5 ตอน บทที่ 5 ให้ทะเลโอบกอดเธอ (ต่อ)
โดย กิระ
Chapter 5 ให้ทะเลโอบกอดเธอ (ต่อ)
สามวันผ่านไปหลังจากการพูดคุยครั้งนั้นในห้องสมุด มาริสซ่าดูมีชีวิตชีวามากกว่าเคย เธอไม่ได้หัวเราะร่าเริงหรอก แต่แววตาดูมีประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับวันแรกที่เจอกัน ชาร์ลีเก็บความสงสัยนี้ในใจเพราะยังไม่มีจังหวะที่ดีในการคุยกับเธอ ชายหนุ่มมักถูกแม่ไม่ก็พ่อของเขาชวนให้มาทำนู่นทำนี่ด้วยกัน แม่ของเขาชวนมาชิมเค้กที่อบบ้าง ส่วนพ่อเขาก็ชวนขึ้นขี่ม้าตามชายหาดกันด้วยบ้าง ชาร์ลีอดเหม่อมองไปยังน้ำทะเลสีฟ้าครามนั้นไม่ได้ เขาถามในใจ
เธอคือเสียงนั้นจริงไหม
และแล้วคืนหนึ่งชาร์ลีก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นบนชายหาดโดยหวังว่าเขาจะมาก่อนมาริสซ่า ชายหนุ่มละเลียดเท้าลงบนทรายเปียกสีเทา รู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มเท้าและน้ำทะเลที่ถูกซัดเข้ามาเป็นจังหวะ คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ดวงดาวจึงสว่างกว่าคืนไหนๆ สายลมพัดผ่านตัวเขาไปทำให้หนาวไปหน่อย แต่ชาร์ลีไม่รังเกียจมัน
“เธอมาที่นี่” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น นั่นคือมาริสซ่าที่กำลังเดินมาทางเขา ชาร์ลีพยักหน้าตอบ
“ช่วงนี้พี่ดูสดใสขึ้นนะ”
“จริงเหรอ” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง “คงตั้งแต่ฉันได้ของขวัญชิ้นนั้นจากเธอ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ของขวัญเหรอครับ”
หญิงสาวหัวเราะเล็กน้อย “ใช่แล้วล่ะ เธอมอบหอยสังข์ให้ฉันหนึ่งขอน มันสวยมากเลยล่ะ ฉันวางมันไว้บนหัวเตียง”
ชาร์ลีเอียงคอสงสัย “หมายถึงเสียงนั้นมอบให้พี่เหรอ”
“ใช่แล้วจ้ะ”
“แล้วพี่ได้ถามเธอไหมว่าเธอเป็นใคร”
มาริสซ่านิ่งเงียบ ก่อนจะตอบว่า “ขอโทษนะ ฉันสัญญากับเธอแล้วว่าจะเก็บเรื่องของเราเป็นความลับ”
ชาร์ลีพยักหน้ารับรู้ เขาไม่คะยั้นคะยอถามต่อ จากประสบการณ์การตามล่าสิ่งมีชีวิตลึกลับมาหลายปี เขาเรียนรู้ที่จะใจเย็นและเคารพสิ่งนั้นๆ หาก’เธอ’ยังไม่อยากปรากฏตัวให้เขาเห็น เขาก็จะไม่บังคับให้เธอเผยตัวออกมา แต่เขาจะรอให้เธอไว้ใจเขามากพอที่จะแสดงตนให้เห็น
ทว่าชาร์ลีไม่คิดว่าเจคอบจะใจเย็นเท่าเขา ชายหนุ่มก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ว่าเขาจะปฏิบัติกับเงือกราวกับพวกเธอเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง บริเตนเชื่อว่าตนเองกำลังเป็นชาติที่ล้ำหน้าด้านเทคโนโลยี พวกเขาจะพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นแน่ๆ ชาร์ลีสนใจศึกษาเกี่ยวกับนางเงือกก็จริง แต่เขาไม่ได้มีอุดมคติเดียวกับเบื้องบน
