3 ตอน บทที่ 3 ดวงตาสีมรกต (ต่อ)
โดย กิระ
Chapter 3 ดวงตาสีมรกต (ต่อ)
ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นนั่ง เส้นเลือดในหัวของเขาปวดตุบ คอแห้งผาก นี่สินะคือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับเหล้าชั้นดี เขาหงุดหงิดในเล็กน้อยที่รู้สึกปวดไปตามตัวด้วย แถมเตียงก็ยังแข็งอีกต่างหาก ชายหนุ่มนอนนวดขมับตนเองสักพักก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง อากาศที่สูดเข้าไปเหม็นอับ ปอดของเขาคงเต็มไปด้วยฝุ่น แสงสว่างเดียวที่ส่องอยู่คือเทียนเล่มหนึ่งที่วางอยู่นอกห้อง
ซี่กรงเหล็กกั้นระหว่างชายหนุ่มและแสงสว่างนั้น เขาเดินโซเซไปทางดวงไฟ คลำจับซี่กรงขึ้นสนิมนี้พลางขมวดคิ้ว เขาเขย่ามันครั้งหนึ่ง ก่อนจะเขย่าแรงขึ้นอีก มือกำท่อนเหล็กนั้นแน่นจนแดงก่ำ ซี่กรงส่งเสียงร้องแต่ไม่พังลง มีเพียงแต่ชายหนุ่มเท่านั้นที่ทรุดตัวลงกับพื้น
พื้นหินเย็นเยียบดูสิ้นหวัง สเตฟานจำได้ว่าเขาอยู่กับนาตาลี พวกเขาเล่นเกมดื่มเหล้ากันก่อนที่ภาพจะตัดไป แต่หญิงสาวบอบบางเช่นนั้นจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร เธอรักเขา แม้เธอจะโกรธขนาดไหน ก็ไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขาเลยสักครั้ง สารภาพตามตรงว่านั่นทำให้เขารู้สึกว่าเธอจะไม่ทำอะไรเขาหากเขานอกใจเธอ
นอกใจ….นาตาลีจะทำเพียงนี้เชียวหรือ
ไม่ใช่เธอหรอก อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้ ใครคนใดคนหนึ่งที่อยากกำจัดเขา
ใช่ ใช่ ต้องเป็นเจ้านั้นแน่นอน หนุ่มช่างตีเหล็กในเมืองที่ชอบเหล่ตามองวิเวียนแสนสวย มันอิจฉาที่หญิงสาวไม่เลือกตัวเอง มันแอบตามเขามาถึงบ้านและฉวยโอกาสพาเขามาที่นี่ มีเพียงแต่ผู้ชายตัวใหญ่เช่นนั้นถึงจะแบกเขามาได้
นึกแล้วแค้น มันหน้าตาไม่ดีเองจึงทำให้ไม่มีสาวคนไหนเหลียวแล ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย ดอกฟ้าไม่มีทางชายตามองหมาวัด ควรจะสำเหนียกไว้บ้าง
ทว่าความรู้สึกหนึ่งก็ผุดขึ้นมา หากมันอยากจะฆ่าเขาล่ะ หรือจะปล่อยให้อดตาย แล้วถ้ามันกลับมาล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สเตฟานไม่อาจรู้ได้ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม เริ่มกวาดตามองห้องขังนี้เพื่อหาอาวุธป้องกันตัว ไม่ก็ที่หลบซ่อน
เขาหรี่ตาเพ่งมอง นี่คือห้องสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาดกว้างพอได้เดินเป็นวงกลมเพียงไม่กี่สิบก้าว ผนังห้องและพื้นเป็นหินแข็ง มีฟูกนอนเก่าตัวหนึ่ง ข้างกันมีขนมปังและแอปเปิลสดใหม่และสีแดงสวยหนึ่งลูก เขาลังเลที่จะกินมัน บางทีมันอาจจะมียาพิษ ใครกันจะใจดีจนถึงขนาดนำอาหารมาวางไว้ให้คนที่ตัวเองเกลียด อาหารจึงถูกทิ้งไว้ในที่ที่มันอยู่
