หลังจากวันนั้นแพททริคยังคงเทียวไปเทียวมาที่บ้านของผู้ดูแลแทบจะทุกวัน หากวันไหนที่เห็นสกายนั่งอยู่มุมหน้าต่างห้องครัวก็มักจะหากิจกรรมชวนทั้งเด็ก ๆ และอีกคนออกไปข้างนอก บางครั้งเด็ก ๆ ก็มักจะออดอ้อนให้พาไปกินไอศกรมในเมืองบ้าง หรือพาไปดูหนังบ้างและในหลายครั้งก็ลากยาวจนถึงช่วงเย็นกว่าจะพากันกลับมา

 

ป้าเดียร์ที่ถูกว่าจ้างให้เป็นผู้ดูแลตอนนี้ดูเหมือนจะมีหน้าที่แค่เชียร์อัพให้สกายไปกับพวกเด็ก ๆ ทุกครั้ง เธอรู้สึกได้ว่าเวลาที่สกายอยู่กับเด็ก ๆ และคุณแพททริคแล้ว อีกคนดูจะยิ้มเยอะขึ้นและยังเป็นโอกาสได้ออกไปทำกิจกรรมข้างนอกมากขึ้น ไม่ต้องอุดอู้อยู่บ้านเพื่อรอให้ครบกำหนดที่จะถึงในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนข้างหน้า

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ...ลองชิมตัวช็อกมิ้นดูครับ อร่อยนะ”

 

แพททริคคะยั้นคะยอให้คนที่นั่งอยู่ข้างกันชิมไอศกรีมที่วางเรียงรายอยู่เกือบสิบถ้วยเพราะอยากให้คนที่มาด้วยได้ลิ้มลองชิมหลายรสชาติที่ไม่เคยกิน รวมไปถึงเด็ก ๆ ที่วอแวอยากลองชิมรสชาตินั่นนี่จนแพททริกต้องสั่งมาให้ลองเพราะต้องทำตามกฎที่ว่าต้องทำตามที่เด็ก ๆ บอกและแนะนำหลังจากนี้...

 

“แน่นะครับ รสหม่าล่าที่ให้ผมชิมเมื่อกี้ยังติดลิ้นอยู่เลย”

สกายพูดขึ้นพร้อมกับทำหน้าระแวงคนที่บอกให้ชิมไอศรีมอีกถ้วยที่มีสีฟ้าแซมไปด้วยเกล็ดช็อกโกแลตสีดำ หลังจากที่อีกคนยื่นไอติมถ้วยเล็กรสหม่าล่ามาให้ชิมก่อนหน้านั่นซึ่งเป็นรสชาติที่สกายไม่ชอบเอามาก ๆ หลังจากได้ลองชิม

 

“แน่ครับ ตัวนี้อร่อยรับประกันเลยครับ เด็ก ๆ ชอบมาก ๆ ใช่ไหม? วิส.. วีว่า”

คนเชียร์ไห้ชิมรสช็อกมิ้นยังคงไม่ยอมแพ้ หันเหไปมาพักพวก (?) ที่กำลังนั่งตักไอติมเข้าปากไม่สนใจใครอื่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเลยแม้แต่น้อยอย่างวิสและวีว่าก่อนจะได้ยินทั้งคู่ตอบกลับมา

 

Wiz: “Ahhhm maybe”

Viva: “yeah, I like mint”

 

ทั้งสองคนตอบกลับมาและยังคงตักของหวานตรงหน้าไม่ว่าจะเป็นแพนเค้ก วาฟเฟล และฟรุตตี้รวมมิตรต่าง ๆ ที่ได้โอกาสสั่งมาลองชิม ไม่ได้สนใจผู้เป็นพ่อที่ถามตนมากนัก

 

“ก็ได้ครับ ผมจะลองดู”

“มา เดี๋ยวผมป้อน”

“มะ ไม่เป็นไ..”

“เถอะครับ อ้ามมมม”

แพททริคชิงใช้ช้อนขนาดเล็กตักเนื้อไอศรีมขึ้นมาพอดีคำก่อนจะยื่นไปจ่อใกล้ปากของอีกคนเพื่อกดดันให้ลองชิม สกายมองไอศรีมที่จ่อใกล้ ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับเจ้าของมืออย่างไม่มั่นใจนักว่าจะกินมันดีหรือไม่ ไม่ใช่เพราะรสชาติที่ทำให้สกายลังเลแต่เป็นเพราะมีคนป้อนต่างหากที่ทำให้สกายไม่มั่นใจนักว่าควรจะกินหรือเปล่า

 

และก็เห็นสายตากดดันของอีกคนสกายจึงอ้าปากรับมันเข้าไปด้วยใบหน้าที่เป็นกังวลอย่างถึงที่สุด ไม่นานหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่ จากสีหน้าที่หวาดระแวงก็เริ่มอ่อนลงเล็กน้อยคล้ายกับกำลังซึมซับรสชาติใหม่ที่ได้ลิ้มลอง

 

“เป็นไงครับ อร่อยใช่ไหม?”

