หลังได้รับแต่งตั้งเป็นพ่อครัวหลวง ชีวิตของ ‘โฮชิโนะ เก็น’ ก็เปลี่ยนไปหลายอย่าง

 

 

ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำอาหารเลยแม้แต่น้อย

 

 

“วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การเดินเล่นเสียจริง”

 

 

“เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หาดทรายขาวสะอาด พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า สายลมอุ่นๆ พัดโชยปะทะใบหน้า

 

 

อากาศดีเหมาะแก่การเดินทอดน่องกินลมชมวิวอย่างว่า

 

 

แต่มีอย่างที่ไหนถึงให้พ่อครัวมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าชายกันเล่า!!

 

 

ขอเท้าความสักนิดว่าเก็นค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานของเจ้าชายแคสเซียนมาสักพักแล้วตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์พายุพัดตกเรือ นับสิบปีตั้งแต่วัยเยาว์เขาเดินทางผ่านมาหลายอาณาจักรและมักจะเรียนรู้อาหารของแต่ละท้องที่ไปด้วยเสมอ แม้จะเชี่ยวชาญอาหารจากบ้านเกิดอย่างอาณาจักรนิฮงที่สุดแต่เมนูอื่นก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

 

 

เก็นมาถึงอาณาจักรลัวร์ลองเมื่อสองปีก่อนและได้จับพลัดจับพลูทำงานในวัง เขาไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จากตำแหน่งเด็กล้างจาน พนักงานหั่นผัก ผู้ช่วยจัดจาน จนมาถึงตำแหน่งพ่อครัวฝึกหัดในที่สุด ช่วงหลังๆ มานี่แหละที่เก็นได้โชว์ฝีมือ ปรุงอาหารให้เหล่าเชื้อพระวงศ์รับประทานหลายต่อหลายครั้งจนเป็นที่ถูกอกถูกใจของพระราชินีและเจ้าชายแคสเซียนจนถูกเรียกตัวมาตกรางวัลให้บ่อยๆ

 

 

ที่จริงถึงไม่มีเหตุการณ์ช่วยชีวิตเจ้าชาย เก็นคิดว่าอีกไม่เกินสองสามเดือนเขาคงได้ตำแหน่งพ่อครัวหลวงมาครองอยู่ดี

 

 

ทว่าพอได้รับแต่งตั้งจากเจ้าชายโดยตรงเช่นนี้ เก็นจึงกลายเป็น ‘ที่โปรดปราน’ ยิ่งกว่าที่เคยทั้งในแง่อาหารที่ทำแล้วก็แง่อื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหารด้วย

 

 

เช่นอยู่ๆ เจ้าชายแคสเซียนก็โดดงานแล้วมายืนดูเขาแล่ปลาอยู่ในโรงครัวเป็นชั่วโมง (จนมหาดเล็กต้องอ้อนวอนให้กลับไปทรงงานต่อได้แล้ว) ถ้าเจอกันตามโถงทางเดินก็ชวนคุยไปเรื่อย (จนกว่าจะองครักษ์ไม่ก็ราชเลขานุการจะตามมาเจอ) บางทีก็ลากเขาไปทำอาหารโชว์ต่อหน้าแขกกิตติมศักดิ์โดยไม่บอกล่วงหน้า (ซ้ำยังใช้ประวัติการเดินทางผจญภัยของเขาเป็นข้ออ้างในการเบี่ยงหัวข้อสนทนาที่ไม่ชอบอีก)

 

 

แล้วก็อีกสารพัดจนข้าราชบริพารคนอื่นพูดกันว่าอีกนิดเขาน่าจะถูกเรียกว่า ‘พระสหาย’ ได้แล้วด้วยซ้ำ

 

 

แต่สำหรับเก็นผู้อยู่ในเหตุการณ์จริงแล้วอยากจะตะโกนกลับไปเหลือเกินว่า พระสหายกับเปลือกมันฝรั่งน่ะสิ! ดูจากนิฮงยังรู้เลยว่าเขาก็แค่เครื่องมือให้พระองค์ได้ทำตามใจชอบชัดๆ 

 

 

วันนี้ก็เช่นกัน เก็นเดินมาที่หาดเพื่อหาวัตถุดิบเพิ่มเติมสำหรับโต๊ะเสวย นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ เพียงแต่เป็นครั้งแรกที่เดินมาเจอเจ้าชายรัชทายาทพอดี และแทนที่จะเดินผ่านไปพระองค์กลับตามมาด้วยเสียอย่างนั้น

