Chapter 1 ชาร์ลี แอนเดอร์สัน

 

ลมทะเลพัดเอากลิ่นเกลือเข้าปอด ทหารเรือหนุ่มสูดหายใจพลางมองท้องฟ้าเดือนมืด เกลียวคลื่นโอบล้อมตัวเรือลำใหม่นี้ มันเป็นหนึ่งในเรือเหล็กลำแรกๆ ที่บริเตนผลิตขึ้นแข่งกับศัตรูตัวฉกาจอย่างฝรั่งเศส เมื่อชายหนุ่มได้อวดให้เพื่อนรู้ว่าตนจะมีโอกาสได้เหยียบขึ้นไปบนเรือไฉไลลำนี้ เขาสัมผัสได้ถึงสายตาชื่นชมจากคนรอบข้าง แค่เมื่อนึกถึงหญิงงามคนหนึ่งที่เฉลียวมองและส่งยิ้มให้เขาเมื่อได้ยืนสิ่งที่เขาพูด ทหารหนุ่มก็อดอมยิ้มไม่ได้

 

ตอนนี้พวกเขาทอดสมอเรือไว้ แต่เมื่อเรือเหล็กนี่โลดแล่นในทะเล หัวเรือแหลมของมันแหวกทะเลออกเป็นสองฝั่งตัดผ่านผืนน้ำราวกับมันเป็นแค่กระดาษ พุ่งตัวไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่แรงพายจากคนไม่อาจเทียบและด้วยความสม่ำเสมอคาดเดาได้ที่สายลมไม่สามารถทำได้ นี่สินะยุคใหม่ของมนุษยชาติ ยุคแห่งความก้าวหน้าและวิทยาศาสตร์

 

"มัวยืนยิ้มหวานอย่างนี้เดี๋ยวก็ตกเรือไปหรอกไอ้หนู" ชายชราผู้มาพร้อมกับไม้ม็อบทำความสะอาดกล่าว ดวงตาฝ้าฟางจ้องตรงไปที่ทหารหนุ่ม

 

"ใครจะตกเรือกันแน่ ลุงนั่นแหละเดินระวังๆ " โชคดีที่เขายังอารมณ์ดีไม่อย่างนั้นคงฉุนที่โดนภารโรงสั่งสอน

 

"นางเงือกมันจะจับกินเอา" อีกฝ่ายกล่าว

 

ทหารหนุ่มไม่อาจกลั้นหัวเราะ ชายชรายืนนิ่งมองชายหนุ่มที่กุมท้องตัวเองเพราะความขันด้วย สีหน้าเรียบเฉยราวกับเขาพูดความจริงที่ทุกคนควรหวาดกลัวยังไงอย่างนั้น

 

"ลุงดูนะ" เขากวักมือเรียกอีกฝ่าย "เรือสูงขนาดนี้ นางเงือกจะขึ้นมากินคนได้ยังไง"

 

เขาค้ำตัวไว้กับราวเหล็ก ก้มมองดูความมืดที่ส่งเสียงว่ามันคือคลื่นน้ำ ชายชราเดินมาสมทบ แต่เมื่อก้มมองดูความสูงเรือแล้วก็รีบละออกจากขอบเรือทันที

 

"อย่าว่าแต่นางเงือกจะปีนขึ้นมาเลย จะมีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้"

 

ภารโรงชราปิดปากเงียบ คนหนุ่มสาวสมัยนี้คงไม่เชื่อกัน พวกเขาลืมตาขึ้นมาบนโลกที่เทคโนโลยีกำลังก่อร่างสร้างตัว ในยุคที่มนุษย์คิดว่าตัวเองกำลังต่อกรกับธรรมชาติได้เป็นครั้งแรก พวกเขายืดอกภูมิใจกับเรือเหล็กลำยักษ์นี้ แต่ชายชราอย่างเขาไม่เคยลืมเรื่องราวเล่าขานจากอดีต

 

