Chapter 4 ให้ทะเลโอบกอดเธอ

 

ครอบครัวของชาร์ลีเป็นครอบครัวที่มีอันจะกินเลยทีเดียว นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อแม่ของเขาไม่เดือดเนื้อร้อนใจเมื่อลูกชายคนเล็กเลือกผลาญเงินโดยการตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง คฤหาสน์หลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษที่ตั้งอยู่ริมชายทะเล พวกเขามักจะมาที่นี่เพื่อพักร้อน มันคือสถานที่ที่ชายหนุ่มชื่นชอบมากที่สุด ทุกครั้งเขาจะนึกถึงช่วงเวลาปิดเทอมที่สามารถมาที่นี่ได้ ชาร์ลีจำไม่ได้ว่าตัวเองหลงใหลทะเลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พ่อแม่ของเขาเล่าให้ฟังเสมอว่าตัวเขาเองในตอนเด็กชอบพุ่งตัวเข้าใส่คลื่นน้ำ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาว่ายน้ำไกลออกไปจากฝั่งมากจนพ่อแม่ของเขาหัวใจแทบวายตาย แต่ชายหนุ่มดูเหมือนจะจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้เลย บางทีเขาอาจจะเด็กเกินไป

 

สเต๊กเนื้อปลาถูกเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารโดยแม่บ้านประจำที่แห่งนี้ คุณและคุณนายแอนเดอสันยิ้มหวานเมื่อเห็นลูกชายตนเดินเข้ามา ชาร์ลีเห็นแขกอีกคนหนึ่งที่ร่วมทานอาหารด้วย จะเรียกแขกก็ดูจะห่างเหินเกินไป หญิงสาวผมบลอนด์สว่างผู้นี้คือพี่สะใภ้ของเขาเอง มาริสซ่าคือหญิงสาวเจ้าของผมสีทองและตาสีฟ้าสวย เธอดูเหมือนราวหลุดออกมาจากภาพวาด พี่ชายของเขาเป็นผู้ชายที่โชคดีเหลือเกินที่ได้แต่งงานกับนางฟ้าตกสวรรค์เช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเป็นการแต่งงานเป็นการคลุมถุงชนหรืออย่างไร เจ้าพี่ชายตัวดีของเขาถึงเที่ยวหว่านเสน่ห์ให้สาวคนอื่นไปทั่ว การที่เห็นเธอมาคนเดียวเช่นนี้ชาร์ลีเดาได้อย่างเดียวว่าพี่ชายของเขาคงพาหญิงอื่นเข้าบ้านอีกแน่นอน

 

แม่ของเขาสงสารลูกสะใภ้คนนี้ จึงยอมให้เธอติดตามพวกเขาไปทุกที่ราวกับเป็นลูกสาวในไส้

 

“สวัสดี ชาร์ลี” หญิงสาวเอ่ยทัก เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขา นัยน์ตาของเธอไร้แวว

 

ชายหนุ่มนึกกับตนเองว่าเมื่อไหร่พี่สะใภ้คนนี้จะทำใจได้เสียที มาริสซ่ามีแค่สองทางเลือกเท่านั้น คือทำใจยอมรับนิสัยของสามีตัวเอง หรือหย่ากับเขาเสีย ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะตัดใจเลือกไม่ได้สักอย่าง

 

“สวัสดีครับ สบายดีรึเปล่า”

 

“ดีจ้ะ” เธอตอบสั้นห้วนด้วยเสียงแผ่ว

 

คุณและคุณนายแอนเดอร์กลบบรรยากาศเศร้าหมองด้วยรอยยิ้มของพวกเขา และทุกคนก็เหมือนจะลืมไปว่าเอ็ดการ์ด หรือเอ็ดดี้ของคุณนายแอนดอร์สันทำให้หญิงสาวผมบลอนด์คนนี้ช้ำใจ หญิงสาวเคี้ยวอาหารอย่างเชื่องช้า หูทั้งสองข้างคอยฟังบทสนทนาของครอบครัว แต่ปากไม่พูดอะไร

 

“ลูกเองก็ไม่ได้สมองทึบ ถ้าเปลี่ยนสายไปเป็นนักวิทยศาสตร์เลยก็ไม่เห็นจะยาก” คุณแอนเดอร์สันกล่าว เขาเห็นศักยภาพของลูกชายตนเอง เสียดายที่เจ้าเด็กหนุ่มเพ้อฝันเกินไป