 

 

จะหนีก็ไม่ได้ จะไล่ก็ไม่ควร สุดท้ายจึงต้องปล่อยเลยตามเลย

 

 

ซึ่งหลังจากเผชิญเหตุการณ์ทำนองนี้มาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเก็นก็อาจหาญพอที่จะทูลถามว่า

 

 

“ฝ่าบาทแคสเซียน ทรงโดดงานอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“...” ชะงัก ยิ้มค้างก่อนแล้วค่อยตอบ “เปล่าสักหน่อย”

 

 

ใช่ชัดๆ เลยต่างหาก!

 

 

เห็นถึงสีหน้าของเก็น เจ้าชายหนุ่มอธิบายเพิ่ม

 

 

“การพยายามบอกปัดพวกขุนนางที่มาเสนอลูกสาวตนเองให้เป็นสนมของข้าไม่น่าเรียกว่าโดดงานได้หรอกนะ”

 

 

อีกครั้งที่เก็นคิดถูก เขาเป็นเครื่องมือให้พระองค์ได้ทำตามใจชอบจริงๆ เสียด้วย

 

 

“ไม่ดีหรือพทะย่ะค่ะ? กระหม่อมนึกว่าจำนวนสนมเป็นการแสดงอำนาจอย่างหนึ่งของกษัตริย์เสียอีก”

 

 

อย่างที่บ้านเกิดของเขามีตำนานว่าเคยมีเจ้าผู้ปกครองแคว้นผู้หนึ่งมีสนมมากถึงสามพันนางเลยทีเดียว

 

 

“เคยมีคนบอกว่าข้าเป็นพวกโรแมนติกแบบน้ำเน่าน่ะเพราะงั้นแค่พระชายาคนเดียวข้าก็พอใจแล้ว”

 

 

ประโยคเรียบง่ายแต่หวานซึ้งกับรอยยิ้มเจิดจ้าของเจ้าชายหนุ่มผู้กำลังนั่งเท้าคางอยู่บนหาดท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆ ทำเอาแม้แต่เก็นเองก็เผลอใจเต้นไปไม่น้อย สมแล้วที่เงือกสาวตนนั้นบอกว่าตกหลุมรักเจ้าชายของเขาอย่างเต็มปากเต็มคำตั้งแต่แรกพบ

 

 

ว่าแต่ยัยเงือกแก่แดดนั่นหายไปไหนแล้วนะ เพราะเธอดูจะชอบยางรัดผมที่ให้ไปมาก เก็นเลยเตรียมมาให้อีกเส้น แต่ไม่ว่าจะกลับมาที่หาดอีกกี่ครั้งก็ไม่ได้พบเธออีกเลย ก็รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ในตำนานซึ่งไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน แต่อุตส่าห์ได้เจอกันตั้งสองครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ ขอครั้งที่สามเพื่อถามชื่อหน่อยไม่ได้หรือไง จะได้ไปเยาะเย้ยด้วยว่าตอนนี้เขาถูกเรียกเป็นพระสหายของเจ้าชายแคสเซียนไปแล้วนะ

 

 

ความคิดยังไม่ทันขาดช่วงก็พลันสมปรารถนา

 

 

เพราะเพียงเดินอ้อมแนวโขดหินไปเท่านั้น

 

 

“ว๊ากกกกกกกกก”

 

 

เก็นก็ได้พบเงือกสาวตนนั้นอีกครั้ง

 

 

กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนหาด เส้นผมสีทองหมาดชื้น ต่างจากที่ผ่านมาซึ่งแทบจะเปลือยท่อนบน วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวตัวยาวจนดูเผินๆ ก็เหมือนหญิงสาวชาวมนุษย์ทั่วไปไม่น้อย ทว่าเมื่อมองเลยไปยังชายกระโปรง หางสีเขียววาวประกาย...

 

 

“ไม่มี...”

