Chapter 10 อกหักทั้งที่ยังไม่ได้จีบ

 

หญิงสาวคนตรงกลางมองคนน้องเดินจากไปด้วยสีหน้าเศร้า เธอเองพยายามเรียกชื่อ แต่อีกคนทำเพียงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ดูแลต้องการไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

โฟร์สูดลมหายใจเข้าปอดควบคุมอารมณ์จะไม่เหวี่ยงสองคนตรงนี้ให้ไกลที่สุด ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแววตาอาฆาต มือขวาแกะหนวดปลาหมึกอย่างแรง ปันปันคือเพื่อนสนิทรีบคลายมือและหุบปาก

“น้องหยุดค่ะ! เอามือออก” แรงกระชากและสะบัดมือรุนแรงจนหญิงสาวไม่กล้าจะเข้ามาจับอีก และหันไปหาหญิงสาวอีกคน “ปันปันมึงก็หยุดด้วย! เชี่ยแม่งเอ๋ย!!!!” เสียงสบถและคำกร่อนด่าอีกมากมาย และเธอหันมองหญิงสาวคนแรก “น้องค่ะ! ต่อให้พี่ไม่มีแฟน หรือไม่มีใครเอา พี่ก็ไม่เลือกน้อง” ก่อนจะเน้นย้ำประโยคสุดท้ายทีละคำ “อย่า มา ยุ่ง กะ กู อีก เข้า ใจ ไหม”

“...” ปันปันยกยิ้มเย้ยอย่างสะใจ เข้าไปควงแขนหญิงสาวที่หมุนตัวกลับไปหยิบสิ่งของและเดินหนีออกไปทางด้านนอก

พอออกมาด้านนอกเธอพบว่ารถของคนน้องไปอยู่ที่จอดแล้ว และบอดี้การ์ดที่ให้คอยตามดูหายไปด้วย ขาเรียวยาวก้าวเคียงข้างไปหญิงสาวเดินมาหยุดที่รถ ก่อนจะแบมือตรงหน้าเพื่อนสนิทอย่างปันปัน

“เอามาเร็วก่อนที่กูจะแดกหัวมึง”

ปันปันขมวดคิ้วสงสัย ล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่มาวางมือเพื่อนสนิท “มึงไม่สูบข้างนอกไม่ใช่เหรอ”

โฟร์หยิบบุหรี่มวนสีขาว และมีคนด้านข้างจุดไฟให้ สูดควันเข้าจนเต็มปอดพ่นออกมาตามด้วยสบถด่า “สัด! ฟิตเนสนี่กูจะซื้อแล้วแม่งทุบทิ้ง เชี่ยเอ๋ย!! มีแต่เรื่อง กูแม่งคิดว่ากลับมาจะได้อยู่กับน้องแบบสบายใจ มาเจอแต่เรื่องเหี้ย ๆ เนี่ย”

“WTF”

โฟร์ซู้ดควันเข้าปอดอีกครั้ง ตบบ่าเพื่อนสาว “กูไปก่อนนะมึง แล้วจะพาไปรู้จัก” เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งด้านหลัง เสร็จเป้ชายหนุ่มบอดี้การ์ดโค้งคำนับ ขึ้นไปทำหน้าที่ขับรถให้เจ้านาย

กว่าปันปันจะรู้ว่าความหมายเพื่อนพูดคืออะไร เจ้าตัวจากไปแล้ว คำว่า จะพาไปให้รู้จัก แสดงว่าคนนั้นคือคนที่นางจริงจังด้วยที่สุด เพราะไม่เคยมีใครคนไหนที่จะพามารู้จักเพื่อนสนิทอย่างเธอ อยากรู้จักจังคนที่ทำให้เพื่อนยอมหยุด

เมเปิลออกจากฟิสเนต และรู้สึกตัวอีกทีก็จอดรถที่หน้าคอนโดตัวเองแล้ว เธอทั้งอยากจะร้องไห้แต่มันทั้งจุกทั้งอึดอัด ก้มหน้าแนบกับพวงมาลัยรถเรียกสติ ครั้นเงยหน้าเพื่อจะขึ้นไปยังห้องพบการกระทำของรถคันด้านหน้า ชายหนุ่มโน้มตัวเคาะกระจกพบกับหญิงสาวด้านในรถ

น้ำตาที่เริ่มแรกมันไหลจนหยุด ค่อย ๆ ร่วงอีกครั้ง มันความเพ้อฝัน การมโนเข้าข้างตัวเอง เมเปิลใช้หลังมือปาดน้ำตา สูดน้ำมูก ฝืนฉีกยิ้มกว้าง เงยหน้าขึ้นให้น้ำตาไหลย้อนคืน