 

ชาร์ลีนิ่งเงียบซักพัก ก่อนจะตอบว่า “ผมขอเวลาอีกปีหนึ่ง ถ้าไม่มีผลงานอะไรเกี่ยวกับนางเงือกล่ะก็ ผมจะยอมเปลี่ยนสายก็ได้”

 

ไม่มีใครรู้ว่าเขารับงานตามล่าหานางเงือกกับเจคอบ และพวกเขาก็จะออกเรือในอีกเดือนหนึ่ง

 

“แต่ถ้างานผมมีความคืบหน้าล่ะก็ ได้โปรดปล่อยให้ผมวิจัยเกี่ยวกับนางเงือกต่อเถอะ”

 

คุณแอนเดอร์สันเลิกคิ้ว เขาแปลกใจ แต่ก็อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ราวกับเขารู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการเดิมพันครั้งนี้

 

“ได้สิ หนึ่งปีต่อจากนี้ แล้วพ่อจะรอดู”

 

คุณนายแอนเดอร์สันเฉลียวใจทัน จึงถาม “แปลว่าตอนนี้มีความคืบหน้าแล้วใช่ไหมลูก”

 

“อืม…มีคดีปริศนาที่อาจเกี่ยวข้องกับนางเงือกเกิดขึ้นครับ” บอกข้อมูลให้เท่านี้คงไม่เป็นอะไร เขาคิด

 

“อาจเกี่ยวข้องสินะ” ชายชราเอ่ย

 

“นี่คุณ ดีใจกับลูกหน่อยสิ” คุณนายแอนเดอร์สันพูดติดตลก “นั่นเป็นข่าวดีมากเลยจ้ะชาร์ลี แล้วลูกจะไปที่เกิดเหตุหลังจากที่อยู่กับพวกเราไหม”

 

“ผมวางแผนไว้อย่างนั้นครับแม่”

 

“แล้วคราวนี้เป็นเงือกใจดีหรือเงือกใจร้ายกันล่ะ” หญิงชราถาม

 

เมื่อครั้งยังเด็ก ชาร์ลีจริงจังมากกับการค้นคว้าเกี่ยวกับนางเงือก เขาแยกประเภทของเงือกไว้สองประเภทตามนิทานพื้นบ้านที่หามาได้ นั่นคือเงือกใจดีและเงือกใจร้าย ไม่น่าเชื่อว่าแม่ของเขาจะยังจำเรื่องเด็กน้อยแบบนี้ได้

 

“ดูเหมือนว่าจะเป็นเงือกใจร้ายครับ” เขาจิ้มแครอทเข้าปาก “ชายหนุ่มหายตัวไป ชาวบ้านแถวนั้นคิดว่าเป็นฝีมือของนางเงือก”

 

“ตายจริง” แม่ของเขาเอามือป้องปาก “ผู้ชายคนนั้นโดนล่อลวงไปด้วยเสียงร้องเพลงเหรอ”

 

“อันนั้นผมยังไม่แน่ใจ”

 

และบทสนทนาก็ดำเนินต่อไป แต่ไม่มีใครสังเกตว่าหญิงสาวผมบลอนด์ดูสนใจกับสิ่งที่ชาร์ลีพูดไปเมื่อครู่ เธอเหมือนจะเอ่ยปากถามอะไรสักอย่าง แต่ตัดสินใจที่จะไม่พูดออกไป อย่างน้อยก็ไม่ใช่ที่นี่ ตอนนี้

 

 

ตกดึกชาร์ลีหมกตัวเองอยู่ในห้องสมุดของบ้าน หนังสือนิทานพื้นบ้านรวมถึงปกรณัมกรีกเกี่ยวกับนางเงือกยังถูกเก็บไว้อย่างดี แม่ของเขารู้ว่าหากโละพวกมันทิ้งไปเขาจะเสียใจมากขนาดไหน การได้เปิดดูหนังสือเหล่านี้อีกครั้งทำให้เขาหวนนึกถึงวัยเด็กที่ตัวเขามีความฝันอันยิ่งใหญ่ สิบปีต่อจากนั้น ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้จะเข้าใกล้ความฝันของเขาได้