“ทุกครั้งที่ฉันเงี่ยหูเข้าไปใกล้หอยสังข์ขอนนั้น ฉันได้ยินเสียงของเธอคนนั้น” มาริสซ่ากุมอกข้างซ้ายของตนเอง “ฉันรู้สึกเหมือนได้คุยกับเพื่อนตลอดเวลา มันช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ ”
“งั้นเหรอครับ” ชาร์ลียิ้มให้
“เธอบอกว่าให้ฉันมาที่นี่เพื่อพบเธอ แต่…” หญิงสาวเว้นช่วง หันมามองเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“แต่เธออยากเจอพี่คนเดียวใช่ไหมครับ”
มาริสซ่าพยักหน้า ชาร์ลีเข้าใจดี ถึงจะอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนก็ต้องรู้จักรุกรู้จักถอย เขายอมกลับไปยังบ้านพักตากอากาศแต่โดยดี ปล่อยให้มาริสซ่าและเพื่อนคนใหม่ของเธอสนทนากันท่ามกลางแสงดาวและลมทะเล
วันนั้นเป็นบ่ายวันอาทิตย์ที่สงบสุข ท้องฟ้าไร้เมฆ อากาศสะอาดบริสุทธิ์ ครอบครัวแอนเดอร์สันไปยังโบสถ์ประจำเมืองด้วยกันก่อนที่จะกลับมาทานของว่างที่บ้าน ทุกอย่างดูจะเป็นวันที่สุขสันต์ จนกระทั่งจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาให้มาริสซ่า แอนเดอร์สัน จ่าหน้าบอกว่าส่งมาจากครอบครัวของเธอ
มันเป็นวันที่สงบสุขจริงๆ จนกระทั่งหญิงสาวปล่อยน้ำตาออกมา มือที่ถือจดหมายใบนั้นสั่นเทา
“เป็นอะไรไปเหรอลูก” คุณนายแอนเดอร์สันถามอย่างห่วงใย
“พ่อแม่ของหนู พวกท่านเสียแล้วค่ะ”
แล้ววันอันสดใสก็มืดมัวลงทันที มาริสซ่าลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ขังตัวอยู่ในนั้น เธอทุ่มตัวลงบนฟูกนุ่มกลางห้องก่อนจะได้ยินเสียงหวานจากหอยสังข์นั้น
‘ชู่ว์ ชู่ว์ ฉันอยู่ตรงนี้’ เสียงนั้นปลอบโยน มาริสซ่ารู้สึกเหมือนราวกับมีมือมาลูบหัวเธออย่างแผ่วเบา มันแผ่ไออุ่นไปถึงหัวใจ
“ทำไมกัน ทั้งๆ ที่วางแผนเอาไว้แล้ว” เธอสะอื้น “คราวนี้ฉันจะทำยังไง”
ก่อนหน้านี้หญิงสาวได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่กลับไปหาสามีเธอเป็นอันขาด และเธอเองก็จะไม่ยอมทนอยู่ในบ้านแอนเดอร์สันอีกด้วย เธอจะหย่าและกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของเธอ ใช้ชีวิตคนเดียวอย่างสงบสุข อย่างไรเสียคนที่ควรจะอับอายไม่ใช่ภรรยาที่ทำหน้าที่ของตัวเองครบถ้วนแล้ว แต่คือสามีที่ไปมีอื่นต่างหาก ทว่าตอนนี้หญิงสาวไม่มีใครให้พึ่งพิงอีกแล้ว เธอเป็นสมาชิกคนสุดท้ายในครอบครัวของเธอเอง หนทางการใช้ชีวิตบนโลกนี้ยากลำบากขึ้นมาทันที
มาริสซ่ายอมรับว่าตัวเองกลัว เมื่อพ่อแม่ของเธอไม่อยู่แล้ว แอนเดอร์สันจะทำอะไรก็ได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ จากเดิมที่สามีเธอไร้ยางอายอยู่แล้ว ตอนนี้คุณและคุณนายแอนเดอร์สันคงไม่ไว้หน้าเธออีก
‘ถ้าชีวิตบนบกยากลำบากขนาดนั้นล่ะก็ มาอยู่กับฉันดีไหม’
มาริสซ่าเงยหน้าขึ้นมาจากฟูกนุ่ม แต่เธอไม่ได้ตอบอะไร
‘อย่างที่ฉันเคยบอก ฉันก็เคยเป็นเหมือนเธอ’