 

วันนี้เธอเองตั้งใจว่าจะบอกกับคนพี่ว่ากำลังจะไปทำงานที่ตรัง และอยากจะชวนคนพี่ไปเที่ยวต่อหลังจากนั้น ถ้าคนพี่ยอมไปบวกกับบรรยากาศเป็นใจ เมเปิลเองอาจจะสารภาพว่าเธอชอบพี่โฟร์ ถึงแม้พี่เขาจะไม่รับ อย่างน้อยเธอก็ได้บอกในความรู้สึกในใจ คนเราเมื่อบอกความรู้สึกแก่คนที่คนชอบใคร ๆ ก็อยากสมหวัง แต่ตอนนี้ตัวเธอแค่โอกาสจะบอกยังไม่มีโอกาสเลยกลับต้องฝังกลบความรู้สึกและร้องไห้ให้สาแก่ใจสะเถอะ

 

เสียงถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง พาร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นไปยังชั้นสามสิบ อาบน้ำและเก็บเสื้อผ้าข้าวของที่ต้องใช้ลงกระเป๋าเดินทาง เสียงโทรศัพท์จากคนพี่ เธออยากรับสายแต่กลัวว่าใจตัวเองจะทนไม่ไหวจึงปล่อยให้มันตัดสายไป แล้วหยิบมาส่งข้อความตอบกลับว่า เมลมีธุระด่วนเลยต้องรีบออกมา ขอโทษด้วยนะคะ กดเข้าสู่โหมดเงียบตัดการรบกวน

 

กระเป๋าเดินทางถูกยกใส่ท้ายรถ การหนีไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา สิ่งที่เธอกำลังทำไม่ใช่หนีเพียงหลบไปตั้งสติก่อนกลับเผชิญปัญหาหรือไปทำใจมากกว่า

“อกหักแล้วไปนั่งทำใจโง่ ๆ ที่ทะเล ก็เข้ากันดี” เมเปิลพูดกับตัวเองตามด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

 

รถสปอร์ตคันสีขาวขับเคลื่อนจากลานจอดรถมุ่งหน้าตรงสู่ภาคใต้ของประเทศไทย เมเปิลขับรถมาได้ระยะจึงแวะเข้าปั๊มเดิมทั้งน้ำมันคนและน้ำมันรถ หลังจากเข้าห้องล้างหน้าให้สดชื่น เดินไปยังร้านเบอร์เกอร์ฟาสฟู้ดชื่อดัง หลังจากรับอาหารเดินไปหาโต๊ะมุมเงียบ ๆ กิน

มือล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมีข้อความในกลุ่มไลน์เพื่อนของเธอ คิวชวนไปร้านแถว ๆ มหาลัย ถึงไม่บอกก็รู้ว่ามันไปทำเฝ้าใคร อิจฉาในความมั่นคงของคิว ต่อให้ผ่านมากี่ปีก็ยังคงปักใจกับคนเดิม ถึงแม้จะมีอุปสรรคที่ยากต่อการก้าวข้าม ส่วนเจ้าตัวบอกเพียงแค่รออย่างเดียวเท่านั้น พอมองกลับมาที่ตัวเองยังไม่ทันเริ่มก็ยอมแพ้แล้ว แต่จะให้ไปแทรกกลางระหว่างคนที่รักกันมันก็เลวเกินไป

นั่งอ่านการโต้ตอบข้อความระหว่างกันในกลุ่ม ถ้ารู้เร็วกว่านี้คงไป แต่นี่ออกมาไกลแล้ว จึงทำแค่ส่งข้อความบอกไปว่า ‘ไม่ว่าง ช่วงนี้ต้องออกต่างจังหวัดบ่อย’

 

ชายหนุ่มนั่งอยู่ด้านนอก เฝ้ามองหญิงสาวภายในร้าน กดรับสายจากหัวหน้าบอดี้การ์ด

“ครับผม”

[มึงอยู่ไหน ยังตามคุณเมเปิลอยู่ใช่ไหม]

“ครับผมตามอยู่ ตอนนี้ถึงเพชรบุรีครับ”

[งั้นตามต่อไป ดูแลความปลอดภะ...เอามานี่สิ] โฟร์แย่งโทรศัพท์จากลูกน้องมาเพื่อคุยเอง