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้น มันเบามากเทียบกับเสียงพายุด้านนอก แต่ก็ดังพอที่จะเรียกความสนใจของชายหนุ่ม มาริสซ่าเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับตะเกียง เธอยืนค้างอยู่ที่ประตู ไม่กล้าเข้ามาใกล้มากกว่านั้น

 

“ฉันมากวนเธอรึเปล่า” เธอถาม

 

“ไม่ครับ แต่พี่ยังไม่นอนอีกเหรอ”

 

มาริสซ่าเป็นเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้า แต่ตอนนี้มันกลับดูซีดเซียวลงไปมาก ใบหน้าทรุดโทรมผอมแห้งลงไปเมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่ชายหนุ่มเห็นเธอ ทว่ามันยังเหลือเค้าความงามไว้บนใบหน้านั้นอยู่บ้าง เหมือนกับเปลวไปดวงเล็กที่กำลังจะมอดดับลง เหมือนกับหัวใจของเธอที่ห่อเหี่ยวในตอนนี้

 

เธอเม้มปากเน้น นึกถึงเรื่องที่น้องเขยคนนี้พูดไว้บนโต๊ะอาหาร เรื่องเกี่ยวกับนางเงือกที่ใช้เสียงล่อลวงชายหนุ่ม เธอมีคำถามที่ต้องถามเขาให้ได้ ชาร์ลีเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าใจเธอ

 

“นางเงือก…เมื่อมื้อเย็นเธอบอกว่านางเงือกใช้เสียงล่อลวงคนเข้าไปหา เงือกทำอย่างนั้นได้ยังไง”

 

ดูเหมือนจะเป็นคำถามงี่เง่า แต่ชาร์ลีวางหนังสือในมือลงและครุ่นคิด

 

“ส่วนใหญ่ก็จะใช้เสียงอันไพเราะของพวกเธอล่อลวงให้กะลาสีหนุ่มที่ไม่ได้เจอผู้หญิงมาหลายเดือนเข้าไปหา แต่นอกจากจะใช้เสียงร้องเพลงแล้วก็ยังมีอย่างอื่นอยู่” เขานึก “ทำไมเหรอ”

 

มาริสซ่าไม่ตอบ เธอถามต่อโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองปิดบานประตูลงอย่างแผ่วเบา “อย่างอื่นที่ว่านั่น…”

 

“มีหลายอย่างครับ นอกจากความไพเราะของเสียงแล้ว บางตำนานก็เล่าว่าพวกเธอล่อลวงคนด้วยเนื้อหาของเพลง ว่ากันว่านางเงือกมีญาณหยั่งรู้อนาคต และมนุษย์ก็มักจะอยากรู้เกี่ยวกับอนาคตอยู่แล้ว”

 

“แล้วถ้า…ไม่สิ เคยมีเงือกที่แกล้งทำเป็นใจดีกับมนุษย์ แต่สุดท้ายก็หลอกให้จมน้ำตายไหม”

 

นั่นค่อนข้างเป็นคำถามที่เฉพาะเจาะจง ชาร์ลีขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไงเหรอครับ ถ้าเกิดว่าพี่มีอะไรก็บอกผมมาได้นะ ถึงเรื่องมันจะแปลกขนาดไหน แต่ผมว่าผมคงเป็นคนสุดท้ายที่จะหัวเราะให้กับเรื่องแบบนี้”

 

หญิงสาวอ้ำอึ้ง “ฉัน ฉันยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านั่นคือนางเงือกรึเปล่า”

 

“นั่งลงก่อนสิครับ”

 

มาริสซ่าหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาสีแดงตัวนิ่ม สัมผัสนุ่มฟูอบอุ่นที่โอบกอดเธอไว้ช่วยทำให้เธอผ่อนคลาย หญิงสาวปล่อยให้ตัวเองเอนหลังลง ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องราวของเธอให้อีกฝ่ายฟัง

 

“ตั้งแต่ที่ฉันมาอยู่ในบ้านหลังนี้ ฉันได้ยินเสียง เสียงของผู้หญิง เธอคุยกับฉัน”

 

ใช่แล้วล่ะ ตั้งแต่ที่เธออาศัยอยู่ในบ้านพักตากอากาศนี้ เธอก็ได้ยินเสียงปลอบประโลมใจที่ดังขึ้นมาโดยหาต้นเสียงไม่ได้ เธอได้ยินเสียงนั้นทุกคืนที่เธอนอนไม่หลับจนต้องเดินออกไปที่ชายหาดและร้องไห้กับตัวเอง

