2 ตอน ตอนที่ 2 ช็อปปิ้งก่อนเปิดเรียน
โดย YukiCoCo
ตอนที่ 2 ช็อปปิ้งก่อนเปิดเรียน
ตกดึกภายในห้องนั่งเล่นในบ้านสองชั้นขนาดเล็กของครอบครัวเมอร์รัล สก็อตกำลังนั่งคิดบางอย่างด้วยสีหน้าอันเต็มไปด้วยความเครียดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เขายังไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เขายังอยากให้เด็กน้อยของเขานั้นได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปตลอด แต่เขาก็ปิดกั้นความจริงจากหลานสาวไม่ได้ไปตลอด มันช่างเจ็บปวดใจ สายตาของเขาจ้องมองจดหมายที่ถูกแนบมาพร้อมกับจดหมายของหลานสาวข้างในนั้นเขียนไว้ว่า
‘ถึงสก็อต
ฉันอาจารย์ใหญ่ มิเนอร์ว่า มักกอนนากัล ขอโทษที่ส่งจดหมายถึงเธอผ่านจดหมายของหลานเธอ เนื่องจากถึงเวลาแล้วที่เด็กน้อยต้องได้เข้าโรงเรียน ฉันเลยส่งข้อความหาเธอเพื่อให้รับรู้ว่าฉันรู้เรื่องทั้งจากจดหมายที่พอตเตอร์ส่งมาให้เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ไม่ต้องห่วงว่าเด็กน้อยจะไม่มีคนอยู่เคียงข้าง ในฐานะศาสตราจารย์ใหญ่ ฉันจะดูแลเด็กคนนั้นเองไม่ต้องห่วง
มิเนอร์ว่า มักกอนนากัล’
ข้อความนี้ทำให้สก็อตถึงกับเครียดมากๆ ที่ตลอดหลายปีมีคนรับรู้เรื่องของอบิเกล แต่ไม่มีใครบอกเขาเลยสักคน ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหนื่อยที่ตัวเองพยายามไปเพื่ออะไรโดยที่มีคนสามารถช่วยเขาได้ ระหว่างที่เขากำลังคุยอะไรอยู่นั้น หญิงสาวร่างอวบกำลังเดินลงมาจากข้างบน แล้วตรงดิ่งมายังห้องนั่งเล่นก็เห็นชายหนุ่มกำลังนั่งเครียดอยู่ เธอเดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ”
“เดลล่า?” สก็อตจ้องมองอีกฝ่ายเดินมานั่งข้างๆ เขา
“นั่งเครียดไปก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ”
“ไม่ให้เครียดได้ไง! เด็กคนนั้นกำลัง...กำลังจะเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายในไม่ช้า...ความเกลียดชัง...สายตาทุกอย่าง...ที่มองมา...เพราะฉัน!! ฉันยังไม่อยากให้เธอไปเรียนที่นั่น...”
“สก็อต...” เดลล่ายกมือไปสัมผัสมืออีกฝ่าย "มันไม่ใช่เพราะนาย..."
ใบหน้าของเขาทุกข์ใจสุดๆ “แต่ว่า...”
“สก็อต นายทำตามคำขอของคนคนนั้น อย่าติดต่อใคร อย่าเอาใครมาเสี่ยง นายอุทิศให้เด็กน้อยที่ไม่ใช่เลือดเนื้อของเธอ แต่เป็นแค่หลานสาวของพี่บุญธรรมของนาย”
“…”
“ไม่ต้องห่วง แอ็บบี้เป็นเด็กที่เข้มแข็ง ถึงเธอเจออะไร เธอก็ต้องผ่านมันไปได้ สก็อต”
“ถ้าไม่ล่ะ...”
เดลล่าส่ายหัว “ไม่...ไม่มีคำว่าไม่ได้ เราต้องเชื่อเด็กคนนั้นเหมือนที่พี่แฮร์รี่เชื่อมั่นเธอมาตลอด”
สก็อตเงยหน้าขึ้น เขานั้นรู้สึกเจ็บปวดใจสุดๆ “ฉันเจ็บ...ถ้าเสียเธอไป...ฉันจะเชื่อเด็กคนนั้น...ว่าเธอต้องผ่านมันไปได้”
“ดี! แล้วศาสตราจารย์มักกอนนากัลส่งจดหมายถึงเธอสินะ?” สายตาของเดลล่าจ้องมองไปที่จดหมายที่อยู่บนโต๊ะเล็ก
“ใช่...อาจารย์บอกว่าเธอรับรู้ทุกอย่างแล้วล่ะนะ”
“โอ้...งั้นเราก็มี...พรรคพวกในแผนการของเขาแล้วสิ”
“ใช่...แต่...จดหมายถูกส่งมาก่อนกำหนด...ทางโรงเรียนต้องให้ช่วงสิงหาคม แต่นี่แค่ธันวาคม!”
