ตอนที่ 5 เพื่อนคนแรกของกันและกัน

รถไฟกำลังแล่นออกเดินทางไปตามเส้นอันยาวไกลที่จะไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้ ภายในรถมีเพียงเด็กและวัยรุ่นที่เตรียมกันไปยังสถานที่ที่พวกเขาต้องไป ตามทางเดินยังมีเด็กเดินไปตามทางเรื่อยเปื่อยกันพอกับ อบิเกลที่กำลังมองหาตู้ที่ว่างพอที่เธอจะขอไปร่วมนั่งด้วย แต่ทว่าแต่ละตู้นั้นไม่มีที่ว่างเลยสักนิด ทำเอาเธอไม่ชอบใจเลยที่ไม่มีที่นั่งแบบนี้ ระหว่างที่อบิเกลกำลังเดินไปตามทางนั้นเด็กชายผมแดงเงยหน้ามาเห็นเด็กหญิงที่เขาเคยเจอกำลังเดินผ่านตู้ของเขา เขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกพร้อมกับชะโงกหน้าออกไป

 

"เฮ้! ยัยลูกฆาตกร!!"

 

เสียงตะโกนของเด็กชาย ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนี้ต่างหยุดชะงักจนตกใจกับคำพูดอีกฝ่ายว่ามีใครเป็นลูกฆาตกรอยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ อบิเกลได้ยินคำพูดนั้นมันรู้สึกสะเทือนตัวเองแบบสุด ๆ แต่เธอไม่หักไปแล้วกำลังจะเดินต่อ เด็กชายเห็นอีกฝ่ายจะเดินไปก็ตะโกนอีก

 

"นี่! ยัยผมดำ! ไม่ได้ยินที่ฉันเรียกหรือไง!"

อบิเกลรู้สึกว่าตอนที่เดินมาก็ไม่มีคนผมดำเลย มีก็มีแต่เธอทำให้ใบหน้าเธอขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเรียกใครกันแร่

"นายเรียกใครว่าลูกฆาตกร!"

"ใครล่ะ ก็เธอไง! เธอเป็นลูกของคนคนนั้นไม่ใช่หรือไง? ชายที่เคยเป็นน้องชายของมือปราบมารที่เก่งที่สุดในทศวรรษนี้ อาของฉัน! แฮร์รี่ พอตเตอร์!"

 

เหล่าเด็กที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันฮือฮากันถึงชื่อที่ยังทรงอำนาจในโลกเวทมนตร์อยู่ ทำให้ทุกคนต่างซุบซิบกันว่าเด็กชายเป็นถึงหลานและลูกชายของรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ด้วย อบิเกลไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีฐานะหรือชื่อเสียงอะไร แต่กล้ามาพูดว่าเธอเป็นลูกฆาตกรก็ทำเอาเธอกำหมัดแน่นอย่างโกรธ เพราะคำพูดอีกฝ่ายเหมือนกล่าวหาอาของเธออย่างอ้อม ๆ

 

"อา…พ่อฉันไม่ใช่ฆาตกร!!"

"เธอคิดเหรอว่าเขาไม่ใช่นะ!" เด็กชายพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ชอบใจอีกฝ่าย "แล้วเขาหายไปไหนตอนที่ครอบครัวอาพอตเตอร์ตายล่ะ!"

"เขาไปทำภารกิจ!"

"แต่แม่ฉันไม่ได้ออกคำสั่ง!!"

"เรื่องของแม่นายสิ! แต่พ่อฉันบอกว่ามีคนออกคำสั่ง เขาก็ทำ อย่ามาหาเรื่องฉัน นายวิสลีย์ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนนำไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา"

"เด็กปี 1 ห้ามใช้ไม้กายสิทธิ์นะ…" เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น

อบิเกลหันไปมองเด็กที่พูดก่อนจะยิ้มออกมา "ฉันรู้ว่าปี 1 ห้าม แต่อาชีพฉันมันต้องใช้ตลอดล่ะนะ"

"เอ๋!?"