 

สามีของเธอ เอ็ดการ์ด เป็นชายหนุ่มเฉลียวฉลาด มีมาด สง่างาม เป็นนักธุรกิจผู้ดีเก่าที่หญิงหลายๆ คนหมายปอง เธอไม่รู้จักเขาเลยจนกระทั่งเขาใส่แหวนหมั้นบนนิ้วนางให้เธอ ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเป็นคนจัดการงานแต่งงาน ไม่นานนักเธอก็กลายเป็นสะใภ้บ้านแอนเดอร์สัน

 

หลังจากนั้นเธอก็เป็นเพียงแค่เงาตามตัวของสามีและพ่อแม่ของเขา ในตอนนั้นชาร์ลีอายุได้เพียงสิบปี พี่น้องคู่นี้อายุห่างกันมากโข หนุ่มน้อยคนนี้เองก็เป็นเหมือนเงาตามตัวพี่ชายของตนเหมือนกัน ทั้งมาริสซ่าและชาร์ลีเดินตามหลังเอ็ดการ์ดอย่างเงียบเชียบ อาจเพราะทั้งคู่ไม่ใช่คนชอบเข้าสังคมจึงไม่ค่อยได้คุยกันมาก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ความรู้สึกของคนที่ได้แต่มองแผ่นหลังของคนด้านหน้า และไม่เคยได้ตัดสินใจว่าพวกเขาจะเดินไปทางไหนดี อย่างน้อยในตอนนั้นมาริสซ่าก็รู้สึกเหมือนมีเพื่อนคนที่เข้าใจเธอ

 

พอชาร์ลีโตขึ้น เขาเลือกเส้นทางของเขาเอง เด็กน้อยที่เติบโตขึ้นเลือกที่จะก้าวออกจากเงาของพี่ชาย เหลือไว้แค่ตัวเธอเท่านั้นที่ไม่มีทางเลือก

 

“ขอโทษทีนะ แต่เธอก็น่าจะรู้ว่าพี่ชายของเธอเป็นยังไง” เธอกะพริบตาถี่ “เขาทำให้ฉันเสียใจมากจนทนอยู่ในบ้านหลังเดียวกับเขาไม่ได้”

 

มาริสซ่าอาศัยอยู่กับพ่อแม่สามีมาหลายเดือนแล้ว แต่เอ็ดการ์ดไม่แม้แต่กลับมาง้อ

 

“ฉันคิดกับตัวเองนะ ว่าถึงจะแต่งเพราะครอบครัวบังคับ แต่อย่างน้อยก็เกรงใจกันบ้าง ไม่ใช่ทำอะไรตามอำเภอใจแบบนี้”

 

ชาร์ลีได้แต่นิ่งเงียบ ตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ไม่มีอะไรที่เขาสามารถพูดได้ที่จะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น

 

“บางคืนฉันทนไม่ได้จนต้องเดินออกไปด้านนอกเพื่อไปร้องไห้ จะได้ไม่มีใครได้ยิน ฉัน…” หญิงสาวเงียบลงกลั้นน้ำตา แต่มันไหลลงอาบแก้มเธออย่างเงียบเชียบ มาริสซ่าไม่แม้แต่จะอนุญาตให้ใครได้ยินความเจ็บปวดของเธอทั้งหมด

 

“แล้วฉันก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งมาปลอบใจฉัน เธอคอยนั่งฟังฉันร้องไห้ทุกคืน ชาร์ลี บอกฉันทีว่านั่นคือนางเงือกรึเปล่า” เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชายหนุ่ม ขอบตาของเธอแดง แววตาคาดหวังคำตอบเพื่อยืนยันความสงสัยในใจ

 

“พี่เห็นผู้หญิงคนนั้นรึเปล่าครับ”

 

“ไม่ ฉันไม่ได้ยินแค่เสียง”

 

“อืม ถ้าอย่างนั้นมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นนางเงือกรึเปล่า แค่ได้ยินเสียงนั้นทุกครั้งที่เข้าใกล้ทะเลไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะเป็นเงือก บางทีเธออาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้”

 