 

 

ไม่มีหางปลา มีแต่ขาเรียวๆ เหมือนขามนุษย์คู่หนึ่งที่โผล่พ้นชายกระโปรงบางพริ้วออกมาเท่านั้น

 

 

“หางหายไปไหนแล้ว!!!” เก็นร้อง ตกอกตกใจ

 

 

หรือว่าคนละคน หรือว่าแค่หญิงสาวทั่วไปที่บังเอิญหน้าคล้ายเงือกสาวตนนั้นเฉยๆ ทว่าตอนที่อีกฝ่ายจับคอเสื้อเขาไว้แล้วเขย่าไปมาพร้อมกับพยายามพูดอะไรบางอย่าง เก็นก็ตระหนักได้ทันทีว่าไม่ใช่คนละคนหรอก

 

 

ยัยเงือกแก่แดดตนนั้นมีขาเหมือนมนุษย์ไปแล้ว!

 

 

“เก็น? เกิดอะไรขึ้น”

 

 

แน่นอนว่าเพราะแหกปากไปเสียขนาดนั้น เจ้าชายแคสเซียนจึงลุกมาดู

 

 

เอาไงดี ผลักนางเงือกกลับลงน้ำไปซ่อนก่อนดีไหม แต่ว่าตอนนี้เธอกำลังยืนด้วยขาไม่ใช่หรือ ถึงแม้จะสั่นและเซไปสักหน่อยจนต้องกำคอเสื้อเขาเพื่อช่วยประคองตัวก็ตามทว่านั่นก็ไม่ใช่หางแน่ๆ งั้นก็ไม่ต้องซ่อนแล้วสิ ว่าแต่ทำไมนางเงือกถึงกลายมาเป็นมนุษย์ได้เล่า!

 

 

เพราะมัวแต่ละล้าละลังไม่รู้จะทำเช่นไรดี ในที่สุด เจ้าชายแคสเซียนก็เดินอ้อมโขดหินมาจนได้

 

 

“เด็กสาวเหรอ? บาดเจ็บอยู่ด้วยนี่”

 

 

หา?

 

 

เก็นมองตามสายตาของผู้สูงศักดิ์ไป ที่ขาข้างหนึ่งของนางเงือกมีรอยบาดยาวเกือบคืบซึ่งเลือดหยุดไหลแล้วทว่าแผลยังดูสดใหม่อยู่มาก

 

 

ไม่ทันที่พ่อครัวหรือเจ้าชายหนุ่มจะได้ถามคำใด มือบางที่กำคอเสื้อของเก็นก็คลายออก ยัยเงือกแก่แดดยิ้มกว้าง สองแก้มขึ้นสีจางๆ ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปหยุดต่อหน้าเจ้าชายแคสเซียน แล้วก็...

 

 

หมับ!

 

 

“เฮ้ย!!”

 

 

กอดเอวเจ้าชายแคสเซียนเต็มรักจนเก็นหลุดร้องเสียงหลงออกมา

 

 

“กระหม่อมขออภัยพันครั้ง! นางไม่ได้ตั้งใจ! ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ!” เก็นรีบถลาเข้ามาแกะมือบางแต่เหนียวอย่างกับหนวดหมึกออกเพื่อไม่ให้เจ้าชายของเขาโดนลวนลามไปมากกว่านี้ เขากระซิบเตือนอย่างกึ่งข่มขู่ ดังพอจะได้ยินกันสองคน “ทำบ้าอะไรของเจ้า อยู่ดีๆ ไปแตะตัวเจ้าชายแบบนั้นอยากโดนตัดหัวหรือไง”

 

 

เงือกสาวพองแก้มอย่างโมโห อ้าปากเถียงแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา

 

 

เก็นเลิกคิ้ว สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ถือ นางคงจะบาดเจ็บจนทรงตัวไม่อยู่น่ะ จริงไหม” เจ้าชายแคสเซียนกล่าวให้อภัยอย่างอ่อนโยนทั้งยังคิดข้อแก้ตัวให้เสร็จสรรพ เงือกสาวพยักหน้าหงึกหงัก ไม่รู้ว่าที่คล้อยตามอย่างง่ายดายนี่เพราะรู้แล้วว่าที่ทำลงไปมันร้ายแรงขนาดไหนหรือว่าเออออไปเรื่อยแค่เพราะเจ้าชายกำลังพูดอยู่กันแน่

 

 

เก็บอาการหน่อยโว้ยยย น้ำลายจะหกแล้ว

 

 

“ว่าแต่เจ้าหน้าตาคุ้นมากเลย เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่”

 

 

