1 ตอน Prologue
โดย หมีขาว23
สวัสดีฉันชื่อสงกรานต์ หลายคนคงคิดว่าฉันเกิดวันสงกรานต์ถึงได้มีชื่อแบบนี้แต่ไม่เลย ที่ฉันมีชื่อนี้นั้นก็เพราะ...ไม่ว่าจะพูดอีกสักกี่ครั้งก็ไม่ได้ลดความกระดากปากลงเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อที่มาของมันคือวันที่พ่อแม่มีอะไรกัน ใช่ค่ะฉันไม่ได้พูดอะไรผิด ที่มาของชื่อพ่อแม่ตั้งจากวันที่มีอะไรกันจนมีฉันขึ้นมา
ถ้าพูดถึงวันสงกรานต์ หลายๆ คนคงจะนึกไปถึงการเล่นน้ำประแป้งหรือความสนุกในช่วงเทศกาล ส่วนพ่อแม่ฉันกลับทำเรื่องแบบนั้นหรือหลายๆ คนก็อาจจะทำเช่นกัน และเพื่อให้ระลึกถึงความประทับใจในวันนั้น ถึงได้เลือกชื่อนี้ให้ฉัน โดยไม่คำนึงเลยสักนิดว่าลูกจะตอบคำถามยังไงถ้าหากมีใครถามที่มาของชื่อ
และในตอนที่ฉันรู้ที่มาของชื่อพ่อกับแม่กลับเล่าเรื่องนี้ออกมาหน้าตาเฉยราวกับมันเป็นความทรงจำที่แสนจะวิเศษ มันไม่ได้ผิดอะไรหากทั้งสองคนจะคิดว่าเรื่องนี้มันน่าจดจำ แต่ไม่ใช่จดจำโดยการนำมาตั้งชื่อลูก...
มันแปลกไม่ใช่เหรอ? ผู้หญิงที่ไหนจะชื่อสงกรานต์ที่สำคัญดันเกิดเดือนธันวาคมแล้วเวลาที่ใครถามว่าทำไมถึงชื่อสงกรานต์ทั้งที่เกิดเดือนธันวาคม ฉันได้แต่อ้ำอึ้งแล้วตอบออกไปว่า
“อ๋อ พ่อแม่เราชอบวันสงกรานต์น่ะเลยตั้งชื่อเราว่าสงกรานต์” หรือถ้าให้ตอบตามความจริงฉันคงพูดออกไปว่า “อ๋อ พอดีพ่อแม่เราได้กันวันสงกรานต์เราเลยชื่อสงกรานต์”
ใครจะกล้าพูดกัน!!! ขืนพูดออกไปคงโดนหัวเราะเยาะยันลูกบวชฉันถึงได้เลือกที่จะเก็บเรื่องไว้เป็นความลับ และหวังว่าจะไม่มีใครล่วงรู้ความลับนี้...
จากเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดจึงไม่แปลกอะไรที่ฉันจะเกลียดวันนี้ (วันสงกรานต์) เป็นพิเศษ และไม่ใช่แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวเพราะมันดันเป็นวันที่ทำให้เปียกและให้ความรู้สึกแย่มากกว่าดี แล้วที่สำคัญน้ำที่สาดๆ มาน่ะมั่นใจเหรอว่ามันสะอาด ถ้าสะอาดจริงทำไมคนที่โดนถึงได้สิวกันเป็นแถว นี่ยังไม่รวมถึงแป้งที่ปะกันเหมือนจะไปในหม้อทอดที่มีน้ำมันเตรียมอยู่รับรองว่าหอมอร่อยในพริบตา คู่ครัวรสดี ไม่สิฉันจะมาพูดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ค่าโฆษณาไม่ได้แต่ก็นั่นแหละทั้งผมทั้งหน้าขาวโพลนไปหมด นี่ยังไม่รวมถึงพวกที่ชอบเล่นพิเรนทร์ด้วยการใช้แป้งเย็นสูตรชนิดพิเศษ แน่นอนว่านอกจากความหนาวยังพ่วงไปด้วยความแสบ ถ้าพูดรวมๆ ก็ไม่แปลกอะไรที่หลังจบเทศกาลผิวหน้าแต่ละคนจะพังชนิดที่ต้องใช้ครีมบำรุงต่างๆ มาเป็นตัวช่วย
พูดมาขนาดนี้แล้วคุณคงคิดว่าคนอย่างฉันคงไม่มีทางมาเดินเล่นในวันสงกรานต์ ด้วยสารพัดเหตุผลที่ยกขึ้นมาเมื่อครู่ แต่ไม่ค่ะ เพราะตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่หัวโด่กลางถนนข้าวสารพร้อมชุดลายดอกที่ไม่รู้จะดอกเยอะไปไหน ส่วนสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ผู้สุดแสนจะเกลียดวันสงกรานต์พอๆ กับเหตุผลที่พ่อแม่ประเคนชื่อนี้มาให้คงไม่พ้น นังเพื่อนตัวดี...
~ ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ~
ตอนนี้ฉันและเพื่อนรักอีกสองคนกำลังคุยกันผ่านแอปพลิเคชันชื่อดัง หลังจากที่พวกเราไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่ เนื่องจากแต่ละคนเพิ่งกลับจากการไปเที่ยวในช่วงปิดเทอมส่วนฉันที่ไม่ได้ไปไหนเลยเลือกที่นอนโง่ๆ อยู่ในห้อง มันช่วยไม่ได้นี่นาก็คนมันขี้เกียจ ไหนจะสภาพอากาศที่แสนจะเย็นสบายในเดือนเมษายนตามภูมิประเทศของบ้านเรา เย็นขนาดที่ออกไปข้างนอกแค่ไม่กี่ก้าวสภาพร่างกายเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆ ไม่ว่าจะแผ่นหลังหรือใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำที่ขับออกมาจากร่างกาย น้ำที่ว่าก็ไม่ใช่น้ำอะไรนอกจากเหงื่อ จนฉันไม่แน่ใจว่านี่เราอยู่ที่ประเทศไทยหรือซ้อมอยู่ในนรกกันแน่ ทำไมมันถึงได้ร้อนขนาดนี้!!!
