3 ตอน พบกันอีกครั้ง
โดย หมีขาว23
คุณเคยเจอใครสักคนแล้วรู้สึกอยากตามใจเขาทุกอย่างไหม แน่นอนว่าฉันกำลังเจอเรื่องแบบนี้เมื่อตอนนี้ฉันกำลังตามใจอีฟทุกอย่างเพียงแค่อีฟพูด
[สงกรานต์คะ พรุ่งนี้เปิดเทอมวันแรกเราไปกินข้าวเช้าด้วยกันมั้ยคะ]
“กี่โมงคะ”
“อื้ม...ประมาณ 7 โมงเช้าดีมั้ยคะ” ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นฉันคงรีบปฏิเสธ ใครมันจะไปตื่นเช้าขนาดนั้น!!! อีกอย่างเรามีเรียนคาบแรกตอน 8:30 ไม่มีทางที่คนอย่างฉันจะยอมถ่อไปมหา’ลัยในเวลานี้
แต่ในความเป็นจริง ใช่ค่ะฉันยืนหัวโด่ที่โรงอาหารในเวลา 7 โมงตรง เวลานี้มันช่างไม่ต่างอะไรจากการไปโรงเรียนในช่วงสมัยมัธยมทั้งที่ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่ต้องตื่นไปเข้าแถว แต่เหตุผลที่ทำให้ฉันมาอยู่ตรงนี้นั่นคืออีฟ และมันช่างคุ้มค่าเมื่อวันนี้ฉันเห็นอีฟในชุดนักศึกษาอย่างเป็นทางการ
“เราดูแปลกมั้ยคะ” อีฟถามอย่างไม่มั่นใจเมื่อเห็นว่าฉันกำลังมอง
“ไม่แปลกเลยค่ะ เราคิดว่าอีฟแต่งแบบนี้เหมาะดีนะ” ชุดนักศึกษาพอดีตัวกับกระโปรงที่ไม่ได้สั้นหรือยาวเกินไป ไหนจะทรงผมที่เป็นระเบียบแต่ก็มีความน่ารักอยู่ในตัว
“ขอบคุณค่ะ สงกรานต์ก็ดูเหมาะกับชุดนักศึกษาเหมือนกันค่ะติดตรงที่ผมยุ่งไปหน่อย”
“ผมเรายุ่งเหรอ” ฉันรีบใช้มือสางผมเร็วๆ
“อยู่นิ่งๆ ค่ะเดี๋ยวเราช่วย” อีฟก้มลงไปหยิบหวีอันเล็กๆ ในกระเป๋าขึ้นมาแล้วช่วยจัดทรงผมให้ฉัน
“แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเขินหรือเพราะไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้มาก่อนนอกจากแม่ของตัวเอง
“แล้ววันนี้สงกรานต์อยากกินอะไรคะ”
“เราคงกินข้าวราดแกงร้านนั้น” ฉันชี้ไปยังข้าวราดแกงใกล้ๆ ร้านดูสะอาดแถมอาหารก็ดูน่าอร่อย
“งั้นเรากินร้านนี้ด้วยค่ะ”
“แต่อีฟจะกินได้เหรอ นั่นร้านข้าวแกงใต้นะ” ด้วยผิวหรือหน้าตาที่ออกไปทางลูกคุณหนูฉันเลยไม่มั่นใจว่าอีฟจะกินร้านแบบนี้ได้
“อย่าดูถูกเราเชียว บอกเลยค่ะว่าข้าวแกงใต้เนี่ยของโปรดเราเลยนะ”
“พูดแบบนี้จะบอกว่าอีฟกินเผ็ดได้?”