ไม่มีแม้แต่ก้อนหินซักก้อนเดียวให้เขาใช้เป็นอาวุธ สเตฟานพยายามแกะก้อนหินออกจากผนัง แต่เล็บเขาก็ถลอกปอกเปิกเสียก่อน ชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องขังนั้น คำรามความโกรธและสิ้นหวังออกมา เขาร้องเรียกขอความช่วยเหลืออยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีใครตอบ นอกจากเสียงสะท้อนของตัวเขาเอง
เมื่อไส้เทียนหมดลง แสงสว่างเพียงดวงเดียวก็หายวับไปกับตา สเตฟานก้มลงมองฝ่ามือของตน เขาไม่เห็นมันอีกแล้ว โลกทั้งหมดช่างมืดมน มันแทบไม่เหมือนกับความเป็นจริงด้วยซ้ำ เหมือนแค่โลกแห่งความฝัน ไม่ก็โลกหลังความตาย สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่คือนิ้วมือที่ปวดแสบจากการตะกุยผนังหิน
ตึก ตึก
เมื่อการมองเห็นถูกปิดลง โสตประสาทจะดีขึ้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ใครบางคนกำลังเดินลงมายังห้องขังนี้ เขาขยับตัวเข้าชิดมุมห้องโดยอัตโนมัติ กลั้นหายใจรอให้คนคนนั้นเข้ามายังห้องนี้
แอ๊ด
ประตูไม้เก่าส่งเสียงร้อง แสงเทียนสีส้มอบอุ่นเป็นสิ่งแรกที่ชายหนุ่มเห็น เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะแสบตา แต่ต้องนิ่งอึ้งเมื่อสบตาเข้ากับดวงตาสีมรกตสวยดวงเดียวกับที่เขาหลงรัก เธอเดินเยื้องย่างอย่างใจเย็น วางเชิงเทียนลงบนโต๊ะหน้ากรงขังและย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้น ห่างกับซี่กรงเพียงไม่มาก แต่มากพอที่จะไม่ให้แขนของชายหนุ่มเอื้อมถึง นาตาลีส่งยิ้มหวานให้แก่คนรักของเธอ ดวงตาสีเขียวนั้นหวานเยิ้มกว่าเคย
“นาตาลี เธอ…”
มันเกินกว่าความคาดหมายของชายหนุ่ม แฟนสาวของเขาคือคนสุดท้ายที่จะสามารถทำอะไรแบบนี้กับเขาได้ เธอรักเขาจะตายไป
“เป็นยังไงบ้างที่รัก นอนในห้องนี้สบายดีไหม” เธอเอ่ยเสียงนุ่ม
“ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ นาตาลี เธอทำอย่างงี้กับฉันไม่ได้” เขาพุ่งเข้าไปเขย่าซี่กรง
“โถ่ โถ่ โถ่” หญิงสาวเอียงคอมองชายหนุ่มด้วยความเอ็นดู “ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ฉันเสียใจมากเลยรู้ไหม”
“เธอหมายความว่ายังไง”
“ก็คุณน่ะสิ มีรอยยิ้มและใบหน้าที่มีเสน่ห์ขนาดนี้ ผู้หญิงคนอื่นถึงอยากแย่งคุณไปจากฉัน” เธอส่งสายตาเว้าวอน “ฉันเลยไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากเก็บคุณไว้ที่นี่ สำหรับฉันคนเดียวเท่านั้น”
“นาตาลี เธอบ้าไปแล้วเหรอ ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มกระชากซี่กรงในมือแรงขึ้นอีก นาตาลีไม่แม้แต่จะสะดุ้ง เธอถอนหายใจราวกับเขาเป็นเพียงเด็กน้อยเอาแต่ใจที่ดื้อดึงอยากทำตามใจตัวเอง ส่วนเธอคือครูที่ต้องคอยสั่งสอนเขา
“ถ้าคุณทำตัวว่าง่ายเสียหน่อย พรุ่งนี้ฉันจะทำแซนด์วิชไส้โปรดของคุณมาให้ดีไหม”