[ตอนนี้เมลทำอะไรอยู่ อยู่กับใคร มีใครมายุ่งไหม]

“เอ่อ...” เขารอจังหวะแทรก เมื่อไม่มีเสียงจากเจ้านายสาวแล้วจึงตอบ “ตอนนี้คุณเมเปิลกำลังทานแฮมเบอร์เกอร์ อยู่คนเดียวครับ เท่าที่ผมสังเกตน่าจะไม่ได้นัดใครหรือว่าบางทีคุณเมเปิลจะไปทำงานหรือเปล่าครับ”

[ตามต่อไป ดูแลความปลอดภัยให้ดี อย่าให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวาย สิ้นสุดที่ไหนโทรบอกกูทันที] หลังพูดจบหญิงสาวถอนหายใจลากยาว

“ครับผม”

เป้รับโทรศัพท์กลับมา และกล่าวย้ำอีกครั้ง [ดูแลความปลอดภัยคนของคุณโฟร์ให้ดี]

“ผมรับรองด้วยชีวิตครับ”

 

หลังจากคุยกับลูกน้องและฝากฝังความไว้ใจแก่เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานในทีมไปถึงปี แต่ผ่านการฝึกฝนร่วมห้าปี พอไว้ใจได้ระดับหนึ่ง ส่วนเธอเองหยิบโทรศัพท์ตั้งใจว่าจะกดไปหาคนน้อง แต่ต้องยั้งใจเอาไว้เพราะหลังจากเกิดเรื่องเจ้าตัวไม่ยอมรับสาย ตอบมาเพียงแค่ข้อความเดียว ใจเธออยากตามไปจะขาด ตอนนี้ขอแค่รู้จุดหมายของน้องเธอสัญญาว่าจะตามไปทันที

 

เมเปิลขับรถมาไปยังสู่ท้องถนนตามเส้นทางหลักเพื่อขับลงภาคใต้ของประเทศ ตะวันลาลับขอบฟ้าความมืดเริ่มกล้ำกราย ความเหงาและความเศร้าใจค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์จากบิดาเรียกสติเธอกลับมา

[ว่าไงลูก อยู่ไหน แต่เสียงเหมือนขับรถอยู่เลย]

“ค่ะ กำลังขับรถ หนูว่าจะโทรไปลางานพอดีเลยค่ะ ในเมื่อท่าน CEO โทรมาแล้วงั้นหนูลาเลยนะคะ”

[ลาไปไหน ผมขอทราบเหตุผลด้วยครับ]

“ขับรถไปทำงานที่ตรังค่ะ”

[หื้ม...ว่าไงลูก อย่าบอกนะว่าตอนนี้กำลังขับรถไปตรัง งานมันอีกมะรืนใช่ไหม]

“ใช่ค่ะ”

[หนูมีเรื่องอะไรหรือเปล่าลูกถึงเลือกจะขับรถไกล ๆ]

 

บิดาอย่างเขารู้ถึงนิสัยลูกสาวคนนี้ดี เมื่อมีอะไรกระทบกระเทือนจิตใจหรือมีเรื่องให้กังวลมักเลือกจะใช้การขับรถไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่มีอะไรให้คิด ครั้งหนึ่งในช่วงวัยเด็กและนั่นคือสิ่งที่เขาจำมันได้ ลูกสาวในวัยสิบขวบตอนนั้นเธอไม่แน่ใจว่าลูกสาวทะเลาะกับใครที่โรงเรียน หลังจากกลับมาบ้านก็คว้าจักรยานปั่นออกไปเพียงคนเดียวและปั่นไปไกลจากบ้านเกือบสิบกิโล เขาระดมคนทั้งบ้านออกตามหา ผ่านไปสามชั่วโมงมีเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้าเครื่องและบอกว่าลูกสาวต้องการคุยด้วย

และจากนั้นลูกสาวเขาบอกสถานที่ให้ไปรับได้อย่างถูกต้อง ส่วนเหตุผลที่เมเปิลบอกคือ แค่อยากใช้ขี่จักรยานไปเรื่อย ๆ หนูจะได้ไม่ต้องคิดอะไรในหัว หลังจากนั้นทั้งสองคนสัญญาว่าถ้าจะทำแบบนี้อีก ขอแค่ให้บอกก่อนขับรถไปและเมื่อหายแล้วก็ให้บอกว่าอยู่ที่ไหน และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ลูกสาวเขาเข้าเรียนคณะวิศวกรรมยานยนต์ล่ะมั่ง เพราะเขาและแม่ของเจ้าตัวไม่เคยห้ามในสิ่งที่ลูกอยากทำและไม่เคยคิดจะถามหาเหตุผลให้อิสระในการใช้ชีวิต มันจะมีแค่บางเรื่องที่แม่ของเจ้าตัวห่วงคือคู่ชีวิตเพราะอยากจะช่วยคัดกรอกคนดี ๆ ให้ลูกแค่นั้น