“ค่ะ และเราค่อนข้างชอบอะไรเผ็ดๆ”
“นี่อีฟล้อเล่นเรารึเปล่า” ฉันมองอย่างไม่เชื่อว่าที่อีฟพูดจะเป็นเรื่องจริง
“มาดูกันค่ะว่าเราจะพูดเล่นหรือพูดจริง” อีฟยักคิ้วขึ้นอย่างท้าทายก่อนจะเดินนำไปสั่งอาหาร
ฉันมองอาหารในจานของอีฟ ที่มีผัดบวบ กับแกงเหลืองในถ้วยใบเล็ก ไม่คิดว่าอีฟจะทำอย่างที่พูด
“จะไม่เป็นไรเหรอแน่นะ อีฟเล่นกินเผ็ดตั้งแต่เช้า”
“สบายมากค่ะ” ฉันมองสีของแกงแค่เห็นก็แสบท้องแล้ว ถึงปกติฉันจะกินเผ็ดได้บ้างแต่ให้กินตั้งแต่เช้าแบบนี้คงไม่ไหว ฉันถึงได้เลือกกินพะโล้กับผัดวุ้นเส้น
“แน่ใจนะอีฟ ถ้าไม่ไหวจะแบ่งของเราก็ได้นะ” ฉันถามออกไปอย่างเป็นห่วงเพราะไม่มั่นใจว่าอีฟจะกินได้จริงๆ หรือที่สั่งแบบนี้เพราะอยากแสดงให้เห็นว่าตัวเองกินเผ็ดได้
“ค่ะ” อีฟหันมายิ้มอย่างมั่นใจจนฉันรู้สึกหวั่น นี่อีฟคงไม่ได้คิดจะกินทั้งหมดหรอกนะ
ฉันยังคงมองอีฟกินข้าวไปเรื่อยๆ ดูจากท่าทางการกินของอีฟเรื่องที่อีฟพูดคงจะจริง กลับกันถ้าให้ฉันกินแบบนี้ฉันคงยอมแพ้
“เราไม่คิดว่าอีฟจะกินได้จริงๆ ด้วย”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่เชื่อเราสินะคะ” อีฟหันมามองฉันอย่างเคืองๆ
“เชื่อค่ะเชื่อ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ถ้าเป็นเรื่องของเผ็ดๆ ไว้ใจเราได้ค่ะ”
เมื่อเราสองคนกินข้าวเสร็จฉันกับอีฟก็คิดว่าจะไปนั่งรอในห้อง แต่จังหวะที่เราสองคนกำลังเดินออกจากโรงอาหารกลับมีใครบางคนเรียกชื่อฉัน
“สงกรานต์” เมื่อหันไปมองถึงได้รู้ว่าคนที่เรียกคือเสียงซอ มีเพียงแค่ฉันกับเสียงซอที่เรียนที่นี่ส่วนน้ำเรียกที่อื่นและถึงเราสองคนจะเรียนที่เดียวกันแต่เป็นคนละคณะฉันถึงแปลกใจที่เจอมันตั้งแต่วันแรก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร ในเมื่อมหา’ลัยก็มีอยู่แค่นี้
“ไม่คิดว่าจะเจอแกตั้งแต่วันแรก แล้วนี่แกกำลังจะไปไหน?” ฉันหันไปทักมันตามมารยาท
“ก็ว่าจะไปหาอะไรกินแล้วนี่…” เพราะท่าทางอยากรู้จักของมันฉันถึงต้องแนะนำอีฟให้มันรู้จัก และก็ได้แต่หวังว่ามันคงไม่ได้พูดเรื่องอะไรแปลกๆ ออกมา
“อ๋อ นี่อีฟเพื่อนในสาขาส่วนอีฟนี่เสียงซอเพื่อนสมัยมัธยมของเรา”
“สวัสดีค่ะคุณเสียงซอ”
“สวัสดีค่ะ แล้วนี่คิดยังไงถึงคบสงกรานต์เราแนะนำให้เลิกคบแล้วรีบหาเพื่อนใหม่ดีกว่านะ”
“เดี๋ยวเหอะ” ฉันรีบดุเสียงซอ คนยิ่งมีเพื่อนน้อยๆ ถ้าอีฟทำจริงฉันก็แย่น่ะสิ
“เราคงเลิกคบสงกรานต์ไม่ได้หรอกค่ะ” ฉันยิ้มอย่างดีใจก่อนจะรีบหุบยิ้มเมื่ออีฟพูดประโยคต่อไป “เพราะตอนนี้เราไม่รู้จักใครเลยค่ะ แต่อนาคตก็ไม่แน่นะคะ”
“อีฟ” ฉันบ่นเสียงเบานี่ถ้าฉันเป็นหมาหูฉันคงตกทั้งสองข้าง