ทุกคนต่างมองอีกฝ่ายอย่างงุนงงว่าอีกฝ่ายมีงานทำแล้วเหรอ ก่อนที่อบิเกลจะยกมือชี้หน้าไปทางนายวิสลีย์

"จำไว้ละกัน นายเรียกฉันว่าลูกฆาตกร ตั้งแต่นี้ไปนายกับฉันเป็นศัตรูกัน!!"

 

คำพูดนั้นทำเอาทุกคนสะดุ้งแบบสุด ๆ ที่เด็กหญิงกล้าเป็นศัตรูกับลูกชายรัฐมนตรี เธอไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน แต่กล้าเรียกเธอแบบนั้น เธอก็ถือว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู พอพูดจบเธอกับสะบัดหน้าหมุนตัวกลับไปทางเดิมที่เธอจะเดินต่อโดยไม่แยแสใคร มีเพียงเด็กชายวิสลีย์ที่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจเขากำหมัดอย่างขุ่นเคืองใจกับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก

 

อบิเกลเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างโกรธเคืองตั้งแต่วันแรก เธออุตส่าห์อยากทำตัวเด่น ๆ จนคนสนใจแต่นี่เด่นไปทางด้านลบซะงั้น จนเธออยากใช้ไม้กายสิทธิ์เสกให้ไอ้ผมแดงนั้นเป็นกบเสียเลย เดินไปตามทางก็เห็นแต่ห้องเต็มไปหมดจนใกล้ถึงประตูทางเชื่อมก็มีห้องหนึ่งที่มีเด็กชายผมขาวอยู่คนเดียวในตู้นั้น อบิเกลเห็นก็รู้สึกดีใจที่ตู้นี้มีแค่คนเดียว เธอยิ้มอย่างดีใจก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในทันที

 

"ขอรบกวนด้วยค่ะ!!"

เด็กชายสะดุ้งกับเสียงตะโกนจนเขาหันไปมองอย่างตื่น ๆ ใบหน้าของเขานั้นขาวซีดอยู่แล้ว แต่พอหันมาหาอีกฝ่ายมันดูซีดกว่าเดิม

"มี…มีอะไรเหรอ…?"

"เอ่อ…ทุกตู้มันเต็มแล้ว ฉันเลยอยากขอนั่งด้วยนะ"

เด็กชายได้ยินแบบนั้น เขากับทำหน้าอมทุกข์พร้อมกับก้มหน้าลง "เธอไม่อยากมานั่งกับฉันหรอก…ถ้าเธอรู้ว่าฉันเป็นใครนะ…"

"หมายความว่าไง?" อบิเกลพูดพร้อมค่อย ๆ เดินมา

"ทุกคนพอได้ยินชื่อและนามสกุลของฉัน ทุกคนรู้และรังเกียจฉัน…เพราะครอบครัวฉัน เคยเป็น…ผู้เสกความตาย…"

 

อบิเกลได้ยินก็นิ่งไปชั่วครู่ สำหรับใครบางคนที่เคยมีคนในครอบครัวเป็นผู้เสกความตายก็จะมีแต่คนรังเกียจ แต่หลายปีมานี้มีการเปิดเผยชื่อผู้เสกความตายเยอะมาก เพื่อตามหาเพราะรู้สึกว่าเริ่มมีเยอะขึ้น แต่พวกนั้นก็หลบซ่อนในช่วงนี้ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเขาเลยสักนิด ทุกอย่างมันเกี่ยวกับผู้ใหญ่ต่างหาก เธอฟังอีกฝ่ายพูดก็มานั่งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอีกฝ่ายเลย จนเด็กชายเงยหน้ามองอย่างตกใจ

 

"ช่างพวกเรื่องนามสกุลหรือครอบครัวนายเคยเป็นอะไรมาก่อนสิ!!"