“นิดหน่อยค่ะพ่อ”

[ถึงแล้วบอกพ่อด้วยนะลูก มีสติด้วยลูก พ่อกับแม่รักลูกเสมอ]

“ค่ะพ่อหนูรักพ่อกับแม่”

 

เมเปิลขับรถรวมระยะเวลาทั้งสิ้น สิบห้าชั่วโมงจนถึงโรงแรม เพราะตอนนี้เธอเองรู้สึกไม่ไหวแล้ว จึงเข้าไปทำการสอบถามเรื่องที่พักแต่ฝั่งทางพ่อเธอจัดการให้หมดแล้ว สามารถเข้าพักได้เลย

เมื่อถึงยังห้องพัก โทรศัพท์ที่แบตหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมเปิลจึงเสียบชาร์จพร้อมเปิดเครื่องต่อสายหาบิดาทันที

[อะ ว่าไงลูก ถึงไหนแล้ว ถึงหรือยัง] น้ำเสียงถามทั้งเป็นห่วงและกังวลแถมยังแหบแห้ง

ตัวเธอเดาได้ว่าพ่อคงไม่ได้นอน และเมเปิลเองไม่ชอบนิสัยเสียของตัวเองเท่าไหร่นัก แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้เธอก็ไม่รู้จะหาที่ระบายยังไง “ถึงแล้วค่ะพ่อ ขอโทษนะคะที่ทำให้เป็นห่วง และขอบคุณมากนะคะที่จัดการเรื่องโรงแรมให้ด้วย”

[ถึงอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว ไม่คิดมากเรื่องที่พ่อห่วงหนูล่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่นะลูก ไม่ห่วงเรื่องนี้ก็ห่วงเรื่องอื่นอยู่ดี พักผ่อนให้สบายใจเถอะเรา อยู่เที่ยวต่ออีกเป็นเดือนก็ได้”

“ไม่ล่ะค่ะ ทำงานเสร็จก็กลับเลย ขับรถกลับต่ออีกรอบก็คงสบายใจแล้ว ตอนนี้หนูโตแล้วมีหน้ารับผิดชอบแล้วด้วย ต้องแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานให้ได้”

[โอเคครับคนเก่งของพ่อ พักผ่อนได้แล้วเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ฝันดีนะลูก]

“ค่ะ เมลรักพ่อกับแม่นะคะ ฝากหอมแก้มแม่ด้วย”

หลังจากวางสายของบิดา หญิงสาวยกมุมปากขึ้นความอุ่นวาบในใจ ผ่านมาจนอายุยี่สิบหกปี พ่อและแม่ยังทำไมให้เธอรู้สึกกลับเป็นเด็กสาวอีกครั้ง ความอ่อนล้าอย่างมากมาจนทำให้เธอผล็อยหลับ

 

ทางด้านโฟร์ที่อยากหนีการประชุมแล้วให้ไอ้น้องชายเข้าแทน แต่ในดันไม่ให้ความร่วมมือ และเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้ข้ออ้างอะไร

“มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย” ฮาจิยกเท้าวางบนโต๊ะกำลังเล่นเกมบนจอมือถือ เอี่ยวตัวหลบแฟ้มที่พี่สาวปามา

“มึงไม่ยอมไปประชุมแทนกู”

“เรื่องนี้มึงดูตั้งแต่แรก ทำไมกูต้องไปทำแทนด้วย ใช่หน้าที่กูไหม”

โฟร์จิปากอย่างไม่สบอารมณ์ ฮาจิจึงเริ่มซักไซ้ในอาการพี่สาว “มึงติดเด็กใหม่เหรอวะ แต่...” น้องชายลากเสียงยาวอย่างแปลกใจ “ปกติอาการไม่ออกแบบนี้ ใครวะทำมึงกระวนกระวายใจ”

“เรื่องคนเก่งไงสัด! มึงก็รู้ว่าน้องอาจจะได้เจอไอ้เหี้ยซันนั่นไง” โฟร์ห้ามข้อบ่ายเบี่ยงและนับว่าโชคดีที่คนเก่งเธอไป Outing กับบริษัทในวันนี้เช่นกัน

