2 ตอน แม่บ้าน
โดย หมีขาว23
คุณเคยมีความทรงจำที่อยากจะลืมหรือเปล่า และใช่ค่ะฉันอยากจะลืมเรื่องในวันนั้น เพียงแค่ฉันนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และคิดเสมอถ้ารู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ฉันไม่ควรออกเที่ยววันสงกรานต์ตั้งแต่แรก...
ถึงจะบอกว่าอีกฝ่ายเต็มใจ แต่มันก็ไม่ได้ปฏิเสธความจริงที่ว่าเธอกำลังเมา แล้วไหนจะความสัมพันธ์ของเราที่ดูยังไงก็เป็นเรื่องของ One Night Stand นอกจากชื่อที่ฉันบังเอิญรู้ ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเธอมากไปกว่าคำว่าคนแปลกหน้า
นี่มันแย่...ใครจะไปคิดว่าคนแบบฉันจะมีประสบการณ์เรื่องแบบนั้นครั้งแรกในความสัมพันธ์รูปแบบ One Night Stand และฉันก็ไม่กล้าที่ปรึกษาหรือเล่าให้ใครฟัง ขนาดเพื่อนสองตัวที่มันเที่ยวถามว่าวันนั้นฉันหายไปไหน ฉันแค่บอกออกไปว่า ‘กลับบ้านเพราะคันน้ำที่โดนสาด’ ส่วนที่ไม่ได้ไม่ตอบแชทหรือข้อความใดๆ เพราะหลับ พวกมันก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ส่วนพ่อกับแม่ดันคิดว่าฉันไปค้างกับพวกมันเพราะปกติถ้าพวกเราไปเที่ยว ฉันมักจะไปค้างกับพวกมัน ด้วยเหตุนี้นอกจากเธอก็ไม่มีใครรู้เรื่องของเราที่สำคัญฉันคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง ก็แหม โอกาสที่เราจะเจอคนที่เรา One Night Stand ด้วยมันจะมีสักกี่เปอร์เซ็นต์เชียว?
และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาฉันถึงได้หลงลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้น แล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องในความฝัน ส่วนจะฝันแบบไหนนั่นฉันขอไม่พูดถึง ในเมื่อตอนนี้...ฉันกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ในรั้วมหา’ลัย กับสาขาที่ฉันปลื้มปริ่ม นั่นคือสาขาคอมพิวเตอร์แอนิเมชัน ฉันมีความฝันว่าอยากจะสร้างเกมของตัวเองเกม
แต่ก่อนที่จะเริ่มเรียนดันมีค่ายค้างคืนสำหรับน้องใหม่ ฉันไม่รู้ว่ามหา’ลัย อื่นมีหรือเปล่าแต่ที่นี่ดันมี ฉันเข้าใจจุดประสงค์นะว่าต้องการให้เข้ากับเพื่อนและพี่ๆ ในมหา’ลัย หรือทำความคุ้นเคยกับสถานที่พูดเหมือนมหา’ลัย ใหญ่มากกก ทั้งที่เดินไม่กี่นาทีก็ครบรอบแต่ด้วยความที่เป็นกิจกรรมบังคับฉันถึงได้มาอยู่ตรงนี้
“สวัสดีน้องๆ ทุกคนนะคะ พี่ชื่อว่าพี่ซีอยู่ปีสองสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ วันนี้พี่จะมาเป็นพี่เลี้ยงค่ะ”
“สวัสดีค่ะ/สวัสดีครับ” เราทุกคนต่างกล่าวสวัสดีพี่สตาฟที่กำลังแนะนำตัวทีละคน
