5 ตอน ตอนที่ 5 สิ่งที่รับรู้
โดย กัปตันอเมริก้า
ตอนที่ 5 : สิ่งที่รับรู้
วันนี้แพทททริคมาส่งวิสและวีว่าเหมือนเช่นเคย เหมือนหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเขาไม่ได้เข้าไปนั่งหรือสิงสถิตอยู่กับเด็ก ๆ ทั้งวันหรือคอยมานั่งมองสกายเหมือนอย่างทุกครั้งแล้วและดูเหมือนทุกคนจะรับรู้และเข้าใจสถานการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้น
คืนนั้นแพททริกกลับมาส่งสกายที่บ้านและไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากไปกว่านั้นอีก แม้ว่าในใจแพททริคอยากจะเอ่ยถามออกไปถึงเหตุผล เหตุผลว่าทำไม... ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาเหมือนจะกำลังไปได้ดี เหตุผลว่าทำไมอีกคนถึงเอ่ยปฏิเสธด้วยสายตาแบบนั้น ทำไมถึงไม่ปฏิเสธเขาตั้งแต่ตอนที่เขาบอกให้พูดอะไรออกมาสักอย่าง.. ทำไมถึงเว้นช่วงนานจนเขาคิดไปเองว่าอีกคนก็กำลังคิดเหมือนกันกับเขา.....
ส่วนสกายก็ยังคงออกมารับและส่งเด็ก ๆ ทุกครั้งเท่าที่ออกมาได้ในตอนที่แพททริคมารับส่งทั้งคู่ แม้ว่าจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติแค่ไหน ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือทำตัวเหมือนตอนที่เขามาอยู่ที่นี้เหมือนเมื่อสองเดือนก่อนแต่สกายกลับยังรู้สึกฝืนและหน่วงที่อกของตนอยู่ตลอด
โดยเฉพาะตอนที่เห็นสีหน้าและแววตาของแพททริคที่พยายามยิ้มส่งมาให้เขา แววตาที่เหมือนอยากจะเอ่ยถามบางอย่าง แต่ก็ทำเพียงยิ้ม ทำเพียงทักทายและเดินจากไป... เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เป็นแบบที่เขาตั้งใจและต้องการให้เป็น.. เป็นแบบนี้ดีแล้วหรือเปล่า
.........////.........
แพททริคกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาตัวเดิมตั้งแต่เมื่อคืนภายในบ้านของตัวเอง พยายามไม่คิดถึงเรื่องของสกายแต่ดูเหมือนจะทำได้ยากเหลือเกิน งานการที่เริ่มเอากลับมาทำก็ทำเสร็จไปหลายชิ้นแล้วแต่ก็ยังไม่เลิกคิดถึงใบหน้าของสกาย จนมานั่งคิดนอนคิด ไม่ตกตั้งแต่เมื่อคืน อีกทั้งตอนนี้สกายเหลือเวลาอีกเพียงสิบกว่าวันที่อีกคนจะอยู่ที่นี้ ยิ่งทำให้แพททริคกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่
จนในที่สุดก็ดูเหมือนว่าอีกคนจะตัดสินใจได้แล้วว่าควรจะทำยังไง แพททริคลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
แพททริคตัดสินใจจะไม่ยอมแพ้ เขารู้ว่าสกายไม่ได้อยากปฏิเสธเขา อันนี้เขาสัมผัสได้ ทั้งสีหน้าและแววตา ดังนั้นเขาจะยังถือว่าสกายให้โอกาสตนอยู่...
"อ้าว ทำไมวันนี้ตื่นเช้าล่ะ เด็ก ๆ ตื่นมากวนอีกแล้วเหรอ?"
เสียงเปิดประตูบ้านเข้ามาพร้อมเอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างโซฟาเสียงของ คาล เลขาคนสนิทของแพททริกที่ต้องมาจัดแจงงานของเจ้านายรวมไปถึงเตรียมของจำเป็นให้วิสและวีว่าก่อนไปอยู่กับผู้ดูแลหรือบางวันก็มาอยู่ช่วยเจ้านายดูแลพวกเด็ก ๆ เพราะอีกคนมักออกไปข้างนอก
"คาล! นายอยู่ดูแลเด็ก ๆ ไปก่อนนะ ฉันจะออกไปข้างนอก"
"ไปไหน? เช้าขนาดนี้ในปฏิทินก็ไม่มีนัดหมายอะไรนี่"
"ฉันจะไปบ้านผู้ดูแล"
"?"
