9 ตอน แสงจันทร์ที่เก้า สิ้นแสงอาคเนย์
โดย Cho-mysun
-๙-
?Enjoy Reading?
รัตติกรลับล่วงไปตะวันใหม่เคลื่อนคลายขึ้นเหนือหัว วินฟาเรียเร่งวิ่งมายังทิศทางที่เกิดเสียงดังกัมปนาทเมื่อคืนนี้ ในหัวคิดถึงความเป็นไปมากมาย สิ่งมีชีวิตอันใดจึงจักทำให้ผืนพนาสะเทือนหนักราวกับว่าจักแยกออกเสียอย่างนั้น
คงแข็งแกร่งมิใช่น้อย แลอาจเป็นภัยหนักด้วยว่ามันอยู่ไม่ห่างจากฝูงหมาป่าอาคเนย์ของเขานัก
ราตรีที่ผ่านพ้นมีสิ่งน่าพิศวงเกิดขึ้นยิ่งใกล้เท่าไรดวงตาสีอำพันยิ่งเบิกกว้างขึ้นเท่านั้น ทิวทัศน์ตรงหน้าควรจักเป็นพนาทึบแต่บัดนี้กลับโล่งเตียน เศษซากพฤกษาโค่นล้มระเนระนาดทั้งกลิ่นคาวฉุนจมูกแผ่ปกคลุมไปทั่ว
ชิ้นส่วนร่างกายไม่สมประกอบของเซเทอร์นับสิบถูกโยนระเกะระกะราวกับว่าราตรีที่ผ่านมาพวกมันเจอกับสัตว์ร้ายที่อยู่เหนือกว่า ราวกับว่านภาฟ้าสูงถล่มลงมาผู้เป็นใหญ่ท่านพิโรธหรือไร จึงมอบความตายอันโหดเหี้ยมให้พวกมันเช่นนี้
แลเมื่อเงยหน้ามองไปสุดสายตาจึงสะดุดเข้ากับขุนเขาใหญ่โต ทว่ายามตรงเข้าไปใกล้แลเพ่งมองอย่างถี่ถ้วนกลับพบว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่ขุนเขาสูงเทียมเวหาหากแต่เป็นร่างของหมาป่าขนาดมหึมาที่นอนนิ่งราวไร้ชีวิต
วินฟาเรียนิ่งเงียบถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก มันรูปร่างอย่างหมาป่าทว่ากลับดูบิดเบี้ยวแลน่าสยดสยองอย่างสัตว์ใต้พิภพ
แลดวงตาสีอำพันยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปใหญ่เมื่อใบหน้ายียวนอันคุ้นตาเดินออกมาจากร่างใหญ่ไร้วิญญาณ
เอเดน ไอ้เบต้าที่หายหน้าหายตาไปทั้งคืน
"เจ้า เกิดอันใดขึ้น"
"สายตาเจ้าเป็นเลิศไม่ใช่หรือ เห็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" เอเดนแสร้งปัดคราบเลือดบนร่างกาย ท่อนบนเปลือยเปล่าแลผ้าเนื้อหยาบหลุดลุ้ยพันปิดท่อนล่างไว้อย่างยุ่งเหยิง "เห็นมันมุ่งใกล้หุบผาอาคเนย์จึงหยุดมันไว้ไม่ให้ไปกวนใจเจ้า"
สีหน้าแลแววตาแสดงถึงความไม่เชื่อในคำพูดอย่างชัดเจน
"เจ้าน่ะหรือ" คิ้วสีอ่อนเลิกขึ้นสูง มองตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท่าแลย้อนมองปลายเท้าจรดเส้นผม
"จักตั้งแง่ว่าข้าอ่อนแอด้วยว่าเป็นเบต้าหรือ ลืมสิ้นความเท่าเทียมที่เพรียกหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน" ดวงหน้าคมคายแสร้งตีหน้าเศร้าราวชีวิตอาภัพเป็นหนักหนา แลลำเลิกไปถึงอุดมการณ์ของอีกคน
"ข้ายังไม่ทันกล่าว" แม้ความไม่ไว้ใจยังอยู่คับอก แต่เมื่อมองซ้ายแลขวานอกจากเบต้าผู้นี้ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดแล้วจริง ๆ "เล่ามาว่ามันคือตัวอะไร แลเกิดสิ่งใดขึ้น"
"ข้าไม่ใช่คนของเจ้าเหตุใดจึงต้องเล่า"
"เอเดน!"