หรือไม่ก็เป็นเสียงในหัวของหญิงสาวเอง ชาร์ลีคิด หากเป็นกรณีร้ายแรงที่สุดละก็…คงเป็นความผิดปกติของจิตใจ แต่ชายหนุ่มไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกไป

 

“เคยมีใครได้ยินเสียงแบบที่ฉันได้ยินไหม แล้วก็ปรากฏว่านั่นคือนางเงือกน่ะ”

 

ชาร์ลีส่ายหัว “ไม่มีครับ ทำไมพี่ถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะว่านั่นคือเงือก”

 

หญิงสาวกลอกตาไม่มาเลิ่กลั่ก “ไม่รู้สิ อาจจะเพราะว่าเธอมีเสียงที่ไพเราะมาก ทุกครั้งที่เธอพูดอะไรออกมา มันรู้สึกเหมือนความทุกข์ใจถูกชำระล้างออกไปหมด”

 

อ่า ใช่ น้ำเสียงอ่อนโยนไพเราะที่คอยบอกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เสียงที่บอกว่าแม้หญิงสาวจะเศร้าเสียใจอย่างไง ใบหน้าและจิตวิญญาณของเธอก็ยังงดงามไม่เปลี่ยนแปลง มาริสซ่าสามารถกลับไปนอนได้เหมือนความทุกข์ใจของเธอถูกคลื่นทะเลซัดเอาไป เธอก็กลับไปหาเสียงนั้นคืนแล้วคืนเล่า

 

“เพราะเสียงสินะ” ชายหนุ่มครุ่นคิด “ผมไม่อยากให้คำตอบพี่ส่งเดช ถ้าไม่เสียหายอะไรลองถามเสียงนั้นดูสิครับว่าเธอคือใคร”

 

หญิงสาวผมบลอนด์เลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนว่าเธอจะชอบคำแนะนำของเขา เธอพยักหน้าส่งยิ้มให้ชาร์ลีเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขามาที่นี่ เขายิ้มตอบกลับ

 

“คงถึงเวลาที่ต้องไปหาเธอคนนั้นแล้วสินะครับ ขอให้โชคดี”

 

“ขอบคุณนะ”

 

และหญิงสาวสาวเท้าก้าวเดินออกไป ชาร์ลีขมวดคิ้วถอนหายใจ มาริสซ่าก็เหมือนกับพี่สาวคนหนึ่งของเขา ชายหนุ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับสภาพจิตใจของอีกฝ่าย เขาคิดกับตัวเองอยู่ว่าควรจะแอบตามไปที่ชายหาดดีไหม แต่ที่นั่นเป็นพื้นที่เปิดกว้าง เขาคงหลบตรงไหนไม่ได้ และแอบเงี่ยหูฟังไม่ได้เช่นกัน ทะเลคงไม่อยากให้ใครแอบฟังเรื่องราวของคนที่มาระบายให้มันฟัง จึงสาดตัวเข้าหาฝั่งทำเสียงดังเพื่อกลบความลับไว้

 

ชาร์ลีมองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ๆ พายุที่พัดเข้ามาตั้งแต่ตอนบ่ายก็หยุดลงอย่างไม่น่าเชื่อ ท้องฟ้าตอนนี้กระจ่างใสไปด้วยดวงจันทร์และดวงดาว นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย

 

“จริงสิ นางเงือกควบคุมพายุในทะเลได้ด้วยสินะ” เขาพึมพำกับตัวเอง

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนก่อน มาริสซ่าเดินทางกลับบ้านหลังจากงานเลี้ยงน้ำชายามบ่าย กว่าจะถึงบ้านดวงอาทิตย์ก็ใกล้ลับฟ้าแล้ว เมื่อย่างก้าวเข้าไปในบ้านหลังโต หัวหน้าพ่อบ้านก็รับเอาสัมภาระของเธอไป สีหน้าของเขาซีดเผือด สายตาล่อกแล่ก คนรับใช้คนอื่นก็เช่นกัน พวกเขาเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา

 

หญิงสาวรู้ทันทีว่าในห้องนอนของเธอมีใครอยู่ ห้องนอนของตัวเธอเองและสามีตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่ของพวกเขาสองคนแล้วก็เป็นได้ มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งนอนก่ายอย่างสบายใจบนฟูกนุ่ม โดยมีสามีของเธอเองที่เชิญผู้หญิงคนนั้นขึ้นเตียง