เธอแปลกใจกับคำพูดอีกฝ่ายที่มันน่าสงสัยจริงๆ เพราะไม่เคยมีการส่งจดหมายก่อนเวลาจริงๆ “มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม...?”
“ไม่รู้สิ...ฉันต้องไปตรวจสอบก่อน...” สก็อตจ้องมองจดหมายสักครู่ แล้วนึกถึงสิ่งที่เขารอข่าวมาตลอด “แล้ว...มีข่าวเกี่ยวกับหมอนั้นไหม?”
“ช่วงนี้เหล่าผู้เสกความตายกำลังหาบางอย่าง...”
“หึ คงกำลังหาสิ่งที่จะช่วยหัวหน้าของมัน สิ่งที่จะช่วยให้ เดลฟัส ริดเดิ้ล ทายาทของจ้าวแห่งศาสตร์มืด ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากโดนเล่นงานไป”
หลายเดือนต่อมา
ณ ร้านตัวบรรจงและหยดหมึก สองคนลุงกับหลานกำลังยืนรอเดลล่าเลือกหนังสือให้อบิเกลไว้สำหรับไปเรียนปีแรกในฮอกวอตส์ เดลล่ามีความสุขที่ได้เลือกสิ่งของให้เด็กน้อยเหมือนเธอเลือกของให้ลูกสาวไม่มีผิด ระหว่างที่รอเดลล่านั้นอบิเกลก็จ้องมองคนรอบข้างที่เดินไปเดินมา เธอเห็นบางเด็กบางคนเดินจูงมือกับพ่อแม่นั้นทำให้เธอคิดถึงพ่อแม่ที่เธอไม่รู้จักตั้งแต่เด็ก เธออยากจำพ่อแม่ได้แต่ความทรงจำสักเล็กน้อยก็ไม่มีเลย
“ทำไม...หนูถึง...ไม่มีความทรงจำของพ่อแม่เลย...”
สก็อตที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงของหลานสาวพูดบางอย่างด้วยน้ำเสียงอันเศร้าๆ แล้วแฝงไปด้วยคำถาม สก็อตที่สวมฮู้ดเพื่อปิดบังใบหน้าของเขามองด้วยสีหน้าเศร้าๆ เขายกมือขึ้นลูบหัวหลานสาวเบาๆ
“เอ๊ะ...?” อบิเกลเงยหน้ามองอาที่อยู่ข้างๆ
“ถึงหลานไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่ ก็ไม่ได้แปลว่าพ่อแม่หลานไม่ได้ไม่รักหลานนะ”
“อาพูดอะไรกันค่ะ? พูดอย่างกับว่าหนูเศร้าเลยนะ!”
“แล้วหลานไม่เศร้าหรือไง?”
“ไม่รู้สิคะ...หนู...ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่เลยนะ...”
“จริงสิ หลานบอกว่าฝันเห็นใครบางคนในฝัน? แล้วยังฝันอีกไหม?”
“ตั้งแต่วันเกิดหนูวันนั้นก็ไม่เคยเห็นเลยค่ะ...แต่เด็กผู้หญิงคนนั้น...เสียงพูดคล้ายหนูมาก”
อบิเกลนึกถึงฝันในตอนนั้น เธอเห็นเด็กผู้หญิงอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ไม่สามารถเห็นใบหน้าของเธอได้นอกจากดวงตาของอีกฝ่าย
“แต่ว่า...ร่างกายเธอมีแผลเป็นเต็มตัวไปหมด ใบหน้าของเธอหนูเห็นไม่ชัด ยกเว้นดวงตาของเธอดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนหนู...หรือว่าหนูมีแฝดเหรอคะ?”
“ไม่มีทางๆ เธอเป็นแค่...เด็กน้อยที่มีชีวิตอยู่กับอาเท่านั้น แอ็บบี้”
“เหรอคะ? แล้วหนูฝันแบบนั้นได้ไงกันนะ?”
“หลานดูพวกหนังฝาแฝดมากไปหรือเปล่า?”
“ไม่รู้สินะคะ...”