“เชี่ย!!!! กูลืมนึกไปเลย” ฮาจิโดนสะกิดใจ เด้งตัวลุกขึ้นทันที “ไม่ได้กูต้องไปเฝ้าน้อง” แล้วไอ้น้องชายวิ่งออกไปจากห้อง

โฟร์เดินไปหยิบแฟ้มกองอยู่กับพื้นมาและเดินกลับไปยังห้องทำงานตัวเอง นั่งแช่หน้าจอคอมเข้าดูพิกัดของคนน้องในตอนนี้ยังอยู่ที่เดิม เธอตั้งใจว่าพรุ่งนี้คงต้องบินไปหาทันทีเพราะยังเหลือประชุมในช่วงบ่าย ยังมีธุระต่อในช่วงเย็นคือพ่อกับแม่บินกลับบ้านรอบห้าเดือนเรียกลูกทั้งสองไปกินข้าวที่บ้านใหญ่

 

ส่วนคนที่ตรังก็ไม่ออกจากห้องพักหลังจากตื่นมาช่วงบ่ายสามโมงเย็น สั่งอาหารรวมถึงเครื่องดื่มมายังห้องตัวเอง เพราะต้องการพักผ่อนให้มากที่สุดเพื่อพร้อมในการทำงานในวันพรุ่งนี้

 

วันต่อมา คนพี่ได้รับรายงานจากฝาแฝดเกาว่าไนน์กำลังเดินทางกลับจากปราณบุรี แสดงว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่าง เรื่องการจะง้อคนของเธอต้องถูกพับเก็บไปอีกรอบ

การก้าวย่างเข้าในพื้นที่ส่วนตัวของไนน์ครั้งนี้มีสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาทั้งแปดคนร่วมมือและพร้อมมีศัตรูคนเดียวกัน เหตุผลคือการต้องทนดูน้องเล็กของบ้านกำลังจะมีแฟน มีคนได้รับความพิเศษมากกว่าพวกเธอ พิเศษแม้แต่คำเรียกขานว่า พี่ ซึ่งพวกเขายังไม่เคยได้ยินน้องเรียก อย่ามากก็ เจ๊ เฮีย

 

ตอนนี้ไฟของพี่แต่ละคนกำลังลุกท่วมหัว น้องน้อยของพวกเธอไล่ให้พวกพี่ ๆ ทั้งหมดกลับไป และเลือกอีกคนให้อยู่ต่อ แต่ทำไงได้มีใครกล้าขัดใจ จึงยอมถอยทัพออกมาวางแผนก่อน และเธอเดาไอ้ผู้ชายที่มักจะทำอะไรโง่สักอย่าง แต่ยังไม่ได้วางแผนอะไรบอดี้การ์ดประตัวไนน์ไลน์มาบอกว่าเจ้านายไม่สบาย พวกเธอทั้งหมดแทบพุ่งตัวไปปฐมพยาบาล และเพิ่มความปวดใจให้เธออีกคือ ไอ้ซันนั่นได้รับอภิสิทธิ์เข้าไปในห้องส่วนตัวและได้นอนกอดคนเก่งของเธอ เรื่องจะไปง้อเมเปิลล้มเลิกไปด้วยไม่อยากเอาอารมณ์เสียไปลงกับน้องอีกคน

 

ส่วนคนที่อยู่จังหวัดตรังตัดตัวเองจากเครื่องมือสื่อสาร ทำตัวเองให้ยุ่งมากที่สุด ลงไปแย่งงานลูกน้องทำแบบแทบทุกอย่าง ยกโต๊ะ ตั้งเต็นท์ จัดซุ้มทางเข้า จวบจนงานเสร็จก็เกือบห้าทุ่มแล้ว เดินไปหาของกินร้านสะดวกซื้อพร้อมหิ้วเบียร์อีกอีกหกกระป๋องกลับยังห้องพัก ความเหนื่อยเมื่อยล้าบวกกับความมึนเมาจากแอลกอฮอล์ช่วยให้หลับจนถึงเช้าโดยไม่ต้องคิดอะไร

 

เช้าวันเดินทางกลับนับวันเกิดเรื่องที่ฟิสเนตก็เกือบสามวันแล้วที่ไม่เจอรวมถึงคุยหรือแม้จะส่งข้อความหาคนพี่ หนีความจริงได้แค่ไม่กี่วัน ต้องกลับไปรับสภาพอกหักต่ออีกแล้วเหรอ เธอถอนหายใจอย่างเจ็บปวด

“คุณเมเปิล!! คุณเมเปิลค่ะ รอเดี๋ยวค่ะ...” เสียงร้องเรียกจากเลขาวิ่งกระหืดกระหอบมา “แฮ่ก ๆ คะ คิดว่าไม่ทันแล้ว” เธอบอกแบบกระท่อนกระแท่นเพราะต้องหอบหายใจ

“มีอะไรเหรอคะพี่เอ้”

“คือให้พี่นั่งไปด้วยไหม แล้วบอสก็...”

