-๑-

?Enjoy Reading?

 

ณ พนาป่าใหญ่ถิ่นฐานแห่งสรรพสัตว์ ทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ครึ่งเทพครึ่งมาร บ้างงดงาม บ้างอัปลักษณ์ บ้างแข็งแกร่ง บ้างอ่อนแอ ทว่าทั้งหมดนั้นถูกกดอยู่ใต้ บัญญัติแห่งพงไพร กฎสามข้อที่ผู้เป็นใหญ่ท่านสร้างไว้

หนึ่ง อัลฟ่านั้นจงเป็นผู้นำกล้าหาญชาญฉลาดแลแข็งแกร่งกว่าผู้ใด

สอง เบต้า โอเมก้าจงอยู่ใต้อาณัติ ปฏิบัติตามผู้นำให้เคร่ง

สาม หากผู้ใดคิดแผกแหกกฎเกณฑ์ ขอมันผู้นั้นวิบัติล่มจม สวรรค์ลงทัณฑ์

ด้วยเหตุนั้นผู้ที่กำเนิดเกิดเป็นอัลฟ่าจึงมีสิทธิ์มีเสียง เปี่ยมด้วยอำนาจมากล้นกดขี่ชนชั้นอื่นอย่างไร้ความคิดผิดชอบชั่วดี ถือตนเป็นใหญ่ไม่ฟังเสียงผู้น้อย ด้อยค่าผู้อื่นเพียงเพราะตนกำลังมากกว่า

เป็นเช่นนั้นเรื่อยมา เหตุเพราะไม่มีใครกล้าแหกบัญญัติสวรรค์ เบต้าหรือ ก้มหน้าทำงานงก ๆ ท่านเขาสั่งท่านเขาสอนสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นไม่คิดขัด โอเมก้ายิ่งแล้วใหญ่โดนปฏิบัติเยี่ยงสิ่งของสิทธิเสรีภาพหรือก็ไม่เคยมีกับเขา เพียงจะเอ่ยค้านไปก็ไร้ประโยชน์

 

 

คืนรัตติกรสว่างฟ้าเสียงเห่าหอนขจอนไกลไปทั่วทุกสารทิศ ไพร่ฟ้าบรรดาทาสต่างพากันคืนร่างเป็นสุนัขป่าตัวใหญ่โต ออกมายืนหน้าเรือนตนแล้วจึงขับเสียงหอนอวยพรแก่พระโอรสทั้งหกองค์ เนื่องในวันครบรอบสิบสองขวบปี

จ่าฝูงนั่งอยู่หัวโต๊ะขนาบข้างด้วยแม่ฝูงแลพระโอรสตามลำดับ ทุกคนนิ่งเงียบรอฟังคำจากผู้นำเพียงหนึ่ง

"พวกเจ้าใกล้จักผลัดวัยเต็มที จวนเจียนจักรู้เพศรองในอีกไม่นานนี้ ข้าเพียงหวังว่าเลือดอัลฟ่าจักไหลเวียนอยู่ในกายพวกเจ้า จักสืบทอดตำแหน่งของข้าอย่างเต็มภาคภูมิ" ผู้เป็นพ่อพูดพลางไล่มองลูก ๆ ทุกคน ทว่ากลับหยุดมองที่ลูกชายคนโตนานกว่าผู้ใด

ดวงตาสีอำพันฉายแววความคาดหวังอย่างไม่คิดปิดบัง ท่วงท่าหน้าตาสง่างาม พละกำลังมากล้น สติปัญญาเฉียบคม ซ้ำยังเป็นลูกชายคนโตหากจักพูดกันตรง ๆ ใครเห็นก็ว่าวินฟาเรียเหมาะสมจักเป็นจ่าฝูงคนต่อไปมากที่สุด

"หากจันทร์เต็มดวงครั้งถัดไป เสียงเห่าหอนเจ้าจงขจอนไกล แผ่กลิ่นอายอัลฟ่าเหนือพณาไพร" ผู้เป็นใหญ่แห่งบูรพาทิศยืนขึ้นก่อนจักเดินจากไปทิ้งไว้เพียงบรรยากาศยะเยือกเย็นกดดันพวกลูกหมาป่า