"ดูแลพวกเขาไปก่อนเดี๋ยวฉันกลับมา"
แพททริคเอ่ยตัดบทก่อนจะรีบเดินออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวออกไปข้างนอก ไปหาสกายในเช้านี้ เขาจะไม่ยอมแพ้ตราบใดที่สกายยังคงมองเขาด้วยสายตาแบบนั้น
........../////..........
"ลุงออกไปซื้อของแปปเดียว สกายอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า"
ลุงจอร์นที่เดินเข้ามาถามสกายที่ยังคงนั่งอยู่โต๊ะประจำมุมหน้าต่างของห้องครัวเผื่อว่าอีกคนจะอยากได้อะไรเพิ่มเติมจากตลาด
"ขอบคุณมากเลยครับแต่ผมไม่อยากได้อะไรเพิ่มแล้ว"
สกายตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันกลับมามองวิวต้นไม้และถนนด้านนอกดั่งเดิม วิวที่มองตอนนี้เป็นทางเข้าออกหน้าบ้านของตนก่อนจะเห็นลุงจอร์นเดินออกไปตามถนนและหายลับไป
ถนนด้านหน้ามีรถจอดอยู่ไม่กี่คัน ส่วนใหญ่จะเป็นของเจ้าของบ้านที่จอดรถไว้ตรงนั้น ทางลาดสำหรับคนเดินมีผู้คนที่อาศัยอยู่โดยรอบเดินผ่านไปมา บางคนก็วิ่งออกกำลังกาย บางคนก็พาสัตว์เลี้ยงของตนออกมาสูดอากาศด้านนอกตอนเช้าและเดินเล่นชมบรรยากาศ
สายตาของสกายนั่งมองสิ่งต่าง ๆ ด้านนอกก่อนที่สายตาจะไปปะทะเข้ากับคนที่ยืนมองตนเองมาจากทางเข้าหน้าบ้านอีกฝั่ง
แพททริค...
................../////..................
"คุณแพททริคมีอะไรหรือเปล่าครับมาเช้าขนาดนี้"
สกายแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นอีกคนมายืนอยู่หน้าบ้านเช้าขนาดนี้และก็ต้องประหลาดใจมากเข้าไปอีกเพราะอีกคนมาที่นี้เพียงคนเดียว
"ผมอยากเห็นหน้าสกาย... อยากคุยกับคุณ"
สกายยกชุดน้ำชาและกาแฟมาวางไว้ต้อนรับอย่างเคยชิน ไม่ได้มีท่าทีตอบกลับสิ่งที่แพททริคพูดเมื่อสักครู่ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัว พยายามไม่สบตาคนที่เอาแต่จ้องหน้าตนตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านแล้ว
"คุณแพทอยากคุยอะไรกับผมเหรอครับ"
สกายเอ่ยถามไปแบบนั้นแม้ว่าจะพอรู้อยู่แล้วว่าอีกคนต้องการคุยกับตนเรื่องอะไร และถ้าคาดไม่ผิดคงจะเป็นเรื่องที่พวกเขาค้างคากันอยู่ตอนนี้หรือบางทีแพททริกอาจจะมาพูดให้ทุกอย่างมันชัดเจนและง่ายขึ้นในตอนนั้นเขาคงไม่ชัดเจนมากพอ
"ผมแค่อยากบอกคุณว่า ผมไม่ยอมแพ้หรอก... แล้วก็ไม่ยอมรับที่คุณปฏิเสธผมด้วย... ตอนนั้นที่คุณไม่พูดอะไรออกมาผมถือแล้วว่าคุณตกลงและเข้าใจที่ผมจะสื่อแล้ว..."
แพททริคพูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมดโดยไม่ปล่อยให้อีกคนได้มีโอกาสโต้แย้งและทำได้เพียงนั่งทำหน้าคิดหนักอยู่อย่างนั้น แพททริคสังเกตเห็นมือข้างหนึ่งของสกายกำลังสั่นเทาและใช้มืออีกข้างกุมมือของตนเองไว้ สีหน้าของสกายดูไม่ดีนักในตอนนี้
อีกคนมีเหงื่อซึมออกมาจากกรอบหน้าทั้ง ๆ ที่อากาศภายในบ้านกำลังพอดี ออกจะอากาศเย็นเพียงนิดหน่อยเพราะหน้าต่างตรงทางเดินเปิดทิ้งไว้เล็กน้อยเพื่อให้ระบายอากาศ
"ผมรู้ว่าสกายก็รู้สึกเหมือนผม ให้โอกาสผมได้ดูแลคุณนะ แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ได้ อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธผมเลย" แพททริคยังคงพูดขอความเห็นใจจากอีกคนแม้ว่าจะเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของสกายแล้วก็ตาม
"ผ ผมว่าเราค่อยมาคุยกันวันหลังดีกว่านะครับ... ผ ผมขอตัวก่อน"
สกายเอ่ยตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักซ้ำเนื้อตัวเริ่มสั่นเทาจนแพททริคเริ่มสักเกตเห็นความผิดปกติมากขึ้นจากตอนแรก
"สกายไม่สบายหรือเปล่าครับ... เดี๋ยวผมพาไปหาหมอดีไหมครับ"
แพททริคลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เพื่อพยุงคนที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางติดขัด
"ป ปล่อยเถอะครับ ผ. ผ อัก..."