“อืมมมม เหมือนกินยาสีฟันผสมนมช็อกโกแลต”

เสียงสกายตอบกลับมาขณะที่ใช้ความคิดว่าสิ่งที่กินเข้าไปเหมือนอะไร

“โห่วววววว สกายอ่า พูดเสียช็อคมิ้นผมดูแย่ไปเลย”

 

คนที่กำลังจดจ่อรอคำตอบโอดครวญขึ้นมาทันควันหลังจากได้ยินสิ่งที่สกายพูดขึ้น เรียกรอยยิ้มของทั้งสกายและเด็ก ๆ ที่ได้ยินเป็นอย่างดี

 

“แต่โดยรวมก็อร่อย.. แปลกใหม่ดีครับ”

สกายที่กลัวว่าอีกคนจะน้อยใจว่ารสชาติโปรดของตนเองเป็นรสชาติที่สกายไม่ค่อยชอบเท่าไรนักจึงรีบเอ่ยบอกถึงความแปลกใหม่ที่ได้รับ

 

“โอเคครับ ผมถือว่ามันเป็นคำชมละกันนะครับ”

“ครับ อร่อย จริง ๆ ครับ รสอื่นก็อร่อย”

 

สกายพูดพร้อมตักไอศกรีมจากถ้วยที่รู้สึกว่าสีสันดูจะคุ้นตาและน่าจะเป็นรสชาติมาตรฐานที่หลายคนชอบมาลองชิมก่อนจะยิ้มแป้นส่งไปให้แพททริคหลังจากชิมไปแล้วหลายรสชาติเพื่อตอกย้ำสิ่งที่พูด

แพททริกนั่งยิ้มมองคนที่พยายามชิมของหวานและพูดชมออกมาเพื่อกลบเกลื่อนไอครีมสองรสชาติที่ตนไม่เคยชิมและคิดว่าคงจะไม่ถูกใจเท่าไหร่นัก แต่ก็กลัวว่าคนที่คะยั้นคะยอให้ชิมจะเสียกำลังใจจึงพยายามกลบเกลื่อนขนาดนี้... น่ารักจัง

 

“ผมชอบ”

“ครับ? ชอบไอติมสองรสนั้นหรอครับ”

 

สกายหันมามองคนที่จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาโดยไม่ได้ระบุหรือเจาะจงอะไรจนคิดไปเองว่าอีกคนคงจะชอบไอติมรสหม่าล่ากับช็อคมิ้นมากจึงใช้ช้อนเล็กของอีกคนตักไอติมรสช็อคมิ้นขึ้นมาพอดีคำและยื่นให้อีกคนเพื่อเบี่ยงเบนสายตาคนที่ยังจ้องตัวเองอยู่

แพททริคอ้าปากรอกินไอติมคำนั้นเหมือนลูกนกให้แม่นกมาป้อนอาหาร สกายมองดูด้วยความเอ็นดูก่อนจะยื่นช้อนนั้นเข้าไปใกล้ปากของอีกคนมากขึ้นจนแพททริกสามารถเอื้อมมากินไอติมบนช้อนเล็กนั้นได้

 

“ครับ ไอติมสองรสนั้นก็ชอบ แต่ที่ผมชอบมากว่าคือรอยยิ้มแบบนี้ของสกาย คุณดูมีความสุข... สกายยิ้มแบบนี้บ่อย ๆ นะครับ”

ส่วนคนที่จู่ ๆ ก็เหมือนโดนหยอด นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยพร้อมหันไปสบตากับคนที่กำลังอมยิ้มส่งมาให้ก่อนจะรีบเบนสายตามองไปทางอื่น รู้สึกถึงความร้อนบนแก้มทั้งสองข้างลามไปจนถึงใบหู เวลาที่เห็นสายตาและรอยยิ้มของอีกคนแบบนั้น

 

"ไม่ยักรู้ว่าคุณแพททริคจะชอบมากขนาดนั้น... งั้นก็กินให้หมดนะครับ อุตส่าสั่งมาแล้ว. นี่ครับ กินเลย"

คนที่ตอนนี้หน้าแดงลามไปจนถึงใบหูทั้งสองข้างทำท่าทางลนลานก่อนจะพูดกลบเกลื่อนและขยับถ้วยไอศกรีมสองถ้วยเล็ก ๆ นั้นส่งไปให้แพททริกที่กำลังยิ้มกริ้มพอใจที่ทำให้คนตรงหน้าเสียอาการได้ก่อนจะพูดขึ้น

 

"ไม่ป้อนแล้วเหรอครับ"

"ไม่ครับ ตักกินเองเลย"

 

แพททริกรับช้อนมาจากอีกคนด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปมองสองแฝดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเขา และกำลังส่งยิ้มมาให้พร้อมกับยกนิ้วโป้งเล็ก ๆ จากวิสส่งมาให้เขาเพื่อบอกว่าแพททริคทำได้ดีแล้ว ส่วนวีว่าที่นั่งอยู่ข้างพี่ชายทำหน้าทำตาเหมือนจะบอกให้เขาคุยกับสกายต่อ ซึ่งเธอคงจะหมายถึงแผนที่พวกเขาเคยคุยกันไว้ว่าจะทำ

 

"เอ่อ... สกายครับคือ.."

"ครับ มีอะไรหรือเปล่า?"

"คือว่า ผมตอบตกลงไปงานวันเกิดของกลุ่มเพื่อนสนิทผมคืนนี้. หลังจากปฏิเสธมาหลายครั้ง..."