และด้วยเหตุนี้ ตลอดช่วงปิดเทอมฉันถึงได้ขลุกตัวอยู่ในห้องด้วยความเย็น 24 องศาจากเครื่องปรับอากาศ และที่สำคัญสิ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ...เครื่องเล่นเกมขนาดพกพาสุดเจ๋งที่ฉันกำลังเมามันไปกับการใช้มันอยู่ในขณะนี้
“สงกรานต์ได้ยินรึเปล่า” ฉันสะดุ้งตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงซอตะโกนเข้ามา
ตอนแรกฉันเคยสงสัยว่าคนบ้าอะไรชื่อเสียงซอ เคยมีครั้งหนึ่งตอนที่เราเรียนดนตรีไทยด้วยกัน มันดันโดนล้อทั้งเทอมเพราะชื่อของตัวเอง เช่น ‘เสียงซอของเสียงซอ’ ‘เสียงซอเล่นเสียงซอให้ควายฟัง’ ‘เสียงซอของใครวะห่วยเชี่ย อ๋อ ของเสียงซอนั่นไง’ นับว่าเป็นประสบการณ์ค่อนข้างเลวร้ายพอสมควร พอลองถามว่าทำไมมันถึงชื่อเสียงซอทั้งที่มันเล่นซออู้โคตรห่วย มันเล่าหน้าตาเฉยว่าเพราะย่าชอบฟังเสียงซอที่ปู่เล่นสมัยสาวๆ ฉันได้ยินมาว่าปู่มันเล่นเก่งถึงขนาดกวาดรางวัลแทบทุกงาน ด้วยเหตุนี้ย่าเลยอยากตั้งชื่อลูกว่าเสียงซอ แต่โชคดีที่ปู่ของมันไม่ยอม เวรกรรมเลยมาตกมาที่มันแทน และดูเหมือนความสามารถในการเล่นซออู้ของปู่จะไม่ได้ถ่ายทอดตามพันธุกรรมมันถึงได้เล่นห่วยบรม ช่างเรื่องชื่อของมันก่อน ตัดกลับมาที่ปัจจุบันด้วยมือที่เอาแต่กดปุ่มเพื่อควบคุมตัวละครในจอฉันถึงได้ไม่มีสมาธิหรือสนใจเรื่องที่พวกมันคุยกันสักนิด
“ห๊ะ อะไรนะ” ตอบออกไปโดยที่มือยังคงกดปุ่มยิกๆ
“นี่คงไม่ได้เล่น Pokemon อยู่ใช่มั้ย”
“เปล๊า ไม่ได้เล่น เนี่ยตั้งใจฟังพวกแกพูดอยู่เลย” เสียงสูงขนาดที่ตัวเองยังรู้ตัวว่ากำลังมีพิรุธฉันถึงได้กดปุ่มปิดทันควันด้วยท่าทางลนลานเพราะเคยสัญญากับพวกมันว่าจะไม่เล่นเกมระหว่างที่เราคุยกัน
“ให้มันจริง แล้วตกลงไปมั้ย” ไปไหนวะ คำแรกที่ลอยคิดมา ไอ้เราก็ดันมัวแต่จับโปเกมอนจนไม่ได้สนใจพวกมันแต่ถ้าถามออกไปว่าไปไหน พวกมันต้องรู้ว่าฉันไม่ได้สนใจฟังเรื่องที่พวกมันพูด ฉันเม้นปากอย่างคนใช้ความคิดว่าควรตอบยังไงระหว่างไปหรือไม่ไป ถ้าตอบว่าไปฉันต้องลากสังขารออกจากห้องเพื่อไปเจอหน้าพวกมัน เมื่อลองคิดดู การออกไปข้างนอกบ้างก็ดีเหมือนกัน ก็นะตั้งแต่ปิดเทอมฉันก็ไม่ได้ไปไหนนอกจากละแวกบ้าน
“เออไป กี่โมงก็นัดมาละกัน”
“เฮ้ย เอาจริงดิทั้งที่แกเกลียดวันสงกรานต์จะตายไปไม่ใช่เหรอ” เดี๋ยวนะ…วันสงกรานต์ เชี่ยแล้วไง!!! ใครมันจะไปก่อน บ้าเหรอ ฉันกำลังจะพูดปฏิเสธแต่โดนน้ำเพื่อนอีกคนสวนกันมาว่า
“คงไม่ใช่มาบอกทีหลังว่าเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเลยเผลอตอบตกลงหรอกนะ” เล่นดักทางกันขนาดนี้แล้วฉันจะปฏิเสธได้ไง แต่วันสงกรานต์มันคงไม่ได้เลวร้ายมากหรอกมั้ง? ไหนๆ ก็จบม.6 ลองไปสักครั้งละกัน
“เออไป ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน”
และด้วยเหตุนี้ฉันเลยมานั่งโง่ๆ ที่ริมฟุตบาทกลางถนนข้าวสารโดยที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกมันเลยแม้แต่ตัวเดียว!!!นังเพื่อนเลวววว
แถมโทรไปกี่สายก็ไม่มีใครรับสายสักคน ไม่ทราบว่าทำอะไรกันอยู่คะ??? เหมือนพวกมันจงใจรวมหัวกันแกล้งฉัน ไลน์ไปไม่ตอบ คอลไม่รับ ฉันเลยตัดสินใจกลับเหรอ? ก็ไม่แต่เลือกจะนั่งรอพวกมันอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อพบว่าพวกมันลืมบอกว่าเปลี่ยนเวลาจากหกโมงเย็นเป็นสามทุ่ม อีพวกบ้า!!! เรื่องสำคัญขนาดนี้ควรรีบบอกสิ แล้วอะไรคือการที่พวกมันโทรมาขอโทษแล้วบอกว่าลืมว่าวันนี้ฉันมาด้วย สรุปฉันมาทำไมที่นี่คะ???
แล้วนี่ฉันจะทำอะไรกับเวลาที่เหลือเกือบสามชั่วโมง? นั่งตบยุ่งเล่น? รู้แบบนี้ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกก็จบ ระหว่างที่ฉันกำลังคิดว่าควรทำอะไร กลับโดนฉีดน้ำใส่ไม่ยั้งไม่พอยังโดนประแป้งไปทั่วจนดูไม่ออกว่าเป็นคนหรือผี นี่ถ้าจัดงานฮาโลวีนต่อคงไม่ต้องเสียเวลาในแต่งหน้าเพียงแค่คุณเดินมาละแวกนี้ทุกคนก็พร้อมที่จะแต่งหน้าให้คุณอย่างพร้อมเพรียง และอะไรจะน่าเจ็บใจไปกว่าการเห็นคนข้างๆ โดนประแป้งพอเป็นพิธี แต่ทำไมถึงมีแค่ฉันที่โดนทั้งหัวทั้งหน้าพร้อมลงกระทะทอดแล้วค่ะ เพราะงี้ไงฉันถึงเกลียดวันสงกรานต์
ระหว่างที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงผู้คนเพื่อหาที่เงียบๆ ในการรอเพื่อน กลับโดนใครบางคนชนเข้า แล้วใครคนนั้นก็มาพร้อมเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบประเคนใส่เสื้อฉันเต็มๆ ขอบคุณค่ะเย็นชื่นใจ (ประชด)
“ขอโทษค่ะเป็นอะไรรึเปล่าคะ” เธอรีบก้มหัวขอโทษยกใหญ่ ฉันมองแก้วในมือถึงได้รู้ว่าไอที่มันหกใส่ฉันเมื่อครู่มันคือเบียร์ ให้มันได้อย่างงี้สิ ถึงว่าล่ะกลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งเลย
“ค่ะๆ” ตอบออกไปด้วยท่าทางรำคาญหัวก็เหนียวเพราะแป้ง ตัวก็ยังจะเหนียวเพราะเบียร์ ซวยจริง!