"จักตะโกนไปไย เจ้าหามีจิตข่มไว้เหยียบหัวข้าไม่" ร่างกายขาวซีดราวกับหายวับแลกลับมาโผล่ที่ด้านหลัง รวบข้อมืออีกคนไว้แนบกาย "เพียงพูดว่ายอมรับข้าเบา ๆ ข้าก็จักบอกกับเจ้า"
กรรรรร!!!
ไม่ทันให้ถึงมือวินฟาเรียต้องออกแรง เสียงข่มขู่ดังมาแต่ไกลพร้อมฝีเท้าหนักนับสิบวิ่งฮือเข้ามาใกล้
จิตข่มเข้มข้นหนักแน่นทำเอาวินฟาเรียบแทบหายใจไม่ออก แต่ยังคงเก็บงำสีหน้าเอาไว้
หมาป่าตัวใหญ่พลันเปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามกำยำสืบเท่าเข้ามาใกล้ทั้งคู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ แววตาราวกับจักฆ่ากันให้ตายเสียตรงนี้
"แต่ข้ามี! ปล่อยคู่ของข้าไอ้หมาน่าชัง!" น้ำเสียงขุ่นมัวประกาศเกล้า ทหารองครักษ์พากันตีวงล้อมทั้งสามไว้อย่างที่นายไม่ต้องออกปากสั่ง
"เจ้าใช้แล้วหรือ หรือยังไม่ได้ใช้เล่า" เอเดนตีหน้ายียวนดวงตาเรียวรีโค้งขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังคงไม่ยอมถอยห่างจากวินฟาเรีย
ได้ยินดังนั้นอคิราห์ยิ่งโหมจิตข่มรุนแรงจนพวกทหารอัลฟ่าด้วยกันยังเหงื่อตกหลบตาแทบจักหมอบคลานอยู่รอมร่อ
"อคิราห์หยุด" น้ำเสียงเบาหวิวจากผู้ครอบครองดวงตาอันงดงามเอ่ยขึ้นหยุดการกระทำของอัลฟ่าราชวงศ์
ทางอคิราห์เมื่อนึกขึ้นได้ว่าน้องผู้เป็นโอเมก้าหนึ่งเดียวได้รับผลโดยตรงจากจิตข่มของตัวเองมากที่สุดจึงหยุดลงแล้วเข้าไปประคองตัวน้องไว้แนบอก
เหล่าองครักษ์ใช้ดาบพาดล้อมลำคอขาวซีดพร้อมปิดชีพทุกเมื่อหากนายออกปากสั่ง
"วินฟาเรียน้องเป็นเช่นไรบ้าง พี่ขอโทษเพราะพี่ไม่ระวัง" ว่าที่ราชาแห่งแดนดับตะวันจับโอเมก้าหนุ่มพลิกซ้ายพลิกขวา จนอีกคนต้องส่ายหน้าออกมาเป็นเชิงว่าไม่มีสิ่งใดให้กังวล "มันเป็นใคร"
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคล้ายจักส่องแสงอำพันด้วยความโกรธา
"คนของข้า"
สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้มาใหม่ประกอบกับคำพูดที่ใจต้องการจากปากวินฟาเรียส่งให้รอยยิ้มแฝงเลศนัยยกขึ้นสูงกว่าทุกครา
"ดูเหมือนว่าท่านจักมาไม่ทันหนาอคิราห์ คนของข้าจัดการทุกสิ่งเสียสิ้นหากแต่มาแล้วก็กลับไปที่ฝูงด้วยกันก่อนเถิด"
วินฟาเรียผายมือให้อาคันตุกะจากแดนไกลได้ดูผลงานที่คนของตนสร้างไว้ แม้ไม่รู้ว่าทำจริงหรือไม่หากแต่ยกหางเจ้าเบต้าคนนี้ไว้ย่อมเป็นประโยชน์แก่เขาแลฝูงอาคเนย์