“เชิญน้องๆ แนะนำตัวได้เลยค่ะ เริ่มจากน้องแถวA” เมื่อพี่สตาฟกล่าวจบ คนอื่นๆ เริ่มลุกขึ้นมาแนะนำตัวตามที่พี่สตาฟบอก การเข้าค่ายไม่ได้เข้าเพียงแค่สาขาหรือคณะเราเท่านั้นแต่เป็นการรวมทั้งคณะเข้าด้วยกันโดยใช้ระบบสุ่ม ทำให้แต่ละกลุ่มมีเด็กจากหลายที่ แน่นอนว่าฉันกำลังหาคนที่เรียนสาขาเดียวกัน และเป็นอะไรที่โชคดีมากเมื่อคนที่อยู่ข้างหน้าเรียนสาขาคอมพิวเตอร์แอนิเมชันเหมือนกัน
“สวัสดีค่ะ เราชื่ออีฟจากสาขาคอมพิวเตอร์แอนิเมชันค่ะ” นอกจากเสียงจะน่ารัก หน้าตายังน่ารักไม่แพ้น้ำเสียง เธอช่างดูอ่อนโยนให้ความรู้สึกเหมือนสัตว์ตัวน้อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่เธอยิ้มแก้มทั้งสองข้างจะประกอบไปด้วยรอยบุมเล็กๆ ที่เรียกว่าลักยิ้ม
ระหว่างที่คนอื่นกำลังแนะนำตัว ฉันก็ใช้จังหวะนี้สะกิดที่ไหล่เธอเบาๆ เพื่อทำความรู้จักเป็นการส่วนตัว
“สวัสดีเราชื่อสงกรานต์นะยินดีที่ได้รู้จักอีฟ”
“สวัสดีค่ะสงกรานต์ เราเรียนสาขาเดียวกันใช่มั้ยคะ” อีฟส่งยิ้มน้อยๆ อย่างน่ารักจนฉันมองตาม
“สงกรานต์คะ ได้ยินที่เราถามรึเปล่าคะ” เธอมองฉันด้วยสีหน้ามึนงง
“ขอโทษค่ะ พอดีว่า เราไม่เคยเจอใครน่ารักแบบอีฟมาก่อน” ฉันก้มหน้างุดด้วยความเขินยิ่งอีฟหันมาพูดใกล้ๆ ด้วยเสียงหวานชวนเคลิ้มฉันยิ่งไม่กล้าสู้หน้า
“ขอบคุณค่ะเราเองก็เพิ่งจะเคยโดนผู้หญิงชมเป็นครั้งแรก” อีฟตอบด้วยท่าทางปกติพร้อมลักยิ้ม คนอะไรน่ารัก ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็น่ารักแล้วยิ่งได้คุยก็ยิ่งคิดว่าอีฟช่างน่ารัก จะด้วยน้ำเสียงหรือท่าทางอีฟช่างเหมาะกับคำว่าน่ารัก ทุกครั้งที่ได้มองจะให้ความรู้สึกนุ่มฟูเต็มไปด้วยความสดใส
“สงกรานต์คะ เราขอถามที่มาของชื่อได้มั้ยคะ” จากที่ฉันกำลังยิ้มกลับหน้าเจื่อนลงชั่วขณะเมื่อนึกถึงที่มาชื่อตัวเอง
“ได้ค่ะ”
“เพราะเกิดในวันสงกรานต์รึเปล่าคะถึงได้ชื่อสงกรานต์” ฉันส่ายหัวปฏิเสธอย่างอายๆ
“จะว่ายังไงดี คือ...ที่พ่อกับแม่ตั้งชื่อเราว่าสงกรานต์เพราะมีความทรงจำดีๆ ในวันนี้ค่ะ ส่วนเราเกิดวันที่ 1 ธันวาคม” ฉันไม่ได้โกหกนะก็มีความทรงจำดีๆ จริงๆ นั่นแหละถึงจะเป็นเรื่องอย่างว่าก็เหอะ
“แบบนี้แสดงว่าเราสองคนเกิดเดือนเดียวกันนะ” เป็นอีกครั้งที่อีฟยิ้มอย่างน่ารักและทุกครั้งที่อีฟยิ้มมักจะมีลักยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่ข้างแก้มเสมอ
“จริงเหรอ แล้วอีฟเกิดวันที่เท่าไร” ฉันถามด้วยน้ำเสียงดีใจไม่แน่น่ะเราอาจจะเกิดวันเดียวกัน
“เราเกิดวันที่ 24 ธันวาคมค่ะ วันคริสต์มาสอีฟ”
“เพราะแบบนี้เลยชื่ออีฟสินะ” ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจถึงจะแอบเสียดายที่เราไม่ได้เกิดวันเดียวกันแต่ฉันคิดว่าชื่อนี้ช่างเหมาะกับเธอ