“เราขอโทษจริงๆ นะคะ เราไม่ได้ตั้งใจ ให้เราพาคุณไปล้างตัวมั้ยคะ” เธอค้อนศีรษะด้วยท่าทางสำนึกผิด ฉันเองก็ไม่ได้เป็นคนใจร้าย เมื่อกี้ก็แค่หงุดหงิดแต่ในเมื่อเธอขอโทษก็ช่างมันไปละกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ” พูดออกไปด้วยน้ำเสียงปกติก่อนจะเดินออกมา แต่เธอดันจับมือฉันไว้? ฉันถึงขมวดคิ้วขึ้นประมาณว่ามีอะไร?
“คือ…ให้เราพาคุณล้างตัวเถอะค่ะ” เธอยังคงจับมือไม่เลิก ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างรำคาญ มันจะอะไรนักหนา
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงคะ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง?” ตัวก็เหนียวแถมยังต้องมาเจอคนแปลกหน้าชวนไปล้างตัวที่ไหนก็ไม่รู้ ถึงเธอจะสวยบาดใจแต่ใครมันจะยอมไปกับคนแปลกหน้า ถามจริง!
“ขะ-ขอโทษค่ะ” เธอก้มหน้าขอโทษฉันอีกครั้งส่วนมือยังคงจับไว้เหมือนเดิม ขอโทษแล้วก็รีบปล่อยมือฉันสิ ฉันจะได้รีบไปสักที
“มีอะไรรึเปล่าปีใหม่” ใครอีกคนเดินเข้ามาหาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แถมหน้าตายังหล่อชนิดที่ว่าใครเดินผ่านต้องเหลียวมอง ถ้าให้เดาคงเป็นแฟนเธอสิท่า ก็เหมาะกันดีหนุ่มหล่อกับสาวสวย แต่ช่วยกรุณามารับแฟนของคุณกลับไปด้วยค่ะ แล้วจะดีมากถ้าช่วยปล่อยดิฉัน
“ไม่มีอะไรค่ะ พอดีใหม่ทำเบียร์หกใส่เพื่อนใหม่ขอตัวกลับก่อนนะคะ” เดี๋ยวนะ ใครเพื่อนเธอ ฉันหันไปจ้องเขม็งส่วนเธอก็เอาแต่กะพริบตาปริบๆ เหมือนขอร้องอยู่หน่อยๆ โอเค ฉันจะยอมยืนนิ่งๆ อือออตามน้ำให้ละกัน
“ให้พี่ไปส่งมั้ยครับผู้หญิงสองคนกลับเองมันอันตรายนะครับ” เธอรีบขยับเข้าควงแขน นี่มันบ้าอะไรกันคะ แล้วที่บ้ายิ่งกว่าคือฉันที่ปล่อยให้เธอทำตามใจชอบ
“ไม่เป็นค่ะ พอดีใหม่จองโรงแรมใกล้ๆ ไว้แล้ว อีกอย่างเพื่อนใหม่อยากรีบกลับด้วยพี่อ้นไปสนุกต่อเถอะค่ะ” ผู้ชายตรงหน้ามีสีหน้าลังเลก่อนจะหันมาถามเธออีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“แน่ใจเหรอ”
“ค่ะ”
“งั้นถ้าถึงโรงแรมแล้วทักมาบอกพี่หน่อยนะครับ” สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยอมถอดใจ เธอโบกมือลาแฟนหนุ่มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินจากไป เอาล่ะมาถึงเรื่องของเราฉันรีบผละตัวออกจากการควงแขน เธอดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะรีบขอโทษอีกครั้ง
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“จบเรื่องแล้วเราควรแยกกันตรงนี้” ฉันรีบตัดบทด้วยน้ำเสียงบ่นรำคาญ ทำไมฉันถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้
“จะไม่ไปล้างตัวจริงๆ เหรอคะ” เธอใช้สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนสภาพมันแย่ “เราคิดว่าถ้าคุณกลับสภาพนี้น่าจะเดินทางลำบาก...ถ้ายังไงไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเราก่อนดีมั้ยคะ ถือเป็นการขอโทษที่เราทำเบียร์หกใส่คุณ” พูดถึงเบียร์ฉันก็เริ่มได้กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ที่ลอยเตะจมูกขึ้นมา แถมถ้ากลับบ้านสภาพนี้ฉันคงโดนแม่สวดยับแต่จะให้ไปกับคนแปลกหน้ามันออกจะ...
“ไม่ดีกว่าค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธถึงจะโดนแม่ดุไปบ้างแต่มันก็ดูปลอดภัยกว่าการไปไหนกับคนไม่รู้จัก
“เหรอคะ” เธอทำหน้าเสียดายก่อนที่จะเปลี่ยนท่าทางมาเป็นขอร้อง “งั้นถ้าไม่เป็นการรบกวน คุณช่วยเดินไปส่งเราหน่อยได้มั้ยคะ”
“ห๊ะ” ฉันร้องเสียงหลงออกมา อะไรของเธอ? แล้วทำไมฉันต้องไปส่งเธอ?