อคิราห์ที่เพิ่งจักถอดถอนสายตาค่อนขอดจากคนทั้งสองมามองรอบข้างได้จึงตกใจหนัก เมื่อเห็นภาพทิวทัศน์ประหลาดตาจนแทบอาเจียน
ผืนพนาที่เหยียบย่ำคล้ายจักกลายเป็นนรกภูมิไปเสียแล้ว
"มัน คือหมาป่าหรือแลชิ้นเนื้อพวกนั้น"ว่าที่ราชาแดนดับตะวันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดสั่นเล็กน้อย
"ข้าก็ยังไม่รู้แน่ จึงต้องถามจากเขา"
อคิราห์สำรวจมองเอเดนอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่อัลฟ่า ไม่ใช่ราชวงศ์ แลยังดูไม่น่าไว้วางใจด้วยท่าทีทั้งยังเปลือยล่อนจ้อนดูปลิ้นปล้อนไม่น่าคบหา
มองอย่างไรก็เกรงว่าน้องวินฟาเรียของเขาจักโดนมันหลอกเข้าเสียแล้ว
วินฟาเรียรีบพาทุกคนกลับฝูงอาคเนย์ไปด้วยกัน หากรั้งรออยู่ที่นี่นานนักก็ไม่รู้ว่าจักเจอกับพวกใดบ้างที่มาตามเสียกัมปนาทอย่างพวกเขา ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเซเทอร์ที่เหลือเป็นเช่นนั้นคงจักลำบากกันไม่น้อย
วินฟาเรียนำเอเดนและอคิราห์ขึ้นไปบนถ้ำของตนเอง ส่วนหน่วยองครักษ์หมาป่าก็วางกำลังคอยระวังภัยอยู่โดยรอบ
ลูกฝูงทุกตัวต่างมองมาที่นายเหนือหัวหนึ่งเดียวอย่างโล่งอก เมื่อคืนพวกเขาตกอกตกใจกันเสียจนนอนไม่หลับพอเช้ามาวินฟาเรียก็รีบออกไปเพื่อหาต้นตอของเสียงสนั่นปัถพีนั้นเพียงผู้เดียว ลูกฝูงอย่างพวกเขาก็ได้แต่สวดภาวนาให้เทพาอารักษ์ปกปักรักษาจ่าฝูงของตนให้ปลอดภัย
"อย่างไรคืนนี้ก็นอนในถ้ำด้วยกันก่อน พรุ่งนี้หากไม่มีสิ่งใดแล้วค่อยย้ายกลับลงไป" วินฟาเรียหันไปพูดกับเบต้าคนสนิทก่อนจักหันกลับมามองอัลฟ่าแลเบต้าสองตัวที่เขาพาขึ้นมาด้วย "ตามข้ามา"
เมื่อเข้ามาในพื้นที่ของตนเองแล้ววินฟาเรียจึงเริ่มเข้าเรื่องทันที
"เล่ามาสิ เอเดน"
เอเดนเริ่มเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนที่ตนไปพบอย่างราบรื่นไม่มีสะดุดติดขัดแม้แต่น้อย
เจ้าของดวงตาสีปีกกาตีหน้าจริงจังเล่าความจริงผสมความเท็จอย่างคล่องแคล่ว รับทุกความดีเข้าตัวผลักทุกความชั่วให้คนอื่น
ตลอดการบอกเล่าอคิราห์จ้องแต่จะจับผิด เขาไม่เชื่อสิ่งที่ไอ้ชีเปลือยผู้นี้พูดออกมาแม้แต่น้อย
"แค่ดูหน้าก็รู้แล้วว่ามันเชื่อไม่ได้ แลน้องฟังสิ่งที่เล่าสิปลิ้นปล้อนหาความจริงไม่ได้ แม้แต่เด็กไม่รู้ความยังรู้ว่ามันโกหกเลย" นิ้วเรียวยกขึ้นชี้คนที่นั่งตรงข้ามอย่างไม่สงวนท่าที "มันเป็นเพียงเบต้าจักล้มสัตว์ประหลาดเช่นนั้นได้อย่างไร!"