มาริสซ่าจำเรื่องราวที่เพื่อนของเธอเล่าให้ฟังได้ เรื่องราวในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ เรื่องราวก่อนที่เธอจะได้แหวกว่ายอย่างอิสระในท้องทะเล เพื่อนคนนี้ของเธอเองก็ชีช้ำจากรัก ชายที่เธอรักทำร้ายเธออย่างให้อภัยไม่ได้ สุดท้ายแล้วเธอจึงเลือกที่จะกระโดดลงสู่ท้องทะเลเพื่อให้ร่างกายและหัวใจของเธอเป็นอิสระจากบ่วงทุกอย่าง
‘ฉันอยากช่วยเธอนะ มาริสซ่า ครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอที่ชายหาด ฉันเหมือนเห็นตัวเองซ้อนทับกับเธอ’
หญิงสาวยังอ้ำอึ้ง จริงอยู่ที่การละทิ้งชีวิตบนบก หลบหนีจากสายตาของสังคม และใช้ชีวิตตามใจอยากใต้ท้องทะเลจะเป็นข้อเสนอที่เย้ายวน แต่ก็ยังมีบางสิ่งบนพื้นโลกนี้ที่เธอยังละไม่ได้ รวมถึงยังมีอีกหลายสิ่งในทะเลที่เธอหวาดกลัว มันทั้งมืด ลึก และหนาวเย็น เธอจะอยู่ในสถานที่อย่างนั้นได้อย่างไร หญิงสาวยังอยากสัมผัสแสงแดดยามเช้า ดมกลิ่นดอกไม้ และกินขนมหวานอบใหม่ๆ อยู่ เธอยังไม่พร้อมที่จะละทิ้งชีวิตสะดวกสบายบนนี้ไปหาท้องทะเลลึก
เหมือนกันอ่านใจได้ เสียงนั้นกล่าวว่า
‘ไม่ต้องรีบตัดสินใจหรอก ท้องทะเลยังอยู่ที่นี่เสมอ’
“ร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม” มาริสซ่าร้องขอ เธออยากนอนหลับเสียตอนนี้จะได้ไม่ต้องคิดอะไร และบทเพลงของนางเงือกก็ช่วยเธอได้เสมอ
‘ได้สิ’
หลับเถิดหนาคนดี
ให้คลื่นชลธีกล่อมเจ้าไป
ดวงใจดวงน้อยบอบช้ำของเจ้า
ข้าจะเฝ้าดูแลมิให้ร้าว
คนเอ๋ยคนดีของข้า
มาเถิดมาสู่อ้อมอกของทะเล
เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้นในบ้านพักตากอากาศของเหล่าแอนเดอร์สัน ชายหนุ่มร่างสูงองอาจก้าวเท้าลงมาจากรถม้า แม้โครงหน้าจะมีเค้าโครงชัดเจนดูเข้ม แต่ผมสีบลอนด์จางและดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเหมือนกับน้องชายของเขาไม่มีผิด ชายผู้นี้คือเอ็ดการ์ด แอนเดอร์สัน
“มาริสซ่าอยู่ที่ไหน” เขาถามพ่อบ้าน บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่กว้าง ชายหนุ่มสวมสูทสีแดงฉูดฉาด รองเท้าแฟชั่นนำสมัย ชายชราผู้เป็นผู้บ้านเห็นแล้วกระอักกระอ่วนใจ คุณชายของเขาคงยังไม่รู้ข่าวร้ายเกี่ยวกับครอบครัวทางฝ่ายภรรยาของเขา
“คงอยู่ในห้องเดิมนั่นสินะ ฉันไปเอง” ไม่รู้ชายหนุ่มใจร้อนมาจากไหน เขาสาวเท้าขึ้นไปชั้นบนทันที
ชาร์ลีที่ได้ยินเสียงเอะอะด้านล่างลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย เขาไม่ใช่คนชอบตื่นเช้าหรอก แต่ถ้าตื่นสายจะพลาดอาหารเช้าร้อนๆ น่ะสิ ทว่าเขากลับได้ยินเสียงแสนคุ้นเคยมาจากด้านล่างจึงออกจากห้องมาชะโงกหน้าดูจากระเบียง เขาเห็นร่างสูงเดินขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็วก็สะอึกทันที
“พ–พี่ มาที่นี่ได้ไง” เขาเบิกตากว้างแทบไม่เชื่อสายตา