"เอ๋?" เด็กชายมองอีกฝ่ายอย่างงุนงงที่อีกฝ่ายดูเป็นพวกขวานผ่าซ่าสุด ๆ"แต่ว่า…"

อบิเกลยกนิ้วชี้มาข้างหน้าอีกฝ่ายทันที "ไม่มีแต่! นั้นมันเรื่องผู้ใหญ่ เราเป็นเด็กก็อยู่ส่วนเด็กสิ"

"แบบนั้นมันก็…ยังไงพวกเขาก็…"

"ช่างสิ เราทำตัวให้ดีที่สุดสิ! ใครไม่ชอบเราก็ช่าง อยากเป็นศัตรูกับเราก็จัดให้!!"

"ศัตรู…คงไม่มีขนาดนั้นมั้ง…"

"อ๋อ พึ่งได้ศัตรูเมื่อกี้เองนะ"

"ไวมาก!!"

"หึ แต่เราก็เป็นพวกประเภทเดียวกันล่ะนะ"

"ประเภทเดียวกัน.."

"ใช่ อ๋อ ฉันลืมแนะนำตัว ฉันชื่อ อบิเกล เมอร์รัล ยินดีที่ได้รู้จัก" อบิเกลยื่นมือมาตรงหน้าอีกฝ่าย

"อบิเกล เมอร์รัล…เด็กหญิงที่อยู่กับแผนกสัตว์วิเศษ…นะเหรอ?"

"นายรู้จักฉันด้วยเหรอ?" อบิเกลถามอย่างสงสัยรู้สึกจะมีคนรู้จักเยอะกว่าตัวเธออีก

"ก็…ก็แค่เห็นผ่านหนังสือพิมพ์นะ…"

"งั้นเหรอ ฉันไม่ค่อยได้อ่านด้วยสิ"

"เหรอ…เอ่อ…" เด็กชายมองอีกฝ่ายพร้อมกับยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย "ยินดีที่ได้รู้จัก…เมอร์รัล…ฉัน…ฉันชื่อ…สกอร์เปียส มัลฟอย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ…"

"ครอบครัวมัลฟอย…ถึงได้นายพูดแบบนั้น..."

"ใช่…ปู่ฉันเป็นผู้เสกความตาย…ปู่ฉันชักชวนพ่อฉันเข้าร่วม…แต่เขาก็…"

"เขาก็เกิดกลัวจนวินาทีสุดท้าย แล้วล้มเลิกและกลับตัว แต่ก็ยังมีคนไม่ชอบขี้หนาเขาอยู่ดี!"

"เธอ…รู้ได้ไง?"

"อาของฉัน ไม่สิ ๆ พ่อฉันเล่าให้ฟังนะ"

"อา? พ่อ?" สกอร์เปียสมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยอีกฝ่ายจะพูดถึงพ่อหรืออากันแน่

"โทษที ๆ พอดีฉันกำลังฝึกเรียกอาว่าพ่อนะ"

"เอ๋…อาเธอคือ…?"

"สก็อต เมอร์รัลนะ"

"ฉันนึกว่าเขาเป็นพ่อเธอซะอีก เห็นอยู่ใกล้ ๆ ตลอดนะ"

"ก็เขาเป็นผู้ปกครองของฉันนะ ก็เหมือนพ่อของฉันละนะ แต่เราสองคนไม่ใช่สายเลือดเดียวกันนะ"

"แล้วพ่อแม่เธอล่ะ?"

"ไม่รู้สิ…อาบอกแค่ว่า…พวกเขาเสียไปแล้วนะ"

"โอ้…ฉันเสียใจด้วย…"

อบิเกลส่ายหน้าเบา ๆ"ไม่เป็นไร ฉันไม่รู้สึกเศร้าหรอก…เพราะจำพวกเขาไม่ได้เลยนะ"

"จำไม่ได้? เสียความทรงจำเหรอ?"

"ไม่รู้สินะ เพราะว่าตอนนั้นฉันเด็กด้วยนะ"

"งั้นเหรอ…"

"อืม งั้นเราสองคนนั่งด้วยกันไปเลยนะ!"

