นลูกหนึ่งก็ซัดเข้าใส่พ่อครัวหนุ่มจนตัวเปียกโชกในขณะที่เจ้าชายผู้นอนอยู่ข้างกันกลับเปียกแค่ขากางเกงเท่านั้น 

 

เจ้าของดวงตายาวรีสีดำนิ่งอึ้ง ทำได้เพียงพ่นน้ำทะเลออกปากเหมือนปลาปักเป้า

 

“ไม่ต้องสัญญาก็ได้” ลอเรไลขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบอย่างจงใจ “แต่ขอให้รู้ไว้เลยนะว่าถ้าเจ้าปากโป้ง ชั่วชีวิตนี้อย่าหวังได้เฉียดใกล้น้ำทะเลอีกเลย”

 

“ขะ ข้าไม่บอกใครแน่นอน”

 

 

 

 


 

ราชวงศ์เงือกคือเหล่าเงือกซึ่งมีความสามารถในการบัญชาท้องทะเล

 

เกลียวคลื่น เม็ดทราย เกล็ดเกลือ สรรพสัตว์ ทุกสิ่งที่ทะเลต้องสัมผัสและโอบไปถึงคือสิ่งที่เหล่าเชื้อพระวงศ์สามารถสั่งการได้ ลอเรไลเองก็ทำได้ แม้ว่าจะเล็กน้อยและไม่มหัศจรรย์เท่าพวกพี่ๆ ก็ตาม แต่ถ้าจะมีอะไรที่เธอทำได้ดีก็คงเป็นการร้องเพลง 

 

เสียงของลอเรไลคือเสียงที่ไพเราะที่สุดในเจ็ดคาบสมุทร มารดาผู้ล่วงลับเคยชมไว้แบบนั้น บทเพลงของเธอกล่อมเกลาได้แม้กระทั่งอสูรใต้บาดาล ปลอบโยนจิตใจในทุกครั้งที่ได้ยลยิน ราวกับเธอมีเวทมนตร์ในตนเองแม้ว่าจะไม่ใช่แม่มดก็ตามที ฟังดูช่างพิเศษและล้ำค่า ทว่าสำหรับราชามาริอุสแล้วมันไร้ประโยชน์ 

 

ลอเรไลไม่อาจใช้ความสามารถนี้ในการต่อสู้หรือปกป้องอาณาจักรได้ และแม้จะเคี่ยวเข็ญมากเท่าใดความสามารถด้านอื่นๆ ของเธออย่างการควบคุมเกลียวคลื่นหรือทักษะการใช้อาวุธก็ยังต่ำเตี้ยเรี่ยทรายอยู่เท่าเดิม เรียกได้ว่าความแข็งแกร่งของลอเรไลมากกว่าปะการังเพียงนิดเดียวเท่านั้น แค่อุปสรรคอย่างอุณหภูมิเปลี่ยนก็น็อคน้ำฟอกขาวแล้วเรียบร้อย

 

แต่ถึงกระนั้นบรรดาพี่ๆ ก็เอ็นดูและรักใคร่ในตัวลอเรไลเป็นอย่างมาก

 

ราชาเงือกมาริอุสมีราชินีและสนมรวมกันมากถึงสิบตน แต่ละตนให้กำเนิดโอรสธิดาอย่างน้อยสามสี่ตนขึ้นไปทั้งนั้น ลอเรไลจึงมีพี่น้องมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว บางครั้งเธอถึงกับลืมชื่อพี่ๆ ที่ไม่ได้พบกันนานแล้วด้วยซ้ำไป แต่อย่างที่บอก ทุกตนรักและเอ็นดูเธอ

 

ลอเรไลเป็นน้องเล็กสุด เกิดจากสนมเงือกตนที่สิบ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีสิทธิ์ในบัลลังก์แห่งคลื่นและทราย อีกอย่างเธออัธยาศัยดีและร้องเพลงเพราะ ไม่มีอะไรที่เหล่าเงือกชอบไปกว่าเสียงเพลงดีๆ อีกแล้ว

 

ซึ่งทั้งมหาสมุทรนี้เห็นจะมีเงือกเพียงสองตนเท่านั้นที่ไม่พอใจกับความอ่อนแอที่ทำได้เพียงร้องเพลงไปวันๆ ของลอเรไล

 

หนึ่งคือราชามาริอุส

 

และสอง...

 

“ลอเรไล”

 

คือพี่ชายแท้ๆ ที่เกิดจากแม่ตนเดียวกันอย่างลอเรนซ์

 

ลอเรนซ์เป็นทุกอย่างที่พ่ออยากให้เป็น แข็งแกร่ง สง่างาม และเยือกเย็นจนเกือบเรียกได้ว่าเย็นชา ใบหน้าคมสันแทบไม่แสดงอารมณ์ใดให้เห็น เขาแทบไม่เคยยิ้มหรือกอดลอเรไลด้วยซ้ำ ในเมื่อไม่เคยแสดงความรักใคร่ต่อกัน สิ่งเดียวที่ทำให้พอจะบอกได้ว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องคือรูปตาซึ่งมีดวงตาสีเขียวใสดังฟองคลื่นใกล้ฝั่งและเส้นผมสีทอง เพียงแต่ของลอเรนซ์เป็นเฉดสีที่เข้มกว่าเกือบเหมือนสีของเม็ดทรายและยาวลงมาเกือบถึงฐานคอ เขายังมีแผลเป็นเล็กๆ ที่หางคิ้วขวาซึ่งลอเรไลไม่เคยรู้ถึงสาเหตุ

 

“มีอะไรอีกล่ะ” เงือกสาวถามห้วน แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายมาเพื่อสิ่งใด เพราะลอเรนซ์คุยกับเธออยู่แค่หัวข้อเดียวเท่านั้น...