“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นค่ะ” เธอยิ้มเศร้าๆ เหมือนคนผิดหวังก่อนจะหันกลับไปอย่างช้าๆ ฉันมองดูแผ่นหลังของเธอที่เริ่มเดินห่างไปเรื่อยๆ ไม่ทันไรดันมีผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้วางใจเดินเข้าหาเธอ จะด้วยจิตสำนึกอันน้อยนิดก็มิอาจจะทราบได้แต่นั่นทำให้ฉันเลือกที่จะเดินไปหาเธอ มันคงรู้สึกแย่ถ้าเธอโดนทำอะไรแปลกๆ ขึ้นมาโดยที่ฉันเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“ขอโทษค่ะเราทั้งคู่กำลังรีบกลับ” พูดจบฉันก็ลากเธอออกมาไม่รอให้ผู้ชายคนนั้นได้พูดอะไรต่อ “ไปทางไหนคะ”
“คะ? เอ่อ…ทางนี้ค่ะ” เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเหมือนเข้าใจแล้วเดินนำหน้าฉันออกจากฝูงชน เราเดินหลบผู้คนไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ถึงโรงแรมที่เธอพัก ซึ่งมันก็ไม่ไกลเท่าไรจากจุดที่เราเจอกัน นี่เธอคงไม่ได้เตรียมการอะไรไว้หรอกนะ แวบหนึ่งภาพใบหน้าของพ่อแม่ในตอนที่เล่าเรื่องที่มาของชื่อก็ลอยขึ้นมา ฉันรีบสลัดความคิดแปลกๆ ออกไป ไม่หรอก คงไม่มีใครทำเรื่องอย่างที่พ่อกับแม่ทำ เธอคงไม่สะดวกกลับบ้านเลยเลือกจะพักแถวนี้แทน...มั้งนะ
“จะไม่ขึ้นไปล้างตัวก่อนเหรอคะ” ฉันหันไปมองเธอด้วยความงุนงงนี่เธอกำลังชวนฉันซึ่งเป็นคนแปลกหน้าเข้าโรงแรมอยู่นะ และไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรเธอก็รีบพูดขึ้นมาว่า
“เราพักคนเดียวค่ะ รับประกันความปลอดภัย” เธอส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร ฉันมองหน้าเธออย่างใช้ความคิด ทั้งกลิ่นเบียร์และความเหนอะหนะจากแป้งไหนจะอาการที่เริ่มคันตามตัว ถ้าได้ทำความสะอาดสักหน่อยก็คงดี อีกอย่างโรงแรมนี้ก็ดูหรูหราน่าจะปลอดภัย ส่วนเธอก็ดูเป็นผู้หญิงบอบบางถ้ามองดูจากภายนอกฉันดูจะเป็นฝ่ายหลอกเธอมากกว่า ฉันช่างใจและดูท่าทีของเธอที่ดูจะไม่มีพิษภัยก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วตอบตกลง
“งั้นเราขอล้างตัวหน่อยละกันค่ะ” เอาไงก็เอากันเมื่อตัดสินใจจากสภาพแวดล้อมต่างๆ เธอคงไม่ได้จะหลอกหรือทำอะไรแปลกๆ
“ค่ะ” เธอยิ้มพร้อมเดินนำหน้าฉันไปยังลิฟต์ของโรงแรม
ภายในลิฟต์ไม่มีใครอยู่นอกจากเราสองคน เธอกดปุ่มไปยังชั้น 12 ส่วนฉันเอาแต่มองสำรวจไปทั่วลิฟต์อย่างคนที่ไม่รู้จะทำอะไร ไม่นานเราทั้งคู่ก็มาถึงชั้น12 เธอหันมายิ้มให้เล็กน้อย แล้วเดินนำไปยังห้องที่เธอพักของเธอ ทำไมบรรยากาศมันถึงได้แปลกนักนี่เธอคงไม่ได้เป็นแม่เล้าที่กำลังหลอกเพื่อให้ฉันทำอะไรบางอย่างแบบในหนังหรอกนะ ฉันมองตาเธอไม่วางตาและสังเกตบริเวณโดยรอบทั่วทั้งชั้นเต็มไปด้วยกล้องวงจรปิดมันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจ
ฉันมองการตบแต่งและดีไซน์ ข้างล่างว่าหรูแล้วเจอข้างบนหรูยิ่งกว่าโดยเฉพาะภายในห้อง ทันทีที่เธอเตะคีย์การ์ดประตูห้องเปิดออกพร้อมด้วยการตบแต่งที่หรูหราตั้งแต่ประตูยันพื้นห้อง ทุกอย่างเข้าคู่กันและมีเสน่ห์บ่งบอกถึงราคาห้องที่น่าจะแพงหูฉี่ แถมนี่ยังเป็นห้องสูทอีกต่างหาก แล้วฉันก็อดคิดไม่ได้ว่านี่ฉันคงไม่ได้มารบกวนเธอใช่ไหม เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนห้องนี่ก็เหมาะสำหรับเรื่องแบบนั้น ยิ่งในวันแบบนี้ด้วยแล้ว...
“เข้าไปล้างตัวก่อนเถอะค่ะหรือจะอาบน้ำเลยก็ได้นะคะเราคุณให้ยืมชุด”
“อะ-อื้ม” ฉันทำตัวอย่างว่าง่ายต่างจากตอนแรกเพราะไม่ชินกับบรรยากาศความหรูหรา
“มีอะไรเปล่าคะ” เธอถามออกมาด้วยสายตาเป็นห่วง ฉันส่ายหัวไปมาเป็นการปฏิเสธ พยายามแสร้งทำตัวเป็นปกติแต่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เกร็งไปหมด ด้วยสภาพตัวเองในตอนนี้ทำให้ฉันกังวลกว่าจะเผลอทำให้ห้องเค้าเลอะและฉันคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าเสียหาย
“ยืนรอเราตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวเราไปเอาชุดกับผ้าเช็ดตัวมาให้ค่ะ”
“อื้ม” เธอหัวเราะเบาๆ ด้วยสายตาเอ็นดูเมื่อมองท่าทางของฉันก่อนจะเดินกลับเข้าไปในส่วนของห้องนอน แล้วฉันควรจะทำยังไงดี? แค่ขยับตัวยังกลัวว่าจะเผลอทำอะไรเสียหายก็คนมันไม่เคยพักในที่หรูขนาดนี้นี่นา เกิดมีอะไรเสียหายขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าต้องจ่ายเท่าไร
“นี่ค่ะ” เธอยื่นผ้าขนหนูพร้อมชุดที่ดูแล้วฉันน่าจะใส่ได้แต่ติดที่มันดูหวานไปนิด “ใส่ชุดนี้ไปก่อนนะคะแล้วค่อยเอาชุดคุณไปซักทีหลัง”
“ซักทีหลัง?” ฉันทวนคำถามเพราะไม่แน่ใจว่าที่เธอบอก
“ค่ะ พอดีที่ห้องมีเครื่องซักผ้าไว้คุณอาบน้ำเสร็จเดี๋ยวเราเอาชุดคุณไปซักให้นะคะ”