ยิ่งเห็นน้องวินฟาเรียปล่อยให้มันพูดไปเรื่อยไม่คิดขัด รัชทายาทแดนดับตะวันก็ร้อนใจหนักกว่าเก่า
"ท่านอย่าคิดเพียงว่าอัลฟ่าเช่นท่านทำไม่ได้ แล้วเบต้าเช่นข้าจักทำไม่ได้หนา ด้วยว่าข้ากับท่านห่างชั้นกันนัก" เอเดนยกยิ้ม แววตาเปี่ยมไปด้วยความสมเพชเวทนา "ต้องให้แจงหรือไม่ว่าใครอยู่สูง ใครอยู่ต่ำ"
เสียงหัวเราะเบา ๆ จากร่างขาวซีดราวกับว่าเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการสุมไฟโทสะของอคิราห์ให้โหมกระพือ
"เจ้าบังอาจนัก!!"
ฝ่ามือใหญ่ทุบโต๊ะไม้ด้านหน้าด้วยความเดือดดาลเหลือทน
"อคิราห์ท่านโปรดระงับโทสะด้วย" วินฟาเรียกุมขมับที่เริ่มจะเต้นตุบตุบ หากว่าซามูเอลอยู่ตรงนี้ด้วยคงจักดีกว่านี้ "ความจริงความเท็จข้าจำแนกแยกแยะเองได้"
หมาป่าแดนดับตะวันอ้าปากแล้วหุบปากอยู่อย่างนั้นพยายามเรียบเรียงถ้อยคำแต่กลับพูดไม่ออก น้องพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเชื่อมันไปหมดใจแล้วหรือ!
"เอเดนเป็นหมาป่าจากฝูงอาคเนย์เก่า หมาป่าลึกลับพวกนั้นเป็นผู้รับใช้พระเจ้าตามตำนาน ท่านก็น่าจักรู้ หากว่าเชื้อสายของพวกเขาจักถืออภิสิทธิ์พลังบางอย่างเหนือเราข้ามองว่าอาจเป็นไปได้" วินฟาเรียร่ายยาวแถลงไขให้กับอาคันตุกะแดนไกล
"หมาป่าแห่งอาคเนย์ทิศเป็นเพียงตำนานเท่านั้น มันมีสิ่งใดมายืนกันกับน้องหรือ ไม่ใช่ว่าน้องโดนมันหลอกเข้าให้แล้ว"
"อย่ามาดูถูกข้า อคิราห์" ดวงตาสีอำพันสว่างวูบสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนราวกับประกาศเกล้าว่าตนถือครองดวงตาเช่นนี้จักมองไม่เห็นว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดหลอกเลยหรือ "เอเดนเจ้าออกไปก่อน"
เอเดนค้อมกายให้จ่าฝูงทั้งสองอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะเดินหลบออกไปด้านนอก
"ใช่ สิ่งใดจริงสิ่งใดปลอมข้าจักไม่รู้ได้อย่างไร" วินฟาเรียวขยับเข้าใกล้อคิราห์สิ่งที่พูดนับจากนี้ล้วนเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบา
ยามใกล้ค่ำวินฟาเรียจึงบอกให้อคิราห์เร่งกลับฝูงตนไป หากมีผู้ใดล่วงรู้ว่ารัชทายาทแดนปัจจิมยกทัพมาปรึกษาหารือกับโอเมก้าผู้ครองแดนอาคเนย์อยู่ครึ่งค่อนวันโดยไม่ได้แจ้งแก่จ่าฝูงของตนก่อน
บัลลังก์ของอคิราห์อาจระส่ำระสายได้ แลอาจนำภัยมาสู่ฝูงอาคเนย์ได้เช่นกัน จักเสียการเสียงานกันทั้งหมด