“ค่ะ เราถึงคิดว่าที่มาชื่อสงกรานต์จะเหมือนเรา...ขอโทษนะคะที่เข้าใจผิด” อีฟทำหน้ารู้สึกผิดจนฉันรีบพูดต่อว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใช่ว่าจะมีอีฟคนเดียวที่คิดแบบนี้
“ไม่เป็นไร ปกติก็มีคนเข้าใจผิดที่มาของชื่อเราอยู่แล้วค่ะ” เพราะโดนเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้งฉันถึงรู้สึกเศร้าหน่อยๆ “มันแปลกไม่ใช่เหรอผู้หญิงที่ไหนจะชื่อสงกรานต์แถมยังเกิดเดือนธันวาคม”
“ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยค่ะ เราว่าชื่อสงกรานต์ออกจะเท่ เหมาะกับสงกรานต์มากๆ เลยค่ะ”
“ขอบคุณนะ” ไม่เคยเธอจะชมชื่อของฉันเพราะแบบนี้คำพูดของอีฟถึงได้เรียกรอยยิ้มของฉันออกมาอย่างง่ายดาย และนั่นคือความประทับใจแรกที่ฉันชื่นชมอีฟ
จะว่าดีมันก็ดีเพราะค่ายในครั้งนี้ทำให้ฉันได้รู้จักเพื่อนใหม่อย่างอีฟ เราสองคนค่อนข้างสนิทกันเมื่อความชอบหลายๆ อย่างของพวกเหมือนกัน ทั้งที่อีฟดูน่ารักน่าทะนุถนอมจนไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนที่ชอบเล่นเกม แถมแต่ละเกมก็ดูจะไม่เหมาะกับเธอ ฉันไม่ได้จะว่าอะไรนะแต่แบบปกติผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเล่นเกมที่มีภาพน่ารักๆ ไม่ค่อยมีคนจะชอบเล่นเกมอย่าง ELDEN RING, Dota2,Don't Starve Together อะไรพวกนี้
“กลับไปเราลองมาเล่นด้วยกันมั้ยคะ” ฉันลองชวนอีฟถ้ามีเพื่อนมาเล่นด้วยกันเกมจะยิ่งสนุก
“ได้ค่ะ แต่เราต้องให้สงกรานต์เป็นคนแบกเรานะเราเล่นไม่ค่อยเก่ง”
“อีฟน่าจะเป็นคนแบกเรามากกว่า เราก็เล่นไม่เก่งเหมือนกัน”
“แล้วแบบนี้เราสองคนจะรอดมั้ยคะ” เราต่างพูดด้วยเสียงหัวเราะเมื่อต่างคนต่างพูดเรื่องที่ชอบ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเหมือนกันยิ่งสนิทกันเร็ว
“น้องๆ ค่ะรีบเข้าแถวค่ะ”
“ค่ะ/ครับ”
เรารีบเข้าแถวอย่างรวดเร็วเมื่อหมดเวลาพัก และเตรียมตัวทำกิจกรรมต่อเมื่อพี่สตาฟอธิบาย กิจกรรมต่างๆ ก็เหมือนมหา’ลัย ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมตอบคำถาม หรือเกมที่ต้องใช้ความร่วมมือจากคนในทีม เช่นการรอดผ่านห่วง ซึ่งทีมที่แพ้จะต้องออกมาเต้นเพลงต่างๆ ตามที่พี่สตาฟบอก และแน่นอนว่าทีมของพวกเราแพ้...แพ้อย่างราบคาบชนิดที่ว่าคะแนนทิ้งห่างแบบไม่ต้องนับ
“เราขอโทษทุกคนนะคะ ถ้ารีบวิ่งเร็วกว่านี้ทีมของเราคงชนะ” อีฟรีบก้มหัวขอโทษเมื่ออีฟเป็นคนสุดท้ายของทีม แต่มันไม่ใช่ความผิดของอีฟ ต้องบอกทีมเราทุกคนต่างพลาดหลายจังหวะจนทำให้ทีมของเราช้ากว่าอีกฝ่าย
“เราก็ขอโทษเหมือนกัน ถ้าเราส่งห่วงให้เร็วกว่านี้...”
