**ประเทศที่ปรากฏในนิยายเรื่องนี้ไร้ท์เขียนขึ้นเอง ไม่ได้มีจริง ๆ ในโลก แต่อาจจะมีการอ้างอิงชื่อสถานที่จากหลายประเทศรวมกัน**

 

"What’ s the purpose of your visit?"

"I'm here to visit my aunty"

"Where she lives?"

"Brondby"

"how long are you staying?"

"Just 90 days. I'll be gone"

ชายหนุ่มวัยสามสิบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าที่หากมองผิวเผินเหมือนอายุเพิ่งเข้าเลขสองได้ไม่นานกำลังยื่นเอกสารสำคัญบางอย่างที่มีตราสัญลักษณ์ของ Dignitas อยู่บนหัวกระดาษให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้รับรู้จุดประสงค์อีกอย่างที่มาที่แห่งนี้

"Oh ok, well, then I hope you are happy here and enjoy visiting" น้ำเสียงและใบหน้าของชายผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ชักถามเศร้าสลดลงเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มกลับมาให้คนที่ยังยืนรอคำตอบอยู่พร้อมอวยพรให้อีกคนมีความสุข

 

"I will, tak" (ขอบคุณ)

 

สกาย (Sky) กล่าวขอบคุณเป็นภาษาพื้นเมืองที่ใช้พูดคุยในประเทศนี้พร้อมกับส่งยิ้มสดใสแต่กลับดูเศร้าหมองในมุมมองของคนทั่วไป ให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองผู้ทำหน้าที่สอบถามจุดประสงค์ของทุกผู้คนที่เข้ามาในประเทศแห่งนี้

 

แน่นอนว่าหลายคนมาเพื่อท่องเที่ยว หลายคนมาเพื่อทำงาน หลายคนมาเพื่อเยี่ยมเยือนญาติมิตรที่ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี้และก็มีหลายคนมาด้วยจุดประสงค์อื่นแอบแฝงที่มีทั้งดีและไม่ดีต่อประเทศของพวกเขา อย่างเช่น การลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายหรือการใช้วีซ่าท่องเที่ยวหรือเยี่ยมเยือนเพื่อมาทำงาน ซึ่งหน้าที่ของผู้ตรวจคนเข้าเมืองคือการตรวจสอบจุดประสงค์ของคนเหล่านั้น

 

และสกายก็เป็นหนึ่งในนั้น หนึ่งในคนที่มีจุดประสงค์แอบแฝงแต่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ผิดกฎหมายของที่แห่งนี้ สกายมาเยี่ยมเยือนคนที่เสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของตน ญาติคนสุดท้ายอีกหนึ่งคนที่รู้จักตัวเขาและครอบครัวของเขา ญาติที่ยังมีเหลืออยู่บนโลกใบนี้ก่อนที่จะเขาจะจากโลกนี้ไป 'อย่างสงบ'

 

การตัดสินใจมาครั้งนี้เนื่องด้วยที่นี่มีกฎหมายที่ช่วยให้เขาไม่ต้องทรมานในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างการทำการุณยฆาตหรือ mercy killing ซึ่งกำหนดการที่ตกลงไว้คืออีก 90 วันนับจากนี้

 

สกายเป็นคนหนึ่งที่ตัดสินใจใช้วิธีการจบชีวิตตนเองด้วยวิธีที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับทุกคน และดีที่สุดสำหรับตัวเขาเอง สกายเตรียมใจไปอย่างสงบโดยไม่ต้องรอให้ความทรมานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหรือความทรมานในตอนนี้ที่เป็นอยู่ได้กล้ำกรายเข้ามาในชีวิตอีก

 

คนภายนอกอาจจะมองเห็นเขา ยังคงเหมือนผู้คนปกติทั่วไปที่ยังดูแข็งแรง ยังดูปกติดีและไม่คิดว่าเขาจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีการนี้

 

สกายเคยมีชีวิตที่มีความสุข มีครอบครัวที่รัก มีเพื่อนที่เคยเล่นสนุกด้วยตอนเด็ก จนกระทั่งเขาอายุได้ 18 ปี อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา ในวันที่พวกเขาควรจะได้มีความสุข ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกันอย่างคนปกติ