สกอร์เปียสยิ้มแบบเจื่อนทันที "เธอพูดแบบนั้น แต่เธอก็นั่งแล้วนี่น่า"

"อ๊ะ จริงด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า" อบิเกลหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะมองอีกฝ่ายอีกครั้ง "งั้นฉันนั่งด้วยเลยนะ"

สกอร์เปียสมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางที่ดูร่าเริงเกินคน ก็ทำให้เขายิ้มมุมปากขึ้นมา

"ตามสบายเลย"

 

ทั้งสองยิ้มให้แก่กันจนพวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อย อบิเกลได้เล่าเรื่องราวของเธอให้อีกฝ่ายฟังว่าเกิดอะไรขึ้นมั้ง ระหว่างการเดินทางไปทำภารกิจกับอาของเธอ สกอร์เปียสฟังก็รู้สึกชีวิตอีกฝ่ายนั้นเจอแต่เรื่องน่าตื่นเต้นจนเขาอยากจะเจอมั้งจริง ๆ เพราะชีวิตปกติของเขานั้นมีแค่อยู่แต่ในบ้านเรียนรู้เวทมนตร์ต่าง ๆ หรือความรู้เรื่องต่าง ๆ เท่านั้น

 

"ฟัง ๆ แล้วชักอยากเป็นเจ้าหน้าที่สัตว์วิเศษเลยนะ"

"ใช่ไหม ๆ ฉันก็อยากเป็นจนได้เป็นล่ะนะ!"

"จนได้เป็น? เมอร์รัลเป็นเจ้าหน้าที่แล้วเหรอ?"

"หึ หึ~" อบิเกลยิ้มกรุบกริบ ก่อนจะยกกระเป๋าสี่เหลี่ยมเล็กขึ้นมาแล้วเปิดหน้าหนึ่งให้ดู "ทาด๊า~ เจ้าหน้าที่อายุน้อยที่สุดในทศวรรษจ้า!"

"สุดยอด! ทำได้ไงนะ!"

"ก็ไปสอบตามกฎของกระทรวง เพื่อสอบเอาไม้กายสิทธิ์นะ แต่กลายเป็นไปสอบเข้าทำงานจนมีตำแหน่งนะ"

"แบบนี้เธอก็อายุน้อยกว่าคนอื่น ๆ เลยสิ…แล้วแบบนี้มีงานเข้ามาล่ะ?

"ก็ฉันกำลังพักงานอยู่นะ เขียนไว้ว่าพักงานเนื่องจากเขาเรียนนะ ทางกระทรวงถึงจะให้ผ่าน แต่ก็อยากให้เข้าเรียนด้วยนะ เรียนจบก็ไม่ต้องไปสอบ ก็ทำงานต่อได้เลยนะ"

"สุดยอด…แบบนี้ถ้าฉันเข้าทำงาน เมอร์รัลก็เป็นรุ่นพี่ฉันนะสิ"

"ถูกต้องแล้ว!"

"งั้นรอฉันเรียนให้จบเลยนะ"

"ฉันจะรอละกันว่านายจะทำตามที่พูดไหมนะ~"

"รอได้เลย" สกอร์เปียสยิ้มอย่างร่าเริงต่างจากตอนที่เจอกันครั้งแรกที่ดูอมทุกข์ตลอดเวลา "จริงสิ ขอบคุณที่เลี้ยงขนมฉันนะ"

"เรื่องเล็กนะ เป็นเพื่อนกันก็ต้องเลี้ยงกันเล็กน้อยนั้นล่ะนะ"

"เพื่อน…"

 

พอนึกคำว่าเพื่อน ทำให้เขานึกถึงเพื่อนเก่าที่ตอนแรก ๆ ก็ดีกับเขา แต่ลับหลังด่าทอและนินทาทำให้เขากลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายโดนเพื่อนรังเกียจ เขาไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงเกลียดเขา แต่พอได้เห็นหน้าตอนที่กำลังขึ้นรถไฟ เขาถึงรู้ว่าพวกนั้นแกล้งเขาเพราะว่าเขาเป็นคนตระกูลมัลฟอยนั้นเอง สกอร์เปียสนิ่งเงียบไปนานทำให้อบิเกลสงสัยจนเอ่ยถามขึ้นมา

 

"เป็นอะไรหรือเปล่า? มัลฟอย"

"อ๊ะ! เปล่า ๆ แต่..เธอยอมรับฉันเป็นเพื่อนจริง ๆ เหรอ"

"อืม จริงสิ ทำไมเหรอ?"