เธอทำเหมือนกับว่าเขาจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป สเตฟานเกลียดใบหน้านั้นขึ้นมาทันที เกลียดตาสีเขียวเจ้าเล่ห์นั่นและรอยยิ้มบิดเบี้ยวของหญิงสาว ด้วยความโกรธ เขาเขย่าลูกกรงแรงขึ้น มันสั่นไหวตามแรงแต่ยังยึดแน่นกับที่
“พอได้แล้ว สเตฟาน” หญิงสาวกล่าวก่อนจะนำเทียนมาจี้ที่นิ้วมือของเขา ชายหนุ่มชักมือทั้งสองกลับมาทันที มันแดงจี๋และแสบร้อนจากไฟ เขาจ้องอีกฝ่ายกลับอย่างเคียดแค้น ไม่มีความรักหลงเหลือให้หญิงสาวผู้นี้อีกแล้ว
"โถ่ สเตฟานที่รัก ฉันไม่อยากทำอย่างนี้หรอก ตอนที่คุณดื้อแบบนี้ ฉันไม่มีตัวเลือกอื่นจริงๆ " เธอเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นแฟนสาวช่างห่วงใย
“ไหนดูมือของคุณหน่อยซิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเอายามาให้คุณนะที่รัก”
“ที่นี่คือที่ไหนกันแน่” เขากดเสียงต่ำ แต่อีกฝ่ายเมินเฉย
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว อย่าคิดถึงฉันมากล่ะ สัญญาว่าจะแวะมาหาบ่อยๆ นะคะ” เธอยืดตัวขึ้นยืนปัดชายกระโปรงเลอะฝุ่น
“เดี๋ยว อย่าเมินฉันแบบนี้นะ กลับมา!”
แต่หญิงสาวก็ไม่ฟัง เธอปิดประตูไม้บานเก่านั้นลง ยังดีที่เธอทิ้งเทียนเล่มนั้นไว้ให้เขา ชายหนุ่มก้มมองดูนิ้วมือของตนที่ยังแสบร้อนอยู่
“บ้าเอ๊ย”
แกรก
เสียงโลหะนั้นเรียกร้องความสนใจของสเตฟาน เขาจ้องมองลูกกรงเหล็กขึ้นสนิมนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะเขย่ามันอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น เขาลองเขย่าซี่กรงอีกซี่หนึ่ง มันส่งเสียงกึกและขยับเล็กน้อย
นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายหนุ่มมีความหวัง
อย่างไรก็ตาม ลูกกรงพวกนี้ก็เก่ามากแล้ว ถ้าใช้แรงมากกว่านี้ในการเขย่าล่ะก็…..
นาตาลีฮัมเพลงอย่างเริงร่าระหว่างที่เดินไปยังกระท่อมร้าง เมื่อสองคืนก่อนเธอได้ครอบครองสเตฟานอย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่ได้เห็นและพูดคุยกับเขา ก็ช่วยไม่ได้นี่นา เธอรักและหวงแหนชายหนุ่มเกินกว่าที่จะแบ่งกับใครได้ แค่คิดว่าเขาส่งยิ้มแบบเดียวกับที่ยิ้มให้เธอแก่หญิงคนอื่น หัวใจเธอก็ปวดร้าวเจียนตาย
วิเวียน สำเหนียกไว้เสียว่าเธอโชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านนี้ ไม่งั้นล่ะก็เธอจะไม่มีวันได้เห็นแสงตะวันอีก
พ่อแม่ของสเตฟานหวาดหวั่นที่ลูกชายตนหายตัวไป สิ่งที่พวกเขาคิดนั่นคือเขาหนีไปหาวิเวียนในเมือง เพราะใครก็รู้ดีว่านาตาลีอารมณ์ร้ายแค่ไหน ลูกชายคนเดียวของพวกเขาคงทนอยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้เพราะแฟนสาวอาละวาด ส่วนนาตาลีแค่เล่นตามบทนั้น ร้องไห้กรีดร้องให้แฟนหนุ่มของตนกลับมา