 

วันนั้นพวกเขาขับรถเพื่อไปตั้งแคมป์กันในสถานที่พักผ่อนยอดฮิตและเหมาะกับการตั้งแคมป์เพราะพื้นที่ราบสูง รายล้อมไปด้วยภูเขา แม้ว่าเส้นทางที่ใช้สัญจรจะค่อนข้างลำบากในการขับขี่ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดและการตัดสินใจครั้งใหญ่ของสกายตอนนี้

 

ในวันนั้นทั้งพ่อแม่รวมถึงตัวเขาเองถูกพบอยู่ด้านล่างเหว บริเวณตีนเขาในสภาพรถที่พังยับเยิน จากการหักหลบหน้าดินที่มีหินขนาดใหญ่ถล่มลงมาจนพ่อของเขาที่เป็นคนขับสูญเสียการควบคุม

 

รถยนต์ถูกเหวี่ยงด้วยแรงปะทะจากหินขนาดใหญ่ที่กระแทกใส่ ทำให้ล้อเกิดหมุนวนจนรถตกถนน กลิ้งลงไปด้านล่างหลายกิโลเมตร

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหนักหนามากจนคนที่มาช่วยคิดไว้แล้วว่าคงจะไม่มีใครรอดชีวิต แต่ดูเหมือนพวกเขาจะคิดผิด สกายรอดมาจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น

 

พวกเขาต่างบอกว่าสกายโชคดีที่รอดมาได้ แต่ตัวเขาเองกลับคิดว่า มันเป็นโชคร้ายต่างหากที่เขารอดมาได้

 

สกายไม่เหลือใครแล้ว ไม่มีพ่อแม่แล้ว ไม่มีญาติสนิทที่นี่อีก ซ้ำยังต้องทำกายภาพร่างกาย ต้องรักษาสุขภาพจิตจากอุบัติเหตุและความสูญเสียอยู่เกือบปีจึงจะสามารถขยับตัวได้ตามปกติ เดินเหิน วิ่งได้ปกติหากไม่หักโหมเกินไป

 

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นสกายรับการรักษาและได้ใช้ชีวิตปกติ พูดคุย ยิ้มแย้มกับคนรอบตัว ทุกอย่างเหมือนกลับมาเป็นปกติในสายตาของคนทั่วไป

 

จนกระทั่งได้มารับรู้หลังจากนั้นไม่นานว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายโดยเฉพาะระบบประสาท ในตอนที่ตัวเองเริ่มมีอาการทรมาน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปทุกส่วนของร่างกาย ความรู้สึกเจ็บปวดและทรมานมากกว่าปกติจนแทบหายใจไม่ออกและกินเวลานานหลายชั่วโมงกว่าที่อาการจะบรรเทาลงทำให้สกายรู้ว่าร่างกายของตนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

ในตอนนั้นหมอวินิจฉัยว่าเส้นประสาทรับความเจ็บปวดของเขาผิดปกติ คล้ายกับโรคไฟโบรมัยอัลเจียที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากร่างกายได้รับการกระแทกหรือกระทบกระเทือนที่รุนแรงหรือคนที่เคยเกิดอุบัติเหตุหนัก ซึ่งไม่บ่อยที่จะพบคนที่เป็นโรคนี้ในวัยเพียง 19 ปี

 

สกายเข้ารับการรักษาตามอาการมาตลอดรวมไปถึงอาการทางจิตที่เกิดร่วม จากความผิดปกติในสมองจนมีภาวะซึมเศร้าและความรู้สึกไม่รับรู้ความเป็นไปรอบตัว รู้สึกเฉื่อยชา รู้สึกว่างเปล่า และไม่มีอะไรเลย

 

จนตอนนี้ผ่านไปเกือบ 12 ปีแล้ว แม้อาการทางจิตจะได้รับการเยียวยาตามขั้นตอนทางการแพทย์และช่วยให้จิตใจของสกายดีขึ้นมากแต่กลับไม่ใช่กับร่างกายและโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาทรับความเจ็บปวด