“นายทำหน้ายังกับเห็นผี ฉันจะมาที่นี่ไม่ได้รึไง” เอ็ดการ์ดตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ และเขาก็หมุนตัวไปยังอีกฟากหนึ่งของทางเดิน
ถ้าให้มาริสซ่าและเอ็ดการ์ดพบกันตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ไวเท่าความคิด ชาร์ลีตะโกน
“เดี๋ยวก่อนพี่”
แต่อีกฝ่ายทำเป็นหูทวนลม น้องชายอย่างเขาจึงต้องวิ่งตามในสภาพที่ยังอยู่ในชุดนอน เอ็ดการ์ดขายาวแถมยังสุขภาพดีกว่าเขามาก ไม่กี่ก้าวเขาก็มาถึงหน้าห้องของมาริสซ่าแล้ว ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปโดยไม่เคาะสักนิดก่อนจะอ้าแขนฉีกยิ้มกว้าง
“โอ้ มาริสซ่า ฉันมาแล้ว”
ชาร์ลีที่เพิ่งตามพี่ชายของตัวเองทันหอบหายใจอยู่ด้านหลัง สายตาของเขามองเข้าไปในห้อง หญิงสาวในชุดสีดำนั่งอยู่ที่ปลายเตียงพร้อมกับกระเป๋าใส่สัมภาระของเธอ มาริสซ่าคงเตรียมตัวไปงานศพของพ่อแม่ ภาพที่เขามองอยู่ตอนนี้เหมือนเป็นเรื่องตลกร้าย ฝ่ายหนึ่งใส่ชุดดำล้วน สีหน้าหม่นหมอง อีกคนใส่ชุดสีแดงพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ที่รัก ฉันมารับเธอกลับแล้ว” ชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้าไปในห้อง เขาโอบไหล่ภรรยาของเขาที่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เธอหันมามองใบหน้าของเขาอย่างเชื่องช้า
“พ่อแม่ของฉันเสียแล้ว”
“โถ่ เสียใจด้วย” เอ็ดการ์ดลูบไหล่บางนั้น “แต่ฉันมีข่าวดีมาบอก พวกเราไม่ต้องหย่ากันแล้ว เรากลับไปบ้านเรากันเถอะ”
มาริสซ่าปัดมือที่สัมผัสเธออยู่ออก “พ่อแม่ของฉันเสีย ฉันจะไปงานศพท่าน”
ชาร์ลีเฝ้ามองทั้งคู่อยู่ ในใจสังหรณ์ว่าเรื่องไม่ดีจะต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ เอ็ดการ์ดที่ไม่เคยได้รับความเฉยชาจากภรรยากลืนน้ำลายหนึ่งอึก แต่เขาก็ยังพยายามพูดต่อ
“ใบหย่าที่ผมส่งให้ล่ะ อยู่ไหนแล้ว ฉันคิดว่าในเมื่อพวกเราไม่ต้องการมันแล้ว ก็ทิ้งมันไปเสีย”
คราวนี้หญิงสาวในชุดดำผุดลุกขึ้น เธอหยิบกระดาษในหนึ่งขึ้นมาแสดงให้ชายหนุ่มทั้งสองได้เห็น
“ฉันเซ็นใบหย่านี้แล้ว"
ชั่วพริบตาหนึ่งที่เอ็ดการ์ดจิปาก แต่เขาก็กลบเกลื่อนมันด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาหยีจนแทบเป็นรูปจันทร์เสี้ยวเมื่อเขาถือวิสาสะคว้าใบหย่าออกจากมือของมาริสซ่า ก่อนที่จะฉีกมันต่อหน้าต่อตาทุกคนในห้อง
แคว้ก
มาริสซ่ามองกระดาษใบนั้นถูกฉีกเป็นสองท่อน แล้วก็สี่ท่อน แปดท่อน เศษกระดาษโปรยปรายตกลงมายังพื้นพรมนุ่ม หลังม่านฝนกระดาษนั้นคือรอยยิ้มกว้างที่เธอมองแล้วคลื่นไส้ หญิงสาวรู้สึกเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายของเธอ น้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดเธอก็ทนกับความเอาแต่ใจไร้ยางอายของคนตรงหน้าไม่ได้