"คุณแพททริคจะให้เด็ก ๆ มานอนที่บ้านป้าเดียร์ใช่ไหมครับ ได้นะครับ ผมคิดว่าป้าเดียร์คงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างผมมีนิทานเรื่องใหม่มาเล่าให้พวกเขาฟังด้วย"

 

คนที่ตั้งใจฟังอยู่ได้ยินว่าอีกคนบอกจะไปงานวันเกิดของเพื่อนและทิ้งช่วงพูดไปนาน ก็นึกไปว่าอีกคนคงจะฝากวิสและวีว่าไว้ที่บ้านของป้าเดียร์คืนนี้อีก จึงตอบกลับไปแบบนั้นโดยไม่ทันได้ฟังให้จบก่อน

 

"ครับ เด็ก ๆ ต้องไปนอนที่บ้านป้าเดียร์แน่นอนอยู่แล้ว แต่ที่ผมจะบอกก็คือ... ผมอยากชวนสกายไปเป็นเพื่อนผมคืนนี้ครับ"

ซึ่งแน่นอนว่าแพททริกเองก็ตั้งใจให้เด็ก ๆ ไปค้างที่บ้านผู้ดูแลก่อนอยู่แล้ว แต่ที่ตนต้องการจะสื่อให้อีกคนรู้คือ แพททริคอยากชวนสกายไปงานวันเกิดของเพื่อนสนิทด้วย

ถึงแม้จะบอกว่าเป็นงานวันเกิดแต่ใช่ว่าจะจัดวันเกิดแบบมีปาร์ตี้ที่มีคนเยอะ แต่ตรงกันข้ามเลยก็คือเป็นเพียงงานวันเกิดที่มีเพียงการกินมื้อค่ำของพวกเขาเท่านั้น

 

ซึ่งหลังจากที่วิเวียน แม่ของวิสและวีว่าเสียไป แพททริคก็ไม่ค่อยไปทานมื้อค่ำกับกลุ่มเพื่อนอีกเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงแรกที่เขายังทำใจไม่ได้แต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นแต่หลังจากนั้นก็เป็นช่วงที่เขาทำงานหนักขึ้นจึงไม่มีเวลาไปหาพวกนั้นเอง

 

"แต่ผมไม่รู้จักใครเลยนะครับ ผมว่าไม่เหมาะ.."

คำชวนที่เอ่ยออกมาของอีกคนทำสกายสับสนอยู่ครู่ใหญ่ เพราะสกายไม่รู้จักเจ้าของวันเกิดหรือใครที่อยู่ที่นี้เลยสักคน หากจะไปร่วมงานวันเกิดมันออกจะดูไม่เหมาะสมจึงพยายามปฏิเสธออกไป

 

"สกายรู้จักผมไงครับ"

แม้สกายจะยังคงดึงดันปฏิเสธและหาเหตุผลที่เป็นจริงมาบอกกล่าวอีกคน แต่ดูเหมือนเหตุผลของสกายจะถูกหักล้างได้ตลอดจากแพททริคที่ยังคงคะยั้นคะยอให้อีกคนไปด้วยให้ได้

 

"แต่มันเป็นงานวันเกิดเพื่อนคุณนะครับ... อีกอย่างผมไม่ค่อยชอบคนเยอะ ๆ"

"ไม่เยอะครับ ไม่เยอะ ถ้านับผมกับสกายก็จะมีคนไปร่วมงานอยู่แค่ 5 คนเอง"

"?"

 

สกายที่ได้ยินจำนวนคนที่อีกคนบอกทำหน้างุนงงไปชั่วขณะ เพราะฟังดูแล้วไม่เหมือนงานวันเกิดที่สกายจินตนาการไว้ ก่อนจะได้รับคำอธิบายจากอีกคนเมื่อเห็นว่าสกายดูโอนอ่อนตามเหตุผลที่ตนยกมาหักล้างกัน

 

"คือเจ้าของงานค่อนข้างไม่ชอบคนเยอะเหมือนกันครับ งานจะจัดแบบพวกเรานั่งล้อมวงเหมือนช่วงมื้อค่ำและก็มีการอวยพรวันเกิดกัน ผมอยากพาสกายไปรู้จักเพื่อน ๆ ของผมแล้วก็ผมรู้ว่าสกายไม่ค่อยชอบไปงานสังสรรค์ที่มีคนเยอะ ๆ ผมเลยตอบตกลงไปงานนี้ แล้วอีกอย่างผมอยากพาสกายไปเปิดหูเปิดตา รู้จักคนใหม่ ๆ นอกจากผมด้วย...แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง... นะครับ."

คำอธิบายแกมข้อร้องของแพททริคทำสกายนิ่งคิดไปอีกครั้ง ก่อนนึกไปถึงอาการป่วยครั้งล่าสุดของตนเอง.. ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปเปิดหูเปิดตาแต่เพราะกลัวว่าอาการจะกำเริบจึงพยายามเว้นช่องว่างและเว้นช่วงเวลาที่ต้องออกมานอกบ้านในบางครั้งที่เด็ก ๆ และคุณพ่อของพวกแกวางแผนไปเที่ยวกัน

 

"ก็ได้ครับ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร"

"Yes!!!!"

Viva: "เย้ๆๆๆ"

Wiz: "yeahhhh"

เสียงโห่ร้องดีใจของทั้งคุณพ่อลูกสองพร้อมด้วยลูกคู่ที่ลุ้นให้สกายตกลงไปเที่ยวกับคุณพ่อของตนคืนนี้ จนคนที่นั่งอยู่โต๊ะโดยรอบหันมามองกันเป็นตาเดียวด้วยความใคร่รู้ก่อนจะเลิกสนใจเมื่อเห็นว่าเป็นเสียงอะไร

 

.............////////................