 

ในช่วงสิบปีแรกที่เกิดความรู้สึกเหล่านี้ ความทรมานทั่วทั้งร่างกาย บ่งบอกไม่ได้ชัดเจนว่าเกิดที่จุดไหนบ้าง อาการของมันจะเกิดขึ้นเพียงเดือนละครั้งซึ่งแต่ละครั้งจะกินเวลาหนึ่งถึงสองวัน เป็นระยะ จนกระทั่งอายุของเขาเริ่มมากขึ้น ความเจ็บปวดทรมานเริ่มปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง

 

จากเดือนละครั้งกลายเป็นสองอาทิตย์จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง

 

จากสองอาทิตย์จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็กลายเป็นอาทิตย์ละครั้ง

 

จนตอนนี้กลายเป็นเกิดขึ้นทุกสองถึงสามวัน บางครั้งก็เว้นช่วงไปสี่ถึงห้าวัน โดยที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเกิดขึ้นตอนไหนอีก

คุณหมอที่รักษาสกายบอกกับเขาว่า ยิ่งเขาอายุมากขึ้นความเจ็บปวดก็จะยิ่งมากขึ้น เกิดบ่อยครั้งขึ้น และส่งผลให้ระบบประสาทการรับรู้ของเขา อาจจะตายไวขึ้นและเขาจะกลายเป็นอัมพาตในที่สุด

 

และนั่นเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สกายตัดสินใจทำ mercy killing เพื่อที่จะได้จากไปอย่างสงบเสีย

 

แม้ว่าลุงหมอที่รับดูแลสกายมาตั้งแต่ต้น คนที่ทุ่มเทดูแลเขามาตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ เป็นคุณหมอที่มักจะเรียกตัวเองว่า 'ลุงหมอ' คนที่เห็นสกายมาตั้งแต่เกิด คนที่จัดการเรื่องกฎหมายทุกอย่างให้เขาในวันที่เขาเหลือเพียงตัวคนเดียว

 

เป็นคนที่ช่วยเหลือและดำเนินการเรื่องเงินประกันรวมไปถึงการฟ้องร้องเรียกเงินชดเชยจากรัฐที่มีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ เพื่อไม่ให้สกายต้องอยู่อยากยากลำบากตลอดชีวิต

คุณลุงไม่เห็นด้วยที่เขาตัดสินใจแบบนี้และยังพยายามแนะนำให้เขาไปรับการรักษาที่ต่างประเทศกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ สกายยังจำประโยคที่คุยกับลุงหมอได้ดีในวันนั้น วันที่เขาตัดสินใจให้ลุงหมอเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจและช่วยให้เขาได้รับการทำ mercy killing...

 

"เชื่อลุงนะ สกายการแพทย์ที่นั่นก้าวหน้ากว่าสิบปีก่อนมาก พวกเขารักษาเธอได้แน่ ลุงรู้จักคนในนั้น ลุงจะเดินเรื่อ.."

 

"ลุงหมอครับ ... "

สกายพูดแทรกอาหมอของตน แม้จะรู้ว่ามีทางรักษาแต่เขากลับรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทนอยู่ได้แล้ว เขาเหนื่อยเต็มทีแล้ว ไม่อยากสู้ต่อ ไม่อยากทำอะไรอีก มันรุ้สึกเอื่อยเฉื่อย มันรู้สึกว่างเปล่าไปหมด

"...สกายอยากพักแล้วครับ ลุงให้สกายพักเถอะนะครับ"

 

ตอนนั้นสกายยังคงยืนกรานขอจากไปอย่างสงบ ทำให้ลุงหมอจำเป็นต้องยอมอ่อนข้อให้เพื่อไม่ให้สกายดึงดันใช้วิธีการอื่นท่อาจจะเป็นการทรมานตนเอง และทำได้เพียงเซ็นยินยอมเอกสารเพื่อส่งให้กับองค์กรที่คอยอำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ต้องการจบชีวิตของตนเอง

 