"เปล่า..ฉันแค่กลัวเธอจะเหมือนคนอื่นนะ"

"เหมือนคนอื่น?"

"อืม ตอนแรก ๆ เข้าหาฉันดี…แต่พอสักพักก็…เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะ"

"ทรยศสินะ…"

สกอร์เปียสพยักหน้าเบา ๆ เขากลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทางแบบไหนออกมา ก่อนที่อบิเกลจะพูดบางอย่างออกมา

"แย่ที่สุด! ทำไมมีคนแบบนี้บนโลกด้วยเหรอ!? แย่จริง ๆ"

สกอร์เปียสถึงกับเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่แสดงสีหน้าโกรธเคืองแทนเขา ตลอดหลายปีที่เขามีเพื่อนมาเยอะ ก็ไม่เคยมีใครแสดงท่าทางโกรธแทนเขาเห็นสักครั้ง ทำเอาสกอร์เปียสตัดสินใจบางอย่างออกไป

"เมอร์…เมอร์รัส!"

"ว่าไง?"

"คือ…คือ…ช่วย…"

"หือ?"

"ช่วย…ช่วย…ช่วยเป็นเพื่อนกับฉันหน่อยนะ!"

"เอ๋?"

อบิเกลอุทานขึ้นมาอย่างสงสัย ช่วงนี้เธอไม่รู้ว่ามีแรงดึงดูดอะไรขึ้นมา ถึงมีแต่คนเข้ามาอยากสนิทกับเธอจริง ๆ แต่เธอก็รู้สึกดีใจพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปนั่งข้าง ๆ พร้อมกับจับมืออีกฝ่าย

"ได้สิ ฉันจะเป็นเพื่อนกับมัลฟอยไปตลอดเลยล่ะนะ"

"..."

 

สกอร์เปียสได้ยินแบบนั้น เขานึกย้อนไปที่ตลอดหลายปีเขานั้นไม่เคยได้เพื่อนที่ดีสักคน แต่ว่าตอนนี้เขาได้เจอมิตรภาพที่เขาอยากอยู่ด้วยไปตลอด โดยไม่ขออะไรตอบแทนเลย สกอร์เปียสยิ้มอย่างดีใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา อบิเกลเห็นแบบนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่ายช่วยลูบเป็นการปลอบ สกอร์เปียสชอบใจที่อีกฝ่ายปลอบใจเขา แต่อบิเกลเห็นก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้น

 

 

‘ทำไมหมอนี้ดูน่ารักจริง ๆ ทั้งที่ดูอ่อนแอแต่ก็...ดูน่าเอ็นดูสุด ๆ' อบิเกลคิดพร้อมน้ำตาหน่อย ๆ

 

หลังจากที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้วได้คุยอะไรมากกว่าที่พวกเขาจะทำ แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกันจนพวกเขานึกว่าตัวเองนั้นเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ต่อมาพวกที่ดูเหมือนจะเป็นรุ่นพี่เริ่มเดินมาตะโกนบอกว่าใกล้ถึงโรงเรียนให้นักเรียนปีหนึ่งเปลี่ยนชุดกันได้แล้ว พอได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างพากันเตรียมตัวไปเปลี่ยนชุด อบิเกลก็เช่นกัน เธอขอตัวออกจากตู้ไปห้องน้ำสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ทว่าภายในห้องน้ำนั้นห้องทุกห้องเต็มไปหมด แล้วมีคนต่อแถวรอกันเต็มไปหมด

 

“ตายล่ะ...คนเยอะเลย...เล่นมาบอกเวลานี้ ทุกคนเลยมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันหมดเลย...”