“ฮึ คิดเหรอว่าฉันจะกลับไปเป็นเมียโง่ๆ ให้คุณหัวเราะเล่น” หัวสมองของเธอแล่นอย่างรวดเร็ว สายตามองชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วย้อนขึ้นมาดูใบหน้าโง่ๆ นั่นอีกครั้ง เธอแค่นหัวเราะ
“ที่ไม่หย่ากับฉันก็เพราะหวังฮุบสมบัติของพ่อแม่ฉันล่ะสิ ทันทีที่พวกท่านเสียก็รีบวิ่งมาหาฉันเลยนะ”
ชาร์ลียืนตะลึงตึงงันอยู่ที่หน้าประตู มาริสซ่าไม่เคยขึ้นเสียงดังขนาดนี้มาก่อน เธอเป็นผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวาน ไม่นานนักเหล่าสาวใช้ก็มารุมหน้าห้องเพื่อดูเหตุการณ์ ส่วนพ่อบ้านใหญ่เมื่อได้ยินเสียงตวาดจากในห้องก็รีบแจ้นไปหานายใหญ่ของบ้าน
“ฉันคิดนะว่าถ้าพ่อแม่ไม่บังคับ ฉันคงไม่แต่งกับผู้ชายแบบนี้หรอก” เธอส่งสายตาเหยียดรังเกียจ “หน้าไม่อาย มีดีแค่เชิดชูหน้าตาตัวเองไปวันๆ แต่ชื่อเสียงของภรรยาตัวเองกลับป่นปี้ นี่ฉันยังไม่เล่าให้พ่อแม่คุณฟังนะว่าคุณพาผู้หญิงอื่นมานอนกกในบ้านกลางวันแสกๆ “
เอ็ดการ์ดเป็นชายหนุ่มที่ได้รับความนับถือจากสังคม การที่เขาเป็นหนุ่มเนื้อหอมเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่เขาทำไปวันนั้นก็แค่อยากหยอกแกล้งภรรยาของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มยอมรับว่าการได้เห็นสีหน้าอื่นจากภรรยาของเขาบ้างเป็นเรื่องบันเทิง แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะต่อว่าเขารุนแรงแบบนี้
ได้ ถ้าเธออยากหาเรื่อง เขาก็จะสนองให้
“คิดว่าจะมีคนเข้าข้างคุณเหรอ บ้านหลังนี้เป็นของฉัน คนที่นี่เป็นของฉันทั้งนั้น”
เขาหยิบเสื้อผ้าของมาริสซ่าขึ้นมา
“เสื้อผ้าดีๆ ที่มีใส่อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเงินของฉัน ชีวิตเธอถ้าไม่มีสามีดีๆ แบบนี้คงเป็นอิแก่ไม่มีใครเอาไปแล้ว นี่คิดจะทรยศน้ำใจที่ฉันเลี้ยงดูเธอมาหลายสิบปีอีก”
หญิงสาวไม่มีคำพูดใดที่จะโต้เถียงชายหนุ่มได้ ที่เขาพูดมาถูกต้องทั้งหมด เสื้อผ้า ของใช้ บ้าน ล้วนแต่เป็นทรัพย์สินของเอ็ดการ์ดทั้งนั้น เธอไม่เคยหาเงินเข้าบ้านแม้แต่เม็ดเดียว ไม่มีใครสอนเธอทำงานเสียหน่อย ตั้งแต่เล็กจนโตสิ่งเดียวที่หญิงสาวเรียนรู้คือการดูแลบ้านเรือนให้ดี เป็นภรรยาและแม่ที่เพียบพร้อม แต่ไม่เคยมีใครสอนให้เธอยืดหยัดอยู่ด้วยตัวเอง
เอ็ดการ์ดสาธยายบุญคุณทั้งหมดตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกัน แล้วนิ้วของเขาก็ชี้ตรงมาที่ใบหน้าเธอ
“ส่วนเธอเองก็เป็นของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้”
วินาทีนั้นเองที่เหมือนสติของมาริสซ่าขาดผึง ใจสู้ของเธอห่อเหี่ยวเหมือนลูกโป่งแฟ่บ หากข้าวของทุกอย่างที่เธอใช้เป็นของสามีเธอล่ะก็ นั่นหมายความว่าตัวเธอเองก็เป็นของเขาด้วยหรือเปล่า หากไม่มีเอ็ดการ์ดเธอก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ทุกวันนี้