 

ไวเท่าความคิด มาริสซ่าเร่งฝีเท้าเดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องนอนของเธอ เสื้อผ้าทั้งของชายและหญิงตกระเกะระกะบนพื้น ชุดเดรสผ้าไหมสีแดงตัวจิ๋วบนพื้นไม่ใช่ของเธอแน่ๆ หญิงสาวยืนนิ่งค้างที่หน้าประตู มองดูสีหน้าเรียบเฉยของเอ็ดการ์ด

 

เขามองเธอกลับ ต้องไร้ยางอายแค่ไหนที่จะสามารถมองหน้าเธอได้แบบนั้น สีหน้าของชายหนุ่มเหมือนเบื่อหน่าย

 

“นั่นเมียคุณเหรอคะ” เสียงหวานเอ่ย หญิงสาวบนเตียงขยับพลิกตัวใต้ผ้าห่ม เธอโผเข้าสู้อ้อมอกของเอ็ดการ์ด

 

ชายหนุ่มมองภรรยาของเขาอย่างหยั่งเชิง ก่อนจะพูดแกมหยอกล้อว่า “ไม่รู้สิ”

 

มาริสซ่ากำชายกระโปรงตัวเองแน่นจนมันยับยู่ยี่ เธอรู้ว่าเขาแอบมีคนอื่น แต่เขาพาผู้หญิงคนนั้นมานอนบนเตียงของเธออย่างนั้นหรือ กลางวันแสกๆ ยังจะทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบนี้ได้ ฉวยโอกาสตอนที่เธอไม่อยู่บ้านทั้งวัน แถมยังไม่รู้สึกผิดอะไรอีกด้วย เธอล่ะยังอับอายแทนเขาเลย ใบหน้าของมาริสซ่าแดงก่ำทั้งจากความโกรธและความอับอาย น้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้นมาที่ขอบตาของเธอ หญิงสาวเกลียดตัวเองที่กำลังจะร้องไห้ มันทำให้เธอดูอ่อนแอ แต่ใครจะห้ามน้ำตาตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ได้

 

“ถ้าจะไร้ยางอายแบบนี้ เซ็นใบหย่ากับฉันเลยไหมล่ะ”

 

ตอนที่เธอพูดอย่างนั้นออกไป เธอไม่ได้หมายความอย่างที่พูด ในใจเธอหวังลึกๆ ว่าสามีของเธอจะหันมาสนใจเธอบ้างถ้าเธอพูดกระแทกกระทั้นไปเช่นนั้น มาริสซ่าไม่ได้อยากหย่ากับเขาจริงๆ

 

ทว่าอีกฝ่ายฉวยโอกาสนี้ไว้กับตัวเอง เขาเสมองไปทางหญิงสาวในอ้อมอกแล้วพูดว่า

 

“ว่ายังไงที่รัก ภรรยาที่สามีพาหญิงอื่นมาอยู่บนเตียงตัวเอง แต่ยังไม่สู้เพื่อแย่งเขากลับมา ใครกันแน่ที่ควรจะเป็นเมียผม”

 

หญิงสาวคนนั้นหัวเราะคิกคัก “อย่าพูดหักหน้าคุณนายแอนเดอร์สันอย่างนั้นสิคะ ดูสิ เธอจะร้องไห้แล้ว”

 

มาริสซ่าเกลียดที่น้ำตามันไหลลงอาบสองแก้ม คำพูดสุดท้ายที่เธอฝากไว้กับเอ็ดการ์ดคือ

 

“ฉันไม่มีทางอยู่ในบ้านหลังนี้อีกแล้ว โสโครก”

 

แล้วเธอก็สั่งให้พ่อบ้านเรียกรถม้าไปยังบ้านของพ่อแม่สามี ส่วนเสื้อผ้าข้าวของค่อยให้คนใช้ส่งมาให้ทีหลัง เมื่อเธอมาถึงบ้านของพ่อแม่สามี คุณนายแอนเดอร์สันคนที่มีผมสีดอกเลารับเธอเอาไว้ในอ้อมอก เธอรู้ดีว่าลูกชายคนโตของเธอเป็นอย่างไร ถึงปากจะพร่ำบอกคำปลอบประโลมแก่หญิงสาวแต่ปากของหญิงชรานั้นก็ไม่เคยตำหนิลูกชายตัวเองแม้แต่น้อย