สกายพยายามผลักแพททริคและเดินเลี่ยงห่างจากอีกคนก่อนจะรู้สึกถึงกล้ามเนื้อหดเกร็งตัวและความเจ็บปวดเริ่มแล่นเข้ามาฉับพลันจนสกายล้มลง ยังดีที่การตอบสนองของแพททริคเร็วพอ จึงรีบคว้าอีกคนได้ทันและพยุงสกายไม่ให้ล้มลงจนกระแทกพื้น
แพททริคสังเกตเห็นสีหน้าเจ็บปวด รวมไปถึงเหงื่อเม็ดโตไหลซึมออกมาจากกรอบหน้าและตามตัวของอีกคน ซ้ำสกายยังหายใจหอบถี่และพูดบางอย่างที่แพททริคได้ยินไม่ชัดเจนนักจนไม่สามารถจับใจความได้ว่าสกายต้องการบอกอะไรกับตน
ด้วยความไม่ตั้งตัวและทำอะไรไม่ถูกที่มาเจอสกายในอาการที่ไม่ปกติเหมือนตอนนี้ แพททริคจึงไม่รีรอให้ใครกลับมาบ้าน หรือคิดจะพาสกายกลับขึ้นไปนอนบนห้องของตัวเอง คิดได้เพียงว่าต้องพาอีกคนไปหาหมอเท่านั้น
แพททริครีบอุ้มอีกคนตรงไปยังรถยนต์ของตนเองที่จอดอยู่หน้าบ้านเพื่อพาสกายไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในทันที
........../////...........
"เป็นยังไงบ้างเต สกายเป็นอะไร แล้วดีขึ้นหรือยัง"
แพททริคที่รออยู่นอกห้องฉุกเฉินได้ไม่นานเอ่ยถามเพื่อนที่เพิ่งเดินออกมา ก่อนจะเห็นพยาบาลเข็นเตียงที่สกายนอนหลับอยู่ออกมาพร้อมกัน
"สกายโอเคแล้ว แต่อาการค่อนข้างน่าเป็นห่วง ฉันต้องใช้ยานอนหลับตัวแรงมากกับสกายไว้ก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าสกายใช้ยาอะไรอยู่ตอนนี้... นายพอจะรู้หรือเปล่า"
"ม ไม่รู้ แต่เดียร์อาจจะรู้ พวกเขากำลังมา"
"อืม ถ้าจะให้ดีให้พวกเขาเอายาระงับอาการที่สกายใช้ประจำมาด้วยนะ"
เตชินเอ่ยบอกเรื่องหลอดยาระงับอาการที่เคยเห็นอีกคนพกมาในกระเป๋าเสื้อโค้ช ที่สกายถอดไว้ในวันที่มางาน อีกทั้งยังได้ตรวจร่างกายและเจอร่องรอยของการใช้หลอดยาระงับจึงมั่นใจว่าอีกคนคงรู้ตัวอยู่แล้วว่าป่วยและมีการใช้ยาระงับอยู่ตลอด แต่ที่เตชินไม่รู้คือยาที่อีกคนใช้มีปริมาณเท่าไรทำให้ตนทำได้เพียงใช้ยาเพื่อคลายกล้ามเนื้อให้อีกคนและให้ยานอนหลับไปก่อนเพียงเท่านั้น
"หลอดยาระงับงั้นเหรอ? ตอนนี้พวกเขาน่าจะออกมากันแล้วเดี๋ยวฉันเช็คกับพวกเขาอีกที"
"อื้ม"
.........../////.............
"สกาย! เป็นไงบ้างลูก.. ป้าตกใจแทบแย่"
ทันทีที่สกายรู้สึกตัวก็ได้ยินเสียงของป้าเดียร์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับสังเกตเห็นแกรีบเดินเข้ามาดูโดยมีสามีของแกยืนอยู่ข้างกัน
"ไม่เป็นไรแล้วครับ... แล้ว.."