“เราด้วยถ้าเมื่อกี้รีบกว่านี้คงดี” สมาชิกในทีมต่างขอโทษกันไปมา
“ไว้พวกเรามาพยายามกันใหม่ครั้งหน้านะคะ” จากที่เรากำลังเศร้าเพราะแพ้แต่อีฟกลับเป็นคนให้กำลังใจทุกคน
“เอาล่ะค่ะ เนื่องจากทีมสีเขียวแพ้เพราะงั้นน้องๆ จะต้องเต้นเพลงไก่ย่าง พร้อมกันรึยังคะ”
“พร้อมค่ะ/พร้อมครับ” พวกเราในทีมมองหน้ากันความลำบากใจ มันออกจะน่าอายเมื่อเราต้องเต้นต่อหน้าทุกคน ถึงจะมีบางคนในกลุ่มที่ดูจะชอบกิจกรรมแบบนี้...แต่นั่นก็ไม่ใช่ทุกคน
“เราไม่ชอบเลย” ฉันทำหน้าจ๋อยแค่คิดว่าตัวเองต้องออกไปทำอะไรแบบนี้
“เราเองก็ไม่ชอบทำอะไรแบบนี้เหมือนกันค่ะ” อีฟหันมามองหน้าฉันแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เราไม่เต้นได้มั้ย” ฉันบ่นไปเรื่อยทำไมพวกเราต้องโดนทำโทษด้วยเรื่องแบบนี้กันนะ
“คิดสะว่าเต้นเป็นเพื่อนเรานะ ถึงเราจะอายแต่ถ้ามีสงกรานต์และทุกคนเราก็น่าจะอายหน่อยลง” ฉันหันไปมองทุกคนก่อนจะให้กำลังใจตัวเอง เอาไงเอากันแป๊บเดียวก็เสร็จ
“เริ่มกันค่ะ ~ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา แล้วมันก็ถูกไม้เสียบ เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ~” ทีมของพวกเราต่างพยายามเต้นตามเสียงเพลงที่ แน่นอนว่ามันทั้งเขินทั้งอาย แต่พวกเราก็ผ่านมันไปได้ เมื่อร้องจบพี่สตาฟก็ปล่อยให้พวกเรากลับไปนั่งตามเดิม
“เราเต้นแปลกรึเปล่าคะ” อีฟเงยหน้าขึ้นมองด้วยแก้มสีชมพูระเรื่อ เดาว่าอีฟกำลังรู้สึกเขิน
“ไหนบอกถ้ามีเราและคนอื่นๆ จะอายน้อยลงไง”
“ถึงจะอายน้อยลงก็อายอยู่ดีนะคะ” อีฟบ่นอุบอย่างอายๆ ฉันส่ายหัวที่แท้คนที่อายมากที่สุดในนี้น่าจะเป็นอีฟนั่นแหละ
“เอาล่ะค่ะ กิจกรรมในช่วงนี้ก็จบกันไปแล้ว เชิญตามพี่สตาฟเพื่อไปทำกิจกรรมที่โซนต่อไปค่า~”
เมื่อจบจากตรงนี้ก็ไปตรงโน้น เราต่างทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งวัน กิจกรรมบางอย่างก็สนุกดี แต่บางอย่างก็ออกจะน่าอายเช่นกัน อย่างการออกมาเต้นหรือการออกมาพูดท่ามกลางผู้คนโดยใช้การสุ่มหรือทำโทษ ถึงบางคนจะยินดีแต่ก็ไม่ใช่ทุกคน มันคงจะดีถ้ากิจกรรมทุกอย่างทำด้วยความสมัครใจ และอย่างสุดท้ายของวันนี้คือการเข้าหอประชุมเพื่อทำความรู้จักกับคณะครูบาอาจารย์ในแต่ละสาขาแต่ละคณะ และไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือรุ่นพี่ ทุกคนต่างต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น กิจกรรมต่างๆ สำหรับฉัน มันกลับไม่ได้แย่เท่าที่คิด เว้นเสียแต่...คืนนี้เราจะต้องค้างที่มหา’ลัย ถึงทุกอย่างจะดูโอเคเมื่อเทียบกับการเข้าค่ายที่อื่นๆ แต่ยังไงฉันก็ไม่คุ้นชินกับการนอนนอกสถานที่หรือการอาบน้ำโดยใช้ห้องน้ำของมหา’ลัย
“สงกรานต์รอเราได้มั้ยคะ” อีฟถามด้วยท่าทางเป็นกังวล
“อีฟกลัวเหรอ”