“อ๋อ” พอไขข้อข้องใจฉันถึงได้ยอมเดินเข้าห้องน้ำแต่โดยดี สภาพห้องน้ำเองก็ไม่ต่างจากตัวห้อง มีทั้งอ่างอาบน้ำไหนจะฝักบัวแต่ละแบบไม่ว่าจะเป็นอันเล็กหรืออันใหญ่ และเพราะไม่อยากใช้เวลาที่นี่นานนักถึงได้เลือกที่จะใช้ฝักบัวมากกว่าอ่างอาบน้ำ แต่ไม่ว่าจะพยายามและขัดยังไงกลิ่นเบียร์ก็ยังคงติดตามตัวฉันอยู่ดีก็เธอเล่นทำหกใส่ฉันเกือบหมดแก้วกระป๋องจนมันซึมเข้าไปถึงข้างใน ไม่แปลกที่กลิ่นจะยังคงอยู่ ฉันใช้เวลาไม่นานก่อนจะออกจากห้องน้ำในชุดสีหวาน ส่วนข้างในดันรู้สึกโล่งแปลกๆ ก็เธอไม่ได้ให้ชั้นในฉันนี่นา แต่คนปกติคงไม่มีใครให้ยืมกันหรอก แต่จะใส่ตัวเก่ามันก็ชุ่มไปด้วยเบียร์
“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอคะ” เธอถามในสภาพที่ใส่ชุดคลุมอาบน้ำสีขาว นี่เธอคงรออาบน้ำต่อสินะ
“อื้ม”
“ใจคอจะพูดแค่คำว่า อื้ม เหรอคะ”
“เธอก็เหมือนกัน เมื่อกี้ยังเอาแต่พูดคำว่าขอโทษพอตอนนี้พูดเก่งเชียว” เธอหัวเราะออกมาอย่างน่ารัก มันมีอะไรน่าขำนักหรือไง
“ช่วงนั่งรอเราอาบน้ำก่อนนะคะแล้วเราค่อยเอาเสื้อไปซักพร้อมกัน” ฉันพยักหน้าหงึกๆ เป็นการรับรู้ จะยังไงก็ได้ ส่วนเธอที่กำลังปิดประตูห้องน้ำดันหันมามองแล้วพูดขึ้นมาว่า
“พอล้างตัวแล้วคุณก็สวยเหมือนกันนะคะ แต่ชุดที่ใส่ดูจะขัดตาไปหน่อย”
“ก็มันชุดใครกันล่ะ สีอย่างกับจะเดินในทุ่งลาเวนเดอร์” เธอหัวเราะออกมา ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำและทิ้งด้วยประโยคที่ทำให้ฉันหัวเสีย
“งั้นก็เชิญคุณเดินเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ไปก่อนนะคะ” นี่เธอใช่คนเดียวกับคนข้างล่างที่เอาแต่พูดคำว่าขอโทษแน่เหรอ หรือนี่ฉันเผลอหลงกลเธอ นึกเปรียบเทียบท่าทางเมื่อกี้กับตอนที่เธอเอาแต่ก้มหัวขอโทษมันช่างแตกต่างกันอย่างกับคนละคน
แล้วนี่เธอจะอาบน้ำนานไปไหน จะหนึ่งชั่วโมงแล้วนะแต่ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะออกมา หรือเธอจะเกิดอะไรกับเธออย่างการล้มในห้องน้ำ ไม่จริงน่า ฉันยังไม่อยากเป็นผู้ต้องหาคดีอะไรแปลกๆ หรอกนะ ฉันรีบเคาะประตูห้องน้ำรัวๆ เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าเธอยังปลอดภัยดี
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง
“คุณอยู่รึเปล่า”
“มีอะไรรึเปล่าคะ” เธอตะโกนออกมา ค่อยยังชั่วที่เธอปลอดภัยดี
“เปล่า ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ”
“เป็นห่วงเราเหรอคะ”
“ใครจะเป็นห่วงเธอกัน เราก็แค่ไม่อยากเป็นผู้ต้องสงสัยถ้าเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา” แล้วแทนที่เธอจะสำนึกหรือรู้สึกผิดกลับหัวเราะด้วยน้ำเสียงเสียงร่าเริง
“คุณตลกจัง เราจะเป็นอะไรได้ล่ะคะนอกจากอาบน้ำ ถ้าคุณเป็นห่วงจะเข้ามาดูก็ได้นะคะเราไม่ได้ล็อกประตู”
“จะบ้าเหรอ ใครมันจะเข้าไปดูไม่เป็นไรก็ดี แล้วก็รีบอาบไวๆ เราจะได้รีบกลับ” ฉันตะโกนบอกเธออีกครั้ง แต่เธอกลับเอาแต่หัวเราะดูท่าทางเธอคงจะไม่ได้รีบอาบ ในเมื่อฉันยังคงนั่งรอเธอเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าอะไร เมื่อเธอเดินออกมาในชุดสีเทาที่ดูสบายตาต่างกับฉันลิบลับ ถ้ามีชุดแบบนี้ทำไมไม่ให้ฉันตั้งแต่แรก นี่เธอจงใจแกล้งกันชัดๆ
“ถ้ามีชุดแบบนี้ทำไมถึงไม่ให้เรายืมคะ” ฉันบ่นส่วนเธอเดินออกมาด้วยท่าทางสบายใจ เหอะ
“ก็เราอยากเห็นคุณใส่ชุดนี้นี่คะ หรือถ้าคุณไม่ชอบจะแก้ผ้าก็ได้นะเราไม่ถือ”
“แต่เราถือ!” พูดออกไปอย่างเดือดดาลแต่เธอกลับยิ้มออกมาแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“เอาเสื้อผ้ามาสิคะเราจะได้เอาไปซัก” เธอยื่นมือมารับเสื้อผ้า ก่อนที่จะปรายตามองหน้าอกของฉัน
“แล้วก็ชั้นในด้วยค่ะ ตอนนี้คุณคงรู้สึกโล่ง” ฉันพยายามข่มอารมณ์และท่องไว้ว่ารอเสื้อผ้าแห้งเมื่อไรฉันจะรีบออกไปจากที่นี่ทันที
“แย่จังเลยค่ะ” เธอยืนหน้าเครื่องซักผ้าพร้อมบ่นออกมาฉันถึงได้รีบไปดู
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ผงซักฟอกหมดค่ะ แบบนี้คุณคงต้องค้างที่นี่ก่อนแล้วพรุ่งนี้เราค่อยลงไปซื้อกัน” นี่ฉันกำลังโดนคนแปลกหน้าชวนให้ค้างคืน? เธอไม่กลัวว่าฉันจะทำอะไรเธอเลยหรือไงเกิดฉันเป็นโจรขึ้นมาจะทำยังไง
“นี่เธอไม่กลัวฉันปล้นหรือทำอะไรแปลกๆ เลยเหรอ”
“เราคิดว่าคุณไม่โง่พอจะปล้นเราหรอกค่ะกล้องวงจรปิดโรงแรมเยอะขนาดนี้ ส่วนท่าทำอะไรแปลกๆ จะทำอะไรเหรอคะ” เธอเอียงคอด้วยใบหน้าใสซื่อเหมือนไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร ถ้าเป็นก่อนหน้าฉันคงเชื่อ แต่ตอนนี้ไม่มีทาง!!!