สกายมองไปรอบห้องเห็นเพียงป้าเดียร์และลุงจอร์นแต่กลับไม่เห็นคนที่พาตนมาส่งโรงพยาบาลแม้ว่าสกายจะไม่ได้อยากมา แต่ดูเหมือนว่าตอนนั้นแพททริคจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพยายามบอก สกายบอกให้พาตนขึ้นไปบนห้องและไปเอายาระงับที่อยู่บนห้องมาให้ตน
"คุณแพทเขากลับไปเอาของที่บ้านป้านะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้วจ๊ะ"
"ครับ"
สกายเอ่ยตอบเพียงแค่นั้นก็นิ่งเงียบไปอีกก่อนจะหันไปมองคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาใหม่เป็นคุณพยาบาลและคุณหมอที่สกายเคยเจอเมื่อไม่นานมานี่... เพื่อนของแพททริค คนที่ชื่อ เตชิน
"คุณสกาย... เป็นยังไงบ้างครับ... อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้างนะครับ ถ้าไม่ไหวยังไงบอกหมอได้ทันทีเลย"
เตชินเดินเข้ามาถามคนป่วยพร้อมยิ้มทักทายทุกคนที่อยู่ภายในห้อง ก่อนจะเอ่ยถามอาการเบื้องต้นและบอกกล่าวอาการที่คิดว่าอีกคนอาจจะกำลังรู้สึกอยู่
"ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว... ผมจะออกจากโรงพยาบาลได้ตอนไหนครับ"
สกายเอ่ยบอกความต้องการของตนทันทีกับคนที่กำลังวัดความดันและเช็กอัตราการเต้นของหัวใจ ก่อนจะหันมายิ้มให้และพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น
"อาการของสกายยังต้องเช็คให้ละเอียดอีกหลายครั้งครับ... คงต้องอยู่ที่นี้พักใหญ่เลยครับ"
"แต่ผมว่า.. ไม่จำเป็นหรอกครับ"
ป้าเดียร์ที่ได้ยินที่สกายบอกแบบนั้นหลุดสะอื้นออกมา ก่อนจะขอตัวออกไปข้างนอกเพื่อสูดอากาศโดยมีสามีเดินตามไปไม่ห่าง ปล่อยให้สกายอยู่กับคุณหมอที่กำลังต้องการคำตอบจากคำพูดของสกายที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องรักษา...
"ผมรู้ว่าที่สกายเป็นอยู่โอกาสหายจะมีน้อย แต่โอกาสมันยังมีอยู่นะครับ"
เตชินที่พอจะเข้าใจสถานการณ์ของอีกคนพูดขึ้นและพยายามโน้มน้าวให้สกายเปลี่ยนใจ ด้วยรู้ว่าโรคที่สกายเป็นอยู่ยังสามารถรักษาได้ เพียงแต่ระหว่างขั้นตอนของการรักษาอาจจะยากลำบากกับทั้งสภาพร่างกายของคนไข้ ถ้าหากร่างกายยังคงสู้ไหวและยังมีกำลังใจที่จะสู้ต่อโอกาสหายมันก็ยังพอมีอยู่ แม้ว่ามันจะมีโอกาสไม่มากก็ตาม
และหากคาดไว้ไม่ผิด สกายรับรู้อยู่แล้ว่ามีวิธีการรักษาและมีแรงกายมากพอที่จะสู้กับความเจ็บปวดทั้งจากการรักษาและการใช้ชีวิตหลังจากนี้ แต่อีกคนกลับไม่มีบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ นั้นก็คือแรงใจที่จะสู้ต่อ ดูเหมือนว่าสภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนหลังเกิดอุบัติเหตุรุนแรงในครั้งอดีตและจากประวัติการรักษาสภาวะทางจิตที่ยาวนานจะทำให้อีกคนหมดแรงใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจริง ๆ
"ผม.. ผมเหนื่อยแล้วครับ ผมไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว"
".... ครับ.. สกายจะไม่เจ็บปวดแล้วหลังจากนี้... แต่... แล้วคนอื่นละครับ"
"......."