“ค่ะ แต่เราไม่ได้กลัวผีนะคะที่เรากลัวคือแมลงโดยเฉพาะแมลงสาบ” ระหว่างที่อีฟพูดตาก็เอาแต่มองไปรอบๆ เพื่อสำรวจว่ามีแมลงหรือตัวอะไรแถวนี้ไหม
“อ๋อ เดี๋ยวเรายืนเฝ้าให้ถ้าเกิดอีฟเจออะไรเรียกเราได้เลยนะ”
“เรียกแล้วสงกรานต์จะช่วยไล่แมลงให้เราเหรอคะ”
“เปล่าเราจะได้วิ่งหนี”
“สงกรานต์อ่า” อีฟทำแก้มป่องเหมือนเด็กน้อยกำลังงอน
“เราล้อเล่นก็ต้องช่วยสิ ถ้าเป็นแมลงเราจะไล่ให้หมดทุกตัวเลย”
“สัญญานะคะว่าจะช่วยเรา จะไม่ทิ้งเรา...” อีฟมองฉันไม่วางตาเหมือนกลัวว่าฉันจะหนี
“อีฟไม่ต้องกลัวนะ เราจะยืนเฝ้าอีฟไม่ไปไหนจนกว่าอีฟจะออกมาเลยดีมั้ยคะ”
“แน่ใจนะคะ ไม่ใช่เราออกมาแล้วไม่เจอสงกรานต์นะ” ฉันพยักหน้าหงึมๆ อีฟถึงได้ยอมเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี โดยที่ตาก็ยังหันมามองฉันเป็นระยะเหมือนจับตาดูว่าฉันจะไม่ไปไหนจริงๆ เชื่อเขาเลยอะไรจะกลัวขนาดนั้น
ฉันรออีฟอยู่พักใหญ่กว่าที่อีฟจะออกมา แต่เมื่อได้เห็นอีฟหลังจากที่เพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆ ฉันคิดถึงคำโบราณที่เคยได้ยิน ผู้หญิงจะสวยที่สุดตอนเปียก ครั้งแรกที่ได้ยินฉันเถียงขาดใจ เอาอะไรไปสวยก่อน!!! ผมก็ลีบเครื่องสำอางก็ไม่มี ใครมันจะไปสวยตอนเปียกกันถามจริง!? แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าคำดังกล่าวไว้ใช้กับอีฟ ด้วยพวงแก้มสีชมพูอ่อน ใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางทำให้ดูเด็กลง คงมีแค่อีฟที่ดูดีในเวลาแบบนี้ ต่างจากฉันที่สภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำ ตอนปกติก็ไม่ได้สวยอะไร ยิ่งตอนเปียกไม่ต้องพูดถึง ทำไมโลกช่างไม่ยุติธรรมถ้าจะดูดีขนาดนี้ช่วยแบ่งความสวยมาให้ฉันหน่อยเหอะ
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ ทำไมสงกรานต์ทำหน้าเหมือนไม่พอใจหรือเราอาบน้ำนานไปเหรอคะ”
“เปล่าๆ เราแค่อิจฉาว่าทำไมอีฟตอนหน้าสดถึงได้ดูดี” ฉันบ่นอุบออกไปโดยที่ตายังคงมองหน้าอีฟอย่างไม่ละสายตา
“มองเราแบบนี้ เราเขินนะคะ”
“ขอโทษที่เราเผลอมองนานไปหน่อย เหอะๆ พวกเรากลับเข้าห้องเลยมั้ยคะเดี๋ยวพี่เค้ามาตาม” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องแก้เก้อ มันออกจะเขินๆ ที่เผลอมองใครสักคนแบบนี้ แต่เชื่อเถอะถ้าใครเห็นอีฟตอนนี้คงต้องเผลอมองตาม คนอะไรขนาดตอนผมเปียกยังสวย
เราสองคนรีบเดินออกจากห้องเพื่อแยกย้ายไปนอนในห้องของตัวเอง แต่ก่อนที่จะแยกไปทางใครทางมัน
“พรุ่งนี้…สงกรานต์ช่วงมายืนเฝ้าเราแบบนี้อีกได้มั้ยคะ” ทั้งน้ำเสียงและคำพูดที่อีฟแสดงออกมา เหมือนกำลังขอร้องฉันอยู่กลายๆ แล้วมีเหรอที่ฉันจะกล้าปฏิเสธ ฉันยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“ได้อยู่แล้วค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ” คำขอบคุณที่มาพร้อมรอยยิ้มแสนหวานตามด้วยคำพูดบอกฝันดี