ประโยคถัดมาของเจ้าชายแคสเซียนทำให้เก็นสะดุ้ง ไม่หรอกมั้ง ตอนที่จมน้ำก็หมดสติอยู่ไม่ใช่หรือ ทว่าเงือกสาวกลับตาเป็นประกายด้วยความหวัง พยายามโบกไม้โบกมืออธิบายใหญ่เลยว่าเป็นคนช่วยเจ้าชายไว้จากเหตุพลัดตกเรือ แต่เพราะยังทรงตัวได้ไม่ดีนักจึงทำท่าจะล้มไม่ล้มแหล่ เก็นคว้าคอเสื้อ หิ้วประคองไว้ประหนึ่งหิ้วลูกหมาลูกแมว

 

 

“ขอโทษนะ แต่ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพยายามจะสื่อเลยแม้แต่น้อย”

 

 

สีหน้าของเจ้าชายหนุ่มดูรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ซึ่งเก็นอยากบอกเหลือเกินว่าไม่ต้องหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่ได้เข้าใจไอ้ท่าทางชี้โบ๊ชี้เบ๊นี่เหมือนกัน แต่ที่รู้เพราะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเท่านั้นเอง

 

 

เงือกสาวมีท่าทีฮึดฮัดไม่น้อย ก่อนจะระบายอารมณ์ด้วยการพยายามเหยียบเท้าเก็น เขาหลบทัน นั่นยิ่งทำให้เธอโมโหเข้าไปใหญ่

 

 

เห็นถึงท่าทางเหล่านั้น เจ้าชายแคสเซียนถาม

 

 

“พวกเจ้าดูสนิทกันมากเลย รู้จักกันเหรอ? ”

 

 

“มะ..!!” ปฏิเสธได้เพียงครึ่งคำ เงือกสาวก็กระทืบโดนเท้าเก็นเข้าเต็มๆ ดวงตาสีฟองคลื่นแปรเปลี่ยนเป็นท้องทะเลพิโรธคลั่งคล้ายจะมีข้อความว่า บอกความจริงเจ้าชายไปเดี๋ยวนี้ แปะอยู่ยังไงยังงั้น

 

 

จะบ้าเหรอ ขืนบอกไปเขาได้ต้องอาญาฐานหลอกลวงเบื้องสูงกันพอดี แต่เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่เงือกสาวซัดคลื่นใส่หน้าเขา เก็นก็ต้องเลือกอย่างจริงจังแล้วว่าเผชิญหน้ากับความโกรธของสิ่งมีชีวิตลึกลับอย่างชาวท้องทะเล หรือว่าหันไปขออภัยโทษจากเจ้าชายผู้อ่อนโยนดี

 

 

ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้เลือกยากขนาดนั้น

 

 

“ระ รู้จักพ่ะย่ะค่ะ ที่จริงแล้วนางเป็นลูกสาวชาวประมงที่ให้ความช่วยเหลือฝ่าบาทกับกระหม่อมเมื่อครั้งตกเรือ”

 

 

โกหกไปประมาณนี้น่าจะได้มั้ง ยังดีกว่าบอกว่านางเงือกช่วยกระหม่อมว่ายพาพระองค์กลับฝั่งแล้วกัน

 

 

“ข้านึกว่าวันนั้นมีเพียงเจ้าเสียอีก? ”

 

 

“กะ...กระหม่อมได้รับความช่วยเหลือจากนางเมื่อใกล้ถึงฝั่งพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างนางช่วยพวกเราเสร็จก็หายตัวไปเลย แล้วสถานการณ์ก็ยุ่งเหยิงมากกระหม่อมเลยไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี” ยิ่งพูดมากเท่าไรเก็นยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใกล้หลุดจากบ่ามากเท่านั้นในขณะที่เงือกสาวพยักหน้าหงึกหงัก สนับสนุนคำโกหกของเขาเต็มที่

 

 

“งั้นหรือ” เจ้าชายแคสเซียนลูบคางอย่างครุ่นคิด เล่นเอาเก็นหายใจไม่ทั่วท้องไปพักใหญ่ทีเดียวก่อนพระองค์จะยอมเชื่อแล้วเบนสายพระเนตรไปทางเงือกสาวแทน “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันละสาวน้อย เหตุใดจึงบาดเจ็บได้”

 

 

ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับอ้า แต่ไม่มีเสียงใดลอดออกมา

 

 