และตอนนี้เขาตัดสินใจมารอที่นี่กับเวลา 90 วันที่เหลืออยู่บนโลกนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและว่างเปล่า

 

ลุงหมอให้เขามาอยู่กับคนรู้จักของลุง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของแม่และเคยมาเล่นกับสกายตอนที่สกายเป็นเพียงเด็กทารก ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี้กับสามีและลงหลักปักฐานที่นี่มาเกือบสามสิบปีแล้ว

 

สกายรู้ว่าลุงหมออยากให้เขาได้ลองใช้เวลาที่นี่แทนที่จะไปอยู่ในสถานที่ของทางองค์กรจัดไว้ให้สำหรับสมาชิกที่เลือกจะจากไปอย่างสงบและลุงหมอยังคงหวังให้เขาเปลี่ยนใจไม่ทำแบบนี้จึงได้ขอให้เขามาอยู่ที่แห่งนี้

.................////..............

 

"เรียกป้าว่า ป้าเดียร์ก็ได้ลูก โตขึ้นมากเลยจริง ๆ ล่าสุดที่เจอกัน หนูยังตัวเท่าเจ้าจิดริดอยู่เลย"

 

และเจ้าจิดริด ที่ป้าเดียร์พูดถึงก็คือเจ้าสุนัขพันธุ์โกลเดนรีทรีพเวอร์ตัวเต็มวัยที่แกเลี้ยงไว้ ถ้าสถายคาดการณ์ไม่ผิดป้าเดียร์คงจะหมายถึงตอนเจอกันล่าสุดตัวเขาน่าจะเพิ่งสี่ห้าขวบได้ซึ่งก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว

"ห้องของหนูอยู่ชั้นสองนะ ป้าจัดไว้ให้แล้ว ทำตัวตามสบายได้เลยนะ คิดว่าอยู่บ้านตัวเอง"

 

"ครับ ขอบคุณมากเลยครับ รบกวนป้าเดียร์แล้ว"

"ไม่เป็นไรเลยลูก ป้าอยู่กับสามีแค่สองคน แล้วก็เจ้าจิดริดแค่นี้เอง มีหนูมาเพิ่มป้าดีใจมากแต่ป้าจะดีใจมากกว่านี้อีกถ้าหนูมาอยู่กับป้าตลอด"

 

เสียงของสาวใหญ่วัยกลางคนคล้ายกับอ่อนลงพร้อมด้วยเสียงสั่นเครือในช่วงท้าย เพราะรับรู้อยู่แล้วว่าจุดประสงค์ของสกายที่มาอยู่ที่แห่งนี้คืออะไร แต่เธอก็ทำได้เพียงยอมรับการตัดสินใจและหวังว่าที่แห่งนี้จะพอช่วยให้ลูกชายของเพื่อนเธอเปลี่ยนใจรับการรักษาและสู้ต่อไปอีกสักนิดบนโลกใบนี้

 

"หนูไม่ต้องเกรงใจป้าน่ะ มีอะไรหรือรู้สึกอะไร บอกป้าได้ทันทีเลยน่ะ"

"ได้ครับ ขอบคุณครับ"

"โอเค งั้นป้าจะปล่อยให้หนูได้พัก"

 

สกายเดินดูห้องพักของตนเอง ภายในห้องมีเตียงขนาดไม่เกินหกฟุต มีตู้เสื้อผ้า มีตู้ลิ้นชักอีกสองสามชิ้น และยังมีโต๊ะทำงานเล็ก ๆ น่ารักอีกหนึ่งชุด วางติดกับผนังบริเวณหน้าต่างที่เปิดโล่งเห็นวิวถนนด้านหน้าของอพาร์ทเม้น รวมไปถึงต้นไม้ที่ตอนนี้ใบของมันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้มทยอยปลิวร่วงหล่นลงพื้นเต็มถนน

 

กระเป๋าเดินทางสองใบถูกจัดแจงหยิบเอาของใช้ส่วนตัวออกมาจัดวางในห้อง สกายมีเสื้อผ้าไม่กี่ชุด มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หนังสือเล่มโปรดรวมไปถึงขวดยาอีกหลายกระปุกที่ต้องกินทุกวัน ยาหลายขนานที่พกมาด้วย ช่วยพยุงอาการของสกายเมื่ออาการเจ็บกำเริบ ส่วนใหญ่จะเป็นยาแรงที่ช่วยกดระบบประสาทเพื่อบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวดและอีกหลายตัวเป็นยานอนหลับที่ช่วยให้เขานอนหลับได้ในตอนที่ป่วยอยู่

 

.................//////..................