แม้จะเห็นด้วยกับชายหนุ่มเกี่ยวกับความสูงของเรือลำนี้ เขาเองก็ยังไม่วางใจเท่าไหร่ เมื่อความกลัวฝังอยู่ในสมองแล้วก็ยากที่จะเอามันออกได้ ถึงจะยกเหตุผลมามันก็ยังมีความรู้สึกขนลุกขนชันเมื่อก้าวใกล้ขอบเรือ

 

"ช่วยด้วย" เสียงร้องเรียกจากเบื้องล่าง มันดังสู้เสียงเกลียวคลื่นไม่ได้แต่ดังพอที่จะสะกิดความสนใจของชายทั้งสอง

 

ทหารหนุ่มก้มลงมองผืนทะเล มันมืดเหลือเกิน เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นเสียงของชายหนุ่ม เขาอาจจะเป็นทหารที่เดินตกเรือก็เป็นได้

 

"รอแป๊บนึง เดี๋ยวหย่อนเชือกลงไป" ทหารหนุ่มรีบคว้านหาเชือกและหย่อนลงไป

 

เขาสัมผัสได้ถึงแรงกระตุกจึงดึงเชือกขึ้น นั่นคือคนจริงๆ เขาเห็นเค้าลางของมนุษย์ ทว่าไม่นานก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น สาม สี่ ห้า ไม่สิ สิบกว่าเสียงที่กำลังร้องขอให้หย่อนเชือกลงมาอีก คราวนี้มีทหารเรือเข้ามาสมทบเพิ่ม พวกเขาลงมืออย่างรวดเร็ว

 

ทหารเรือหนุ่มได้สมมุติฐานใหม่ คนเหล่านี้ไม่ใช่ทหารเรือแน่ๆ ไม่มีทหารเรือที่ไหนประมาทจนเดินตกเรือทีเดียวสิบคน พวกเขาอาจจะเป็นลูกเรือพาณิชย์ที่ถูกพวกโจรสลัดปล้นและทิ้งไว้กลางทะเล ไม่ก็พวกเขาแค่โชคร้ายเจอพายุจนเรือแตก เหล่าทหารหนุ่มดึงผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมา เมื่อร่างนั้นต้องแสงไฟสลัวจากในเรือ เขาก็ต้องขมวดคิ้วที่ชายคนนี้มีผมยาวและดวงหน้าหวาน

 

เขาไม่มีเวลาไตร่ตรองนานหรอก ร่างที่เขาเพิ่งดึงขึ้นมาจิกไหล่ของเขาแน่น เล็บทิ่มเข้าไปในเนื้อยากที่จะสลัดออกได้ สุดท้ายชายหนุ่มก็ร่วงตกลงไปตามแรงดึงจากคนที่เขาเพิ่งช่วยขึ้นมา

 

ทหารเรืออีกคนหนึ่งก้มลงพยายามหยีตามองดูให้ชัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาเห็นแขนนวลขาวสองข้างที่กำลังปีนป่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็วและใบหน้าขาเผือกที่ถูกเส้นผมเปียกปรกไว้ คนอื่นที่อยู่ด้านข้างร้องอุทานตกใจ แต่มันสายไปเสียแล้ว 'สิ่งนั้น' ขึ้นมาใกล้เหลือเกิน มันกระโจนขึ้นมาคว้าชายหนุ่มทั้งหลายลงไป

 

"ปล่อยเชือกเดี๋ยวนี้! ปล่อย!" ชายชราร้อง เขารู้ทันทีว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันไม่ใช่มนุษย์ มันใช้เสียงหลอกล่อให้พามันขึ้นมา

 

ชายชรารู้อยู่แล้วว่าตราบเท่าที่พวกเขาอยู่ท่ามกลางทะเล ไม่มีมนุษย์คนใดปลอดภัย พวกเขาอยู่ในถิ่นของพวกมัน สิ่งมีชีวิตดุร้าย ฉลาดเฉลียว น่าสะพรึงกลัว

 