“ดูเหมือนว่านางจะพูดไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นให้ข้าได้ตอบแทนความดีของเจ้าด้วยการเชิญเจ้ามาเป็นแขกพำนักในปราสาทของข้าได้หรือไม่”

 

 

ไม่เพียงยื่นมืออกมาเท่านั้น เจ้าชายแคสเซียนยังส่งรอยยิ้มเจิดจ้าที่ทำเอาเกือบตาพร่ามาให้อีกด้วย

 

 

และเพราะรอยยิ้มนี่แหละที่ทำเอาเงือกสาวหลับหูหลับตา ตรงแน่วเข้าไปคว้ามือเจ้าชายอย่างรวดเร็ว

 

 

ช้าก่อนนนน ปรึกษากันก่อนนนนนน

 

 

เก็นกรีดร้องอยู่ในใจ แต่สายไป ยัยเงือกแก่แดดได้ควงแขนเจ้าชายดินเลียบหาดกลับไปยังปราสาทแล้วเรียบร้อย

 

 

 

 

 

 

ความซวยของเก็นยังไม่หมดเพียงเท่านั้น

 

 

เพราะเขาได้รับคำสั่งจากเจ้าชายแคสเซียนให้ดูแล ‘ลูกสาวชาวประมง’ ไปพลางๆ ก่อน ในระหว่างที่สาวใช้เตรียมห้องพักและชุดให้เปลี่ยน แต่ก็นับเป็นความซวยที่เข้าทางเพราะเขาจะได้ซักไซ้ยัยเงือกแก่แดดตนนี้ได้อย่างถนัดถนี่หน่อย

 

 

“หางเจ้าหายไปไหน! แล้วทำไมถึงกลายมาเป็นมนุษย์ไปได้” เก็นไม่รอช้าที่จะแหกปากถามเมื่อเดินมาถึงเขตครัวหลวง ด้วยความที่ยังเช้าอยู่มากและเขาเป็นเวรเตรียมวัตถุดิบ ทั้งห้องครัวจึงมีแค่เขากับเงือกสาวเท่านั้น

 

 

ริมฝีปากอิ่มขยับเล่าแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด เธอมุ่นคิ้วอีกครั้ง ละการกระทำแล้วเปลี่ยนเป็นหันมองรอบๆ อย่างสำรวจแทน

 

 

“เฮ้ย! อย่าเพิ่งเมินกันนะ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

เธอไม่สนที่เขาโวยวายแม้แต่น้อย แต่กลับเดินไปยังบ่อปลามุมห้อง มันเป็นบ่อหินขนาดสองคูณสองเมตร ปกติจะกั้นแบ่งเป็นสามไม่ก็สี่ส่วนเพื่อเลี้ยงปลา กุ้ง ปู หรืออาหารสดใหม่อะไรก็ตามแต่ที่จะถูกนำขึ้นโต๊ะเสวยในวันนั้นๆ

 

 

ซึ่งบ่อหินในยามเช้าเช่นนี้ยังมีแค่ปลากะพงขาวตัวอวบอ้วนจำนวนหนึ่งเท่านั้น และเจ้าปลากะพงที่ว่าพลันต้องหนีกรูกันไปสุดมุมบ่อ เกาะกลุ่มตัวสั่นระริกเมื่ออยู่ๆ เงือกสาวได้กระโจนโครมลงแช่ในน้ำทั้งตัว

 

 

“ทำอะไรของเจ้ากันน่ะ!!”

 

 

เก็นที่วิ่งไปดึงแขนอีกฝ่ายให้ขึ้นจากน้ำกลับต้องเป็นฝ่ายชะงักเสียเองเมื่อพบว่าเรียวขาของเด็กสาวได้กลายเป็นครีบและหางไปเสียแล้ว เกล็ดสีเขียวเหลือบน้ำเงินที่โบกขยับอย่างเอื่อยเฉื่อยเหนือผิวน้ำต้องแสงแดดเป็นประกายแวววาวดั่งมณีชนิดหนึ่ง แต่ก็คงไม่พราวระยับเท่าประกายสุกใสในดวงตาสีฟองคลื่นคู่นั้น

 

 

ข้างลำคอของเธอมีเส้นขีดสามเส้นที่ไหวพะเยิบไปมา คงเป็นเหงือก เพราะสักพักเงือกสาวก็ถดตัวไปให้น้ำท่วมมาถึงลำคอแล้วค่อยผุดกลับขึ้นมาใหม่ ชุดกระโปรงเปียกชุ่ม แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เพราะอีกเดี๋ยวเสื้อผ้าตัวใหม่ก็จะมาถึงแล้ว