“แล้วตกลงจะเอาไงคะ จะค้างที่นี่หรือจะกลับไปในสภาพนี้คะ” ใครมันจะบ้าออกไปด้วยชุดนี้แถมยังโนบรา ฉันยืนคิดสักพักว่าควรจะทำยังไง จะว่าไปถึงจะไม่มีผงซักฟอกแค่ซักให้มันแห้งก็น่าจะพอใส่ได้รึเปล่า? ไม่จำเป็นต้องใส่ทั้งวันสักวันหน่อยแค่ใส่เพื่อเดินทางกลับบ้าน
“งั้นปั่นให้มันแห้งก็พอค่ะเราใส่ทั้งแบบนี้ได้”
“จะใส่ทั้งแบบนี้จริงๆ เหรอคะ” เธอถามเสียงอ่อน
“อื้ม” แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ มันควรเป็นฉันรึเปล่าที่เป็นฝ่ายตอนถอนหายใจน่ะ
“โอเคค่ะเรายอมแพ้” แล้วเธอก็ก้มลงไปหยิบอะไรสักอย่างที่ลิ้นชัก “อุ๊ปส์ โชคดีจังเลยนะคะที่ยังเหลืออีกอัน”
“นี่เธอ!” เธอยังคงหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ฉันมั่นใจเธอจงใจ ท่องไว้อีกไม่นานเราจะได้ออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยตอนนี้เธอกำลังซักผ้าให้ แต่เดี๋ยวนะนั่นเธอทำอะไร แทนที่เธอจะโยนเสื้อฉันไปทั้งกอง เธอกลับค่อยๆ คลี่เสื้อผ้าทีละชิ้นจนถึงชั้นใน ฉันรีบแย่งเสื้อผ้าออกจากมือของเธอ
“นี่เธอจะทำอะไร”
“เราก็กำลังแยกผ้าไงคะ” เธอตอบด้วยท่าทางใส่ซื่อหรือนี่ฉันคิดมากไปเอง?
“ไม่ต้องแยก ใส่มันไปทั้งหมดนั่นแหละ”
“ค่ะ...แต่ของคุณก็ใหญ่กว่าที่คิดนะคะ” นั่นไง คิดไว้แล้วไม่มีผิดฉันถอนหายใจแล้วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เธอพูด
“แย่จัง ไม่สนุกเลยเรากะจะแกล้งคุณสักหน่อย”
“เธอนี่มัน!”
“ทำไมคะ เราน่ารักใช่มั้ยคะ” เธอส่งยิ้มหวานพร้อมทำตาวิ้งๆ ถ้าไม่ติดที่นิสัยกับความมั่นใจที่มากเกินเหตุฉันคงพูดออกไปว่าน่ารักดี แต่เพราะไอท่าทางแบบนี้ของเธอมันดูกวนประสาทมากกว่าคำว่าน่ารัก
“ไม่เลยสักนิด”
“สักนิดก็ไม่เลยเหรอคะเราออกจะน่ารักขนาดนี้เชียวนะ”
“ไม่เลยค่ะ” ฉันยืนกรานเสียงแข็งเธอทำท่างอนแบบไม่จริงจังก่อนจะเปลี่ยนคำถาม
“คุณหิวมั้ยคะ”
“ก็นิดหน่อยค่ะ” เธอพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปยกโทรศัพท์ภายในห้อง ฟังจากคำพูดเหมือนเธอกำลังสั่งอาหารซึ่งฉันเดาว่าอีกฝ่ายคงสั่งเผื่อคนอื่นมากกว่าคนแปลกหน้าอย่างฉัน ฉันถึงได้ถามออกไปตรงๆ
“เดี๋ยวเพื่อนเธอจะมาเหรอ ถ้ายังไงให้เรากลับก่อนมั้ย” ฉันดูปฏิกิริยาและจงใช้คำว่าเพื่อนมากกว่าแฟนเพื่อเป็นการไม่เสียงมารยาท
“ในสภาพโนบราเหรอคะ”
“ก็...” จริงด้วย ฉันลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังโนบราและถ้าเธอจะพาใครคนอื่นเข้ามาในตอนนี้แล้วฉันควรทำยังไงดี
“ไม่ต้องห่วงค่ะ คืนนี้จะไม่มีใครนอกจากเรา”
“ห๊ะ แต่เมื่อกี้เธอเพิ่งสั่งอาหารไปนะ” ฉันเลิกคิ้วเพราะไม่คิดว่าจะมีใครใจดีสั่งอาหารเผื่อคนแปลกหน้า
“เผื่อคุณไงคะนี่คิดว่าเราจะใจร้ายสั่งมากินคนเดียวเหรอคะ” เธอตอบด้วยท่าทางปกติเหมือนเป็นเรื่องที่ทำประจำ
“ปกติ ชวนคนแปลกหน้าแล้วทำแบบนี้บ่อยเหรอคะ” ถามออกไปด้วยความสงสัยเพราะคิดว่าเธอทำตัวแบบนี้กันคนแปลกหน้าไปทั่วมันคงจะอันตรายไปหน่อย
“เปล่าค่ะ คุณคนแรก” เราสบตากันและเมื่อฟังจากน้ำเสียงฉันคิดว่าเธอไม่ได้โกหก พอได้มองเธอแบบชัดๆ นอกจากใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวอมชมพู ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ไหนจะผิวที่เรียบเนียนชนิดที่ว่าต่อให้จ้องมองยังไงก็ไม่เห็นว่ามีส่วนไหนต้องแก้ไข คนอะไรจะดูดีได้ขนาดนี้
“เราก็เขินเป็นเหมือนกันนะถ้าคุณเอาแต่จ้องเราแบบนี้”
“อะ ขอโทษ” ฉันรีบหันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบหน้า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้าไปรอในห้องนอนก่อนค่ะ” เธอไล่ให้ฉันเข้าไปรอในห้องนอนก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ ไม่นานนักเธอก็เรียกฉันออกมา ฉันมองอาหารที่ออกจะเยอะเกินไปสำหรับคนสองคนแล้วไหนจะไวน์ทั้งขวดนั่นอีก
“ไม่เยอะไปหน่อยเหรอคะ” ฉันถามอย่างเกรงใจ
“ก็เราไม่รู้ว่าคุณชอบอะไรเลยสั่งเผื่อไว้ก่อนค่ะ แถมอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างเลยนะ” เธอยิ้มภูมิใจราวกับเธอเป็นคนทำ
“พักบ่อยเหรอ” ฉันอดที่จะถามเธอไม่ได้เพราะดูเธอจะรู้ตำแหน่งข้าวของดีเกินไปไหนจะเรื่องอาหารที่ดูจะมั่นอกมั่นใจว่าอร่อย