“ฝันดีค่ะสงกรานต์” แค่คำพูดสั้นๆ แต่ฉันกลับจำมันได้เป็นอย่างดี และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจ
วันรุ่งขึ้นฉันรีบออกมายืนรออีฟที่หน้าห้องน้ำ และแน่นอนว่าคิวตอนนี้ช่างยาวเหยียดเพราะต่างคนต่างรีบจัดการตัวเองเพื่อเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมในวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้าย
“ขอโทษนะที่เรามาช้า เราไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้”
“เหมือนกันค่ะ” ฉันมองแถวที่ต่อกันยาวเหยียดอย่างปลงตก
“เอาแบบนี้มั้ยคะ เราไปล้างหน้าแปรงที่ตึกฝั่งโน้นก่อนแล้วค่อยกลับมาต่อคิวอาบน้ำ”
“ดีเหมือนกันค่ะเราไม่อยากรอนาน แต่อีฟจะโอเคใช่มั้ย” ฉันถามพลางกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ในเมื่อตึกที่ว่า...
“คะ? มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ก็ตามข่าวลือเขาบอกตึกนั้นผีดุ” ฉันพูดเสียงเบาอย่างกลัวๆ ยิ่งเป็นเวลาเช้ามืดแบบนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ แต่ผลที่ได้รับกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะ
“สงกรานต์เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอคะ” อีฟยังคงหัวเราะเบาๆ
“เปล่านะ แต่กันไว้ก่อนอีฟเถอะไม่กลัวเลยเหรอ”
“ไม่ค่ะ เทียบกับแมลงสาบเรายอมเจอผีดีกว่า” ฉันถึงกลับทำหน้าเหวอ ไม่ล่ะไม่ว่ายังไงแมลงสาบมันน่าจะดีกว่า เพราะแค่หลบหรือหาอะไรมาไล่มันก็ไป ส่วนสิ่งที่เรียกว่าผี...ถ้าเจอจริงๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้นอกจากวิ่ง...
“สงกรานต์ไม่ต้องกลัวนะคะ ถ้าเจอผีจริงๆ เราจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนถ้าเป็นแมลงเราขอฝากสงกรานต์ด้วยนะ” ฉันรีบพยักหน้างืมๆ ไม่ว่ายังไงแมลงก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าให้ดีไม่ว่าแบบไหนไม่เจอเลยจะดีกว่า
“หวังว่าถ้าเจออีฟจะไม่ทิ้งเราไปก่อนนะ”
“ถ้าเจอนะคะ” อีฟหันมายิ้มเหมือนคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางเจอ และใช่ค่ะเราสองคนไม่เจออะไรนอกจากป้าแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดตามปกติ
“เห็นมั้ยค่ะเราบอกแล้วว่าผีไม่มีจริง”
“แต่บรรยากาศมันก็น่ากลัวไม่ใช่เหรอ” ฉันหันไปมองทางตึกที่เราเพิ่งเดินผ่านมาไม่ว่าจะดูอีกกี่ครั้งก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี
“คนแค่คิดไปเองค่ะเพราะมันมืด”
“ก็อาจจะใช่”
“เรารีบไปอาบน้ำกันเถอะค่ะก่อนที่พี่เค้าจะเรียก” เราสองคนคิดถูกเมื่อกลับมาครั้งนี้ห้องน้ำกลับโล่ง แต่บริเวณอ่างล้างหน้าแถวกลับยาว ก็นะตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่แต่คนแย่งพื้นที่เพื่อแต่งหน้าทำผม