 

แพททริกเข้ามานั่งรอสกายอยู่ภายในบ้านของป้าเดียร์หลังจากพาเด็ก ๆ กลับบ้านเพ่ชื่อพาไปเก็บของจำเป็นสำหรับนอนค้างที่บ้านของผู้ดูแลอีกหนึ่งคืน ตอนนี้แพททริคแต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการหน่อยไม่ใช่เพราะงานคืนนี้ที่ทำให้ต้องแต่งตัวทางการแต่เป็นเพราะคนที่เขาพาไปให้เพื่อน ๆ รู้จักต่างหาก

 

เพราะหลังจากกินมื้อค้ำกับเพื่อนของเขาทั้งสามคนเรียบร้อย แพททริกวางแผนไว้ว่าจะพาสกายไปเดินเล่นดูโคมไฟที่สวนใกล้กับบ้านของดารินเจ้าของวันเกิดคืนนี้และอีกจุดประสงค์หนึ่งที่พาสกายไปดูโคมไฟคือ เขาอยากใช้โอกาสนั้นขอสกายศึกษาดูใจกันอย่างเป็นทางการ

 

แม้ว่าปกติแล้วเขาจะไม่เคยขอใครดูใจชัดเจนแบบนี้มาก่อน แม้แต่ภรรยาของเขาเองเพราะตอนที่พวกเขาตกลงคบกันตอนนั้นวิเวียนอยู่ ๆ ก็พูดขึ้นในวันที่พวกเขาไปพายเรือคายัคและจากนั้นก็ตกลงคบกันมาเรื่อยจนมีสองแฝด

 

แต่กับสกายแพททริกคิดว่าตนเองต้องแสดงความชัดเจนออกมาให้อีกคนรู้ตัวบ้าง แม้ว่าในตอนแรกจะไม่มั่นใจนักว่าควรจะแสดงความชัดเจนมาตรง ๆ หรือค่อย ๆ หยอด ค่อย ๆ ให้อีกคนซึมซับ แต่ดูเหมือนว่ามันอาจจะนานเกินไปกว่าอีกคนจะรู้ตัว เพราะเวลาที่สกายจะอยู่ที่นี้จากที่อีกคนบอกก็เหลืออยู่ไม่ถึงเดือนแล้ว

ดังนั้นคืนนี้แพททริกจึงเตรียมตัวมาอย่างดีรวมไปถึงคำพูดที่มีทั้งสองแฝดมาช่วยเกลา (?) ให้ฟังดูไพเราะและพอดีไม่มากหรือเลี่ยนจนเกินไป

 

"คิดอะไรอยู่ครับ"

"สกาย! ลงมานานหรือยังครับเนี่ย ผมไม่ทันสังเกตเลย แฮะ ๆ "

คนที่กำลังคิดถึงแผนการบางอย่างของตนเองเพลิน ๆ เผลอสะดุ้งตกใจที่อีกคนมาสะกิดก่อนจะยิ้มแห้งเอ่ยถามกลับไป

 

"เมื่อกี้ครับ ขอโทษที่ให้รอนาน"

"ไม่เป็นไรเลยครับ งั้นเราไปกันเลยดีก็กว่า"

"ครับ"

........../////...........

 

เสียงพูดคุยกันเสียงดังในบ้านโมเดิร์นขนาดกลางดังลอดผ่านประตูหน้าบ้านที่สกายและแพททริคยืนรออยู่ หลังจากกดกริ๊งเรียกคนด้านในให้มาเปิดประตู ไม่นานก็ได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนเดินมาปลดล็อคประตูและเปิดออก

"เข้ามาก่อนครับทั้งสองคน.... โอ่ยยยย ดารินรีบเปิดฝาเตาอบให้หน่อยแล้วเอาไก่ออกมาด้วย เร็วๆ..."

 

ประตูถูกเปิดให้ทั้งสองคนเข้ามาโดยที่คนที่มาเปิดทำเพียงทักทายเล็กน้อยยังไม่ทันได้มองหน้าทั้งสองคนก็ต้องรีบวิ่งไปที่ครัวเพราะอบไก่งวงไว้ซ้ำยังมีเสียงเตือนเวลาที่ตั้งไว้ดังเตือนขึ้นมาพอดี

 

ทั้งสองทำเพียงมองหน้ากันยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินตามคนที่กำลังเร่งรีบมาเอาไก่งวงที่กำลังเหลืองติดกรอบ (เกรียม) มากหน่อยออกจากเตาอบ อาจจะเพราะอุณหภูมิที่ใช้อบคงจะสูงหรืออยู่ในเตาอบนานเกินไปกระมั้ง

คนที่มาเปิดประตูให้แพททริกและสกายวางไก่งวงที่เริ่มเกรียมไว้ก่อนจะถอดถุงมือกันความร้อนพร้อมกับหันมาทักทายทั้งสองคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

 

"สวัสดีครับ ผมเตชิน... คุณคงจะเป็นสกาย ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ในที่สุดผมก็ได้เห็นหน้าคุณสักที ผมอยากรู้มากเลยว่าใครที่สามารถงัดเจ้าบื้อแพททริคออกมาจากงานมันได้"