โชคดีที่ความแค้นต่อวิเวียนในใจของเธอยังมีอยู่เต็มเปี่ยม หญิงสาวนึกถึงใบหน้าของสาวคนนั้นข้างกับกับสเตฟาน จู๋จี๋กัน จูบกัน ทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง เหล่าคนในหมู่บ้านเหลียวมองแอบดูเธอร้องไห้เมื่อพวกเขาเดินผ่าน แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งด้วย ตอนกลางวันเธอแสร้งทำเป็นเศร้าโศก แต่เมื่ออาทิตย์ลับฟ้าคือเวลาที่เธอยิ้มร่าออกมาได้
กระท่อมตั้งอยู่ในที่โล่งกว้างบนเนินเขาที่ด้านล่างเป็นน้ำทะเล แสงจันทร์ในคืนนี้ส่องสว่างจนเธอไม่ต้องใช้ตะเกียงนำทาง
“ถึงจะต้องเดินไกลแบบนี้ทุกวัน แต่ก็คุ้มอยู่นะ” เธอเอ่ยกับตัวเองพลางอมยิ้ม
เธอชอบที่เธอต้องเตรียมอาหารในตะกร้ามาให้เขาทุกวัน คอยดูแลเขาเหมือนกับว่าพวกเขาสองคนแต่งงานอยู่ด้วยกันจริงๆ วันนี้เธอทำแซนด์วิชของโปรดให้เขา ใส่ไส้ที่เป็นปลาให้อย่างเต็มที่ มาพร้อมกับผลไม้อีกนิดหน่อยและน้ำดื่ม
ป่านนี้คุณสามีของเธอคงหิวมากแล้ว เธอควรเร่งฝีเท้า
ทว่าเธอเห็นเงาตะคุ่มเดินออกมาจากกระท่อม มันย่อต่ำแต่สาวฝีเท้าเร็วถี่ มันมองซ้ายมองขวาและในที่สุดมันก็สบตาเข้ากับนาตาลี หญิงสาวถอยผงะไปหนึ่งก้าว จะมีใครกันที่มาที่กระท่อมร้องต้องคำสาปนี้ เธออยากจะรู้ว่านั่นคือใคร เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ ในมือกำมีดในตะกร้าไว้แน่น
เงามืดนั้นรีบวิ่งหนี ตอนนี้ร่างนั้นยืดตัวเต็มความสูงแล้ว ดูแค่แผ่นหลังกว้างนั้นเธอก็รู้ทันทีว่านั่นคือชายที่รักของเธอ
"คุณจะไปไหน!" เธอทิ้งตะกร้าลงและวิ่งตามร่างสูง แน่นอนว่าในมือยังกำมีดแน่น
ชายหนุ่มเหลียวหลังหันไปมอง ที่วิ่งไล่ตามเขามาคือปีศาจร้าย ดวงตาสีเขียวของเธอเหมือนจะส่องแสงได้ในความมืด ในมือของเธอนั้นกำมีดไว้ เธอจะฆ่าเขาหรือ หัวใจของเขาเย็นเยือกไปถึงขั้ว สเตฟานเร่งฝีเท้า เขาเห็นแสงสว่างของหมู่บ้านอยู่ไกลลิบ ถ้าวิ่งเร็วพอล่ะก็ ถ้าวิ่งไปถึงหมู่บ้าน เขาจะปลอดภัย
ทว่าสายตาของชายหนุ่มจดจ้องกับแสงจากหมู่บ้านมากเกินไปจนไม่ได้มองดูพื้นดิน
ตุบ
เท้าของเขาชนเข้ากับก้อนหินอย่างจัง สเตฟานถลาลงบนพื้นหญ้า ข้อเท้าพลิกจนทำให้ปวดร้าวไปหมด แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะร้องเจ็บปวด ชายหนุ่มยันตัวขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว เขาจ้ำอ้าวสุดชีวิต แต่ข้อเท้าเจ้ากรรมดันเป็นตัวถ่วง
เสียงคลื่นทะเลกลบเสียงตะโกนร้องของหญิงสาว ถึงแม้เธอจะพูดอะไรเขาก็จะไม่ฟังเด็ดขาด ทว่าเมื่อเสียงนั้นใกล้มากเข้ามาทุกที เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันหลังไปมอง และนั่นคือตอนที่ร่างบางวิ่งพุ่งใส่ตัวเขา ทั้งคู่ล้มลงไปด้วยกัน หญิงสาวตะกรองกอดคนรักของเธอแน่น เธอไม่มีความคิดที่จะปล่อยเขาไป