“เมลเข้าใจนะแต่อยากไปแค่คนเดียว ไม่ต้องห่วงนะคะ” เมเปิลไม่รอให้เลขาตอบกลับมาเดินไปเปิดประตูรถและสตาร์ตเครื่องยนต์ขับออกไปเลย

เข้าใจความห่วงใยของแต่ละคน แต่คนเรามีวิธีผ่อนคลายจากความเศร้าไม่เหมือนกัน ส่วนเธอต้องการอยู่คนเดียวขับรถไปเรื่อย ๆ ไม่อยากพาใครไม่ร่วมชะตากรรมหารเกิดสิ่งไม่คาดฝัน เมเปิลรู้ตัวเองว่ามีรสนิยมชื่นชอบได้ทั้งสองเพศ ระหว่างทางมีคนเข้าหาเพียงแต่ตลอดเวลาไม่มีคนไหนที่ทำให้เธอเฝ้ามองได้เท่าพี่โฟร์ ในตอนนี้เหมือนให้ใจมันไปแล้ว แต่กลับไปไม่ถึงร่วงหล่นทางกลางก่อน

ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว หญิงสาวยกมือขึ้นมาปาดหยดน้ำตา ไม่รู้ว่าเธอจะกลับไปเป็นน้องสาวอีกคนของพี่โฟร์ได้หรือเปล่า

“สักวันจะกลับไปให้ได้นะคะ เมลจะหายไปไม่นานหรอก อื่อ...อ๊าก!! ไม่นานจริง ๆ นะคะ”

ตลอดเส้นทางขับรถ เมเปิลเองหยุดพักล้างหน้า เติมน้ำมันและซื้อกระดาษทิชชู จนถึงเข้าสู่กรุงเทพ ตอนแรกจะแวะเข้าบ้านแต่พอดูสภาพตัวเองตาบวม จมูกแดงก่ำ พ่อกับแม่ต้องรู้ว่าร้องไห้มาแน่ไม่อยากเพิ่มความไม่สบายใจให้อีก พอวนรถจะกลับคอนโดมันต้องผ่านฟิตเนส น้ำตาหยุดไหลก็ริมไหลมาอีก หวนคิดถึงคนพี่ไม่ได้

 

ชายหนุ่มที่เพิ่งรับรู้ความรู้สึกการมีแฟน กำลังวิดีโอกับอีกคน มีโทรศัพท์ดังเข้ามาแทรกจากเพื่อนสาว เขาจึงบอกกับปลายสายว่าขอรับสายเพื่อนก่อน เดี๋ยวจะโทรกลับไปหาใหม่

“ว่าไงมึง...”

[อื่อ...ไนน์มึงมาหากูหน่อย อึก กูเศร้า...ฮื้อ...กูเจ็บ เจ็บมากเลยมึง] เสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดปนสะอื้นปนด้วยเสียงรอบข้างเขาเดาว่าเจ้าตัวคงเมามากถึงโทรมาหา

“มึงอยู่ไหน บอกกูมาเดี๋ยวกูไปหา” ไนน์ถามกลับในขณะตัวเองลุกจากเตียงนอนเดินยังห้องแต่งตัว “เมเปิลฟังกูอยู่ไหม มึงอยู่ไหน อยู่กับใคร” เขาเริ่มร้อนใจด้วยความเป็นห่วง

“อื่อ...อยู่ไหนเหรอ..วะ อ๋อ ๆ ส่ง ส่งโลไปนะมึง ฮื่อ...มึงจะมาใช่ไหมมึง กูอก ฮึก...อกหัก ทั้งที่กูยังไม่ได้บอกเขา บอกเขาเลยมึง....ฮื่อ....”