ชายชราถอยห่างจากขอบเรือ แผ่นหลังของเขาชนเข้ากับประตูเหล็ก เบื้องหน้าเขาว่างเปล่า ชายหนุ่มเหล่านั้นไม่มีแม้แต่เวลาให้กรีดร้อง พวกเขาถูกทะเลกลืนกินไปหมดแล้ว

 

ลอนดอน, 1865

"ตามทฤษฎีแล้วไม่ควรมีสิ่งมีชีวิตใดที่อาศัยอยู่ในทะเลแต่ยังสามารถคงรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ไว้ได้ ยังไงสภาพร่างกายต้องเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่รอด" ชายหนุ่มขยี้ผมบลอนด์อ่อนซีดของตน มันยาวประบ่าเพราะเจ้าตัวไม่มีเวลามาใส่ใจตัดเสียให้เรียบร้อย

 

"แล้วพวกเขาหายใจใต้น้ำได้ยังไง นอกเสียจากว่าจะมีระบบหายใจสองระบบ ปอดสำหรับอากาศ เหงือกสำหรับน้ำ" ชาร์ลี แอนเดอร์สันหันตัวไปยังรูมเมทที่นอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง

 

"พวกเขาอาจจะมีระบบหายใจสองระบบจริงๆ ก็ได้"

 

"นายตั้งใจตอบให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม" เขาถอนหายใจ หลับตาลงเพื่อพักสายตาจากหน้ากระดาษและตัวหนังสือเล็กจิ๋ว

 

"ใครจะไปคิดคำตอบพวกนั้นออกล่ะ ทั้งมหาลัยนี้ ไม่สิ ทั้งโลกนี้คงมีนายคนเดียวมั้งที่หมกมุ่นอยู่กับนางเงือก"

 

ชาร์ลี แอนเดอร์สันมาจากครอบครัวมีอันจะกิน แน่นอนล่ะว่ามีแต่ครอบครัวที่ร่ำรวยเท่านั้นที่จะปล่อยให้ลูกชายตนเองไล่ค้นหาสิ่งมีชีวิตในตำนานได้ แม้ความเพ้อฝันนี้จะไม่ได้สร้างประโยชน์อันใดกับสังคม แต่ความรู้ความสามารถทางชีววิทยาของเขาโดดเด่นพอที่จะทำให้มหาลัยขึ้นชื่อแห่งนี้หันมามองเขา ตัวชาร์ลีเองก็ต้องการเรียนรู้ประสบการณ์เพิ่ม โอกาสได้พบปะกับนักวิชาการตัวเต็งของบริเตนไม่ได้หามาง่ายๆ

 

ศาสตราจารย์ที่ปรึกษาของเขาเพิ่งตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แน่นอนว่าชาร์ลีอ่านจบหมดแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานั่งคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของนางเงือกมาตลอดทั้งบ่าย นักศึกษาหนุ่มสามารถขอคำปรึกษากับศาสตราจารย์คนนั้นได้ถ้าไม่ติดเสียว่าศาสตราจารย์ผู้นั้นไม่เคยอยู่กับที่กับทาง ใช้เวลาทั้งชีวิตล่องเรือและค้นหาสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ครั้งล่าสุดที่ชายหนุ่มเจอกับศาสตราจารย์ที่ปรึกษาคนนั้นคงเป็นครั้งแรกที่เขาเจอกันกระมัง

 

เรียกง่ายๆ คือเป็นแค่ที่ปรึกษาในนามเท่านั้น

 

แต่ชาร์ลีไม่เคยหงุดหงิดกับการถูกเมินเฉยเลย มันดีเสียกว่าอีกที่ศาสตราจารย์ไม่ได้มาสนใจงานวิจัยของเขา จะได้ไม่มีคำติเตียนว่าเพ้อเจ้อ หรือตักเตือนว่าควรหยุดการค้นคว้าเกี่ยวกับนางเงือก

 