‘เธอไม่ได้เป็นของใคร ไม่ต้องฟังคำของใครทั้งนั้น’ เสียงหวานเข้ามาในโสตประสาทของหญิงสาว มาริสซ่าหันไปหาหอยสังข์ขอนนั้นทันที เธอหยิบมาขึ้นมาแนบอก
“ใช่ ฉันเกือบลืมไปเลย ขอบคุณนะ” เธอกระซิบบอกหอยสังข์ในมือ
เอ็ดการ์ดไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาเห็นคือภรรยาของเขาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟกลับสงบลงเหมือนกลายเป็นคนละคน แล้วเธอก็ยังพูดอะไรใส่หอยสังข์นั่นอีก เธอเป็นบ้าไปแล้วรึยังไง
ชาร์ลีที่รู้เรื่องเกี่ยวกับเสียงในหอยสังข์รีบเข้ามาคั่นระหว่างทั้งสองในจังหวะที่การทะเลาะเบาลง เขาเผชิญหน้ากับพี่ชายของตัวเองก่อนบอกว่า
“ผมว่าพี่ลงไปหาพ่อกับแม่ก่อนดีกว่าครับ พวกท่านสงสัยเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ดี ฉันจะได้ไปบอกพวกท่านด้วยว่าฉันจะรับมาริสซ่ากลับไปที่บ้าน” ชายหนุ่มพูดเสียงดังเหมือนอยากให้หญิงสาวได้ยิน ทว่ามาริสซ่าเหมือนตกอยู่ในโลกที่มีแค่เธอเท่านั้น หล่อนหลับตาพริ้มเอาหูแนบกับหอยสังข์ คิ้วของเอ็ดการ์ดกระตุกด้วยความขุ่นข้องใจ
“บอกพี่ทีว่าเธอไม่ได้เป็นบ้าไปแล้ว”
ชาร์ลีหันไปมองภาพนั้น
“ผมก็ตอบไม่ได้ครับ”
พ่อแม่และลูกชายทั้งสองนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะน้ำชา สโคน แยม และชาชั้นดีถูกน้ำมาเสิร์ฟถึงที่ เอ็ดการ์ดขอกาแฟแทน เขายกของเหลวหอมกรุ่นขึ้นจิบหนึ่งทีก่อนจะเปิดปากพูด
“เธอเป็นแบบนี้มานานหรือยัง”
คุณและคุณนายแอนเดอร์สันมองหน้ากันขมวดคิ้ว “เธอก็ปกติดีมาตลอด ก็มีแค่เศร้าซึมแค่นั้น”
เอ็ดการ์ดเลิกคิ้ว “แล้วหอยสังข์นั่นล่ะ มีมานานหรือยัง”
คำถามนี้เองที่คุณและคุณนายแอนเดอร์สันก็ตอบไม่ได้ ชาร์ลีนั่งเหงื่อตกอยู่คนเดียว เขาไม่รู้ว่าจะพูดออกไปดีไหมว่าหอยสังข์นั่นคืออะไร แต่ไม่วายถูกหัวเราะเยาะแน่ พี่ชายของเขาไม่เชื่อเรื่องแบบนี้สุดขีด ก็มีเพียงแต่จะตีตราหญิงสาวว่ามีอาการทางจิตเท่านั้น
“บางทีพี่น่าจะลองไปขอโทษเธอบ้างนะ” ชาร์ลีเอ่ยเท่าที่หัวของเขาจะคิดได้
“ไม่อ่ะ ถึงเธอจะเป็นภรรยาว่านอนสอนง่ายมาตลอด แต่คงต้องสั่งสอนที่ขึ้นเสียงกับฉันบ้าง” เอ็ดการ์ดหันมาสอนน้องชาย
“ต่อไปนายแต่งงานมีเมียก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน คงไม่อยากให้เมียกลายเป็นใหญ่แทนจริงไหมล่ะ”
แล้วทุกคนบนโต๊ะก็หัวเราะ ชาร์ลีฝืนยิ้มแห้งไป ดวงตาของเขาเสมองออกนอกหน้าต่างแก้เขิน แต่ตาเจ้ากรรมดันไปเห็นร่างหนึ่งที่กำลังเดินตรงไปยังหน้าผาสูง ร่างนั้นเป็นเจ้าของผมสีทองสว่างสวย แค่มองจากด้านหลังชาร์ลีก็รู้ว่านั่นคือพี่สะใภ้ของตัวเอง