 

“เจ้าโดดเรียนไปไหนมา”

 

...ว่าเธอไม่ได้เรื่องได้ราวขนาดไหน

 

“วันนี้อาจารย์สอนวิธีกำราบฉลาม ข้าไม่ชอบก็เลยโดด แต่แปลกตรงไหนล่ะยังไงข้าก็ตกทุกวิชาอยู่แล้วเรียนไปก็เท่านั้น”

 

ลอเรไลว่ายน้ำผ่าน พยายามไม่สบตา ทว่าลอเรนซ์คว้าตนแขนเธอไว้เสียก่อน

 

“เพราะเจ้าไม่พยายามน่ะสิถึงทำไม่ได้ หากว่าเจ้ามีความตั้งใจมากกว่านี้อีกนิดเสด็จพ่อต้อง...”

 

ลอเรไลสะบัดแขน แปลกดีที่ลอเรนซ์ยอมปล่อยอย่างง่ายดาย

 

“อยากบ่นว่าอะไรก็บ่นไป แต่อย่าเอ่ยถึงพ่อให้ข้าได้ยินอีก”

 

 

 

 


 

ลอเรไลแอบกลับขึ้นไปที่หาดใต้ปราสาทลัวร์ลองในสองวันถัดมา

 

ที่จริงแล้วเธอยังแสบหลังและไหล่เพราะถูกแดดเผาอยู่นิดหน่อย ทว่าตอนนี้พระจันทร์เริ่มลอยสูงแล้วและทั้งหาดเงียบร้าง เพราะงั้นคงไม่เป็นไร 

 

การปรากฏตัวของลอเรนซ์และการที่เขาพูดถึงราชามาริอุสทำให้ลอเรไลอารมณ์ไม่ดีมาตลอด ลอเรไลไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเกลียดพ่อแต่ในขณะเดียวกันก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ารัก ห่างเหินและน่าอึดอัดน่าจะเป็นคำที่ใกล้เคียงที่สุดที่สามารถใช้บรรยายความสัมพันธ์ระหว่างลอเรไลและพ่อได้ 

 

ตามประสาผู้นำงานยุ่งและเงือกที่มีลูกเยอะ ความสนใจของราชามาริอุสไม่เคยตกมาถึงลอเรไล ยิ่งแม่เสียไปตั้งแต่เธอหกขวบและลอเรนซ์มัวแต่ยุ่งกับการยื้อแย่งความรักของพ่อมาจากพวกพี่ๆ ลอเรไลจึงเหมือนอยู่ตนเดียวแทบตลอดเวลา

 

อาจเพราะแบบนั้นเธอจึงได้เริ่มหลงใหลในโลกเบื้องบนและเรื่องราวของชาวบก

 

ลอเรไลใคร่รู้ว่าการเดินอยู่ใต้แสงตะวันและเต้นรำท่ามกลางสายฝนจะให้ความรู้สึกเช่นไร ไอศกรีมที่โทนี่เคยพูดถึงให้รสชาติแบบไหนบนปลายลิ้น แล้วยังเครื่องดนตรีที่ชาวบกประดิษฐ์ขึ้นอีก มันส่งเสียงแบบเดียวกับที่ชาวท้องทะเลทำหรือไม่ เสียงของเธอจะร้องคลอไปกับพวกมันได้ไหม

 

ลอเรไลมีแต่คำถามอันไม่สิ้นสุด และคำตอบของโทนี่ก็ไม่อาจเติมเต็มความกระหายเหล่านั้นได้ ลอเรไลรู้สึกมาตลอดว่าท้องทะเลไม่ใช่ที่ของเธอ ไม่มีใครต้องการหรือใยดีเธอ แต่ตอนนี้เธอจะอดทน ค่อยๆ เรียนรู้เรื่องของโลกเบื้องบนทีละเล็กละน้อยไปก่อน ครบยี่สิบปีเมื่อไรเธอจะเดินขึ้นบกและไม่กลับลงทะเลอีกเลย เงือกสาวตั้งใจไว้แบบนั้น

 

เสียงย่ำเท้าดังขึ้น

 

ใครบางคนกำลังเดินมาทางนี้

 

ลอเรไลสะดุ้ง กำลังจะโดดหนีกลับลงน้ำทว่าอีกฝ่ายถือตะเกียงมาด้วย ทั้งคู่จึงเห็นกันและกันอย่างชัดเจน

 

“โอ๊ะ นั่นปีศาจทะเลไม่ใช่เหรอ” พ่อครัวฝึกหัดผิวขาวเหลืองกล่าวทักพร้อมรอยยิ้มยียวน

 

และลอเรไลได้ตอบแทนความเป็นมิตรนี้ด้วยการปาปูที่กำลังไต่อยู่ข้างตัวใส่หน้าเขาอย่างจัง

 

“นางเงือกย่ะ!”