บ่ายวันนี้ก็ยังเป็นบ่ายแบบปกติที่ลอนดอนมักจะมี สีเทา อึมครึม และเปียกแฉะ นักศึกษาหนุ่มสองคนที่ไม่มีคลาสเรียนจึงทำได้แต่อุดอู้อยู่ในห้องที่แห้งและอบอุ่น เจ้ารูมเมทของเขาบอกว่าอากาศดีแบบนี้ต้องนอนงีบสักพักหนึ่งก่อนจะซุกตัวเข้าไปในผ้านวมนุ่ม ปล่อยให้เขานั่งเขย่าขาครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้คนเดียว

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของชายหนุ่มทั้งสองในห้อง

 

"ชาร์ลี แอนเดอร์สัน มีคนต้องการพบคุณ"

 

ชาร์ลีหันไปมองหน้ารูมเมทที่ปรือตาขึ้นตื่น ใครกันที่ต้องการพบนักศึกษาเพ้อฝันที่ใครต่อใครก็หาว่าบ้า ชายหนุ่มผมบลอนด์คนนี้ไม่ใช่คนชอบเข้าสังคมเสียเท่าไหร่ เขาทำใจก่อนจะเปิดประตู

 

ชายหนุ่มอายุราวสามสิบต้นๆ ในเสื้อโค้ตดำยาวยื่นมือมาทางเขา พวกเขาจับมือทักทายกัน ชาร์ลีส่งยิ้มประหม่าให้ก่อนจะคิดได้ว่านั่นทำให้เขาดูโง่เง่าจึงหุบยิ้มลง อีกฝ่ายยิ้มกลับด้วยความมั่นใจ ช่างเป็นชายที่สง่าผ่าเผยเสียจริง

 

"นี่คงเป็นคุณชาร์ลี แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับนางเงือก" ชายในเสื้อโค้ตดำกล่าว

 

"ครับ ผมเอง"

 

"มากับผมหน่อยสิ เชื่อเลยได้ว่าคุณจะต้องชอบแน่ๆ "

 

หนุ่มผมบลอนด์หันกลับไปมองรูมเมทตัวเอง เขาไม่ค่อยแน่ใจนักว่าควรจะเดินตามคนแปลกหน้าคนนั้นไปดีหรือไม่ คนที่ต้องการเจอเขาเพราะเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับนางเงือกไม่ได้โผล่มาทุกวัน ชาร์ลีกังวลว่านี่จะเป็นแค่การแกล้งอำกัน

 

"อ้อ หยิบเสื้อโค้ตกับหมวกมาด้วยนะครับ ด้านนอกมีฝนปรอยๆ อยู่" ชายแปลกหน้าตะโกนมาจากชั้นล่าง เขาคงรอชาร์ลีอยู่ที่หน้าประตูหอพักแล้ว

 

"ไปสิ เขาบอกว่ามีเรื่องที่นายต้องชอบ พนันได้เลยว่าคือนางเงือก" เจ้ารูมเมทพเยิดหน้าให้เขาเดินออกไป "บางทีพวกเขาอาจจะจับนางเงือกตัวเป็นๆ มาก็ได้นะ"

 

"พูดเป็นเล่นน่ะ" เขาตอบเช่นนั้นเพื่อบอกตัวเองไม่ให้คาดหวัง สิ่งสำคัญสำหรับการค้นหาสิ่งมีชีวิตในตำนานคือการเตรียมใจว่าสิ่งนั้นจะไม่มีจริง ความผิดหวังเป็นเพื่อนสนิทของเขาเลยล่ะ

 

แม้ปากจะตอบไปอย่างนั้น แต่มือก็คว้าเสื้อโค้ตและหมวกมาแล้ว ชาร์ลีเปิดประตูออกไป เขาไม่รู้เลยว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่เต็มไปด้วยสีฟ้าครามของท้องทะเล และสีแดงฉานของเลือดมนุษย์

 

 