อบิเกลมองพร้อมกับเดินออกจากห้องน้ำ กลับไปยังตู้ของเธอ พอเดินหลับมาก็เห็นอีกฝ่ายที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยอย่างน่าแปลกใจ ชุดที่อีกฝ่ายใส่เป็นชุดคลุมสีดำที่ปกปิดเสื้อข้างในไม่ให้เห็น กางเกงสแล็คสีเทา พอมองอีกฝ่ายใส่แล้วก็ดูดีใช่เล่น

“นายแต่งตัวเร็วจัง” อบิเกลพูดพร้อมกับเปิดประตูเข้าไปด้วย

“อ้าว? ไม่ได้ไปแต่งตัวเหรอ?

“ฉันถามนายก่อนนะ” อบิเกลยกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

“ก็...เปลี่ยนเสื้อผ้าในนี่สิ ตามกันไปห้องน้ำก็เต็มพอดี”

“เอ๋~

น้ำเสียงของอบิเกลดูจะเปลี่ยนไป จนสกอร์เปียสรู้สึกแปลก ๆ เขาค่อย ๆ เงยหน้ามองอีกฝ่ายก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“มัลฟอยยยย~

“อย่าบอกนะ!” สกอร์เปียสจ้องมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เหงื่อตกไปหมด

“ช่ายยยย ก็อย่างที่นายกำ ลัง คิด ไง ล่ะ”

“อึ้ก!!”

เวลาต่อมาสกอร์เปียสถูกให้มายืนอยู่หน้าตู้ที่เขาอยู่ โดยที่ข้างในตู้ถูกปิดด้วยผ้าลายสก็อตสีแดง สกอร์เปียสถึงกับเซ็งที่อีกฝ่ายลากเขาออกมาจากตู้เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

“เธอนี่มันใจร้ายจริง ๆ เมอร์รัล อยากเปลี่ยนเสื้อก็ขอกันดี ๆ สิ”

“ทำไงได้ล่ะ ถ้าฉันไม่ลากนาย นายจะยอมออกไหม?

“ก็ต้องออกสิ ถามบ้า ๆ” แก้มของสกอร์เปียสแดงเล็กน้อย

“คิก ๆ”

อบิเกลหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจไม่กี่นาที เธอก็แต่งตัวเสร็จแล้วเอาผ้าออกจากรอบ ๆ ห้องพร้อมกับเดินออกมาเปิดประตูให้อีกฝ่าย

“เอาล่ะ เข้ามาได้แล้ว”

“เฮ้อ...เร็วดีนี่น่า” สกอร์เปียสพูดพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน

“แค่เปลี่ยนเสื้อไม่ได้อะไรนักหนาสักหน่อย”

“เหรอ? แม่ฉันนะ แต่งตัวที ใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมง”

“งั้นเหรอ นานขนาดนั้นเชียว?

“ใช่ นานมากเลยล่ะ” สกอร์เปียสพูดแล้วนั่งลงที่ของเขา

“นานจนพ่อนายบ่นไหมนะ?

“พ่อไม่กล้าบ่นนะ ไม่งั้นเดียวไม่ได้ไปข้างนอกนะ”

“น่านนน ฮ่า ฮ่า นึกภาพออกเลยล่ะ”

อบิเกลนึกถึงเมื่อก่อนที่พี่เดลล่าแต่งตัวนานจนพวกผู้ชายบ่นกันจนเธอบอกไม่ไปแล้ว ทำเอาทุกอย่างวุ่นไปหมด

“ใช่ไหมล่ะ~

 