 

"ผมฝากป้าเดียร์ด้วยนะครับ อาทิตย์นี้ผมมีบินด่วนเลยต้องพามาก่อนวันที่เราตกลงกันไว้แบบนี้"

"คุณแพท ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ เดียวป้าดูแลให้เอง"

 

เสียงพูดคุยของป้าเดียร์กับผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นคนไทยอาศัยอยู่ที่ประเทศนี่ดังลอดเข้ามาในครัวขณะที่สกายกำลังล้างผักเพื่อทำอาหารเที่ยง รวมไปถึงผลไม้ที่ลุงจอร์นซื้อมาตอนที่ออกไปวิ่งออกกำลังตอนเช้า

 

สกายรู้ว่าป้าเดียร์ทำงานเป็นแม่บ้านที่โรงเรียนของรัฐแห่งหนึ่ง งานของแกจะเริ่มช่วงเช้ามืดและจะเรียบร้อย เลิกงานในช่วงก่อนเที่ยงเสมอ หลังจากนั้นแกก็มักจะรับงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในช่วงบ่าย จากผู้ปกครองที่ติดธุระเร่งด่วนและต้องการคนอยู่ดูแลลูกหลานของพวกเขา ส่วนสามีของแกทำงานเป็นคุณครูสอนเด็กชั้นมัธยมอยู่อีกโรงเรียนที่ไม่ห่างกันมากนักและมักจะกลับมาช่วงบ่ายเสมอ

 

ในตอนที่ป้าเดียร์มาอยู่ที่นี้ใหม่ ๆ แกยังทำงานที่โรงเรียนแห่งนั้นตามเวลางานปกติ ไปทำงานเช้ามืดกลับก่อนเที่ยงและรับงานดูแลเด็กที่บ้านของผู้ปกครองและบางครั้งก็พาเด็ก ๆ มาอยู่ที่บ้านของแกเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าป้าเดียร์จะงดรับงานดูแลเด็กคนอื่น ๆ ไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน เพราะทำสัญญารับดูแลเด็กแฝดสองคน ที่ผู้ปกครองของพวกเขามักจะมีงานที่ต้องเดินทางบ่อยครั้งและไม่มีใครดูแล

 

ซึ่งแน่นอนว่ารายได้ที่ได้จากการทำสัญญารับดูแลเด็กทั้งสองคนนั้นสูงมากจนป้าเดียร์ไม่จำเป็นต้องรับดูแลเด็กคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม

 

ไม่นานหลังจากเสียงพูดคุยของทั้งคู่เงียบไป สกายก็ได้ยินเสียงปิดประตูและเสียงเท้าของเด็กและผู้ใหญ่เดินตามกันมา

 

"Okay sweethearts. I need you to meet someone, ah here come.... come on, don't be shy" (เข้ามาเลยจ้ะ หนู ๆ ป้ามีคนอยากจะแนะนำให้รู้จัก ไม่ต้องอายกันน่ะ เข้ามาเลย)

 

"This is Sky, He's my neef" (คนนี้สกาย หลานชายของป้าเอง)

เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยบอกเด็กน้อยที่พาเข้ามาในครัวเพื่อที่จะแนะนำให้สกายรู้จัก

 

"hi"

"hi"

 

เสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยอายุห้าชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่ดูเขินอายและหลบสายตา เดาได้ว่าเด็ก ๆ คงจะไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้ามากนัก

 

"สกาย จำที่ป้าเล่าให้ฟังได้ไหมเรื่องที่ป้ารับดูแลเด็กเล็กหลังเลิกงาน"

"ได้ครับ"