เตชินไม่เคยคิดจะก้าวก่ายการตัดสินใจของคนไข้หรือของใครทั้งนั้น แต่กลับห้ามตัวเองไม่ให้พูดแบบนั้นออกไปไม่ได้เพราะรู้ว่าแพททริคเพื่อนของตนรู้สึกยังไงกับสกาย
เตชินเคยเห็นเพื่อนของตนดำดิ่งกับความรู้สึกสูญเสียคนที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วครั้งหนึ่ง.. เขาไม่แน่ใจว่าแพททริคจะยังรับได้อยู่ไหมที่คนที่ตนหมายปองอีกคนจะต้องหายไปแบบนั้นอีก
แม้จะรู้ว่าระยะเวลาที่พวกเขาสองคนรู้จักกันจะน้อยนิดแต่เตชินรับรู้ได้ชัดเจนว่าแพททริครู้สึกกับสกายมากแค่ไหนและก็รับรู้ได้เช่นกันว่าสกายเองก็รู้สึกกับแพททริก... เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกคนรู้สึกมากน้อยแค่ไหน...
................////..............
แพททริคกลับมาที่บ้านของผู้ดูแลเพราะหลังจากที่รู้ว่าทั้งสองคนไม่ได้หยิบยาประจำตัวของสกายมาด้วยเพราะลุงจอร์นตกใจรีบไปรับป้าเดียร์มาที่โรงพยาบาลทันที หลังวางสายจากแพททริคและไม่ได้แวะกลับมาบ้านอีก แพททริคจึงอาสากลับมาเอายาและของใช้ส่วนตัวของสกายให้เอง รวมไปถึงเพื่อแวะไปรับเด็ก ๆ มาหาอีกคนที่โรงพยาบาลด้วย
ในตอนที่เห็นอีกคนล้มพับลงไป แน่นอนว่าตนเองก็ตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก ยังดีที่ร่างกายของเขาเหมือนถูกโปรแกรมให้ขยับไปเอง จึงพอช่วยไม่ให้อีกคนหัวฟาดพื้นเป็นแผลเพิ่มอีก เพราะแบบนี้หรือเปล่าที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดแผลครั้งก่อนที่แพททริคเคยเห็นอยู่บ่อยครั้งและทุกครั้งที่เอ่ยถามสกาย อีกคนก็มักจะบอกเพียงว่าหกล้มบ้าง ซุ่มซ่ามบ้าง ซึ่งแพททริคก็พึ่งรับรู้วันนี้เองว่าแผลพวกนั้นมาจากผลของอาการป่วยของสกาย
เสียงเปิดลิ้นชักหัวเตียงในจุดที่ป้าเดียร์บอกว่าสกายจะเก็บหลอดยาระงับและยาอีกหลายกระปุกอยู่ในนั้น แพททริกไม่แน่ใจนักว่าเป็นยาแบบเดียวกันหมดหรือเป็นคนละชนิดเพราะมันดูเยอะและกล่องเหมือนกันเกือบทั้งหมด แพททริคจึงตัดปัญหาโดยการกวาดเอายาทุกขวดทุกกระปุกใส่กระเป๋าเอาไปให้เตชินเลือกดูเอง
ระหว่างที่เก็บยาเหล่านั้นใส่กระเป๋า พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นซองจดหมายที่มีเครื่องหมายบางอย่างดูคุ้นตา จึงหยิบขึ้นมาดูเผื่อว่าจะเป็นเอกสารสำคัญเกี่ยวกับการรักษาจะได้นำไปให้เพื่อนของตนวินิจฉัยโรคและหาทางรักษาต่อไปได้ง่ายขึ้น
และเพราะความใคร่รู้ของตนเองว่าในนั้นเขียนว่าอะไร แพททริคจึงเปิดจดหมายนั้นออกมาอ่าน...
เครื่องหมายขององค์กรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศนี้ เนื้อหาในจดหมาย... จดหมายรับรอง... รวมไปถึงกำหนดการสำหรับการทำการุณยฆาตในอีก 10 วันข้างหน้า...
..........//////.........
"Am I done something wrong? why I suppose to bear it?"