เหตุการณ์น่าหวั่นพรึงที่เกิดขึ้นบนเรือเหล็กลำใหม่ของทางการถูกลงบันทึกในเอกสารลับของบริเตน ในฐานะที่พวกเขามีศักดิ์ศรีของหนึ่งในผู้นำยุคอุตสาหกรรมอยู่ในกำมือ ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมรับอย่างโจ่งแจ้งว่าสิ่งมีชีวิตในตำนานนี้มีจริง พวกเขาปิดข่าวไม่ให้มันแพร่งพรายไปถึงหูของสำนักข่าวขี้จ้อ ทว่าศักดิ์ศรีนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องบันทึกเรื่องนี้ลงเช่นกัน

 

จักรวรรดิบริเตนที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเทียบเทียมพวกเขาได้บนผืนทะเลสีฟ้า พวกเขาภูมิใจเป็นอย่างมากที่ในที่สุดก็สามารถผลิตเรือจากโลหะแข่งกับฝรั่งเศส ทรงพลัง รวดเร็ว และสมบูรณ์แบบ ทว่าทหารเรือสิบกว่าชีวิตกลับหายสาบสูญด้วยน้ำมือของสิ่งมีชีวิตในนิทานเด็ก

 

นางเงือก สิ่งมีชีวิตจากตำนาน มีคนมากมายพรรณนาถึงผิวขาวนวล ดวงหน้าหวานหยาดย้อย และเสียงทรงเสน่ห์ของพวกมัน ทว่าก็มีคนจำนวนมากพอกับที่เล่าถึงฟันแหลมคมและกะลาสีเรือที่หายตัวไปอย่างลึกลับ

 

ป่าดำมืดและต้นไม้สูงใหญ่ที่คนในอดีตต่างหวาดกลัว พวกเขาก็โค่นมันลงหมดแล้ว สิงสาราสัตว์ที่เคยเป็นที่มนุษย์เคยหวั่นผวาตอนนี้กลายเป็นพรมรองเท้าในบ้าน ไฉนเลยที่มนุษย์จะพิชิตท้องทะเลไม่ได้ นางเงือกก็เป็นเหมือนกับเสือร้ายแห่งท้องทะเล เจ้าเล่ห์เหมือนหมาป่า พวกมันฉลาดและว่องไว แต่พวกมันไม่มีดินปีน ไม่มีเครื่องจักรไอน้ำ ไม่มีวิทยศาสตร์

 

และแล้วหน่วยราชการลับบริเตนก็ได้รับมอบหมายให้สืบสวนคดีบนเรือเหล็กและกำจัดสิ่งมีชีวิตต้นเหตุนั้น โชคดีเหลือเกินที่ในหมู่ชาวบริเตนมีหนุ่มนักศึกษาผู้หนึ่งที่คลั่งไคล้เกี่ยวกับนางเงือกราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อทำงานนี้โดยเฉพาะ เจคอบนำพาชายหนุ่มที่ว่ามายังอาคารใจกลางกรุงลอนดอน ภายนอกมันเป็นแค่อาคารสำนักงานปกติ แต่หากเดินลึกลงไปในชั้นใต้ดินแล้วเดินผ่านทางเดินแคบสลับซับซ้อน จะพบว่ามันคือห้องปฏิติบัติการลับที่ถูกจัดไว้ให้

 

ชาร์ลีเดินตามเจคอบเข้าไปในอาคาร ลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน แล้วยังต้องเดินผ่านทางเดินแคบที่ราวกับเขาวงกตอีก ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังด้านหน้าด้วยความเคลือบแคลงใจ ชะลอฝีเท้าลงเพราะไม่แน่ใจว่าจะควรเดินตามไปดีหรือไม่ ชายหนุ่มในชุดสูทดำนี้บอกเพียงแค่มีเรื่องน่าสนใจรออยู่ มันอาจจะเป็นแค่คำลวงก็ได้ หนีไปตอนนี้ยังทัน

 

“เชิญเข้ามาคุณแอนเดอร์สัน” เจคอบผายมือไปยังห้องผนังคอนกรีตเปลือย ด้านในมีโต๊ะขนาดใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยเก้าอี้ บนผนังกลางห้องมีบอร์ดอย่างที่ตำรวจมักใช้กัน เส้นด้ายสีแดงถูกโยงบนบอร์ดนั้น และชาร์ลีก็มองเห็นภาพวาดของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งปลา