พอเมเปิลวางสายไป ก็ส่งข้อความแจ้งเรื่องที่อยู่มา เขาที่แต่งตัวจนเสร็จแล้ว ไลน์แจ้งคนอื่นว่า

‘ใครว่างมาหาที่นี่หน่อย เหมือนเมเปิลจะมีเรื่องทุกข์ใจ’ และส่งพิกัดสถานที่ไปพร้อม

ผ่านไปไม่ถึงนาทีระหว่างเดินลงไปยังลานจอดรถบิ๊กไบค์ คนอื่นตอบกลับมามีแค่จัสมินกับเขาไปได้แค่สองคน ไนน์ได้โทรไปคุยกับหญิงสาวเล่าให้ฟังคร่าว ๆ และบอกว่าจะรีบไปให้เร็วที่สุด

 

ไนน์เดินเข้าไปในผับในกลางเมือง ห่างจากผับของพี่ชายไม่มากนักไล่สอบถามกับพนักงานเกี่ยวกับเพื่อนของเขา แต่ต้องสะดุดกับโฟร์ที่กำลังยืนคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาจึงเดินเข้าไปหา

“โฟร์!!” เขาเอ่ยเรียกพร้อมมือสะกิดไหล่

พี่สาวเขาตวัดหน้าพร้อมมือปัดออกทันที แต่ด้วยความเคยชินเขาจึงยกมือหลบทัน และเจ้าตัวผงะด้วยความตกใจ “คนดี!! คนดีของโฟร์...มาทำไมเหรอคะ” ชายหนุ่มเมื่อเห็นมีคนมาถอยหลังเดินหนี

“ไอ้ไนน์!!!!” เสียงตะโกนจากจัสมินพร้อมกับคุณสามีเดินเข้ามาหา “มึงเจอมันยัง กูรีบมาเร็วที่สุดแล้ว ถ้าลูกกูมาแล้ว มันต้องมาช่วยกูเลี้ยง ลงเครื่องปุ๊บยังไม่ทันหย่อนตูดนั่งก็ออกมาทันที”

ไนน์หันไปมองหน้าสามีเพื่อน ค้อมตัวลง “ขอโทษพี่ภามม์ด้วยครับ”

“ไม่เป็นไร ไปตามหาเพื่อนกันดีกว่า อยู่คนเดียวอันตราย”

 

พวกเขาทั้งหมดสี่คนเดินไปยังที่พนักงานแจ้งว่าเพื่อนเขาอยู่ หญิงสาวเมเปิลนั่งคนเดียวตรงมุมร้าน ในสภาพที่เมามายอย่างหนักหัวทิ่มปักโต๊ะ รอบข้างมีชายหนุ่มจ้องเธอด้วยสายตาไม่ดี

“เมเปิล กูมาแล้ว” ไนน์ตบบ่าก้มไปกระซิบปลุก

“ไนน์...มาแล้วเหรอ อื่อ...” คนเมาลืมตาขึ้นมาพอรู้ว่าเป็นเพื่อนโผเข้ากอดพร้อมร้องโฮ

“อือ...กูมาแล้ว” ไนน์เองโอบปลอบเพื่อนตบหลังไปด้วย คบหันมาเกือบหกปี นี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนคนนี้ร้องไห้อย่างเจ็บปวดจริง ๆ

จัสมินเดินแนบใบหน้ากับแผ่นหลังเพื่อนสนิท “เมลกูอยู่นะมึง ร้องออกมาให้พอ กูกับไนน์ และไอ้คิว เจโอ วีด้วยรักมึงนะ เป็นห่วงมึงมากด้วย”

“อื่อ...กูเจ็บกูชอบเขามากนะมึง มันจบตั้งแต่กูไม่เริ่มเลยมึง กูไม่กล้าเจอหน้าเขา กูกลัว กลัวตัวเองจะร้องไห้ต่อหน้าเขา กูเกลียดตัวเองที่อ่อนแอแบบนี้ อึก!! ใจหนึ่งกูอยากให้เขามีความสุข แต่มันเป็นกูไม่ได้เหรอวะ”

“เมล..” จัสมินเอ่ยเรียกเสียงอ่อย

“อือ...ร้องเลยเพื่อน กูจะอยู่กับมึงเอง” ไนน์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

“อื่อ...ทำไงให้เป็นกู เป็นกูไม่ได้ใช่ไหมมึง กูรักเขา กูรักพวกมึง ไนน์กูรัก...” คนเมาผล็อยหลับไปแล้วคอร่วงลง มือของเพื่อนชายหนุ่มประคองหัวพิงกับไหล่เขา