เสียงสั่นเครือของคนที่นั่งมองรูปปั้นของผู้เป็นเจ้าในโบสถ์ โดยมีคนที่กำลังตกอยู่ในสภาวะดำดิ่งไม่ต่างจากแพททริคหรืออาจจะกำลังมีความสุขนั่งอยู่บริเวณนั้นสองสามคนภายในโถงกว้างแห่งนี้
โถงขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นสถานที่ทั้งขอพร ทั้งสวดมนต์ ทั้งอ้อนวอนจากพระผู้เป็นเจ้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และแพททริคก็เป็นหนึ่งในนั้นหนึ่งในคนที่มาเพื่ออ้อนวอน มาเพื่อขอคำตอบ มาเพื่อไถ่ถามถึงบาปของตนกับสิ่งที่ต้องเจออีกครั้ง
หลังจากที่เขาเอาของใช้ส่วนตัวและยาของสกายไปให้หมอที่ดูแลเรียบร้อย แพททริคตัดสินใจไม่เข้าไปเจอสกายในตอนนี้ เขาเองไม่สามารถมองหน้าสกายได้เต็มตาในตอนนี้เช่นกัน ภายในใจมีแต่คำถาม เขาไม่อยากให้สกายลำบากใจหากเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ให้ถามบางอย่างหรือพูดบางอย่างที่อาจจะทำให้อีกคนไม่สบายใจ
จึงทำได้เพียงฝากให้เตชินและป้าเดียร์อยู่ดูแลสกายไปก่อน ส่วนตัวเองขอเวลาออกมาสงบสติอารมณ์ของตนสักพักและสถานที่ประจำที่แพททริคมักจะมาเวลาที่มีความทุกข์ก็คือโบสถ์แห่งนี้ แพททริคมักจะมาระบายความเศร้าใจ ความทุกข์ของตนรวมไปถึง ไถ่ถามและบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าที่เขาศรัทธาได้รับรู้และรับฟังเรื่องราวของเขา
"ทำไมครับ? ทำไมเขาถึงพยายามผลักไส ทำไมเขาถึงไม่เห็นความพยายามของผมครับคุณพ่อ"
แพททริคเอ่ยถามผู้ที่เป็นดั่งตัวแทนคำสอนของพระองค์ทุกครั้งที่แพคทริคมาที่นี้ ทุกครั้งที่เขามีความทุกข์ มีความสุขฟาเธอร์เอลลิสจะมานั่งข้างกายเขาเพื่อรับฟังและให้คำตอบแก่คำถามของเขาในบางครั้งและครั้งนี้ก็เช่นกันที่ท่านต้องมารับฟังความทุกข์ของผมอีกครั้ง
"คุณพ่อเคยบอกผมว่า พระเจ้าสอนให้มอบความรับแล้วเราจะได้ความรักตอบแทนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง... ผมมอบความรักให้เขาทั้งใจ ยอมรับสิ่งที่เขาเป็นทุกอย่าง.... ยอมให้ทุกอย่างที่เขาต้องการ...มีแค่อย่างเดียวที่ผมยังให้เขาไม่ได้... ผมปล่อยมือเขาไปจากเขาไม่ได้... ปล่อยให้เขาไปจากชีวิตผมตลอดกาลไม่ได้... นี่เป็นบาปของผมหรือเปล่าครับ คุณพ่อ"
แพททริคเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างตน เอ่ยถึงบาปที่คิดว่าตนได้ก่อ ทั้งยังพยายามหลอกตัวเอง หลอกว่าสกายจะเห็นใจและยอมตอบรับความรักจากตนบ้างก่อนจะได้ยินเสียงของบาทหลวงที่นั่งรับฟังตนอยู่ข้าง ๆ ดังขึ้นมา
"การยอมรับการตัดสินใจของคนที่เรารัก เป็นคำสอนที่สร้างขึ้นเพื่อให้พวกเรายังสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขบนโลกใบนี้"
ฟาร์เธอร์เอลลิส ยังคงเอ่ยบอกถึงคำสอนและสิ่งที่เป็นไปให้คนที่กำลังเศร้าหมองได้รับรู้และทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น...
"แล้วถ้าหากผมยอมรับการตัดสินใจของเขาแต่เราทั้งคู่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ได้ละครับ ผมเคยยอมปล่อยคนที่ผมรักไปแล้วครั้งหนึ่ง... ครั้งนี้ผมก็ต้องปล่อยไปอีกเหรอครับ ผม... ผมไม่คิดว่าผมจะรับไหว"
และใช่ ครั้งนี้เขายอมรับว่าตัวเขาเองจะไม่สามารถรับมันไหวได้อีกแล้ว เขาไม่สามารถยืนมองคนที่รักถูกพรากลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาเขาได้อีก ไม่อยากยอมรับการตัดสินใจการจากไปของใครอีก
หากเป็นแบบนี้สู้เขาไม่รับรู้เสียตั้งแต่แรกหรืออย่างน้อยให้เขารับรู้เพียงแค่ว่าสกายยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ แม้จะไม่ได้เจอกันอีกแต่อย่างน้อยเขาก็ยังได้รู้ว่าพวกเขายังอยู่บนโลกใบเดียวกัน
ฟาเธอร์เอลลิส ทำได้เพียงนิ่งฟังและรอให้แพททริคที่กำลังจมดิ่งกับความรู้สึกได้ระบายสิ่งที่มันอัดอั้นออกมา..