ทันใดนั้นเขาก็เหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวที่สภาพจิตใจบอบช้ำกำลังเดินตรงไปยังหน้าผาสูงอันตรายทันทีหลังที่เธอทะเลาะกับสามี แถมยังมีหอยสังข์จากเพื่อนปริศนาในมืออีก ชาร์ลีหวนนึกถึงตำนานหลายเรื่องเกี่ยวกับภูตผีพรายน้ำที่ล่อลวงมนุษย์ลงสู่ความลึกบาดาล พวกเขามักจะฉวยโอกาสที่มนุษย์จิตใจอ่อนแอชักจูงไป ชาร์ลีเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น เขารีบผุดลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ววิ่งออกไปในขณะที่คนที่เหลือบนโต๊ะมองอย่างุนงง
“จะไปไหน” เอ็ดการ์ดตะโกนถาม
ชาร์ลีเหมือนพูดไม่ออก เขาทำมือไม้ชี้ออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะพุ่งตัวออกไป คนที่เหลือบนโต๊ะก็มองตามมือชารืลีแต่ไม่ยักจะเห็นอะไร จนคุณแอนเดอร์สันที่สายตายาวสังเกตเห็นผมสีทองสว่างนั่น
“มาริสซ่าไปอยู่ตรงนั้นทำไม” เขาเอ่ย
“ไหน” เอ็ดการ์ดผุดตัวลุกขึ้นจากที่นั่งไปใกล้หน้าต่าง เขาหยีตามองและพบว่าร่างผอมบางของน้องชายเขากำลังวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหาอีกร่างหนึ่งที่เดินด้วยความเร็วปกติ พอเพ่งมองดุอีกทีก็จำได้ว่านั่นคือภรรยาของเขานั่นเอง
“ผมต้องไปซักหน่อยแล้ว” เอ็ดการ์ดเดินเร็วออกไปจากตัวบ้าน จากเดินเร็วก็เปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะ ชายและหญิงชราทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งและจิบน้ำชาต่อ
ชาร์ลีหอบหายใจแฮก เขาตะโกนออกไปทั้งๆ ที่แทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้ว
“พี่ รอก่อน” อีกนิดเดียวเท่านั้นชาร์ลีก็จะคว้าแขนของหญิงสาวได้ เขาถีบตัวสุดแรงไปยังร่างตรงหน้า มือของเขาจับหมับเข้าที่ไหล่ของหญิงสาวจนเธอต้องหันหลังกลับมามอง
“ชาร์ลี” เธอเอ่ยพลางระบายยิ้มออกมา เธอดูสงบนิ่ง แน่วแน่ ดวงตาฉายแววคมกล้าเด็ดเดี่ยวออกมาครั้งแรกในชีวิต
“อย่าไปเลยนะ ยังมีหนทางที่พี่จะมีความสุขได้อีก” เขาพยายามโน้มน้าวไม่ให้หญิงสาวทำอะไรก็ตามที่เธอคิดจะทำ มาริสซ่าละมือข้างหนึ่งที่โอบหอยสังข์ไว้มากุมมือของชายหนุ่ม เธอกระชับมันแน่น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเลือกแล้ว ขอบคุณมากนะที่คอยอยู่เป็นเพื่อนพี่มาโดยตลอด”
“หอยสังข์นั่น เสียงนั้นเธอคือใครกันแน่”
มาริสซ่าลูบไล้เปลือกหอยสีเหลื่อมรุ้งนั้นอย่างละมุนละไม “เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วชาร์ลี เธอกำลังรอฉันอยู่ด้านล่าง แล้วเราจะได้อยู่อย่างมีความสุข”
“มาริสซ่า!” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ในที่สุดเอ็ดการ์ดก็ตามสองคนนี้ทัน เขาเข้ามาคว้าแขนของหญิงสาวไว้ กระชากเธอให้มาทางเขา
“ทำบ้าอะไรน่ะ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่ม เธอแค่นหัวเราะ “ฉันไม่ได้บ้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง”