มีดนั่นถูกทิ้งไว้บนพื้นหญ้าข้างกัน เขาเหลือบมองเห็นมันและรู้ว่านี่คือทางรอดของเขา สเตฟานที่ถูกอีกร่างหนึ่งทับอยู่ด้านบนพยายามเอื้อมมือไปหาอาวุธ แต่หญิงสาวจ้องมองเขาด้วยดวงตามรกตของเธอ นาตาลีรีบลุกขึ้นไปคว้ามันเสียก่อน
“ถ้าฉันไม่ได้คุณ เราก็ตายไปด้วยกันเถอะ” เธอพูดด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว มือที่ถือมีดนั้นสั่นเทาจนน่าหวาดเสียว ชายหนุ่มเชื่อว่าจะเธอสามารถฆ่าเขาได้จริงๆ แฟนสาวของเขาเป็นคนวิกลจริต
ชายหนุ่มใช้เท้าข้างที่มีแรงดีถีบเข้าไปที่หน้าท้องของหญิงสาว เธอหงายหลังลง เขาลุกขึ้นคร่อมตัวเธอ
“ส่งมีดมาเดี๋ยวนี้” สเตฟานกัดฟันกรอด เมื่อไหร่กันที่หญิงสาวร่างบางคนนี้มีแรงเยอะจนขนาดเขาแย่งมีดมาไม่ได้ เธอสู้กลับ ปัดป่ายอาวุธในมือไปมา
ทั้งคู่วุ่นแต่กับการจัดการอีกฝ่าย พวกเขาไม่สังเกตเลยว่าเสียงทะเลนั้นใกล้หูพวกเขาขนาดไหน หากกลิ้งบนพื้นไปอีกนิดก็จะตกลงจากหน้าผา ลงไปกระแทกโขดหินและสายน้ำเชี่ยวกราก กว่าทั้งคู่จะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว สเตฟานที่กลัวว่าตัวเองจะถูกมีดแทงเข้าที่ท้องโยนร่างของนาตาลีออกห่างจากตัวเอง เขาไม่ได้ดูเลยว่าทิศทางนั้นมันไปทางไหน กว่าจะตั้งสติได้ เขาก็เห็นดวงตางดงามนั้นเบิกกว้างตกใจ และในชั่วพริบตา นาตาลีก็หายไป
สเตฟานหอบหายใจแฮก ก้มลงมองภาพสยดสยองด้านล่าง ร่างของนาตาลีนอนอยู่บนโขดหินด้านล่าง เลือดไหลย้อยลงมาเสียชุ่ม ชายหนุ่มรีบถอยออกมาจากริมผา
เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม แต่เหมือนเห็นปากของหญิงสาวขยับขยุกขยิกพูดอะไรบางอย่าง
“สเตฟาน”
เขาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มรีบเดินไปยังหมู่บ้าน
ชายหนุ่มผมบลอนด์ยกชาขึ้นมาดื่มจิบหนึ่ง ในตอนนี้ชาร์ลีนั่งอยู่บนโซฟาหนานุ่มตัวโปรดของเขา ลมพัดหวีดหวิวอยู่ด้านนอก พายุกำลังพัดผ่านบ้านพักต่างอากาศที่เขาอาศัยอยู่ตอนนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกคือ คฤหาสน์หน้าร้อนของครอบครัวมากกว่า ทว่านับตั้งแต่พ่อแม่ของเขาเกษียณตัวเอง พวกเขาก็เหมือนจะย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวรเลยทีเดียว ชายหนุ่มไม่แปลกใจเลยที่ทำไมพ่อแม่ของเขาชอบสถานที่แห่งนี้มากนักมันเป็นพื้นที่ติดทะเล อากาศอบอุ่นกว่าลอนดอนเป็นไหนๆ ในหน้าร้อนมันเหมือนกับอิตาลีไม่ก็ฝรั่งเศสเลยทีเดียว
เจคอบยอมให้เขากลับมาเจอพ่อแม่เสียก่อนที่จะออกเรือ มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นหน้าครอบครัวก็เป็นได้ เขาเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่และวางแผนที่จะอยู่อาทิตย์หนึ่ง ชายหนุ่มกระชับผ้าห่มแน่นขึ้นและอ่านเอกสารลับราชการต่อ ส่วนใหญ่มันคือเบาะแสของนางเงือกที่หาได้ทั่วราชอาณาจักร