"คุณพ่อครับ โปรดให้ความกระจ่างแก่ผมเถอะครับ... ผมควรจะทำยังไง... ผมไม่อยากปล่อยมือจากคนนั้น... ผมไม่อยากปล่อยมือจากคนที่ผมรักอีก พระเจ้าเคยสอนให้มอบความรักแล้วจะได้ความรักตอบกลับมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแล้วทำไมผมถึงไม่ได้มันกลับคืนมาบ้างละครับ... ได้โปรดบอกผมทีเถอะครับ"
แพททริคเอ่ยถามออกไปด้วยความสับสน และไม่เข้าใจอย่างถึงที่สุดกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะได้ยินเสียงของคนที่นั่งอยู่ข้างกายพูดขึ้น
"พ่อ... ไม่สามารถล่วงรู้ความต้องการของเขาคนนั้นที่ลูกพูดถึงได้ แต่พ่อมั่นใจว่าลูกได้รับความรักตอบกลับมาแล้ว"
แพททริคยังคงนิ่งฟังด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองและยังคงคิดตามสิ่งที่คุณพ่อเอ่ยบอก แม้ภายในใจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านบอกเพราะเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เขาทุ่มเทให้สกายนั้น อีกคนไม่แม้แต่จะเลียวแลมันกลับมาเลยสักนิด
"คุณพ่อรู้ได้ยังไงครับ"
"พ่อ ไม่รู้หรอกแต่พ่อมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่คิดว่าอาจจะเป็นคำตอบให้ลูกได้"
แพททริคนั่งนิ่งรอคอยฟังสิ่งที่ฟาเธอร์เอลลิสต้องการจะสื่อ อย่างน้อยมันอาจจะทำให้เขาไม่ต้องจมอยู่กับความคิด ความสับสนแบบนี้
"เรื่องเล่าของ พระผู้เป็นเจ้าก่อนที่จะถูกตรึงกางเขน มันเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่ได้อยู่ในไบเบิลแต่ถูกบันทึกไว้และส่งต่อกันมา...
Jesus Christ เคยมีผู้เป็นที่รักมากคนหนึ่ง พวกเขาตกหลุมรักกันด้วยใจอันบริสุทธิ์ ความรักที่พวกเขามีให้กันเหมือนจะไม่มีสิ่งใดหรืออะไรพรากพวกเขาจากกันได้ จนวันหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าเกิดนิมิตรเห็นความตายของตน เป็นนิมิตรถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกสองปีก่อนท่านจะถูกจับตรึงกางเขน"
แพททริคที่ตอนแรกกำลังก้มมองพื้นกระเบื้องเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองฟาเธอร์เอลลิสด้วยความสนใจกับเรื่องราวที่ท่านกำลังเล่าต่อ
"พระผู้เป็นเจ้าเลือกที่จะไม่บอกสิ่งที่เห็นให้กับคนรักได้รับรู้ ไม่กี่เดือนจากนั้นพวกเขาก็หย่าร้างกัน โดยที่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ตัดสัมพันธ์กับเขาเอง แม้ว่าเขาคนนั้นจะร้องขอ จะอ้อนวอนหรือยอมทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจพระผู้เป็นเจ้าได้ คนผู้นั้นยังเคยกลับไปขอร้องอ้อนวอนขอความรักอีกหลายครั้ง แต่พระผู้เป็นเจ้าก็ยังไม่ยอมรับคำขอนั้นแม้แต่ครั้งเดียว จนในที่สุดคนผู้นั้นก็ยอมแพ้ไม่กลับไปพบท่านหรืออ้อนวอนท่านอีก"
ฟาเธอร์เอลลิสหันมามองคนที่นั่งฟังอย่างตั้งใจอยู่ข้าง ๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของอีกคน
"แล้วยังไงต่อครับ ทำไมท่านถึงทำแบบนั้น แบบนั้นจะเหมือนกับท่านผิดคำสอนของตัวท่านเองหรือเปล่าครับ"
ฟาเธอร์เอลลิสส่ายหน้าให้คนที่ถามกลับก่อนจะเอ่ยบอกแก่นของเรื่องให้อีกคนได้รับรู้