“ก็บ่อยค่ะ” ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ชอบที่เธอตอบออกมาว่าบ่อย ถึงเธอจะมาพักที่นี่ทุกวันหรือไม่ว่าเธอจะพักกับใครมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ” คงเพราะฉันเอาแต่เงียบเธอเลยถาม ฉันสลัดความรู้สึกแปลกๆ ก่อนที่จิ้มอาหารตรงหน้าเข้าปาก
“อร่อยจริงด้วย” นอกจากหน้าตาที่ดูดี รสชาติยังดีมากๆ สมกับความหรูหราของโรงแรม
“เราบอกแล้วไงคะ” เธอยิ้มพึงพอใจก่อนจะหันไปเปิดขวดไวน์และกำลังรินให้ฉัน ฉันรีบส่ายหน้าปฏิเสธเพราะไม่ค่อยชอบของพวกนี้แล้วอีกอย่างฉันเพิ่งจะอายุ18
“ไม่ดื่มเหรอคะ”
“ไม่ค่ะ เราไม่ค่อยชอบ” เรานั่งกินข้าวด้วยกันถึงส่วนใหญ่เธอจะเน้นไปที่การดื่มไวท์มากกว่า ส่วนฉันก็เอาแต่สนใจอาหารตรงหน้าจนตอนนี้รู้สึกแน่นท้อง
“อิ่มแล้วเหรอคะ” เธอถามด้วยใบหน้าหวานหยาดเยิ้มฉันเดาว่าเธอคงกำลังเมา
“ไปนอนก่อนมั้ยคะ” สภาพเธอตอนนี้ไม่ต่างอะไรจะคนเมาพร้อมจะฟุบหลับได้ทุกเมื่อ
“ก็ดีค่ะ” เธอลุกขึ้นด้วยสภาพโซเซจนฉันต้องเข้าไปช่วยพยุงตัวเพราะกลัวว่าเธอจะล้ม
“ถ้ารู้ว่าไม่ไหวก็อย่าดื่มสิ” อดที่จะดุเธอไม่ได้ ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหวก็ไม่ควรดื่มโดยเฉพาะต่อหน้าคนแปลกหน้าอย่างฉัน
“ก็อยากดื่มนี่คะ” ฉันส่ายหัวกับสภาพของเธอทั้งที่ดื่มไม่ไหวก็ยังจะดื่ม
“เดินดีๆ ค่ะ อีกนิดจะถึงเตียงแล้วค่ะ” เพราะเธอที่เดินโซซัดโซเซตามสภาพคนเมาทำให้กว่าฉันจะพาร่างเธอมาถึงเตียงไม่ใช่เรื่องง่าย...แต่ในที่สุดก็ถึงสักที
“งื้อ” ฉันวางตัวเธอลงบนเตียงแต่แทนที่เจ้าตัวจะนอนดีๆ กลับลากตัวฉันลงไปนอนด้วย
“เดี๋ยวสิ ปล่อยเราก่อน” แทนที่เธอจะปล่อยเมื่อฉันร้องโว้ยวายกลับโอบฉันไว้แน่น สภาพของเราตอนนี้เหมือนว่าฉันกำลังนอนทับร่างของเธอ ส่วนเธอก็ใช้มือโอบเอวฉันไว้
“คุณนอนกับเราได้มั้ยคะ” เป็นอีกครั้งที่เธอมองฉันด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มเหมือนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง
“เธอจะบ้ารึไง ชวนคนแปลกหน้ามานอนด้วยเนี่ย”
“แต่สำหรับเราคุณไม่ใช่คนแปลกหน้านะคะ” พูดจบเธอก็ปล่อยฉันเป็นอิสระ ฉันกำลังลุกขึ้นแต่เธอกับจับใบหน้าฉันเข้ามาใกล้พร้อมจูบอย่างดูดดื่ม นี่มันจูบแรกของฉันนะแต่ทำไมรสชาติมันถึงได้ขมตามด้วยกลิ่นของแอลกอฮอล์ แต่น่าแปลกที่ฉันดันรู้สึกชอบมันอย่างน่าประหลาด รู้ตัวอีกทีกลับเป็นฉันที่เป็นฝ่ายจูบเธอ ไม่นานเราก็ผละออกจากกันด้วยอาการหอบอย่างคนที่ขาดอากาศหายใจ
“จูบแรกเหรอคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าเราเคยจูบใครที่ไหน” ตอบออกไปด้วยท่าทางนิ่งเฉยทั้งที่ใจกำลังสั่นไหว
“ดีใจจังค่ะ” เธอยิ้มหวานให้กันก่อนที่เธอจะโอบคอฉันพร้อมกระซิบข้างหูด้วยเสียงหวานจับใจ
“เราไปต่อกันมั้ยคะ” ไม่รอให้ฉันได้ทักท้วงเธอกลับเริ่มจู่โจมอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน…อ๊ะ” เธอใช้ลิ้นเลียบริเวณลำคออย่างเย้ายวน มันเป็นสัมผัสแปลกใหม่ทั้งน่าหวาดกลัวและท้าทายในเวลาเดียวกัน
“หยุดก่อน” ฉันดันเธอออกแต่เหมือนว่าเธอจะไม่ให้ความร่วมมือ
“หยุดเหรอคะ แน่ใจเหรอคะว่าคุณอยากหยุด” เธอกระซิบที่ข้างหู ความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ไปทั่วร่าง
“เธอกำลังเมา”
“ค่ะ เราเมาแต่คุณไม่ได้เมา” เธอนำมือฉันไปสัมผัสร่างกายขอเธอ “ไม่ใช่ว่าคุณเองก็อยากจะสัมผัสร่างกายของเราเหรอคะ” ครั้งนี้ฉันไม่ปฏิเสธแต่เลือกที่จะสัมผัสร่างกายเธอ เสียงร้องของเธอดังเป็นจังหวะทุกครั้งที่ฉันขยับ
“คุณช่วยเราหน่อยค่ะ” เธอพูดด้วยเสียงกระเส่า ภายในหัวเอาคิดแต่เรื่องที่อยากจะทำอะไรต่อมิอะไรกับคนตรงหน้า แต่อีกใจก็อยากจะหยุดไว้แค่ตรงนี้ ในช่วงจังหวะที่กำลังลังเลอีกฝ่ายกลับจูบอย่างดูดดื่ม และนั่นทำให้ความอดทนของฉันขาดผึง ฉันจับในนอนแนบกับเตียงแล้วไล่จูบจากริมฝีปากลงมา ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถอดเสื้อผ้าเธอออกตั้งแต่เมื่อไรแต่ใครจะสนกันล่ะ ในเมื่อตอนนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า
จากที่ค่อยๆ ไล่จูบทีละส่วน เริ่มเปลี่ยนเป็นการไล่ชิมร่างกายของเธอแทน ฉันทำเหมือนร่างกายเธอเป็นขนมแสนอร่อย ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงคิดว่าตัวเธอช่างหอมหวาน ด้วยน้ำเสียงที่เธอเปล่งออกมาในแต่ละคำ ไหนจะท่าทางที่ดูทรมานในบางครั้งแต่แฝงไปความสุข และไม่ว่าฉันจะสัมผัสส่วนไหนท่วงท่าที่เธอแสดงออกมาทำให้ฉันไม่อาจห้ามความรู้สึกของตัวเองหรือจบเรื่องทั้งหมดแค่ตรงนี้...