"ท่านกลับไปก่อนเถิด เมื่อจัดการปัญหาได้แล้วข้าจักไปพบท่านที่ฝูง" ทว่าหวาดล้อมก็แล้วเอ่ยไล่ก็แล้วหมาป่าหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะล่าถอยกลับถิ่นไปแม้แต่น้อย
"พี่จักปล่อยให้น้องอยู่กับมันสองคนได้อย่างไร ให้พี่รั้งรอจนซามูเอลกลับมาก่อนเถิด"
"เช่นนั้นก็แล้วแต่ใจท่าน แต่หากว่าท่านเป็นเหตุนำพาภัยมาถึงฝูงข้า ข้าจักให้ท่านรับผิดอย่างสาสม" วินฟาเรียพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันมาถามหาคนที่หายไป "เอเดน เมื่อคืนเจ้าได้พบเทเลอร์บ้างหรือไม่ เขา ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่"
แม้สีหน้าไม่ได้แสดงออกถึงความกังวลหรือความห่วงหาอย่างไรมากนัก ทว่าแววตาสีอำพันนั้นยังคงกลบความคาดหวังไม่มิด เสียงเอ่ยภาวนาอยู่ภายใน ขอให้สหายผู้นี้ของตนยังคงปลอดภัย
"ไม่ใช่ว่าแจ้งอยู่แก่ใจแล้วหรือวินฟ่า เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่าพวกเซเทอร์นอนตายกันเกลื่อน มันคงไม่พ้นเป็นหนึ่งในเศษเนื้อไม่สมประกอบพวกนั้นแล"
ทว่าความหวังมักถูกดับด้วยความเป็นจริงอยู่เสมอ
ไม่อาจค้านได้เลย เมื่อส่วนลึกในใจของเขานั้นก็คิดเช่นเอเดน คงไม่พ้นต้องสูญเสียสหายร่วมอุดมการณ์อันหายากยิ่งไปอีกหนึ่งคน
"เช่นนั้นหรือ"
"แล้วเจ้าจักจัดการกับซากสัตว์ประหลาดปีศาจร้ายนั่นอย่างไร หากปล่อยไว้พวกตัวกินซากคงได้บินว่อนทั่วแดนอาคเนย์" อคิราห์ที่ยังรั้งรออยู่เอ่ยขึ้น
พวกตัวกินซากนั้นนับว่าร้ายกาจแลไม่ควรปล่อยไว้ใกล้ฝูง มันจักเป็นอันตรายต่อวินฟาเรียรวมถึงลูกฝูงเองด้วย
"พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้หุบผานี้ แม้แต่จักบินผ่านยังไม่กล้าเสียด้วยซ้ำ" วินฟาเรียชี้นิ้วไปบนท้องฟ้า ปรากฏภาพนกยักษ์ฝูงหนึ่งบินฉวัดเฉวียนอยู่ฝูงใหญ่ ทว่ากลับไม่มีนกยักษ์ตัวใดกล้ากล้ำกรายเข้าน่านฟ้านภาอาคเนย์แม้ปลายปีก
"ประหลาดนัก ราวกับว่ามีกำแพงแก้วกั้นขวางพวกมันอยู่"
"อืม พวกมันล้วนยำเกรงในแผ่นดินอาคเนย์ แม้น่านฟ้าก็ไม่เว้น หากใช้ความหวาดกลัวนี้ให้เป็นประโยชน์ ข้าเห็นว่าเป็นผลดีต่อฝูงข้าไม่น้อย"
"เช่นนั้นก็ดีแล้ว ความคิดความอ่านของน้องนั้นฉลาดเฉลียวเฉียบขาดย่อมต้องนำพาทุกผู้ทุกคนไปยังทางที่ปลอดทุกข์ปลอดภัยได้"