"คนนี้ Viva คนนี้ Wiz"

 

Viva เด็กผู้หญิงในชุดเจ้าหญิงสีฟ้าสวมผ้าพันคอสีชมพู ตาโต จมูกจิ้มลิ้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มออกดำตามเชื่อสายชาวเอเชีย

Wiz เด็กผู้ชายแก้มกลม โครงหน้าคล้ายกับเด็กผู้หญิงที่มาด้วยกันยกเว้นนัยน์ตาที่ดูเป็นสีน้ำตาลอ่อนมากกว่าน้องสาวของตน

 

สกายเดินเข้าไปคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อให้อยู่ในความสูงเดียวกันกับเด็กขี้อายทั้งสองคน

"Nice to meet you, I'm sky"

"sky?.. like.. like a blue one and have cloud"

เสียงใสของ วีว่าเอ่ยถามเขาและดูเหมือนจะสงสัยว่าชื่อเขาเหมือนท้องฟ้า ท้องฟ้าที่มีสีฟ้าและมีก้อนเมฆอย่างที่เธอจินตนาการอยู่หรือไม่

 

"yes, that one"

"okay... I love it"

สกายยิ้มให้ทั้งคู่ที่ยิ้มตอบกลับมาด้วยความเขินอายก่อนจะหลบสายตาไป

 

"งั้นเดี๋ยวป้าพาเด็ก ๆ เอาของไปเก็บที่ห้องแล้วเดี๋ยวป้าจะลงมาช่วย"

"ได้ครับ"

 

ป้าเดียร์พาเด็กทั้งสองไปยังห้องนอนประจำที่พวกเขาเคยอยู่ทั้งครั้งที่มา จากที่รับรู้มาปกติแล้วเด็กทั้งสองคนจะมาอยู่เฉพาะช่วงบ่ายวันจันทร์ อังคารและพุธ ส่วนครั้งนี้ทั้งคู่มานอนค้างอยู่ที่นี้ด้วยน่าจะเพราะคุณพ่อของพวกเขามีธุระต้องไปทำงานที่อื่น ไกลจากเมืองนี้หรือไม่ก็ไปต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งก็กินเวลาถึงสองวัน บางครั้งก็สามวันหรือบางครั้งเป็นอาทิตย์และเหมือนจะเป็นแบบนี้มาสามปีแล้วจากที่สกายรับรู้มา

 

'ตื๊ดด ตื๊ดดด ตื๊ดดดดด'

 

เสียงออดหน้าบ้านดึงความสนใจของสกายที่กำลังจัดแจงวัตถุดิบรอให้เจ้าของบ้านมาจัดการทำอาหารต่อและเสียงนั้นยังคงดังอยู่ต่อเนื่องจนสกายต้องรีบเช็ดมือและเดินไปเปิดประตูเผื่อว่าคนที่มาเรียกจะมีธุระสำคัญ

 

"พอดีผมละ... เอิ่ม ขอโทษครับ อ่อ Sorry"

ประโยคเอ่ยบอกของแพททริคคุณพ่อของเด็กแฝด Viva และ Wiz ขาดช่วงไปหลังจากเงยหน้าขึ้นมาเจอกับคนที่ไม่คุ้นเคยมาเปิดประตูก่อนจะหันมองซ้ายขวาเพื่อเช็คว่าตนมาเคาะประตูถูกบ้านหรือไม่

 

"ที่นี่บ้านป้าเดียร์ครับ"

สกายที่ได้ยินคุณคนนี้พูดภาษาเดียวกันและคงจะเป็นผู้ปกครองของเด็กสองคนจึงยิ้มทักทายกลับเป็นภาษาเดียวกันด้วยท่าทางที่เป็นมิตรมากที่สุด อีกทั้งดูจากที่ชายคนนั้นถือตุ๊กตายูนิคอร์นตัวหนึ่งและสมุดนิทานอีกสองสามเล่มสำหรับเด็กจึงคิดว่าอีกคนคงนำของเหล่านั้นมาให้ป้าเดียร์

 

"เอ่อ คุณคงจะเป็นหลานชายของเธอ"