สมแล้วที่เป็นหน่วยงานราชการ พวกเขามีข้อมูลที่ชาร์ลีไม่คิดว่าตัวเองจะหาได้เองอยู่ในมือ ต้องขอบคุณตัวเองที่ยอมเซ็นสัญญากับเจคอบ ไม่เช่นนั้นเขาก็ยังคงเป็นนักศึกษาหนุ่มที่ทำได้แต่คิดเรื่องทฤษฎี ไม่มีวันได้พิสูจน์ความเป็นจริง
ในมือของเขาคือบันทึกคดีปริศนาของหมู่บ้านประมงแห่งหนึ่ง ในตอนแรกชายหนุ่มหายตัวไป ครอบครัวของเขาคาดว่าลูกชายน่าจะหนีไปหาหญิงสาวที่รักในเมือง ต่อมาไม่กี่วันเขากลับมายังหมู่บ้านในสภาพซอมซ่อ ชายหนุ่มเก็บตัวเงียบไม่พูดอะไรหลายวัน ก่อนจะถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย
คำว่าสัตว์ร้ายนี้…หมายถึงนางเงือก
พยานเหตุการณ์คือชาวประมงคนหนึ่งที่กำลังเตรียมออกเรือยามเช้าตรู่ ในวันนั้นหมอกลงหนาทึบ เขาได้ยินเสียงชายหนุ่มขอความช่วยเหลือจึงรีบตามหาเสียงนั้น ทว่าเพราะหมอกหนาจึงหาตัวชายหนุ่มไม่เจอ สิ่งที่ชาวประมงผู้นั้นเห็นเป็นอย่างสุดท้ายคือชายหนุ่มนามสเตฟาน ที่ถูก ‘สิ่งมีชีวิตนั้น’ ลากลงไปในน้ำด้วยแรงมหาศาล เขาตะเกียกตะกายสู้ แต่ก็สู้แรงของสัตว์ร้ายนั้นไม่ได้ มันมีดวงตาสีมรกตส่องแสงวาบแม้ท่ามกลางหมอกหนา ผิวซีดเผือด และใบหน้าสวยงาม
มีผู้หญิงแค่คนเดียวเท่านั้นในชีวิตของชาวประมงที่มีดวงตาสีเช่นนั้น
พยานเชื่อว่านั่นคือนาตาลี หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่หายตัวไปจากหมู่บ้านอย่างลึกลับ เธอคือคนรักอีกคนของเขาที่อยู่ในหมู่บ้าน ตำรวจในพื้นที่เมินเรื่องที่ชายหนุ่มซุกคนรักไว้สองแห่งและคำให้การของพยานที่บอกว่ามันคือสัตว์ร้าย ก่อนจะสรุปว่ามันคือการฆ่าตัวตายคู่ของหนุ่มสาว กรมตำรวจตัดสินใจว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ แต่หน่วยราชการลับเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้มาตลอด รอคอยให้ใครสักคนมาแก้ไขปริศนา
ชาร์ลีขมวดคิ้วครุ่นคิด หญิงสาวที่หายตัวไปจากหมู่บ้านถูกเห็นเป็นครั้งสุดท้ายในตอนที่เธอกลายเป็นนางเงือก เธออาจจะเป็นนางเงือกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แฝงตัวเข้ามาในชุมชนมนุษย์อย่างแนบเนียน หรือเธอเพิ่งจะกลายเป็นเงือกกันแน่ ถ้าเช่นนั้นแล้ว มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ชาร์ลี” เสียงแสนคุ้นเคยดังขึ้น
“เดี๋ยวผมไปครับแม่” เขาขานตอบ รีบเก็บกระดาษทั้งหลายเข้าแฟ้มให้เรียบร้อย ห้ามไม่ให้ใครเห็นเนื้อหาในเอกสารพวกนี้เด็ดขาด เจคอบขู่ไว้ว่าใจดีแค่ไหนแล้วที่ยอมให้เอากระดาษพวกนี้ติดตัวมาด้วย
พายุยังโหมกระหน่ำ ท้องฟ้ามืดมน ทุกครั้งที่ชาร์ลีหายใจเข้า เขาได้กลิ่นเกลือจากทะเล แต่ภายใต้คลื่นน้ำบ้าคลั่งนี้ ด้านใต้นั้นยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่ารออยู่ พวกมันคอยจ้องมองโลกเบื้องบนผ่านเกลียวคลื่น รอคอยเพียงโอกาสที่จะปรากฏตัว
Comments (0)