“แต่ว่าอาจจะเป็นฝันบอกเหตุก็ได้นะ”
“อืม ใช่เหรอคะ?”
“สำหรับพ่อมดแม่มดนั้น ใครที่ฝันเห็นบางอย่าง อาจจะเป็นลางบอกเหตุก็ได้ เหมือนพวกแม่มดพยากรณ์ล่ะนะ”
“อืม...แบบนี้เอง...” อบิเกลก็ยังครุ่นคิดอยู่ว่าฝันนั้นเป็นฝันบอกเหตุจริงๆ เหรอ จนเธอนึกถึงความฝันนั้นอีกว่ามันมีบางอย่างอีกตรงที่อีกฝ่ายนั้นร้องไห้ แล้วกล่าวคำพูดออกมา
‘ช่วยด้วย…’
เป็นน้ำเสียงที่อบิเกลรู้สึกเศร้าใจมากๆ แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรนี่สิ เธออยากฟังอีก แต่มันก็ไม่ฝันอีกเลยจนเธออยากหาคำตอบและแล้วเดลล่าก็เดินออกมาหาทั้งสองคนที่ยืนรออยู่ข้างนอก ด้วยใบหน้าอันสดใสในรอบหลายปีที่ได้มาเดินซื้อของด้วยตนเอง เธอเดินมาหาอาหลาน
“เสร็จแล้วจ้ะ! เท่านี้ อบิเกลก็มีหนังสือพอสำหรับตอนไปเรียนแล้วล่ะนะ”
“พอเหรอคะ?”
“คือ...ฉันซื้อให้หนูอย่างละสองเล่มกันหายนะจ๊ะ”
“อะไรกันค่ะ! แบบนี้จะไปไม่เปลืองเงินเหรอคะ?”
“ไม่เปลือง เพราะเงินนี้เป็นกองทุนของหลานนะ” สก็อตกล่าวออกมา เขาไม่ยอมให้หลานสาวเขาต้องขาดหนังสือเรียนเด็ดขาด
“กองทุน? แล้วทำไมอาไม่เอากองทุนหนูมาซื้ออาหารทานมั้งค่ะ?” อบิเกลขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“หือ?” เดลล่าได้ยินก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “แอ็บบี้หมายความว่าไงจ๊ะ”
“ช่วงที่เราออกเที่ยวไปรอบโลกนั้น อาเขาอดมื้อกินมื้อ ส่วนใหญ่ให้หนูทานคนเดียวจนเขาเคยล้มป่วยไปครั้งหนึ่งไงคะ หนูถึงเรียกพวกคุณเดลล่ามาช่วยนะ”
“อ๋อ! ที่ตอนนั้นนายบอกว่าล้มป่วย เพราะไม่ได้นอน งั้นก็ไม่ใช่นะสิ!” เดลล่ายิ่งโกรธเคืองที่ได้รับฟังความจริงจากเด็กน้อย
“เดียวๆ ตอนนั้นแอ็บบี้สำคัญสุดนี่น่า”
“อย่าเอาหลานมาอ้าง! สก็อต นายก็สำคัญถ้าไม่มีนาย หลานจะอยู่จนถึงทุกวันนี้เหรอ?”
“จริงด้วยค่ะ!” แอ็บบี้กอดอกมองอาของเธออย่างเคืองๆ
“อย่ามองกันแบบนี้สิ...” เขาจ้องมองทั้งสองที่มองเขาเหมือนอยากจะเขมือบเขาสุด เขาก้มหน้าลงอย่างหงอยๆ “นั้นมันเงินที่อาเก็บนี่น่า...”
“แต่นายต้องดูแลตัวเองมั้ง! ไม่งั้นฉันจะบุกบ้านนายแล้วไปค้างอยู่จนดูว่านายใช้ชีวิตยังไง สก็อต” เดลล่ายื่นมือไปจับใบหน้าอีกฝ่าย
ทำเอาสก็อตหน้าแดงขึ้นมาทันทีที่เห็นอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาเกินไป
“ได้ๆ ฉันจะดูแลตัวเองมากๆ ช่วยถอยไปก่อนเถอะ!!”