“...” ทั้งหมดนิ่งเงียบ

โฟร์เองนิ่งเงียบมานาน ก้าวขยับมาเข้ามาหาน้องชาย  มือเธอกำลังจะคว้าร่างที่กำลังร้องไห้สั่นเทาด้วยความเจ็บปวด แต่ทำไม่ได้ความโกรธพลุ่งพล่านในคนที่เข้ามาแทรกสร้างความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับน้อง ยิ่งโกรธตัวเองมากขึ้นเพราะไม่ยอมชัดเจนสักที

“อะ พี่โฟร์ มากับไนน์เหรอคะ” จัสมินเพิ่งสังเกตเห็นพี่สาวเพื่อนยื่นอยู่ร่วมด้วย เพราะตัวเองสนใจแต่เพื่อนรัก

โฟร์หยุดชะงัด กึก! “พี่มาธุระค่ะ เจอไนน์เลยเดินมาด้วย เกิดอะไรกับน้องเมเปิลเหรอคะ” เธอตอบคำถามจัสมินแต่สายตาเอาแต่จ้องใบหน้าสวยของคนหลับ ถึงแสงไฟสลัวไม่ต้องเดาตาต้องบวมช้ำมากแค่ไหน

“เมลน่าจะแอบชอบใครสักคนแล้ว คนคนนั้นคงมีคนรักอยู่แล้ว” จัสมินตอบด้วยเสียงเศร้าและเข้าใจในความรู้สึกเพื่อน

“กูอยากจะรู้ว่าคนนั้นเป็นใคร กูจะหาคนใหม่ให้ดีกว่าสิบเท่าเลยนะมึง ทำเพื่อนกูเจ็บ”

“มึงจะต่อว่าคนนั้นก็ไม่ถูกนะ ความรักมันบังคับ ที่เมลมันร้องไห้เสียใจขนาดนี้มันก็รู้แหละว่าไม่ใช่ที่ของมันแล้ว กูกับมึงทำได้แค่ปลอบ เฮ้ย...”

“กูว่าตอนนี้ต้องพามันไปพักผ่อนเถอะ ร้องจนหลับไปแล้ว”

“ให้พี่ไปส่งไหม จัสมินเพิ่งลงเครื่องน่าจะเหนื่อย ให้พี่ดูแลเมเปิลแทนได้นะ” โฟร์รีบเสนอตัว

“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงคอนโดเมลก็ทางผ่านบ้านหนู เอามันไปนอนบ้านหนูน่าจะดีกว่า” โฟร์รู้สึกเดจาวูในสิ่งที่จัสมินพูด เธอได้แค่ทอดถอนหายใจอยู่ภายในอก

“แบบนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่แบกไปส่งที่รถแล้วกัน คนเก่งเอาเพื่อนขึ้นหลังทีสิ” โฟร์ไม่อยากได้คำปฏิเสธอีกแล้ว เธออยากจะดูแลเมเปิลบ้างแค่เศษเสี้ยวก็ยังดี

 

ไนน์ประคองเมเปิลไปวางบนหลังพี่สาว โฟร์ยกตัวคนน้องให้กระชับและแบกได้ง่ายขึ้น ภามม์มองหญิงสาวสองคนหนึ่งคนแบกหนึ่งคนหลับบนหลัง ด้วยความแปลกใจอย่างมาก คนหลับน่ะไม่เท่าไหร่ แค่คนแบกที่เป็นถึงทายาทตระกูลดังและนักธุรกิจมีชื่อเสียงยอมลดศักดิ์ศรีลงมาขนาดนี้เลยเหรอ เพียงแค่เพื่อนน้องชาย

 

คนแนบแผ่นหลังรู้สึกไม่สบายตัว มึนหัวเหมือนโลกมันโคลงเคลงจึงรู้สึกตัวตื่น และด้วยการร้องไห้อย่างหนักตาปูดบวมจนลืมไม่ขึ้น คางวางบนบ่า กลิ่นน้ำหอมอันหอมหวานแสนคุ้นจมูก โฟร์รับรู้สึกการดิ้นดุกดิก เธอออกแรงดันตัวให้กระชับแน่นขึ้นเพราะกลัวเจ้าตัวจะร่วงหล่นลงไป

เสียงครางยานกระซิบบริเวณใบหู “อื่อ...กลิ่นของพี่โฟร์ ชอบกลิ่นนี้จัง ชอบเจ้าของกลิ่น...”

“!!!!! ว่าไงนะคะ” โฟร์หยุดเดินกลางคันเอียงหน้าหันไปถามคนบนหลัง

TBC...

ไม่ต้องร้องนะคะ เดี่ยวอีพี่มันก้ทนไมไ่ด้เอง ต้องไปงอหนู