“เราพูดเล่น อย่าเลิกคบมันเลยถึงจะเห็นว่ามันชอบทำหน้าบึ้งๆ ไปบ้าง แต่มันก็เพื่อนที่ดีนะ เอ๊ะหรือไม่ดี” เสียงซอทำหน้าเหมือนไม่มั่นใจ
“อีนี่อยากโดนตบมะ” ฉันกางมือเตรียมตบนังเพื่อนตัวดี
“อะล้อเล่น ใครจะกล้าว่าเพื่อนสุดเลิฟกันล่ะ”
“มึงไง”
“ฉันไปกินข้าวแล้ว ไว้ครั้งหน้าเราค่อยคุยกันใหม่นะอีฟบายจ้ะ” เสียงซอรีบขอตัวเมื่อจู่ๆ โทรศัพท์มันดังขึ้นคงเป็นใครสักคนที่กำลังตามมัน ส่วนฉันก็ตอบกลับไปอย่างรำคาญว่า
“เออ จะไปไหนก็ไป”
“ดูพูดเข้า ว่างๆ ก็คอลมาหาบ้างนะคิดถึง”
“รู้แล้ว รีบไปเหอะ” ฉันปัดมือไล่ให้มันรีบไป ยิ่งปล่อยให้มันอยู่นานยิ่งอันตราย ไม่รู้มันจะหลุดพูดเรื่องอะไรให้อีฟฟัง
“ปกติเวลาสงกรานต์อยู่กับเพื่อนจะเป็นแบบนี้เหรอคะ”
“หมายถึงที่เราดูรำคาญเสียงซอน่ะเหรอ”
“ค่ะ รวมทั้งคำพูดต่างๆ จะว่ายังไงดีคะพอสงกรานต์พูดกับเราเรารู้สึกว่าสงกรานต์จะพูดสุภาพมากกว่า”
“อ๋อ ตอนแรกเราก็พูดเธอๆ เราๆ นี่แหละแต่พอคบไปเรื่อยๆ ก็มีแค่แกๆ ไม่ก็มึงๆ เป็นบางครั้งน่ะแล้วแต่อารมณ์”
“แบบนี้ต่อไปถ้าเราสนิทกัน...เราต้องพูดมึงกูกับสงกรานต์ด้วยรึเปล่าคะ” อีฟเอียงคอเหมือนเด็กน้อย ฉันว่าคำพวกนี้ไม่ค่อยเหมาะกับอีฟเท่าไร
“เราว่าอย่าดีกว่า อีฟพูดแบบนี้ก็ดีแล้วค่ะ”
“แต่เราก็อยากสนิทกับสงกรานต์เหมือนเสียงซอนะคะ” อีฟยู่หน้าลงอย่างน่ารัก
“ไม่ต้องหยาบก็สนิทได้ค่ะ”
“งั้นเหรอคะ” อีฟพยักหน้าน้อยๆ
“แบบนี้ดีแล้วค่ะ”
“เอาที่จริงเราก็อยากลองพูดมึงกูดูเหมือนกัน แต่เราไม่เคยพูดมาก่อน พอลองพูดก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“ดีแล้วค่ะที่ไม่ได้พูด” ฉันไม่ได้มองว่าการพูดมึงกูเป็นสิ่งที่ดี เป็นไปได้ฉันก็อยากจะเลิกแต่ฉันดันชินน่ะสิ ถึงจะไม่ได้พูดบ่อยแต่มันก็ติดปากอยู่ดี
“มันไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอคะทั้งที่ใครๆ ต่างก็พูดกัน”
“ก็ไม่เชิงค่ะ แต่ไม่พูดจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ค่ะ แต่บางครั้งเราก็อยากลองดูเหมือนกันนะ”
“สำหรับเราการพูดมึงกู เรามองว่าถ้าใช้กับเพื่อนที่สนิทแล้วอีกฝ่ายโอเคมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถ้าอยู่ๆ ไปใช้กับที่คนเพิ่งรู้จักหรือกับผู้ใหญ่มันดูค่อนข้างหยาบเลยล่ะ แต่ถ้าอีฟอยากลองก็ได้ค่ะแต่เลือกคนที่ใช้กับสถานการณ์ประกอบด้วยนะ” ฉันว่าเราจะใช้คำไหนขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายว่าเขาโอเคกับคำเหล่านั้นไหม มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ก็มีเรื่องการให้เกียรติและสถานที่ประกอบด้วย