รัชทายาทแดนปัจจิมโอบไหล่วินฟาเรียไว้ ยังคงไม่วายส่งสายตาวางท่าทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของต่อหน้าใครอีกคน
"อย่างไรในเพลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสืบสาวหาความว่าเจ้าตัวนั้นมันคือสิ่งใด เกิดขึ้นอย่างไรแลจักเกิดขึ้นอีกหรือไม่" อคิราห์กล่าวพร้อมด้วยม้วนปอยผมสีเงินเล่น พยายามแนบตัวชิดใกล้เพื่อทิ้งกลิ่นของตนไว้บนร่างกายนี้ "น้องเห็นว่าควรจักทำอย่างไรวินฟาเรีย"
"ข้าเองก็หวั่นเกรงอยู่ หากซามูเอลกลับมาแล้วจักหารือกันอีกที" แม้ปัญญาอันเฉียบคมของเขาเองก็ยังคิดไม่ตกว่าควรจักทำอย่างไร ภัยนี้หนักหนานัก
จนแล้วจนรอดพระจันทร์ขึ้นเหนือหัวแล้วซามูเอลก็ยังไม่กลับมา อคิราห์จึงใช้เหตุนี้ในการนอนอ้างค้างแรมที่ฝูงอาคเนย์ในคืนนี้
"ราตรีนี้หนาวเย็นนัก ผ้าผืนบางเช่นนั้นจักมอบไออุ่นให้น้องได้อย่างไร" อคิราห์ตบที่ว่างข้างกายบนแท่นหินกว้างซึ่งถูกปูทับด้วยผ้าขนสัตว์หนาหลายชั้น "มาอิงแอบแนบอกพี่แค่นี้ก็ไม่หนาวแล้วหนา"
เจ้าของดวงตาสีอำพันเหลือบมองแท่นหินของตนที่ถูกยึดครองไปซ้ำยังถูกนำกองผ้ามาสุมไว้จนฟูฟ่อง
"ข้าชินแล้ว เชิญท่านเถิดท่านรัชทายาท" น้ำเสียงค่อนแคะติดไปทางหยอกล้อเอ่ยตัดคำเชิญชวน
"มาเถิดหนาน้องพี่ เจ้าอย่าได้เกรงว่าซามูเอลจักกลับมาพบ อย่างไรเจ้าก็เป็นคู่พี่สักวันซามูเอลจักเข้าใจ" อคิราห์เข้าใจไปว่าวินฟาเรียนั้นเกรงกลัวตนจักถูกซามูเอลผู้เป็นพี่ชายดุด่าว่ากล่าวเอา จึงรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ ส่งเสียงกระซิบกระซาบที่ข้างใบหูนวล
"ว่าอย่างไร คืนนี้ให้พี่ได้นอนกอดเจ้าได้หรือไม่" กลิ่นหอมกรุ่นดั่งพฤกษาสวรรค์ราวกับกำลังล่อลวงอคิราห์ให้ดอมดมลุ่มหลงจนไม่อาจถอดถอน ทั้งกาย ทั้งใจ
"ท่านนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยหนาอคิราห์"
"ใครว่าเล่า พี่เปลี่ยนไปตั้งมากมาย หากแต่มีสิ่งเดียวคือหัวใจอันไม่เคยเปลี่ยนไปรักใครนอกจากเจ้า เพียงเจ้าผู้เดียววินฟาเรีย" เสียงกระเซ้าเหย้าแหย่ไม่ขาดปาก เห็นทีว่าตลอดราตรีโอเมก้าจ่าฝูงผู้นี้คงจักถูกเกี้ยวพาไม่หยุดหย่อน
"ยังจำจูบที่น้องมอบให้พี่ได้หรือไม่ ทุกคราที่คำนึงถึงน้องภาพในวันนั้นยังคงฉายชัดในใจพี่"
"ข้าลืมเสียสิ้นแล้ว"
"เช่นนั้นให้พี่ได้ทวนความจำเจ้า" สันจมูกโด่งซุกไซ้ไปตามพวงแก้มนวล กลิ่นฟีโรโมนปรุกเร้าคละคลุ้งไปทั่วโพรงถ้ำ ซอกซอนแนวหินราวกับจะประกาศว่าความลุ่มหลงที่มีให้อีกคนนั้นมากมายไร้ขอบเขตเพียงใด