 

เรื่องนี้เช่นกันที่มาริสซ่าเกลียด

 

เดือนแรกหญิงสาวรอคอยให้สามีกลับมาง้อเธอ เมื่อเข้าเดือนที่สองเธอเริ่มกระวนกระวายอยากที่จะนั่งรถม้าไปขอคืนดีกับเขาเสียเอง ทว่าเมื่อได้ข่าวว่าคนใช้ในบ้านหลังใหญ่นั้นคอยรับใช้ปรนนิบัตินายหญิงคนใหม่แล้ว เธอก็ไม่มีหนังหน้าที่จะไปที่นั่นอีก ในที่สุดเดือนที่สามก็มา เอ็ดการ์ดส่งเอกสารหย่าทางจดหมายให้เธอ

 

คุณและคุณนายแอนเดอร์สันไม่อยากให้เธอหย่ากับลูกชายของพวกเขา โดยเฉพาะคุณนายแอนเดอร์สันที่พยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้เธอมีความคิดที่จะเซ็นเอกสารนั้น แน่นอนว่านั่นเพราะครอบครัวฝั่งของเธอเป็นตระกูลผู้ดีเก่าเหมือนกันถึงจะมีเงินทองเยอะไม่มากเท่าแอนเดอร์สันก็เถอะ

 

หญิงสาวลังเลสับสนไปหมด จะหย่า หรือจะคืนดี เธอไม่รู้ว่าจะต้องเลือกอะไร มันช่างยากลำบากเหลือเกินเมื่อสามีเธอต้องการจะหย่า แต่พ่อแม่ของเขาอยากให้ทั้งสองคืนดีกัน

 

จะมีใครสักคนไหมที่หวังดีต่อตัวเธอเองจริงๆ

 

แล้วพ่อแม่ของตัวเธอเองล่ะ? หลังจากที่แต่งงานกันแล้ว พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเธอก็ทำเหมือนกับว่าเธอไม่ใช่คนในครอบครัวอีกแล้ว ถึงแม้ตอนนี้นามสกุลของเธอจะเป็นแอนเดอร์สัน แต่ความผูกพันกว่าสิบปีที่เลี้ยงดูลูกสาวคนนี้มามันไม่มีเลยหรือ ในใจลึกๆ มาริสซ่านึกน้อยใจทั้งสองที่ไม่พยายามติดต่อหาเธอเลย ทว่าเมื่อเข้าย่างเดือนที่สามที่เธอแยกกันอยู่กับเอ็ดการ์ด เธอก็เริ่มเขียนจดหมายไปหาพวกท่านทั้งสอง

 

เธอเขียนจดหมายส่งไปแล้วหลายฉบับ แต่ไม่มีจดหมายตอบกลับ

 

ในช่วงเวลาที่สิ้นหวัง ตอนนั้นเองที่เสียงอันไพเราะได้ดังขึ้นในโสตประสาทของหญิงสาว มันเป็นเสียงที่เหมือนจะกลมกลืนไปกับเสียงเกลียวคลื่น ทว่างดงามเกินกว่าที่จะมาจากธรรมชาติ

 

เธอไม่ผิดหรอก พวกเขาต่างหากที่ไม่เคยเห็นหัวเธอเลย

 

เสียงนั้นกล่าว มาริสซ่าหยุดสะอื้นแล้วมองไปรอบตัว เธอนั่งอยู่บนขอนไม้ที่ชายหาดไร้ผู้คน มีเพียงทรายสีเทามืดและดวงดาวบนท้องฟ้า ตอนนั้นเธอคิดว่าเธอหูฝาดไปเอง

 

เธออดทนมาตลอด ฉันชื่นชมเธอ แต่จำเป็นต้องอดทนต่อไปด้วยเหรอ

 

“เธอไม่เข้าใจ ฉันไม่มีทางเลือก” มาริสซ่าตอบ เธอคิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่พูดกับเสียงปริศนา แต่ช่างมันปะไร ใครจะมาสนใจเธอล่ะ

 

ร้องไห้ออกมาเถอะ เอาความโกรธ ความเศร้า ความสิ้นหวังออกมาให้หมด แล้วพรุ่งนี้เช้าเธอจะรู้สึกดีเอง