“ดี!” เดลล่าเท้าเอวยิ้มอย่างชอบใจ แต่ภายในเธอก็แอบเขินๆ ที่ตัวเองยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่าย
ทั้งสองสนทนากันโดยไม่สนใจสายตาดวงน้อยๆ ที่กำลังตั้งใจมองอย่างเงียบๆ กับความสัมพันธ์ของทั้งสองที่อบิเกลอยากให้มันผลิบานไวๆ แต่ทั้งสองช่างอ่อนต่อความรักจริงๆ จนตลอดมาหลายเดือนอบิเกลก็ช่วยให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตลอด แต่ก็ไม่เคยมีอะไรคืบหน้าจริงๆ จนทั้งสองหันมามองเธอทันที
“ไปไหนต่อดีล่ะ แอ็บบี้”
อบิเกลเท้าคางขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดว่าจะไปไหนต่อดี จนสายตาของเธอหันไป เห็นร้านฝั่งตรงข้ามที่เป็นร้านเสื้อผ้า
“ร้านนั้น!”
“โอเค งั้นแอ็บบี้เดินไปก่อนเลยนะจ๊ะ เดียวฉันขอคุยกับอาหนูหน่อยนะ”
“คุย?” สก็อตขมวดคิ้วอย่างสงสัย “แต่ว่าถ้าเราไม่ตามไป-”
เดลล่าเอามือปิดปากอีกฝ่ายทันที “ไปเถอะ เดียวพวกเราตามไปนะ”
“ค่ะ...” อบิเกลเดินตรงไปยังร้านที่จะไป
ผู้ใหญ่สองคนก็หันหน้ามาคุยกันในทันทีโดยเดินไปอีกทางหนึ่งสักครู่
เมื่อมาถึงร้านตรงหน้าที่มีป้ายเขียนว่า ร้านเสื้อคลุมสำหรับทุกโอกาสของมาดามมัลกิ้น เมื่อเห็นร้านนี้ทำให้เธอนึกถึงร้านในต่างประเทศที่ไปมาหลายที่มันช่างมหัศจรรย์กันทุกที่ เธอเดินเข้าไปข้างในก็เห็นเสื้อผ้าหลากหลายแบบจนถึงกระทั่งชุดสำหรับนักแข็งควิดดิช ชุดพ่อมดแม่มดทั่วไป หรือไม่กระทั่งชุดที่เธอต้องซื้อชุดของนักเรียนฮอกวอตส์ สำหรับเธอนั้นที่นี่เหมือนสวรรค์สำหรับสาวๆ ที่ชอบเสื้อผ้าจริงๆ
“มีแต่เสื้อผ้าแจ่มๆ เยอะจริงๆ”
“แย่แล้วสิ!”
เสียงหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นแถวๆ ที่อบิเกลอยู่ เธอมองซ้ายมองขวาก็ตามหาต้นเสียงว่าใครกำลังพูดอะไร จนเห็นแถวๆ ชั้นเสื้อผ้าที่มีเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลตัวเล็กกำลังก้มมองหาบางอย่างด้วยท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนอย่างสับสนจนอบิเกลสงสัยว่าเธอกำลังหาอะไร เธอเดินอ้อมชั้นตั้งเสื้อผ้าจนมาถึงตัวของเด็กหญิง
“คือว่า...กำลังหาอะไรอยู่เหรอ?”
“เอ๋?” เด็กหญิงเงยหน้ามองคนที่เข้ามาทักเธอ
อบิเกลได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างเด่นชัด แถมยุ้ยๆ น่าหยิกของอีกฝ่ายทำให้อบิเกลรู้สึกอยากยื่นมือไปบีบจริงๆ แต่เธอต้องสะบัดความรู้สึกนั้นออกไปพร้อมกับเอยถามอีกฝ่ายอีกครั้ง
“เอ่อ...หาอะไรเหรอ?”
“คือว่า...” เด็กหญิงเริ่มมีใบหน้าแดงขึ้นพร้อมกับน้ำตาออกมาเล็กน้อย "ฮือ...เข็มกลัดอันสำคัญของฉันนะ มันตกเข้าไปใต้นี้ ฮือ...แต่ไม่มีใครสนใจมาช่วยฉันเลยนะ"
“อ๊ะ...” อบิเกลเห็นอีกฝ่ายสะอึกสะอื้นออกมาอย่างเสียใจ เธอมองคนรอบๆ ที่ดูไม่สนใจจริงๆ จนเธอนั่งลงข้างๆ อีกฝ่ายในทันที “แล้วพ่อแม่เธอล่ะ?”
“คุณแม่ไปดูหนังสือให้นะ...ส่วนคุณพ่อไม่ได้มาด้วยนะ...”
“โอเค...งั้นฉันช่วยเอง”
“เธอจะช่วยยังไง?”
อบิเกลยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับเปิดเสื้อคลุมออกมาแล้วหยิบถุงที่มีลวดลายแปลกๆ เธอกระซิบเรียกบางอย่างออกมานั้นก็คือตัวนิฟเฟลอร์ที่มีสีดำยกเว้นบริเวณใบหน้าที่เป็นสีขาว เด็กหญิงข้างๆ จ้องมองอย่างประหลาดใจพร้อมกับตื่นเต้นที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ครั้งแรก
“นั้นมัน...นิฟเฟลอร์!”
“ใช่! เดมัวส์! มุดข้างใต้ไปหยิบเข็มกลัดเงาวับให้หน่อยสิ”
นิฟเฟลอร์ตัวนี้เข้าใจที่อบิเกลสั่ง มันกระโดดออกจากมือของเธอพร้อมกับมุดข้างใต้ไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมองหน้ากันอย่างรอเวลาว่าเจ้าตัวนิฟเฟลอร์จะออกมาพร้อมเข็มกลัดหรือไหม ไม่นานนักเดมัวส์ก็ออกมาพร้อมเข็มกลัดวงกลมที่มีภาพที่ถูกสร้างอย่างประณีตออกมา
“อันนี้หรือเปล่า?”
“ใช่!” เด็กหญิงยิ้มอย่างดีใจที่กำลังจะได้เข็มกลัดคืน
เดมัวส์ยกเข็มกลัดให้อบิเกล เธอรับมันพร้อมกับยื่นของตอบแทนให้เป็นเหรียญทองให้นิฟเฟลอร์ตัวน้อยของเธอ มันรับขึ้นมาอย่างดีใจพร้อมกับกอดอย่างมีความสุข
“เก่งมาก เดมัวส์ กลับเข้าถุงผ้าเร็ว!”
พอเธอออกคำสั่ง เดมัวส์ก็กลับเข้าถุงผ้าไปในทันใด จนเด็กข้างๆ ตกตะลึงเล็กน้อย
“สุดยอด! เธอเป็นผู้ฝึกสัตว์วิเศษเหรอ?”
“อ๋อ...ไม่เชิงนะ...ฉันแค่...เรียนรู้จากอาของฉันนะ”
“อาของเธอ?”
“อืม อาของฉัน สก็อต เมอร์รัลนะ!”
“!!” เด็กหญิงถึงกับตาโตขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่ออาอีกฝ่าย
อบิเกลได้เห็นใบหน้าและท่าทางอีกฝ่ายก็พอเข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายคงเหมือนคนอื่นๆ แน่ๆ ที่พอเธอเอ่ยชื่ออาของเธอออกมาแล้วทุกคนก็จะทำท่าทางรังเกียจ เกลียดชัง ดูถูก อาของเธอจนเธอเริ่มสงสัยแล้วว่าอาของเธอไปทำอะไรใครไว้งั้นเหรอ
“เอ่อ...ฉันว่า...ฉันไปดีกว่า...ถ้าเธอ...ไม่ชอบฉันนะ...”
“เดียว!” เด็กสาวพูดขึ้น เธอหาบางอย่างอยู่จนหยิบบางอย่างออกมา “เธอนะ! เธอคืออบิเกล เมอร์รัลใช่ไหม?”
“ชะ...ใช่...ทำไมเหรอ?”
เด็กสาวยื่นบางอย่างให้เธอในทันที “ฉันขอลายเซ็นได้ไหม!?”
“เอ๊ะ!?”
อบิเกลถึงกับอ้ำอึ้งเลยที่อีกฝ่ายนั้นขอลายเซ็นเธอ จนเธอมองสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นนั้นเป็นนิตยสารถึงหน่วยสัตว์วิเศษที่เคยลงเมื่อสองถึงสามปีก่อน แล้วในปกนั้นมีทุกคนในหน่วยสัตว์วิเศษรวมไปถึงเธอด้วย
“นี่มัน...”
“ฉันชอบบทสัมภาษณ์ของเธอมากๆ เลยล่ะ! เธอกล่าวออกมาได้ดีมากๆ ที่ว่าชีวิตของเรานั้นไม่สามารถให้ใครมากำหนดชะตาตัวเองได้ ต้องตัวเราต่างหากที่เป็นคนกำหนดมันเองนะ!!”
“อ๊ะ...จำได้ด้วยเหรอ?”