“เราอาบห้องนี้นะ” ฉันชี้ไปที่ห้องฝั่งขวาที่อยู่ติดกับห้องที่อีฟกำลังเข้า
“ค่ะ”
“ถ้าเจออะไรอีฟเรียกเราได้เลยนะ”
“ตอนนี้คนเยอะคงไม่เจออะไรค่ะ แต่ถ้าเจอเราฝากสงกรานต์ช่วยจัดการด้วยนะคะ”
“ค่ะ” ฉันหันไปยิ้มตอบแล้วรีบเข้าไปอาบน้ำเพราะตอนนี้ใกล้จะได้เวลาที่พี่สตาฟจะเรียกตัว และการอาบน้ำในครั้งนี้ค่อนข้างวุ่นวายพอสมควรไม่ว่าจะเรื่องของเวลาหรือจำนวนผู้คนที่แย่งกันใช้พื้นที่ ถ้าจะให้ฉันเปรียบเทียบคงเหมือนสงครามขนาดย่อยในศึกแย่งชิงกระจกของหญิงสาว ทั้งที่เราก็แค่ทำกิจกรรมของมหา’ลัย
“น้องๆ ค่ะรีบเก็บของได้แล้วค่ะ”
“ค่ะ/ค่ะ” ฉันกับอีฟมองภาพความวุ่นวายตรงหน้า บางคนรีบเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ของตัวเองอย่างรวดเร็ว ส่วนบางคนก็รีบแต่งหน้าทำผมเพื่อแข่งกับเวลา
“ตรงนั้นน่ะเก็บขยะด้วยค่ะ วันนี้มหา’ลัยไม่มีแม่บ้านพี่ขอความร่วมมือให้ทุกคนจัดการความเรียบร้อยของสถานที่กันเองค่ะ” สิ้นเสียงของพี่สตาฟเราสองคนต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความตกใจ วันนี้มหา’ลัยไม่มีแม่บ้าน แล้วที่เราเห็นเมื่อเช้าคือ?...
“อีฟคิดว่าเมื่อเช้าที่เราเห็นคืออะไร” ฉันหันไปกระซิบถามอีฟเมื่อเรากำลังเดินตามพี่สตาฟ
“อาจจะเป็นแม่บ้านที่เข้ามาทำธุระก็ได้ค่ะ”
“แต่เมื่อเช้าที่เราเห็นเขากำลังถือไม้กวาดนะ เหมือนกำลังกวาดพื้น...แล้วยิ่งตรงนั้นมีข่าวลือเรื่อง...”
“ผีใช่มั้ยคะ”
“อย่าพูดตรงๆ สิเดี๋ยวก็รู้ตัวกันพอดี”
“หมายถึงผีเหรอคะ” อีฟหัวเราะคิกคักอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นแหละ” ฉันเอ็ดเบาๆ ถึงจะไม่ได้กลัวแต่ไม่ได้อยากลบหลู่ ของบางอย่างไม่ข้องเกี่ยวจะดีกว่า
“ไม่พูดถึงก็ได้ค่ะ เราแค่ไม่อยากให้สงกรานต์คิดมากไม่ว่ามันจะคืออะไรถ้าเราไม่สนใจก็ไม่มีอะไรแล้วค่ะ” อีฟหันมายิ้มให้กำลังใจ ฉันยิ้มรับแล้วเลือกที่จะปล่อยผ่านถึงจะยังติดใจอยู่บ้าง
และแล้วกิจกรรมในค่ายรับน้องก็ใกล้จะจบลงเมื่อเรากำลังโดนอาจารย์ผูกข้อมือเพื่อเป็นการตอบรับนักศึกษาทุกคน และหลังจากนี้จะตามด้วยคอนเสิร์ตซึ่งไม่ได้บังคับว่าใครจะอยู่หรือจะกลับ แน่นอนว่าฉันกับอีฟเลือกที่จะกลับบ้าน แต่ก่อนที่เราจะแยกย้าย
“แวะไปหาอะไรกินด้วยกันก่อนมั้ยคะ” ฉันมองอีฟอย่างชั่งใจ ใจหนึ่งก็หิวแต่อีกใจก็อยากรีบกลับไปเล่นเกมไวๆ ยิ่งในช่วงสองวันมานี้ที่ไม่ได้จับคอมฉันยิ่งคิดถึง รอก่อนนะพี่มาแล้วจ้ะ ถ้าไม่ติดที่ว่า...
“คงดีนะคะ ถ้ามีใครสักคนนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน...เราไม่อยากกินคนเดียว” อีฟเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาออดอ้อนเหมือนสัตว์ตัวน้อย แน่นอนว่าตัวเลือกของฉันได้ตอนนี้มีเพียงข้อเดียว...
“เราจะกินอะไรกันดีคะ?”
Comments (0)