 

เตชินยื่นมือมาจับมือสกายไว้พร้อมพูดขึ้นมายาวเหยียดถึงเพื่อนตัวเองโดยไม่เปิดช่องให้สกายหรือแพททริคได้อ้าปากพูดโต้ตอบ

 

"ครับ เอ่ออ.. ผมสกายครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ"

 

"รู้จักสกายแล้วก็ปล่อยมือเนอะ.... สกายครับเดี๋ยวผมพาไปรู้จักดารินเจ้าของวันเกิดแล้วก็อามิเกลเพื่อนผมอีกคนนะครับ"

แพททริกที่เห็นเตชินยืนยิ้มเหม่อลอยและเอาแต่มองหน้าสกายอย่างนั้นนานแล้ว อีกทั้งยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับทักทายในตอนแรกจึงเดินไปดึงมือเพื่อนออกก่อนจะพาสกายไปรู้จักกับอีกสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ จนเพื่อนทำหน้าตึงใส่ก่อนจะเห็นไปจัดแจงมื้อค่ำของคืนนี้ต่อ....

เตชินชายหนุ่มชาวเอเชียที่เกิดที่นี้และเป็นเพื่อนคนแรกของแพทริกตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี้ใหม่ ๆ เตชินทำงานเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลและแน่นอนว่ามีหน้าที่ทำอาหารให้พวกเขาทานเพราะในกลุ่มเพื่อนไม่มีใครทำเป็นนอกจากเตชิน

 

อามิเกล สาวสวย ที่ชื่นชอบการแต่งตัวและเป็นนางแบบที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง รู้จักกับแพททริกและและเตชินตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้าเกรดเจ็ด (ม.1) ก่อนจะพากันแยกย้ายไปเรียนแต่ยังคงติดต่อกันอยู่เป็นประจำ

 

ส่วนดาริน สายสวยสายแฟชั่นนิสต้า ทำงานเป็นสไตลิสให้กับดารานางแบบ แน่นอว่าทำงานให้อามิเกลด้วย ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และมารู้จักพวกเขาตอนเกรดเจ็ดเช่นเดียวกัน

 

"คนที่ทาตาดำ ๆ นั่งตรงนั้นคือ อามิเกล... ส่วนผมฟ้านี่ดารินเจ้าของวันเกิด.... ส่วนคนนี้สกายที่เคยเล่าให้ฟัง"

แพททริกที่พาสกายมาหาสองสาวที่กำลังนั่งมองทั้งสองคนเดินเข้ามายิ้ม ๆ ตั้งแต่แรกก่อนจะหุบฉับเมื่อได้ยินเพื่อนรักที่หายหน้าหายตาไปนาน ไม่ยอมมาทานมื้อค่ำกันเหมือนอย่างเคยเอ่ยถึงขึ้นด้วยแต่ฝีปากยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง

 

"เขาเรียกมาสคาร่าจ้าาาา เชอะ...... เรียกเกลเฉย ๆ ก็ได้นะค่ะสกาย... อย่าไปอยู่ใกล้เจ้าบื้อแพททริคมันมากนักนะค่ะ เจ้านี่มันวร้ายยยย"

 

อามิเกลพูดเสียงดังทักทายเพื่อนสนิทกลับไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่แปดล้านของตัวเองให้ดูอ่อนหวานเพื่อคุยกับอีกคนที่มาร่วมงานด้วยและยังไม่วายกระซิบกระซาบเสียงดังเพื่อให้คนโดนนินทราได้ยินด้วยเช่นกัน

"ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"

สกายทำเพียงตอบรับและพยักหน้ายิ้มส่งไปให้ ก่อนจะหันไปหาเจ้าของวันเกิดที่ยิ้มแฉ่งรอตนอยู่

"เรียกแค่ ริน เฉย ๆ ก็ได้ค่ะ... แพททริคอาจจะดูซื้อบื้อไปหน่อย สกายอย่าถือสาเลยนะ..."

"เอ่อ.. ค ครับ แฮะ ๆ ดูเหมือนทุกคนจะชอบเรียกคุณแพททริคว่าเจ้าบื้อจังเลยนะครับ"

สกายเอ่ยถามออกไปเพราะตั้งแต่เข้ามาในบ้านเพื่อนของแพทริกที่ชื่อเตชินก็เรียกอีกคนว่าเจ้าบื้อ อามิเกลก็เรียกและยังดารินที่บอกว่าแพททริกซื่อบื้ออีก

"แน่นอน!!"

"แน่นอน"

"แน่นอน"

 

เสียงของทั้งสามคนดังตอบรับสกายขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะพากันหัวเราะออกมาเสียงดังกับความพร้อมใจของพวกเขาและจากนั้นดารินก็เริ่มเล่าถึงเรื่องฉายาของแพททริกในตอนที่เป็นเด็กให้อีกคนได้ฟัง จนเรียกรอยยิ้มจากสกายที่ได้ฟังเรื่องราวเล่านั้น ส่วนแพททริกเองไม่กล้าขัดเรื่องราวของตัวเองที่เพื่อนเล่าให้สกายฟังทำเพียงยิ้มเขินส่งไปให้

"ฉายาเจ้าบื้อไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่นอน สกายมานั่งนี่ก่อนค่ะเดี๋ยวรินจะเล่าให้ฟัง...." ดารินสาวสวยแฟชั่นนิสพูดขึ้น