 

 

“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” เธอยิ้ม ขยับไปมาในอ่างอันคับแคบเหมือนกำลังบิดขี้เกียจจนทำให้น้ำกระเซ็นมาโดนตัว แต่เก็นกำลังอึ้งเกินกว่าจะหลบได้ทัน

 

 

“ข้าสับสนไปหมดแล้ว ตกลงว่านางเงือกแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วยหรือ? ”

 

 

“ก็ได้แหละ...แต่ก็ไม่เชิงแบบนั้นเสียทีเดียว”

 

 

คำอธิบายของเธอยิ่งทำให้เขาปวดหัวเข้าไปใหญ่

 

 

“เมื่อเงือกอายุครบยี่สิบ เราจะได้รับความสามารถในการกลายเป็นมนุษย์และขึ้นมาเดินบนบกได้”

 

 

“แปลว่าเจ้ายี่สิบแล้ว? ”

 

 

“เปล่า ข้าเพิ่งสิบแปด”

 

 

“แล้วทำไม...”

 

 

“เพราะข้าโดนสาปน่ะสิ”

 

 

เก็นคงอ้าปากค้างจนตกถึงพื้นไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะครั้งก่อนที่เจอกันเธอเพิ่งเล่าให้ฟังว่าพ่อมดและแม่มดมีตัวตนอยู่จริงๆ แต่พูดก็พูดเถอะ คน...ไม่สิ...เงือกแบบไหนกันที่ยอมรับว่าตนเองต้องคำสาปด้วยสีหน้าเริงร่าแบบนั้นกัน

 

 

“นั่นเกี่ยวกับที่เมื่อกี้เจ้าพูดไม่ได้ด้วยหรือเปล่า? ”

 

 

“เห็นหน้าตาทึ่มทื่อแต่เจ้ากลับหัวไวไม่น้อยเลยนะเนี่ย” เงือกสาวเอื้อมมือมาลูบศีรษะของเขาไปมาประหนึ่งกำลังชมเชยสัตว์เลี้ยงที่เข้าใจคำสั่งนั่งลงอย่างไรอย่างนั้น เก็นปัดมือบางออก กำลังจะโวยวายแต่อีกฝ่ายแย่งบทสนทนาไปเสียก่อน “ข้าถูกแม่มดสาปให้พูดไม่ได้ยามที่กลายร่างเป็นมนุษย์น่ะ แต่พอโดนน้ำก็จะได้หางกับเสียงคืนมา”

 

 

“ทำไมเจ้าถึงโดนสาปได้กัน? ”

 

 

ดวงตาสีฟองคลื่นหลุบมองพื้น ปากพึมพำว่า “ข้าไม่อยากพูดถึง”

 

 

“นั่นเกี่ยวกับที่ขา...หางเจ้ามีแผลด้วยหรือเปล่า”

 

 

“อือ”

 

 

เห็นถึงท่าทางเหล่านั้นเก็นตัดสินใจเปลี่ยนไปคาดคั้นในประเด็นที่ใหญ่กว่าและสำคัญกว่าแทน

 

 

“แล้ววิธีแก้คำสาปอะไรนี่ล่ะ? ”

 

 

“ได้เข้าเรื่องกันสักที!” เธอเปลี่ยนท่าทีจากหม่นหมองเป็นร่าเริงได้ไวยิ่งกว่าเขาใช้เวลาในการต้มเนื้อกุ้งเสียอีก “ตรงนี้แหละที่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ข้ามีเวลาสามเดือนเท่านั้นในการแก้คำสาป และวิธีคือต้องได้รับจุมพิตจากเจ้าชาย”

 

 

“จุมพิต? ”

 

 

“ใช่ จุมพิตจากรักแท้”

 

 

“จากเจ้าชาย? ”

 

 

“อือ เป็นเจ้าชายแคสเซียน”

 

 

“...”

 

 

“...”

 

 

“พรืด ฮะฮ่าฮ่าฮ่า” เก็นหัวเราะแล้วก็หัวเราะ เขาหยุดไม่ได้จริงๆ แม้ว่าเงือกสาวจะเริ่มพองแก้มใส่เขาแล้วก็ตาม

 

 

“ขำอะไรของเจ้าไม่ทราบ!”