“จะไม่ทำอะไรจริงๆ เหรอคะ” เธอเอียงคอถามเหมือนเด็กน้อยที่กำลังสงสัย เพราะฉันมัวแต่จดจ่อกับการชิมร่างกายของเธอโดยเฉพาะหน้าอกที่นุ่มมากกว่าขนมชนิดใดในโลก เธอจงเป็นฝ่ายรบเร้าให้ฉันทำขั้นตอนต่อไปฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอถอดส่วนที่เหลือตั้งแต่เมื่อไร แต่ตอนนี้เธอกำลังบังคับให้ฉันจดจ่ออยู่ที่เบื้องล่าง และฉันไม่ปฏิเสธที่จะเรียนรู้มัน ฉันมองร่างกายเธอที่กำลังผลิตน้ำสีใสออกมาแล้วสัมผัสอย่างเบามือ ฉันสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ปลายนิ้วและอยากลองสัมผัสอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ฉันเงยหน้าขออนุญาตเธอเล็กน้อยเพราะกลัวว่าสัมผัสของฉันอาจจะทำให้เธอรู้สึกแย่ เธอพยักหน้าน้อยๆ อย่างเขินอายฉันถึงได้กล้าที่ลอง และทันทีที่ฉันสัมผัสกับร่างกายของเธอ เสียงร้องที่หวานมากกว่าครั้งไหนก็ดังออกมา ยิ่งได้ยินเสียงของเธอฉันยิ่งได้ใจจนเผลอเร่งจังหวะโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“อ๊า...เจ็บค่ะ” เธอนิ่วหน้าลงอย่างเจ็บปวด
“ขอโทษ ให้เราหยุดก่อนมั้ย” ฉันถามด้วยสีหน้ากังวลเพราะรู้ดีว่ามันทำให้เธอเจ็บ เธอส่ายหัวเบาๆ แล้วกอดคอฉันไว้แน่น
“ไม่เป็นไรค่ะแต่เราอยากให้คุณช้าลงหน่อย...ร่างกายเราจะได้ปรับตัว” ฉันหยุดมือของตัวเองเพื่อดูท่าทางของเธอและเมื่อเธอมีสีหน้าผ่อนคลายฉันถึงได้ลองขยับเบาๆ
“ขยับเร็วกว่านี้หน่อยค่ะ” ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ฉันเริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นอีกหน่อยแต่เหมือนว่ามันจะไม่มากพอเธอถึงได้เร่งฉันอีกครั้ง
“เร็วอีกนิดค่ะ...” ฉันรีบเร่งตามที่เธอบอก ไม่นานส่วนนั้นของเธอก็เริ่มบีบรัด บ่งบอกว่าเธอได้ถึงที่หมายเราจูบกันอีกครั้งก่อนที่ฉันจะผละออกมาแล้วแล้วหยิบทิชชูมาทำความสะอาด
“ครั้งนี้เราขอเป็นฝ่ายเริ่มบ้างได้มั้ยคะ”
“คะ? แต่เมื่อเธอเพิ่งจะ...” ฉันเหล่มองร่างกายของเธอที่เต็มไปด้วยร่องรอยจากการกระทำของฉันไปหมาดๆ
“ครั้งนี้คุณแค่นอนเฉยๆ เดี๋ยวเราจัดการที่เหลือเองค่ะ” เธอไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่กลับเป็นฝ่ายดันฉันให้ชิดกลับหัวเตียง
“เดี๋ยวสินี่คุณกำลังจะทำอะไร”
“ก็จะต่อจากเมื่อกี้ไงคะ” เธอเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเป็นฝ่ายจัดการตัวเองด้วยการขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัก ทุกลีลาที่เธอกำลังแสดงออกมาเหมือนเธอกำลังขี่ม้าแต่เปลี่ยนจากอานม้าเป็นร่างกายของฉัน ทุกอย่างดำเนินไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเธอก็ฟุบหลับคาไหล่ ฉันค่อยๆ ขยับนิ้วออกจากร่างกายของเธอพร้อมทั้งหยิบเสื้อผ้ามาใส่ให้เธออย่างเบามือ คนอะไรบทจะหลับก็หลับลงดื้อๆ นี่คงจะเหนื่อยมากสินะ
หลังจากนี้ฉันจะเอายังไงดี ฉันยังคงจดจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ ยามหลับก็ดูน่ารักดีเหมือนเด็กน้อยที่กำลังมีความสุขแล้วถ้าตื่นจะรู้รึเปล่าว่าเมื่อคืนตัวเองทำอะไรไปบ้าง ฉันทำแค่เพียงมองเธอที่กำลังหลับ แล้วกว่าจะรู้ตัวนี่มันก็เกือบเช้าก็เธอทั้งน่ามองและน่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน ต่อให้ฉันนอนมองเธอทั้งวันก็คงไม่รู้สึกเบื่อ
ฉันคิดว่าคงถึงเวลาที่ฉันต้องกลับ อันที่จริงเราก็ไม่ได้รู้จักกัน ถึงฉันจะรู้ชื่อของเธอแต่นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยสักอย่าง ฉันฝั่งจมูกไปหอมแก้มเธอเบาๆ แต่เธอใช้มือปัดเหมือนเด็กน้อยที่โดนกวนจนฉันเผลอหัวเราะออกมา ทำไมตอนนี้เธอถึงได้ดูน่ารักขนาดกันนะไม่เหมือนเมื่อคืนที่ดูเร่าร้อนยิ่งกว่าสิ่งไหน และไม่ว่าจะเป็นแบบไหนฉันไม่อาจละสายตาไปจากเธอ สงสัยฉันคงเริ่มจะชอบเธอแล้วมั้ง แต่ตอนนี้ฉันคงต้องบอกลา ลาก่อนนะปีใหม่...ฉันกระซิบถ้อยคำบอกลา ก่อนที่จะรีบเก็บของแล้วออกจากไปห้องเธออย่างเงียบๆ
ทั้งที่คิดว่าเราคงจะไม่มีโอกาสเจอกันอีก แต่ใครจะไปคิดว่าฉันจะได้เจอเธออีกครั้ง เมื่อเธอคือรุ่นพี่ปีสองพวงด้วยตำแหน่งดาวมหา’ ลัย และตอนนี้เธอก็กำลังยืนตรงหน้าฉันพร้อมรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
“สวัสดีค่ะน้องสงกรานต์ หวังว่ารอบนี้น้องคงจะไม่ได้หนีพี่ไปไหนอีกใช่มั้ยคะ”
ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย ฉันขอสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่ไปเที่ยวสงกรานต์อีกเป็นครั้งที่สอง...
ขอคอมเม้นท์หรือหัวใจคนละดวงเพื่อเป็นกำลังใจให้เราหน่อยนะ ????
Comments (0)