 

หนุ่มผมบลอนด์ลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยระแวงสถานที่แห่งนี้ เขาก้าวเข้าไปในห้องอย่างเผลอไผล เมื่อกวาดตามองทางด้านขวาก็พบกับชายชราคนหนึ่งที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าห่มเนื้อหยาบ ในมือถือชาร้อน เนื้อตัวสั่นเทา

 

“ขอโทษที่ไม่ได้แนะนำตัวแต่แรก เรียกผมว่าเจคอบ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานลับราชการบริเตน” เจคอบยื่นมือออกไปทักทายอีกครั้ง

 

ชาร์ลีคว้ามือนั้นไว้ “เป็นหน่วยราชการลับแต่เปิดเผยตัวตนง่ายอย่างนี้เลยเหรอครับ”

 

อีกฝ่ายหัวเราะ ไม่ได้ถือว่าชาร์ลีหยาบคายแต่อย่างไร “เพื่อความไว้เนื้อเชื่อใจต่างหากคุณแอนเดอร์สัน พวกเราต้องทำงานด้วยกันจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น”

 

“เรียกผมว่าชาร์ลีเถอะ”

 

แล้วเขาก็ถูกเชิญให้นั่งลง น่าเสียดายที่ไม่มีใครนำชาร้อนมาเสิร์ฟให้ ผ้าห่มก็ด้วย เจคอบยืดตัวตรง ตอนนี้ชาร์ลีและชายชราดูเหมือนกับนักเรียนที่กำลังนั่งฟังอาจารย์สอนอยู่ อาจเพราะเจคอบนั้นเป็นคนเดียวที่แต่งตัวอย่างภูมิฐาน สูทพอดีตัวและผมมันเรียบ ส่วนชาร์ลีน่ะหรือ ขนาดถุงเท้าสองข้างยังไม่ใช่สีเดียวกันเลย

 

“ที่ผมพูดว่าพวกเราต้องทำงานกันอีกนาน นั่นเพราะพวกเรามีเป้าหมายที่จะตามหานางเงือกนั่นเอง ใช่แล้ว” ชายหนุ่มเว้นจังหวะ

 

“แต่ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่านี่คือภารกิจราชการลับ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้ และอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ผมอยากให้คุณเซ็นยินยอมที่จะเข้าร่วมกับเราก่อน”

 

นักศึกษาหนุ่มนิ่งงันไม่พูดอะไรสักพัก เขากะพริบตาปริบๆ มองเอกสารที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้าสลับกับชายหนุ่มในชุดสูทเนื้อดี

 

"ขอโทษนะครับ แต่คุณบอกให้ผมเดินตามมาจากในเขตวิทยาลัยเข้ามาในเมือง พาผมมาที่นี่แล้วก็เหมือนจะบังคับให้ผมทำงานให้เหรอครับ"

 

ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ซื่อบื้อพอกัน จะโทษใครก็ไม่ได้ เขาน่าจะเอะใจตั้งแต่ที่พาเดินออกมาจากเขตวิทยาลัยแล้ว แต่สาเหตุที่ยังทำให้ชายหนุ่มยังเดินตามหลังชายคนนี้ต้อยๆ เพราะหวังว่าเขาจะเจอนางเงือก แต่ในห้องนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากมนุษย์เพศชายสามคน

 

นางเงือก…..แต่งานนี้เกี่ยวกับพวกเธอ

 

ชาร์ลีเคยได้ยินผู้คนพูดคุยว่าทหารทุกคนที่เข้ากรมต้องเซ็นเอกสารยินยอมพร้อมตายเสียก่อน เพื่อยอมรับว่าหากพวกเขาหมดลมหายใจในหน้าที่แล้ว นั่นจะไม่ใช่ความผิดของทางการ แต่เป็นการเสียสละเพื่อบ้านเมือง เนื้อหาในเอกสารตรงหน้าไม่ต่างกับเอกสารยินยอมพร้อมตายเลยสักนิด

 