แพททริคที่นึกขึ้นได้ว่าคนที่ตนว่าจ้างเคยบอกไว้ว่าที่บ้านของเธอจะมีหลานชายมาอยู่ด้วยชั่วคราว ในตอนนั้นแพททริคนึกว่าหลานชายที่เธอบอกยังเป็นเด็ก ไม่ได้คาดคิดไว้ว่าหลายชายที่เธอบอกจะโตแล้วและยัง... ยิ้มสวยอีกต่างหาก

 

"ใช่ครับ ผมสกาย ยินดีที่ได้รู้จักครับ"

สกายตอบกลับไปพร้อมกับยื่นมือออกไปเพื่อทำความรู้จักเพราะคิดว่าอีกคนคงจะคุ้นเคยกับการจับมือมากกว่าการไหว้

 

"อ่า ผ ผมแพททริคครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"

 

แพคทริคยืนมือเข้าไปจับมือของอีกคนด้วยท่าทางเก้กัง รู้สึกแปลกใจกับรอยยิ้มของอีกคน รอยยิ้มที่ดูสดใสแต่พอมองเข้าไปในแววตากลับดูหม่นแสงผิดปกติ จนทำให้อีกคนเริ่มทำตัวไม่ถูก

 

"เข้ามาในบ้านก่อนไหมครับ พอดีป้าเดียร์เพิ่งพาพวกแกเอาของไปเก็บที่ห้องนอน"

 

"เอ่อ ไม่ดีกว่า แต่ผมมีธุระต่อ... ผมแค่จะเอาตุ๊กตากับหนังสือนิทานมาให้ครับ พอดีพวกแกลืมเอาไว้ในรถ"

"ครับ เดียวผมเอาไปให้"

สกายยื่นมือไปรับตุ๊กตาและหนังสือจากอีกคน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ไม่ยอมปล่อยของที่บอกจะนำมาให้ลูกสาวและลูกชายของตัวเอง

 

"เอ่อ คุณแพททริคอยากเอาไปให้เด็ก ๆ เองหรือเปล่าครับ?"

"อ้อ ขอโทษครับ นี่ครับ"

คนที่เพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ยอมปล่อยมือออกจากของที่ยื่นไปให้เพราะมัวแต่จ้องหน้าอีกคน จึงรีบปล่อยมือออกจากของทั้งสองอย่างให้สกายและยังคงยืนมองอีกคนนิ่งจนสกายต้องเอ่ยถามบางอย่างออกไป

"คุณแพททริคมีอะไรอีกรึเปล่าครับ"

"ไม่มีแล้วครับ ผมต้องไปแล้ว อ่าาา สายแล้ว ๆ ผมขอตัวก่อนนะครับ"

 

แพททริคพูดบอกพร้อมกับยกข้อมือที่สวมนาฬิกาเรือนสวยขึ้นมาดูเวลาก่อนจะทำหน้าเสียดายที่ต้องไปแล้วเพราะมัวแต่มองและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเกือบลืมไปว่าตนเองต้องรีบไปขึ้นเครื่องก่อนจะหันไปหาอีกคนเพื่อเอ่ยลา

 

"เอ่อ.. แล้วเจอกันนะครับ สกาย"

"ครับ แล้วเจอกันครับ"

 

แพททริคเดินกลับไปยังรถของตนเองก่อนจะขับออกไปจากถนนตรงนั้นและยังไม่วายหันมองกระจกด้านข้างเพื่อดูอีกคนเดินเข้าไปในบ้านของผู้ดูแลเด็ก ๆ จนลับสายตาไป

 

 

Talk กับไร้ท์งับ >>>  เรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติกคับ มีเศร้าบ้างแต่ไม่เยอะจ้า สบายใจได้ คิดเห็นกันยังไงคอมเม้นคุยกับไร้ท์ได้นร้าาา ฝากกดใจเป็นกำลังใจให้ไร้ท์เตอร์กันด้วยนะครับ กราบบบบบบ ขอบพระคุณจากใจจริงเลยคร้าาา เจอกันตอนหน้าจ้า