อบิเกลเกาแก้มอย่างเขินๆ ที่อีกฝ่ายอ่านบทสัมภาษณ์นั้นด้วย เธอพึ่งจำได้ว่าตอนนั้นเป็นบทสัมภาษณ์ที่ทำให้เธอเดือดหน่อยๆ ที่นักข่าวพูดถึงสิ่งที่อาทำให้ฉันมาอยู่ในสถานที่อันตรายเธอเลยตอบกลับไปแบบนั้นออกไปถึงจะรุนแรงจนไม่สามารถเอาออกมาให้ฟังได้ก็ตามที แต่วันนั้นพูดไปเยอะมากๆ
“อืมๆ” เด็กหญิงพยักหน้าในทันที "งั้นขอลายเซ็นได้ไหม?"
“อ๊า...ได้สิ...” อบิเกลไม่ขัดข้องที่จะมอบลายเซ็นให้อีกฝ่าย เธอรับนิตยสารมาแล้วเซ็นลายเซ็นของเธอ “อ๊ะ...นี่”
“อ๊ะ!! ขอบใจนะ!”
“คือว่า...เธอไม่เกลียดฉันเหรอ?”
“เกลียดเธอทำไมนะ?”
“ที่ฉันเป็น...หลานของอาสก็อตนะ…”
“ฉันไม่รู้ต้องเกลียดเธอทำไมนะ? ฉันก็สงสัยเหมือนกัน เพราะพ่อฉันก็ไม่ชอบอาเธอนะ...แต่ฉันไม่รู้ว่าอาเธอทำอะไร แล้วมันเป็นจริงไหมนะ? เพราะอาเธอก็ใช้ชีวิตปกติมาตลอด หลังจากที่เขาหายตัวไปจากวงการพ่อมดแม่มดตั้ง 5 ปี”
“5 ปี? หายจากวงการ?” อบิเกลขมวดคิ้วอย่างสงสัย เพราะห้าปีนั้นเหมือนเป็นช่วงนั้นที่เธอกับอาเร่ร่อนตามสถานที่ต่างๆ
“ใช่ เธอไม่รู้ใช่ไหม?” เด็กหญิงมองซ้ายมองขวาก่อนจะกระซิบกับอีกฝ่าย "ว่าเขาเคยดังมากเมื่อก่อนนะ จนกระทั่ง...เหตุการณ์เกิดขึ้นเขาก็หายไปจากวงการเลย ฉันเคยถามพวกผู้ใหญ่แต่ไม่มีใครตอบให้ได้นะ"
“งั้นเหรอ...?”
“อืม ฉันลืมแนะนำตัวนะ ฉัน ลูน่า ลองบัตท่อม ยินดีที่ได้รู้จักนะ อบิเกล” ลูน่ายื่นมือไปทักอีกฝ่ายในทันที
“เช่นกัน เอ่อ...” อบิเกลยื่นหน้าเข้าไปจับมืออีกฝ่าย แต่เธอไม่รู้ว่าจะเรียกอีกฝ่ายยังไงดี
“เรียกลูน่าก็ได้นะ”
“อืม ขอบใจนะ ลูน่า”
“ลูน่า!” หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหาลูน่าในทันที
“แม่ค่ะ!”
“ขอโทษนะจ๊ะ คนเยอะมากเลยล่ะ ลูกได้ชุดแล้วหรือยังจ๊ะ?”
“ได้แล้วค่ะ หนูกำลังจะออกไปพอดี” ลูน่าหันไปเอาถุงของตนเอง "แต่จู่ๆ เข็มกลัดที่คุณพ่อให้มันตกนะคะ หนูเลยเสียเวลามากๆ จนกระทั่งอบิเกลมาช่วยหนูเก็บให้นะคะ"
“อบิเกลเหรอจ๊ะ” ผู้เป็นแม่หันไปมองเด็กน้อยที่ลูกสาวแนะนำตัว
อบิเกลยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะกล่าวคำพูดออกมา “สวัสดีค่ะ คุณนายลองบัตท่อม หนูอบิเกลค่ะ”
“ตายล่ะ มารยาทดีจริงๆ ขอบคุณนะจ๊ะที่ช่วยลูกสาวน้านะ”
“เรื่องแค่นี้เองค่ะ”
“หนูก็มาหาชุดสำหรับไปเรียนที่ฮอกวอตส์เหรอจ๊ะ?”