"เอ่อ.. ต้องเล่าขนาดนั้นเลยเหรอวะ ดาริน"

"ต้องขนาดนี้แหล่ะ ฮ่า ๆ... แล้วยังมีตอนที่แพททริกแต่งชุดดราก้อนบอลมาที่โรงเรียน.." อามิเกลที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยขึ้นบ้าง

 

เสียงนินทาแพททริกที่นั่งลงตามสกายเรียกได้ว่าถูกนินทากันแบบซึ่ง ๆ หน้า ในระยะเผาขนในแบบที่เจ้าตัวเองก็เอ่ยห้ามเพื่อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงจำใจฟังเรื่องราวของตน ที่ได้ฉายานี้มาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กิจกรรมที่ทำตอนพักและเขาดันทำอะไรเปิ่น ๆ ออกมา หรือตอนที่เขาใส่ชุดคอสเพลย์มาโรงเรียนคนเดียวในห้องเพราะจำวันผิด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวแต่เป็นสิบ ๆ ครั้ง หรือแม้แต่ตอนที่มีสาว ๆ มาทำความรู้จักแล้วแพททริกนึกว่าพวกนั้นมาเลี้ยงขนม...

สกายนั่งฟังและหาเรื่องพูดคุยกับทั้งดารินและอามิเกลสักพักเตชินก็ยกอาหารมาวางไว้โดยมีแพททริกลุกไปช่วยจัดแจงเพราะรู้สึกขัดเขินที่ต้องมาฟังเรื่องราวและวีรกรรมตอนเด็กของตัวเอง และดูเหมือนว่าสองสาวจะชอบสกายมากทีเดียว

 

มื้อค้ำเริ่มต้นขึ้นด้วยความหิวโหยของสองสาว และยังไม่วายพยายามตักอาหารเอาใจสกายจนแพททริกต้องแตะสกิดขาพวกเธอใตโต๊ะ เป็นนัยเพื่อบอกว่าหน้าที่ดูแลและเอาใจสกายเป็นของตน แต่สองสาวดูจะไม่สนใจแพททริกจนกลายเป็นว่ามีศึกตักไก่งวงและอาหารอีกหลายอย่างเพื่อใส่ลงไปที่จานของสกายจนพูนจาน

 

สกายมองของของกินที่ถูกตักมาให้และเห็นว่ามีเยอะเกินไปจึงตักบางส่วนส่งไปไว้ที่จานของแพททริก จนอีกคนยิ้มแฉ่งให้ด้วยความพอใจพรางยิ้มไม่หุบจนเพื่อนโห่แซว และกลายเป็นว่าตอนนี้สกายต้องตักอาหารอื่น ๆ ส่งไปยังจานของสองสาวด้วยเพื่อความเท่าเทียม

เสียงพูดคุยและหัวเราะจากทั้งเรื่องเล่าและกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เล่นกันบนโต๊ะอาหารรวมไปถึงการอวยพรวันเกิดให้ดาริน ดำเนินมาเกือบสองชั่วโมงและดูเหมือนว่าทุกคนจะเริ่มอิ่มหนำกันแล้วเช่นกัน ทุกคนจึงทำเพียงนั่งนิ่ง ๆ พูดคุยกันอยู่บนโต๊ะอาหารเท่านั้น

 

"สกายจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าหรือมีแผนไปไหนต่อไหมคืนนี้"

 

ดารินเอ่ยถามขึ้นเพราะตนเองและเกลตั้งใจจะไปต่อในเมืองเลยกะจะชวนสกายและแพททริกไปด้วยกัน ส่วนเตชินดูเหมือนจะต้องกลับไปพักผ่อนเพราะมีเวรเช้าที่ต้องไปจัดการจึงไม่สามารถไปต่อกับสาว ๆ ได้เหมือนอย่างเคย

 

"ไม่มี.."

 

"มี ฉันมีที่ที่หนึ่งจะพาสกายไป แต่ถึงไม่มีแผนไปไหน สกายก็ไม่ไปต่อในเมืองหรอก สกายไม่ค่อยชอบคนเยอะ ๆ นะ"

"อ๋า งั้นหรอ เสียดายจัง แต่ไม่เป็นไร พวกเรายังมีโอกาสได้เจอกันอีกเร็ว ๆ นี้แน่นอน... ถ้าสกายไม่ทิ้งเจ้าบื้อไปก่อนอะนะ อิอิอิ"

 

อามิเกล พูดขึ้นและยังไม่วายหันไปแขวะเพื่อนของตนเพราะรู้ว่าสกายค่อนข้างจะพิเศษกับแพททริกมากจนถึงขนาดพามาให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักขนาดนี้

 

"ชิส์ หยุดพูดไปเลยเกล"

แพททริกหันไปเหวใส่เพื่อนก่อนจะหันไปหาสกายที่ขมวดคิ้วมุ่นทำสีหน้าลำบากใจอยู่เพียงครู่ ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีคนมองอยู่จึงหันมาสบตาและพยายามยิ้มตอบกลับไปให้เป็นปกติที่สุด

 

หลังจากช่วยกันเก็บจานชามและซากอารยะที่พวกเขาทั้งห้าคนสร้างขึ้นเรียบร้อย จึงได้เวลากล่าวลาและแยกย้ายกันไปตามแผนคืนนี้ของตัวเอง