 

 

“ฮ่าฮ่า ขะ ขอโทษ แต่ว่า ฮะฮ่า นี่มันคำสาปบ้าอะไรเนี่ย แม่มดที่สาปเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในนิทานก่อนนอนของเด็กห้าขวบหรือไงกัน”

 

 

“เสียมารยาท!เซอร์ซีน่ะ...” เธอทำท่าจะเถียง แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะเงียบ เม้มปาก กำมือแน่น “สำหรับเจ้ามันอาจจะเป็นเรื่องน่าขบขัน แต่กับข้าน่ะ ถ้าแก้คำสาปไม่สำเร็จข้าจะต้องติดอยู่ก้นทะเลไปชั่วชีวิตเลยนะ”

 

 

เก็นเกือบพลั้งปากไปอยู่แล้วว่ามันเป็นปัญหาตรงไหน เธอเป็นนางเงือกที่ต้องอาศัยอยู่ในมหาสมุทรอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่เมื่อเห็นสีหน้าโศกสลดจวนเจียนจะร้องไห้ เก็นก็ตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่อีก

 

 

เขากระแอ่มไอ ปรับท่าทางให้จริงจังขึ้น

 

 

“สามเดือนเป็นเวลาที่สั้นมากเลยนะ”

 

 

เงือกสาวเงยหน้าขึ้นมาในที่สุด สีหน้าเปี่ยมหวัง เขายังไม่ได้รับปากว่าจะช่วยก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้

 

 

“ข้ารู้”

 

 

“แล้วเจ้าได้เจอเจ้าชายแคสเซียนแค่เท่าไร...สามนาทีเองมั้ง”

 

 

“ข้ารู้!” ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนแรกที่พูดประโยคทำนองนี้กับเธอ “แต่เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่ามันเป็นยังไงที่ได้ถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์อันอบอุ่นเป็นครั้งแรก ว่ายอดคลื่นเหนือน้ำเป็นภาพน่าตื่นเต้นเพียงใด และสายลมที่ปะทะแก้มชวนให้ใจสั่นระรัวแค่ไหน สำหรับข้า เจ้าชายแคสเซียนคือทั้งหมดนั้น ไม่สิ เหนือล้ำไปยิ่งกว่านั้นอีก ฉะนั้นแค่สามวินาทีก็เกินพอแล้วในการตกหลุมรักใครสักคน!”

 

 

เก็นกอดอก เขาไม่เคยมีความรัก ซ้ำยังไม่มีความหลงใหลอื่นนอกเหนือไปจากการทำอาหาร แต่ไม่ว่าจะฟังยังไงสิ่งที่เงือกสาวพูดก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่กวีเพ้อคลั่งถึงนางอันเป็นที่รักเลยแม้แต่น้อย

 

 

แต่เอาเถอะ หนุ่มก้นครัวอย่างเขาจะไปรู้อะไรเรื่องความรักกัน

 

 

“สรุปคือเจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าเกี้ยวฝ่าบาทแคสเซียนให้สำเร็จภายในสามเดือน”

 

 

“ถูกต้อง! ถ้าทำสำเร็จข้าก็จะได้เป็นมนุษย์เต็มตัวและได้อยู่กับเจ้าชายตลอดไป ส่วนเจ้าก็จะได้ความดีความชอบจากการช่วยให้ข้าสมหวังไงเล่า!”

 

 

ยากชิบหาย ยากยิ่งกว่าแล่ปลาปักเป้าให้ไม่ติดพิษ กว่าเขาจะเป็นพ่อครัวหลวงได้ยังต้องใช้เวลาตั้งสองปี แต่ยัยเงือกแก่แดดกลับริจะสอยตำแหน่งพระชายาในเวลาสามเดือน

 

 

“เอาเป็นว่าขึ้นมาจากน้ำก่อนเถอะ ก่อนจะมีใครมาเห็น...เหวอ ตายแล้ว!ข้าลืมลงกลอนประตู!!”