ทั้งสองคนต่างพากันสนทนากันอย่างสนุกต่อไปเรื่อย ๆ จนรอเวลาผ่านไปรถไฟเริ่มส่งเสียงดังเป็นการบอกว่าใกล้ถึงสถานีปลายทางแล้ว ทุกคนต่างพากันใจเต้นไปหมดว่าตอนนี้พวกเขากำลังมาถึงสถานที่ที่มีแต่พ่อมดแม่มดที่จะได้เข้ากัน เหล่าเด็ก ๆ ต่างมองออกมานอกหน้าต่างว่าข้างนอกเป็นไง แต่ข้างนอกนั้นมืดสนิทจนมองไม่เห็น ทำให้ทุกคนต่างเสียดายว่าไม่เห็นข้างนอกเลย อบิเกลกับสกอร์เปียสก็ลองมองดูก็ไม่เห็นอะไร แต่พวกเธอคิดว่าเดียวไปถึงก็เห็นเอง พวกเขาเตรียมตัวลงจากรถไฟกันเมื่อเทียบท่าเป็นที่เรียบร้อย เหล่าเด็ก ๆ ที่สวมชุดนักเรียนต่างพากันลงมาเต็มชานชาลาไปหมด อบิเกลเดินลงมากับสกอร์เปียสก็ยังมีคนจะแซะเธออีก

 

“ดูสิ ยัยลูกฆาตกรอยู่กับลูกของคนทรยศซะงั้น!”

เสียงของฮิวโก้ ทำเอาเธอรู้สึกไม่ชอบใจเลยจริง ๆ ทำเอาเธอกำหมัดแน่นจนอยากจะชนอีกฝ่าย ก่อนที่สกอร์เปียสจะจับมือเธอ

“อย่าไปสนใจเลย พวกขาดความอบอุ่น!”

“แกว่าไงนะ! มัลฟอย”

“อะไร? ฉันไม่รู้สินะ”

 

สกอร์เปียสทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะพาอบิเกลเดินไปข้างหน้า แต่ทว่าพวกเธอสองคนชนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้า ทำให้อบิเกลค่อย ๆ เงยหน้ามองว่าตรงหน้าคืออะไร เธอเงยหน้าขึ้นไปสูงพอตัวก่อนจะค่อย ๆ ถอยหลังก็เห็นชายชราอยู่ตรงหน้าของเธอ เขามีหนวดและเคราสีเทาที่ทำให้มันบ่งบอกเลยว่าอายุเยอะพอตัว

 

“คนอะไร...ตัวใหญ่จัง...” สกอร์เปียสจ้องมองชายตรงหน้าทำเอาตะลึงสุด ๆ

“ระวังหน่อย เด็ก ๆ เดินไม่ดูทางจะชนคนอื่นได้นะ” ชายชรากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ค่ะ/ครับ”

เด็กทั้งสองต่างพากันนิ่งเงียบ ก่อนที่เด็กผมแดงจะเดินมาหาชายชราคนนั้น

“ปู่แฮกริด สวัสดีครับ”

“ไง เจ้าหนูวิสลีย์!” ชายที่ถูกเรียกว่าแฮกริดยิ้มอย่างยินดีกับเด็กน้อย “แหม ๆ มองกี่ครั้ง เธอก็เหมือนแม่จริง ๆ เลยนะ”

“แน่อยู่แล้วครับ ทุกคนก็บอกว่าผมเหมือนแม่ครับ”

อบิเกลได้ยินก็รู้สึกน่าเบื่อหน่อย ๆ ที่เจ้าผมแดงมายุ่งวุ่นวายแถวนี้ ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมา

“น่าว่าเลิกไปวุ่นวายกับอาจารย์ดีกว่านะ เขาต้องนำทางให้นักเรียนใหม่นะ”

“หือ? หนูน้อยรู้จักฉันด้วยเหรอ?

“พอรู้จักค่ะ เพราะพ่อหนูเคยบอกว่ามีผู้ดูแลประตูฮอกวอตส์แล้วตอนนี้ก็เป็นอาจารย์สอนวิชาสัตว์วิเศษแล้วใช่ไหมคะ?

“ฮ่า ๆ ใช่เลยเด็กน้อย เอาล่ะตอนนี้ฉันก็ต้องทำงานจริง ๆ แล้วล่ะ! เอาปีหนึ่งตามฉันมาเราจะนั่งเรือกัน!!”

 

จบตอนที่ 5 โปรดติดตามตอนที่ 6 ต่อไป