“ค่ะ”
“ตายล่ะ งั้นน้าก็ขอฝากลูน่าด้วยนะ แกเป็นเด็กซุ่มซ่ามนะ น้าล่ะห่วงมากๆ ถ้าได้อยู่บ้านเดียวกันก็น่าจะดีนะ”
“แม่ค่ะ!” ลูน่าอายที่แม่พูดแบบนั้นกับเพื่อนใหม่ของเธอ
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ถึงจะคนละบ้านหนูก็จะช่วยเหลือเองค่ะ”
“อบิเกล!” ลูน่ายิ้มอย่างดีใจที่อีกฝ่ายช่างเป็นคนดีสุดๆ
“ขอบคุณจ๊ะ น้าล่ะดีใจที่ลูน่าได้เพื่อนใหม่กับเขามั้ง งั้นน้าขอตัวก่อนนะจ๊ะต้องให้ลูน่าดูของอีกนะ” คุณนายลองบัตท่อมจูงมือลูกสาวกำลังออกจากร้าน
“ค่ะ โชคดีนะคะ”
“บายๆ นะ อบิเกล” ลูน่าโบกมืออีกฝ่าย
อบิเกลก็โบกตอบอีกฝ่ายกำลังเดินออกจากร้าน สก็อตกับเดลล่าก็เดินเข้ามาพวกเขาผ่านสองแม่ลูกที่เดินออกไป สก็อตหันไปมองก็จับได้ว่าสองแม่ลูกเป็นคนของครอบครัวไหน เขามองหาอบิเกลที่ยืนโบกมือให้พวกเขาพอดี อบิเกลเดินออกมาจากตรงนั้น
“มาสักทีนะคะ”
“ขอโทษที เสียเวลาเล็กน้อยนะ” สก็อตพูดจบก็ถามบางอย่างด้วยความสงสัย “เมื่อกี้เหมือนอาเห็นหลานคุยกับใครหรือเปล่า? มีเด็กมาแกล้งหลานเหรอ?”
“เปล่าค่ะ หนูพึ่งช่วยคนอื่นนะคะ เธอทำของตกใต้ตู้เสื้อผ้า หนูเลยให้เดมัวส์ช่วยเก็บนะ”
“เดมัวส์? พวกนิฟเฟลอร์เหรอ?”
“ค่ะ~”
“ออกมาตัวเดียวใช่ไหม?”
“ค่ะ!”
สก็อตหยีตามองหลานสาวพร้อมกับมองรอบๆ เขาไม่เชื่อว่านิฟเฟลอร์ออกมาตัวเดียว พอมองๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือของเสียหาย
“โอเค...อาห่วงอย่างเดียวว่านิฟเฟลอร์ตัวอื่น จะออกมาพร้อมกับเดมัวส์ แต่ดีที่เจ้าตัวนี้เชื่อฟังหลานมากกว่าตัวอื่น”
“ทำไงได้ล่ะค่ะ พวกมันชอบออกมาหาของสะสมในคลังของมันนี่นา” อบิเกลแก้ตัวให้พวกนิฟเฟลอร์ “แล้วเมื่อกี้อาทั้งสองไปคุยอะไรกันมาค่ะ?”
"เอ่อ...คุยเรื่องสำคัญสำหรับหลานอยู่นะ"
“หือ?” อบิเกลขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นหมายความว่าอะไร
ทั้งสองคนต่างจูงมืออบิเกลไปร้านร้านหนึ่งหลังจากเสร็จจากการเลือกซื้อเสื้อผ้า เมื่อเดินมาถึงร้านที่ว่าอบิเกลถึงกับมองอย่างสงสัยว่าทำไมต้องมาร้านไม้กายสิทธิ์อีกโดยที่เธอก็มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่แล้ว เธอหันไปมองทั้งสอง
“นี่มัน...ร้านไม้กายสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ? เรามากันทำไม?”