“ฟังดูแล้วเป็นเหตุผลที่ดีค่ะ ตอนแรกเราคิดว่าสงกรานต์จะตอบทำนองว่าเพราะมันเป็นคำไม่สุภาพอะไรแบบนั้น”
“มันก็ไม่สุภาพจริงๆ นั่นแหละบางทีความคิดของเราอาจจะผิดก็ได้”
“แต่เราชอบความคิดของสงกรานต์นะคะ ดูสมเหตุสมผลแล้วจะว่ายังไงดีนะ ดูมีเสน่ห์ดีค่ะ”
“เรารีบขึ้นห้องกันดีกว่าเดี๋ยวสาย” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะเริ่มรู้สึกแปลกๆ โดยเฉพาะตอนที่อีฟชม มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะแต่มันก็รู้สึกประหม่าด้วยเช่นกัน
การเรียนในมหา’ลัยช่างต่างจากตอนมัธยมอย่างเห็นได้ชัดทั้งเรื่องของอาจารย์และการบรรยายในชั้นเรียน รวมทั้งการเรียนในวันแรก ปกติสมัยมัธยมคาบแรกมักจะเป็นการทำความรู้จักหรือแนะนำรายวิชาเบื้องต้นไม่ได้มีการเรียนการสอนที่จริงจัง แต่ใช้ไม่ได้กับการเรียนในรั้วมหา’ลัยเมื่อบางวิชามีสอบตั้งแต่คาบแรกหรือไม่ก็เริ่มการสอนปกติ ซึ่งมันจะไม่ได้มีปัญหาอะไรถ้าฉันเตรียมใจหรือตัวมาก่อน แต่วันนี้ฉันกะว่าจะมาชิวๆ เพราะยังคิดถึงการใช้ชีวิตในช่วงปิดเทอมอย่างการเล่นเกมโปรดหรือการกลิ้งไปมาบนเตียง แถมวันนี้หลังเลิกเรียนแทนที่เราจะได้แยกย้ายกลับบ้านกลับต้องมาจมปลักการรับน้อง...
“เราโดดกันดีมั้ยอีฟ” ฉันรีบกระซิบถามอีฟเมื่อรุ่นพี่เพิ่งจะประกาศว่าเย็นนี้เราต้องเข้าพบรุ่นพี่ปีสอง
“จะดีเหรอคะ”
“แล้วอีฟอยากเข้ารึเปล่า” อีฟส่ายหัว
“งั้นเราโดดกันนะ” อีฟดูจะลังเลแต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าโดนดุทีหลังสงกรานต์รับผิดชอบด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรถ้าโดนดุเราก็โดนด้วยกัน”
“โธ่ คิดว่าสงกรานต์จะบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเรารับผิดชอบเอง” อีฟบ่นอุบแต่ก็ยอมโดดตามฉันอยู่ดี
เราสองคนวางแผนว่าทันทีที่หมดคาบจะเดินแยกออกไปเข้าห้องน้ำเพื่อจะได้หลบรุ่นพี่ที่ตามถึงหน้าห้อง ซึ่งแผนทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ดีถ้าไม่ติดที่ว่าฉันเผลอชนใครบางคนเข้า
“ขอโทษค่ะ” ฉันรีบก้มหัวขอโทษโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงที่ฟังแล้วดูคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักที่ และคำตอบมันก็ชัดเจนเมื่อฉันเงยหน้าสบตากับเธอ
“คุณ!!!” และนั่นทำให้ฉันร้องเสียงหลงตามด้วยใบหน้าตกใจสุดขีด
“ว่าไงคะน้องสงกรานต์ แล้วนี่กำลังจะไปไหนคะ” รอยยิ้มเย็นเฉียบที่เห็นแล้วรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก แน่นอนว่ามันแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งฉันไม่อาจคาดเดาได้แต่ที่แน่ๆ มันมีความไม่พอใจอยู่ในนั้น
Comments (0)