“ผมขอข้อมูลรายละเอียดงานก่อนตัดสินใจได้ไหม"

 

“ผมอธิบายรายละเอียดอะไรไม่ได้หากคุณยังไม่เซ็นเอกสารนี้ แต่อย่างที่คุณรู้ดี มันเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังศึกษาอยู่”

 

“มันมีจริง” ชายชราเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาลึกโบ๋จ้องมองชาร์ลีแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับเขามองออกไปยังพื้นที่ว่างเปล่า

 

“มันล่อพวกนั้นลงไปกิน”

 

เพียงแค่มองใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นซีดเผือดลง ชาร์ลีก็รู้ว่ามันคือเรื่องจริง การที่เขาถูกพาตัวมายังห้องใต้ดินนี้ไม่ได้มาเพื่อเล่นๆ แต่เขาต้องการการยืนยันจากชายชราเสียก่อนว่านั่นคือสิ่งที่เขาตามหาจริงๆ

 

“พวกนั้น มันคือใคร”

 

“....” ชายชราก้มหน้ามองน้ำชาในมือที่สั่นกระเพื่อมตามฝ่ามือที่กอบกุมไว้

 

“ชายคนนี้คือภารโรงบนเรือทหารลำใหม่ของเรา เขาเป็นพยานที่เหตุการณ์การหายตัวไปของทหารเรือจำนวนสิบคน” เจคอบกล่าวแนะนำชายชราให้กับชาร์ลี

 

หนุ่มผมบลอนด์หันไปหาพยานที่ว่า พูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม “ช่วยบอกผมทีว่าคุณเห็นอะไร ใครพาตัวทหารสิบนายนั้นไป”

 

“ต-ตอนแรก พวกเราได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ เป็นเสียงผู้ชาย เรานึกว่ามีลูกเรือเผลอเดินตกลงไปในทะเล” แต่ละคำที่พูดออกมาช่างยากลำบาก ชาร์ลีจดจ่อกับคำพูดนั้น

 

“แต่มันคือนางเงือก ข้าเห็นฟันของมัน มันคว้าทหารของเราลงไป มันไม่น่าจะแข็งแรงได้ขนาดนั้น” ชายชรากลืนน้ำลายฝืด “มันคือปีศาจ”

 

เจคอบเสริม “เหตุการณ์เกิดขึ้นบนเรือโลหะลำใหม่ ไม่มีใครปีนจากน้ำขึ้นมาบนเรือได้ด้วยความสูงนั้น แต่ใครจะไปคิดว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ลูกเรือปลอดภัย”

 

นักศึกษาหนุ่มนิ่งอึ้งไปกับคำกล่าวของชายทั้งสอง นางเงือกเลียนเสียงมนุษย์ชายอย่างนั้นหรือ ความฉลาดเจ้าเล่ห์นี้จะพูดว่าอัศจรรย์ก็ใช่ น่าสะพรึงกลัวก็ว่าถูก มันต่างกับเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมาอย่างสิ้นเชิง พวกนางควรที่จะใช้เสียงอันไพเราะล่อลวงกะลาสีเรือมากกว่า ข้อมูลนี้หักล้างข้อสมมุติฐานเกือบทั้งหมดที่เขาเคยคิดเอาไว้

 

เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นรัว

 

ชาร์ลีก้มมองเอกสารบนโต๊ะ ในเมื่อสมมุติฐานที่เคยตั้งไว้ถูกล้มล้างหมดสิ้น คงไม่มีทางอื่นนอกจากกระโดดลงห้วงลึกแห่งท้องทะเล และตามหาความจริงที่ไม่มีใครเคยบันทึกไว้ เขาหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อ เจคอบมองอย่างพึงพอใจ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็เก็บเอกสารนั้นเข้าซองน้ำตาล ก่อนจะคลี่ยิ้มให้กับเพื่อร่วมงานคนใหม่

 

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ทีม อย่างแรกเลยที่คุณต้องทำคือเขียนจดหมายลาตายให้พ่อแม่คุณ”