“เห็นๆ อยู่ แอ็บบี้! เราพาหลานมาเลือกไม้กายสิทธิ์ไงล่ะ”
“ทำไมค่ะ? หนูก็มีอันปัจจุบันอยู่แล้วนะ”
“มันก็จริงนะ แอ็บบี้ แต่หนูคิดหน่อยนะว่าไม้กายสิทธิ์ของหนูมันคล้ายกับอะไร?” เดลล่าเข้ามาใกล้เด็กน้อยพร้อมกับลูบหัวเธอเบาๆ
“เฮ้อ...เหมือนเครื่องรางยมทูตชิ้นหนึ่ง ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ แต่ไม้นั้นโดนพ่อมดที่โด่งดังอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ หักทิ้งไปแล้วนะคะ ไม้หนูก็แค่อาจจะถูกทำมาคล้ายๆ กันก็ได้นี่น่า”
ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันอย่างเข้าใจ เพราะพวกเขาก็รู้ว่าใครเป็นคนหักสิ่งนั้น แต่พออบิเกลพูดชื่อแฮร์รี่ พอตเตอร์สีหน้าของสก็อตเปลี่ยนไปชั่วขณะ แล้วกลับมาเป็นปกติ แต่อบิเกลเห็นขณะหนึ่งที่ใบหน้าของอาเศร้าชั่วขณะ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติ จนเธอสงสัยว่าทำไมอาต้องทำหน้าแบบนั้น
“มันก็จริงนะจ๊ะ แอ็บบี้ คุณพอตเตอร์หักไม้นั้นก็จริง แต่...เพื่อความแน่ใจที่ทุกคนจะไม่มองหนูแปลกนะ”
“แค่มีไม้คล้ายๆ กันจะมีคนมองหนูแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“มันแค่...คนเรานั้นมีความคิดของตนเองและเด็กบางคนก็โดนพ่อแม่ปลูกฝังว่าควรเกลียดอะไร...”
“เฮ้อ...หนูเข้าใจแล้วค่ะ จะยอมซื้ออีกอันก็ได้”
“ดีจ๊ะ งั้นไปกัน!” เดลล่าลุกขึ้นพร้อมกับยื่นมือเดินตรงไปที่ร้านไม้กายสิทธิ์
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองร้านตรงหน้าที่กำลังจะไป นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอมายังร้านนี้ เธอจำได้ดีว่าครั้งนั้นเกิดอะไรขึ้นมั้ง ตั้งแต่โอลิแวนเดอร์ไม่ยอมให้เธอเลือกไม้ เพื่อเธอเด็กไปจนเธอต้องหยิบใบอนุญาตออกมาพร้อมกับเจตจำนงของเธอที่อยากได้ไม้ไปทำอะไร เขาได้ยินคำพูดของเธอ เขายอมใจเลือกไม้ให้เธอ แต่ก็มีอีกอย่างที่ทำให้เขาวิตกกังวลไม้ที่เลือกเธอดันเป็นไม้ที่มีความคล้ายคลึงกับไม้ในตำนาน เธอจับไม้ครั้งแรกมันยอมรับเธออย่างน่าแปลกประหลาด แต่โอลิแวนเดอร์ก็เปลี่ยนไม้ไม่ให้เธอใช้อันนี้ แต่พออเธอจะเปลี่ยนไม้ทุกอันแตกหมด ทำให้โอลิแวนเดอร์ยอมให้เธอกลับไปพร้อมกับไม้กายสิทธิ์ชิ้นนั้น ตอนนั้นเธอโคตรสงสารเขาเลยที่ทำไม้หัดไปหลายอัน
จนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่หน้าร้านเพื่อเลือกไม้อันใหม่เพื่อความปลอดภัยของอบิเกล แต่เธอคงต้องบอกไม้ของเธอว่าอย่าทำไม้พังอีกละกัน เมื่อพวกเขาเดินเปิดประตูเข้าไปก็ทำให้เดลล่าชะงักเมื่อเห็นครอบครัวหนึ่งตรงหน้าของเธอ สก็อตจ้องมองอีกฝ่ายแล้วหันไปมองภาพตรงหน้า เขารีบเดินมาข้างหน้าแล้วพาหลานสาวมาอยู่ด้านหลังของตนเอง ระหว่างที่โอลิแวนเดอร์กำลังตรวจสอบไม้ให้ลูกค้าอยู่ เขาก็เห็นพวกอีกฝ่ายมากัน
“มาแล้วสินะ! เมอร์รัล! ฉันกำลังรอเลย!!”
“หือ? เมอร์รัล?”
หญิงสาวผู้เป็นแม่ของเด็กชายผมแดงได้ยินชื่อที่โอลิแวนเดอร์เรียก จนเธอหันไปมองข้างหลังก็เห็นบุคคลที่เธอไม่อยากเจอในเวลาแบบนี้จริงๆ
“ไม่นึกว่าจะเจอนายที่นี่! เมอร์รัล!”
สก็อตจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอันนิ่งเฉย เขาก็เครียดเล็กน้อย “เช่นกันครับ คุณเฮอร์ไมโอนี่ ไม่สิ...ท่านรัฐมนตรี!”
จบตอนที่ 2 โปรดติดตามตอนที่ 3 ต่อไป
Comments (0)