 

แล้วน้ำตาของหญิงสาวก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้ง คราวนี้เธอโห่ร้องเต็มที่เหมือนตัวเองกำลังจะตาย หญิงสาวกุมอกตัวเองไว้แล้วขดตัวนั่งบนขอนไม้ ร้องสะอื้นตัวโยนจนแทบหายใจไม่ออก เธอสมเพชตัวเองยิ่งนักที่อ่อนแอ สมเพชที่ทำอะไรคนที่ทำให้เธอเจ็บปวดไม่ได้ และเกลียดคนพวกนั้นที่ไม่เคยเห็นเธอเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีจิตใจ

 

ลืมตาตื่นมาอีกที หญิงสาวก็นอนอยู่บนฟูกนุ่มในบ้านพักต่างอากาศหลังเดิม เธอสูดหายใจเอากลิ่นเกลือทะเลเข้าปอดและลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเธอรู้สึกสดชื่นมีพลังราวกับตัวเองตายและฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ จิตใจได้รับการชำระล้างจากคลื่นทะเล

 

ทว่าความรู้สึกนี้อยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่ออาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าและบรรยากาศเริ่มมืดหม่น มาริสซ่ามักนึกถึงอดีต เธอนอนไม่หลับอีกแล้ว หญิงสาวจึงแอบย่องออกไปที่ชายหาดนั้นอีกครั้ง นั่งบนขอนไม้ท่อนเดิมและรอคอยให้เสียงนั้นกลับมาพูดกับเธออีกครั้ง

 

เสียงนั้นไม่ได้มาทุกวัน หากเธออยากจะมา เธอก็จะมา วันไหนเธอตัดสินใจที่จะไม่มา เธอก็จะไม่มา แต่ถึงอย่างไรหญิงสาวก็มานั่งรอคอยบนขอนไม้ทุกคืน เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองคนดียวมากเข้า เธอก็สงสัยว่าเสียงนั้นคืออะไร สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคือนางเงือก หญิงสาวครึ่งมนุษย์ครึ่งปลาเจ้าของเสียงอันไพเราะ นางเงือกกำลังพูดกับเธออยู่

 

มาริสซ่าเร่งฝีเท้าตัวเองไปยังขอนไม้ท่อนเดิมที่เธอนั่งทุกคืน เมื่อได้ยินคำแนะนำจากชาร์ลีแล้วเธอก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รู้จักเสียงปริศนานี้ ทำไมที่ผ่านมาเธอไม่คิดถามมาก่อนกันนะ มันเป็นเพียงแค่คำถามเรียบง่ายตรงไปตรงมาเท่านั้นแต่มาริสซ่ากลับคิดเองไม่ออกจนถึงวันนี้ หญิงสาวอมยิ้มไประหว่างทาง มือข้างที่ถือตะเกียงแกว่งไปมาอย่างร่าเริงกว่าปกติ

 

“บอกฉันหน่อยได้ไหม ว่าเธอคือใครกันแน่” มาริสซ่าตะโกนออกไปยังทะเลเบื้องหน้า

 

“ฉันแค่อยากรู้จักเพื่อนของฉันมากขึ้นเท่านั้น” เธออธิบาย ในใจลึกๆ หวั่นกลัวว่าจะมีไม่เสียงตอบกลับ

 

ซ่า ซ่า

 

มีเพียงแค่คลื่นทะเลสีขาวที่ตอบกลับ หญิงสาวทิ้งตัวลงบนขอนไม้รอคอย นานเนิ่นนานจนดวงจันทร์ลอยข้ามหัวเธอไปไกล ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นเดินทางกลับบ้าน หอยสังข์ขอนใหญ่ก็ถูกน้ำทะเลซัดเข้ามา มันกลิ้งหลุนๆ เข้ามาสะกิดปลายเท้าของมาริสซ่า ตัวหอยมีสีขาวแวววาวด้านนอก แต่เป็นสีชมพูสวยด้านใน มันเหลือบสีรุ้งสวยงามเมื่อต้องกับแสงจันทร์ หญิงสาวหยิบหอยสังข์ขึ้นมา เธอเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

 

“ขอบคุณนะ” เธอเอ่ย และเดินกลับบ้านไปพร้อมกับหอยสังข์ขอนนั้น