 

 

บ้าจริง คุยกันมาตั้งนานสองนานเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เกิดมีคนทะเล่อทะล่าเปิดปะตูเข้ามาได้ความแตกกันพอดี

 

 

“จัดการให้แล้วน่า”

 

 

เงือกสาวผายมือไปยังทางเข้าเพียงหนึ่งเดียวของห้องครัวด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ เก็นจึงได้เห็นว่ามี ‘หมึก’ ตัวหนึ่งกำลังลากเก้าอี้มาขัดไว้ใต้กลอนประตู

 

 

“...”

 

 

“ข้ารอบคอบไหมล่ะ”

 

 

“นั่นมัน...อะไรกัน...”

 

 

“หมึกยักษ์ไง”

 

 

“ดูก็รู้แล้วเว้ยว่าเป็นปลาหมึก!!แต่ไหงมันถึงได้กำลังล็อคประตูอยู่ได้กันเล่า!!”

 

 

เงือกสาวถอนหายใจ สีหน้าระอาอย่างไม่ปิดบังคล้ายจะบอกว่าเจ้าจะโวยวายเสียงดังไปทำไม แต่ขอโทษ!ไม่ลองมาเป็นเขาดูหน่อยล่ะ วันเดียวเจอทั้งนางเงือกถูกสาปและหมึกยักษ์ที่รู้วิธีใช้เก้าอี้ขัดกลอนประตูได้พร้อมกัน ไม่สติแตกก็ให้รู้กันไป

 

 

“นี่คือโทนี่ เพื่อนรักของข้าเอง”

 

 

หมึกยักษ์ที่ดันมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือได้ไต่ขึ้นโต๊ะกลางสำหรับเตรียมอาหารแล้วยื่นหนวดข้างหนึ่งมาให้อย่างขึงขัง เก็นเลยเผลอยื่นมือออกไปจับอย่างลืมตัว กลายเป็นว่าขณะนี้พ่อครัวหนุ่มและปลาหมึกกำลังทักทายกันอย่างเป็นทางการยิ่ง สำหรับเก็นผู้เคยผจญภัยมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ นี่เป็นประสบการณ์เหนือจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว

 

 

“ส่วนนี่คือพ่อครัวที่ข้าเล่าให้ฟังไง เชื่อข้าเถอะน่าเขาช่วยเราได้แน่นอน”

 

 

ประโยคนี้เธอพูดกับโทนี่ไม่ผิดแน่ เพราะหลังจากเขย่ามือเขาเสร็จ หมึกยักษ์ก็ขยับหนวดดุ๊กดิ๊กไปทางเงือกสาว สนทนาในแบบที่รู้กันแค่สองตน

 

 

“อ่อ เขาชื่อ...” ลากคำ เว้นช่วง สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ “...ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ”

 

 

“...”

 

 

เก็นกำลังคิดจะใช้ฝ่ามือแปะเข้าที่หน้าผากอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่กลายเป็นว่าโทนี่ชิงทำกับตนเองเสียก่อน

 

 

ยัยเงือกแก่แดดตนนี้คิดจะมาขอความช่วยเหลือโดยที่ไม่รู้ชื่อเขาเลยเนี่ยนะ จะไว้ใจคนง่ายเกินไปหน่อยแล้ว เกิดเขาหลอกไปขายหรือจับเธอไปให้พวกที่อยากเปิบพิสดารเพื่อเป็นอมตะขึ้นมาทำไง

 

 

คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่คงไม่ต้องดุอะไรหรอกมั้ง เพราะแค่ที่โทนี่กระฟัดกระเฟียดอยู่นี่ก็ทำให้เงือกสาวจ๋อยมากพออยู่แล้ว เธอพึมพำขอโทษ แต่ดูเหมือนแค่นั้นจะยังสาแก่ใจเจ้าหมึกยักษ์มันจึงได้ฟาดหนวดใส่ไหล่บางไปเสียหลายที

 

 

อย่างที่ว่าละนะ เขาไม่กล้ารับปากว่าจะช่วยแก้คำสาปได้สำเร็จก็จริงแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้เหมือนกัน

 

 

พ่อครัวหนุ่มเดินเข้าไปใกล้บ่อหิน ย่อตัวลงเพื่อให้ระดับสายตาใกล้เคียงกัน

 

 

“เก็น ข้าชื่อเก็น”

 

 

เพียงถ้อยคำเรียบง่ายเหล่านั้นเธอก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันใด สีเขียวในดวงตานุ่มนวลไม่ต่างจากฟองคลื่น เสียงใสกล่าวเอ่ย

 

 

“ข้าลอเรไลนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”