 

"ที่คุณแพททริกบอกว่ามีแผนจะไปต่อคืนนี้หมายความว่ายังไงครับ"

 

"ขอโทษครับ คือผมกะจะชวนสกายไปดูโคมไฟที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ นี้นะครับ ช่วงกลางเดือนหน้าจะมีงานฉลองประจำเมืองเลยมีการแต่งโคมไฟไว้ที่สวน เขาตกแต่งสวยมากเลยนะครับ... ก่อนกลับผมเลยอยากจะแวะถ่ายรูปกับสกายเป็นที่ระลึกหน่อย... สกายสะดวกหรือเปล่าครับ"

แพททริกอธิบายแผนที่ตนบอกเพื่อนสาวทั้งสองคนไว้ พร้อมกับทำสายตาและใบหน้าออดอ้อนตามแบบฉบับที่วิสและวีว่าสอนมาเป๊ะ ๆ ส่งไปให้สกายที่นั่งอยู่ข้างกันได้เห็น

 

สกายยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาเบา ๆ ในลำคอหลังจากเห็นอีกคนทำท่าทางเหมือนวิสและวีว่าที่เคยขอให้เขาเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนก่อน

 

"ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนวิสและก็วีว่าขนาดนั้นก็ได้ครับ แค่ไปถ่ายรูปผมไม่ขัดอยู่แล้ว"

"เยส!!! งั้นไปกันเลยครับ"

 

แพททริกขับรถออกมาพร้อมรอยยิ้มที่แต่งแต้มเต็มใบหน้าของตนไม่นานก็มาถึงสวนที่บอกอีกคนไว้ โคมไฟที่ถูกตกแต่งและมีไฟสว่างเมื่อเวลาเริ่มเข้าสามทุ่ม แสงสว่างช่วงกลางวันที่มีมากกว่าช่วงกลางคืนเริ่มมีแสงสว่างน้อยลงก่อนที่ความมืดจะเข้ามาปกคลุมและเข้าสู่ช่วงกลางคืน

 

แสงของหลอดไฟเริ่มทำงานและสว่างไสวไปทั่วบริเวณ แพททริกจึงพาสกายเดินเข้าไปด้านในที่มีเก้าอี้ยาวให้นั่งอยู่หน้าริมทะเลสาบ เพื่อซึมซับบรรยากาศแม้ว่าอุณหภูมิจะลดต่ำลงแล้วแต่บรรยากาศกลับดีกลับอากาศที่กำลังหนาวเย็น จนเคลิ้มมองไปทางไหนก็ดูสวยงามไปหมด

 

"สวยไหมครับ"

แพททริกเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างกายและมองไปรอบบริเวณอย่างตื่นเต้น

 

"สวยครับ สวยมากจริง ๆ ขอบคุณนะครับที่อุตส่าชวนผมมาดู เป็นโคมไฟที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็นเลยครับ"

 

สกายหันกลับไปตอบอีกคนอย่างที่ใจคิด และเขาจะเก็บมันไว้ในความทรงจำจนถึงวันสุดท้าย อย่างน้อยก็ยังมีความทรงจำดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตนอกจากตอนที่อยู่กับลุงหมอ เขาจะพยายามเก็บความทรงจำใน 90 วันนี้ไว้ ป้าเดียร์... ลุงจอร์น... เจ้าจิดริด.. วิส.. วีว่า.. แพททริก..

"งั้นมาดูทุกวันเลยดีไหมครับ... โคมไฟพวกนี้จะถูกตกแต่งอยู่แบบนี้ไปอีกสองเดือนเลยนะ โดยเฉพาะเดือนหน้าที่เป็น..."

"ผม.. ผมคงจะอยู่ไม่ถึงสองเดือนหรอกครับ"

 

สกายยิ้มแห้งส่งไปให้อีกคนหลังจากพูดแทรกอีกคนขึ้นมาก่อนที่แพททริคจะพูดจบ ในใจรู้สึกหน่วงนิด ๆ แอบเสียดายอยู่ลึก ๆ เมื่อต้องบอกอีกคนว่าตนคงอยู่ไม่ถึงวันงานที่แพททริคอยากให้เห็นทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกเสียดายแบบนี้เลยสักนิด...

"สกายอยู่ได้นะ ไม่ต้องห่วงเรื่องเอกสารก็ได้ ถ้าสกายอยากอยู่ผมจัดการให้ได้ทันทีเลย"

 

แพททริกเอ่ยบอกอีกคนเพราะเข้าใจว่าสกายคงกังวลเรื่องเอกสารวีซ่าที่ตนใช้เข้ามาในประเทศและจากที่รู้คือมีระยะเวลาเพียง 90 วัน ซึ่งก็ใกล้ครบกำหนดแล้ว

 

"ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ... คือ..."