สายตาของหล่อนบ่งบอกไปหมดแล้ว ว่าการแต่งงาน การเป็นภรรยา รวมถึงการที่เคยรักเอ็ดการ์ด แอนเดอร์สันเป็นเรื่องผิดพลาดในชีวิต และนี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง ที่สมควรทำ เป็นตัวเลือกที่หญิงสาวเลือกเองและเพื่อตัวเธอเองเท่านั้น
ไม่รู้ว่าหญิงสาวบอบบางคนนี้เอาแรงมาจากไหน เธอสลัดตัวเองออกจากชายร่างใหญ่ ก่อนจะวิ่งตรงไปที่สุดขอบหน้าผา ชายหนุ่มทั้งสองรีบพุ่งเข้าไปคว้าร่างนั้นไว้ แต่ไม่ทันเสียแล้ว ชาร์ลีและเอ็ดการ์ดก้มลงมองร่างนั้นค่อยๆ ร่วงหล่นลงไป เสี้ยวหนึ่งพวกเขาเห็นรอยยิ้มของเธอ ไม่รู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มสมน้ำหน้าหรือรอยยิ้มจากลา หรืออาจจะเป็นทั้งสอง ไม่นานร่างก็กระทบเข้ากับทะเลสีคราม หญิงสาวกระโดดลงไปอย่างมั่นใจว่าทะเลจะต้อนรับเธอ มาริสซ่าได้มอบตัวเข้าหาอ้อมอกของทะเลแล้ว สลัดบ่วงทุกอย่างบนบก ในที่สุดเธอก็จะได้ใช้ชีวิตที่เป็นของเธอเองเสียที
เอ็ดการ์ดไม่คิดว่าภรรยาของเขาจะฆ่าตัวตาย จู่ๆ ก็เหมือนรู้สึกมีน้ำหนักล่องหนกดลงบนตัวเขา ชายหนุ่มทั้งสองเซล้มนั่งลงกับพื้นหญ้า ไม่มีใครสบตากับใคร พวกเขามีเรื่องที่ต้องคิดอีกมาก มีความรู้สึกมากมายที่ต้องจัดการ
“เราจะบอกทุกคนว่าเธอวิกลจริตจนฆ่าตัวตาย” ในที่สุดแอนเดอร์สันผู้พี่ก็พูดอะไรออกมา
ชาร์ลีไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจคัดค้านอยู่แล้ว เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเงียบๆ ทว่าเมื่อใดที่เขาได้จับปากกาเขียนบันทึกล่ะก็ คงต้องอธิบายให้หมดไม่มีหมกเม็ด ทั้งเรื่องเสียงปริศนา หอยสังข์ รวมถึงเรื่องที่มาริสซ่าพูดว่า ‘เธอ’รออยู่ด้านล่าง
เขายังมีเรื่องให้คิดวิเคราะห์อีกเยอะ ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้มาเจอคดีที่อาจจะเกี่ยวกับนางเงือกเสียเอง เหมือนหญิงสาวในหมู่บ้านประมงนั่นที่คนลือว่ากลายเป็นนางเงือก เรื่องราวของมาริสซ่าเองก็เป็นเช่นนั้นรึเปล่านะ
ถ้าหากเขาลองนั่งรอเธออยู่ที่ชายหาดกลางดึก จะได้มีโอกาสเห็นเงือกเจ้าของเรือนผมสีทองสว่างแสนคุ้นเคยหรือเปล่านะ
ร่างของหญิงสาวจมดิ่งลงสู่ท้องทะเล แรงโน้มถ่วงช่วยให้เธอลงมาลึกอยู่แล้ว ทว่าแทนที่ร่างกายจะลอยขึ้น กลับดิ่งลงๆ มาริสซ่าฝืนลืมตาขึ้นในน้ำทะเล สิ่งที่เธอเห็นเป็นเพียงภาพเลือนรางเท่านั้น เงาดำหลายร่างกำลังล้อมเธอไว้อยู่ หญิงสาวมองไม่ได้ชัดแต่นั่นคือสิ่งมีชีวิตครึ่งมนุษย์ครึ่งปลา พวกหล่อนมาพร้อมกับมาลัยจากสาหร่ายและดอกไม้ทะเลราวกับจะต้อนรับผู้มาใหม่
เงือกตนหนึ่งเจ้าของผิวและผมสีซีดว่ายเข้ามาใกล้มนุษย์สาว เธอประคองใบหน้าของมาริสซ่าอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหวานแสนคุ้นเคยออกมาว่า
“ยินดีต้อนรับ มาริสซ่า”
Comments (0)