"ที่ท่านทำแบบนั้นเพราะท่านมอบความรักให้กับคนผู้นั้นไปจนหมดหัวใจแล้วต่างหาก... และก่อนจะถึงเดือนที่ท่านต้องจากไป ท่านได้รับจดหมายบอกเล่าเรื่องราวของคนผู้นั้น เรื่องราวของคนผู้นั้นที่ได้พบรักใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุขกับคนที่รักตนและสามารถดูแลคนผู้นั้นแทนท่านได้"
แพททริกยังคงแสดงสีหน้าสับสนกับสิ่งที่ได้ฟังจนฟาเธอร์เอลลิสพูดขึ้นอีกครั้ง
"พระผู้เป็นเจ้า ท่านรู้ว่าตัวเองจะถูกจับตรึง ท่านรู้ว่าตนเองจะต้องตาย และท่านไม่สามารถทนให้คนที่ท่านรักมาเห็นตัวเองจากไปต่อหน้าต่อตา ท่านไม่สามารถทนกับจิตที่คิดฟุ้งซ่าน เมื่อนึกไปถึงว่าคนผู้นั้นจะแตกสลายแค่ไหนหากต้องสูญเสียคนรัก... หากว่าท่านเป็นคนผู้นั้น ท่านเองก็ไม่สามารถทนรับความรู้สึกนั้นได้เช่นกัน"
ฟาเธอร์ยังคงจ้องมองอีกคนนิ่ง เพื่อดูว่าแพททริกจะเข้าใจสิ่งที่ตนต้องการสื่อหรือไม่ ก่อนจะได้ยินสิ่งที่อีกคนพูดขึ้น
"เพราะแบบนั้นหรือครับ ท่านถึงเลือกจะผลักใสคนที่ท่านรักไปเสีย เลือกที่จะให้อีกคนตัดใจและหมดรักท่านไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น"
"แล้วลูกคิดว่ายังไงละ"
บาทหลวงเอลลิสถามกลับไปเพื่อให้อีกคนได้ตระหนักและวิเคราะห์เองหลังจากนี้
"พระผู้เป็นเจ้าพยายามทำให้คนผู้นั้นหมดรักท่านหรือทำให้คนนั้นรู้สึกรักท่านน้อยลง เพื่อตอนที่ท่านจากไป คนที่ท่านรักจะได้ไม่ทรมานที่ต้องมารับรู้ความตายของท่าน... ยอมเจ็บเสียตอนนี้ ดีกว่าให้คนผู้นั้นแตกสลายจนอาจจะไม่สามารถกลับมาเป็นแบบเดิมได้"
บาทหลวงเอลลิสมองคนที่สรุปสิ่งที่ได้พร้อมกับยิ้มให้คนที่ตอนนี้เหมือนจะคิดบางอย่างได้
น้ำตาของแพททริคที่เคยพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมาตอนนี้เขาไม่สามารถบังคับมันได้อีกแล้ว ความสับสน ความไม่เข้าใจในตอนแรกถูกไขให้กระจ่างแล้ว
แม้จะไม่สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าสกายอาจจะคิดเหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นกับพระผู้เป็นเจ้า แต่แพททริคกลับเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ฟังเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนได้สรุปออกไปเอง
เหมือนกับที่เคยเลือกเชื่อว่า เมื่อคนเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเราทุกคนจะได้ไปเจอกันอีกครั้งในโลกสมมติที่เรียกว่าสุขขาวดี แม้ว่าความเป็นจริงเมื่อเราตายไปเราอาจจะไม่มีอะไรเลย ชีวิตหยุดนิ่ง มืดดับไปเหมือนแสงไฟยามสับสวิตส์ลง.. ว่างเปล่า..
แต่เพราะเราเลือกที่จะเชื่อว่าพวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีก เหมือนกับตอนนี้ ตอนที่เขาเชื่อว่าสกายรักเขามากเช่นกัน รักเขาจนหมดหัวใจ และด้วยเหตุผลนี้ทำให้อีกคนเลือกที่จะผลักใสเขาเหมือนกับเรื่องเล่าของบาทหลวงเอลลิส
"That is love from him. Father hope you already found your answer"
(นั้นคือความรักจากท่าน, พ่อหวังว่าลูกจะได้คำตอบของปัญหาที่ลูกเจอ)
"Yes, I am. Thank you. Father"
(ครับ, ผมได้แล้ว ขอบคุณครับฟาเธอร์)
ขอบคุณจริง ๆ ครับ... ผมรู้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป...... ผมรู้แล้วว่าจะต้องทำยังไง สกายถึงจะยอมอยู่กับผม ...
Comments (0)