"สกายไม่อยากอยู่กับผมเหรอครับ"

 

เสียงเศร้าสร้อยทั้งสีหน้าที่ดูสลดลงของอีกคนเรียกความสนใจของสกายให้เงยหน้าขึ้นไปมอง จากที่ตอนแรกจะบอกเรื่องที่ตนตัดสินใจมาที่นี้ แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาของอีกคนสกายกลับพูดไม่ออกเลยสักนิด ทำได้เพียงมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

 

สกายพยายามหาความหมายถึงสิ่งที่อีกคนบอกตนและมองตนด้วยแววตาแบบนั้น แววตาดื้อดึง แววตาออดอ้อนขอความเห็นใจ แววตาที่เวลาอีกคนมองสกายและเอ่ยขออะไรสักอย่างสกายจะแพ้ทุกครั้งไม่เคยฝืนปฏิเสธได้เลย อย่างเช่น ตอนที่อีกคนขอให้มาเจอเพื่อนสนิทหรือตอนที่อีกคนเอ่ยขอให้มาดูโคมไฟด้วยกันอย่างตอนนี้... ถ้าหาก...

 

ถ้าหาก... เขาบอกเรื่องที่เขาต้องการหายไปจากโลกนี้ เขาไม่อยากจินตนาการถึงสายตาของแพททริกที่ใช้มองเขาหรือแม้แต่พยายามห้ามเขาเหมือนคนอื่น ๆ สกายไม่อยากเห็น.. สกายอยากไปเพียงลำพัง.. อยากไปอย่างสงบ.. ไม่อยากติดภาพแววตาแบบนี้ของแพททริกไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

 

"สกายอยู่เถอะนะครับ... อยู่ดูโคมไฟกับผมเถอะนะ..."

 

เสียงเอ่ยขอร้องอ้อนวอนรวมถึงแววตาเหมือนตอนที่ขอให้เขามางานวันเกิดเพื่อน เหมือนตอนที่ชวนเขามานั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้สกายทำได้เพียงนั่งนิ่ง พยายามไม่พูดโต้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงมองอีกคนนิ่ง...

 

แพททริกเห็นสกายที่นิ่งเงียบไปไม่ตอบกลับใด ๆ กลับมาจึงพยายามยื่นมือไปแตะมือของอีกคนเบา ๆ เพื่อเป็นการขออนุญาติและเมื่อเห็นว่าสกายยังนิ่งอยู่ไม่ขยับหนีอีกคนจึงจับมือของอีกคนมากุมไว้ ค่อย ๆ ยกฝ่ามือของอีกคนมาแนบกับใบหน้าของตนเองเพื่อส่งผ่านความอุ่นบนใบหน้า

 

"ถ้าสกายไม่พูด... ผมจะถือว่าสกายตกลง และเข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อ"

 

ในความคิดของสกายที่ได้ยินอีกคนบอก ตอนนี้สมองของเขามันเหมือนสั่งตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกไป ห้ามพูดออกมาแม้แต่คำเดียว.. แต่อีกส่วนกลับบอกให้เขารีบเอ่ยปฏิเสธไปเสีย.. มันจะง่ายขึ้นและดีกับทุกคน ทั้งกับตัวเขาเอง ทั้งกับตัวแพททริค

 

รอยยิ้มของแพททริกเผยออกมาด้วยความยินดีที่เห็นอีกคนยังคงนิ่งเงียบ เพราะรู้ว่าสกายเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ เข้าใจว่าเขากำลังขอโอกาสดูแล ขอโอกาสศึกษากันและกันจากนี้

 

แพททริกขยับเข้าไปใกล้คนที่ตอนนี้กำลังขมวดคิ้วมุ่นคล้ายคนกำลังขบคิดบางอย่าง ก่อนจะโน้มตัวลงไปใช้ริมฝีปากแตะไปที่หว่างคิ้วที่กำลังผูกโบว์อยู่ ไม่นานก็ขยับตัวออกมามองคนที่ยังคงนิ่งเงียบและยังมองมายังแพททริกด้วยสายตาที่เขาคิดว่าอีกคนคงกำลังสับสน.. ลังเล.. หรือไม่มั่นใจในตนเอง?

 

มือของแพททริกจากตอนแรกที่ยังกุมมือของอีกคนไว้ถูกยกขึ้นมาเกลี่ยข้างแก้มของสกายก่อนจะย้ายมาสัมผัสที่ริมฝีปากอิ่มของคนที่ยังสบตาตนอยู่ไม่วางตาเหมือนกับรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป

 

แพททริกโน้มใบหน้าของตนเข้าไปใกล้อีกคนช้า ๆ เพื่อให้อีกคนรับรู้ว่าตนเองจะทำอย่างไรต่อไป ในขณะที่มือของเขายังอยู่ที่คางและริมฝีปากของอีกคน... สกายหลับตาลงเมื่อแพททริกเข้าใกล้มากขึ้นจนเหลือระยะห่างจากกันเพียงฝ่ามือกั้น

 

ริมฝีปากของทั้งสองคนสัมผัสกันเพียงแผ่วเบา ไม่มีการรุกล้ำจนเกินพอดีมีเพียงการกดย้ำและสัมผัสริมฝีปากของกันและกันเพื่อส่งผ่านความรู้สึกที่อีกคนมีให้

 

"ผมขอโทษ ผมอยู่ดูโคมกับคุณไม่ได้จริง ๆ"

 

เสียงพูดเพียงแผ่วเบาราวกับกระซิบเอ่ยบอกคนที่ถอนริมฝีปากออกมาเพียงน้อยนิดเพื่อปรับองศาก่อนจะสะดุดกึกหยุดสิ่งที่ทำอยู่และเข้าใจแล้วว่าไม่สามารถทำต่อไปได้อีกแล้ว......ไม่มีสิทธิที่จะได้ทำอะไรต่อไปอีกแล้ว......