ดวงตาสองสีสบกันครู่หนึ่ง ระยะห่างหดแคบหลงเหลือเพียงช่องบาง ๆ ให้อากาศได้แทรกผ่าน
ริมฝีปากอวบอิ่มเคลื่อนเข้ารุกล้ำละเลียดชิมกลีบปากอีกคนอย่างเอาแต่ใจ วินฟาเรียชักนำท่วงท่าหมุนหาทิศทางที่ใบหน้าทั้งสองจักใกล้ชิดสนิทกันยิ่งกว่าเก่า
"เบาหน่อยเถิดไม่เกรงใจข้าก็เกรงใจลูกฝูงโอเมก้าของเจ้าบ้าง" ดวงตาสีปีกกาเหลือบมองร่างทั้งสองซึ่งเกี่ยวก่ายกันทำท่าอย่างกับว่าพร้อมจักขึ้นขี่กันเต็มทน "กลิ่นเจ้าทำพวกข้างนอกอยู่ไม่สุข เห็นทีคงได้เข้าฤดูผสมพันธุ์กันยกรัง"
เมื่อถูกขัดจังหวะอคิราห์ก็รีบดึงวินฟาเรียเข้าแนบอก ปกปิดไม่ให้มารผจญได้เห็นความงามในยามนี้
"ข้าลืมไปเสียสนิท" ดวงตาสีอำพันเบิกขึ้น เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายามนี้ยังมีโอเมก้ามากมายที่นอนรวมกันอยู่ด้านนอก กลิ่นกายของอัลฟ่านั้นคงปรุกเร้าเจ้าพวกนั้นอยู่ไม่น้อย
"สุขจนลืมพวกพ้องไปเลยหรือ"
น้ำเสียงกวนประสาทเริ่มจักทำให้อารมณ์ของวินฟาเรียดิ่งลงอีกครั้ง เห็นทีคงอยู่ร่วมกับไอ้หมาน่าตายนี่ไม่ได้จริง ๆ
"หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเสียเถิดเอเดน"
แม้อารมณ์ความต้องการยังคงพุ่งพล่านแต่ยามนี้หน้าที่ของเขาคือจ่าฝูง จำต้องอดกลั้นไว้แล้วไปช่วยดูลูกฝูงเสียก่อน
อย่างไรเขาก็อยู่ในวัยที่ควรออกเรือนมีคู่ครอง จักมีความต้องการมากหน่อยจนเผลอไผลไปก็ไม่แปลกนัก
"อคิราห์ท่านไม่ต้องตามมา" วินฟาเรียปัดมือดันอกราชาแดนปัจจิมให้นั่งลงที่เดิมก่อนจะเดินออกไปที่โถงใหญ่เพื่อจัดการปัญหาภายในที่ตนก่อขึ้น
"ข้าใคร่รู้นักว่าโอเมก้ายอมปล่อยตนในอัลฟ่าปลุกปั่นอยู่เหนือห้วงกามารมณ์เช่นนี้ทุกผู้ทุกคนหรือไม่"
"กงการอันใดไม่ใช่เรื่องของเจ้า หาควรต้องสอดจมูกเข้ามาไม่"
"แล้วหากมันเป็นเรื่องของข้าเล่า"
"เหอะ ก็รอให้มันเป็นเรื่องของเจ้าเมื่อไรข้าจักบอกอีกที"
วินฟาเรียสะบัดหน้าเดินทิ้งระยะออกไปไกลด้วยว่าขี้คร้านรำคาญจักเจรจาการอันใดกับเบต้าผู้นี้อีก
"เรื่องของเจ้ามันเป็นเรื่องของข้ามานานเกินกว่าจักนับได้แล้วพ่อจ่าฝูงตัวน้อย"
___________
เจ้าหมาตัวน้อย เจ้าหมาตัวจ้อย ฮา ฮา ฮา ฮ้า ฮาาาาา
เปิดตัวพระเอกได้ยังเห็นแต่ตัวร้าย
จะไปก็รีบไปเดี๋ยวพี่พาไปกินตับบบ
Comments (0)