"พวกเจ้าจักเป็นใหญ่ในสักวัน ทำให้พ่อท่านภูมิใจ" แม่ฝูงพูดทิ้งท้ายแลเดินตามหลังจ่าฝูงไปอีกคน ปล่อยให้เชื้อพระวงศ์ตัวน้อยทั้งหลายพรู่ลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

"ท่านพี่วินฟาเรีย ท่านจักได้เป็นจ่าฝูงคนต่อไปใช่หรือไม่ แล้วพวกข้าเล่า พวกข้าจักทำอย่างไร" สี่น้องชายหนึ่งน้องสาววิ่งมากอดเอวกอดขาคนเป็นพี่อย่างร้อนใจ

แม้นจักเกิดมาพร้อมกันแต่ความต่างชั้นนั้นเห็นได้ชัด วินฟาเรียแข็งแกร่งเหนือใครในวัยเดียวกัน ซ้ำยังถือครองดวงตาสีอำพันอันเป็นที่โจษจันว่าผู้เป็นใหญ่แห่งพงไพรท่านลิขิตให้แก่ผู้นำ

เหมือนกับผู้เป็นพ่อ มีหมาป่าเพียงไม่หยิบมือที่ได้รับตาสีนี้โดยกำเนิด ถึงเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ก็สามารถเปลี่ยนดวงตาเป็นสีอำพันได้แค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น

หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เห็น ๆ อยู่ไม่ใช่หรือว่าใครคือผู้ถือครองผืนพนาแห่งบูรพาทิศคนต่อไป

"พวกเจ้าก็ยังคงเป็นน้องข้า หากวันใดได้เป็นใหญ่จักลืมพวกเจ้าได้อย่างไร" เจ้าของเรือนผมสีเงินลูบหัวน้อง ๆ ทุกคนอย่างอ่อนโยน กล่อมทุกคนให้เชื่อฟังด้วยรอยยิ้มอบอุ่นประดุจแสงแรกสุริยัน

จักลืมได้อย่างไรน้องในไส้ที่คลานตามกันมา ฝึกเห่าฝึกหอนด้วยกันอยู่ทุกคืนวัน จักไม่มีวันลืม ข้าสัญญา เมื่อวันหน้าขึ้นเป็นใหญ่จักปกครองทุกคนอย่างเท่าเทียม

เมื่อส่งพวกหมาป่าน้อยเข้านอนจนหมดใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มมาทั้งวันพลันเรียบนิ่ง มือขาวสั่นเล็กน้อยยามจับด้ามดาบที่ซุกไว้ใต้กองหิมะมาเป็นเวลานาน

วินฟาเรียตวัดดาบฟาดฟันอากาศอย่างคุ้นชิน ท่วงท่าองอาจสง่างามทว่าแฝงไปด้วยความหนักหน่วงร้ายกาจ ไม่แน่ว่าโดนเข้าจัง ๆ อาจบั่นหัวใครขาดในครั้งเดียว

"เจ้าจักไม่พักบ้างหรือน้องพี่ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วหนา"

ดวงตาสีอำพันเหลือบมองหน้าคนที่เข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม ซามูเอล อีสเทิร์น ลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของเขา

"ซามูเอล ข้าคิดว่าท่านจักไม่มาแล้ว" วินฟาเรีย วางดาบไว้พร้อมทั้งโถมกายเข้าใส่ผู้เป็นพี่ชายอย่างเต็มรัก

"เจ้าตัวเท่าเอวพี่แล้ว จักให้อุ้มเหมือนเมื่อก่อนคงยากนัก" ซามูเอลยกยิ้มหยอกล้อ กอดน้องชายไว้แน่นพลางลูบหัวด้วยความเอ็นดู

"ข้ากังวลนัก อีกไม่กี่ราตรีจักถึงวันประลองชิงตำแหน่งรัชทายาทแล้ว"

"เจ้าจักกังวลไปไย เหนือฟ้าพนาไพรหามีใครเก่งเกินเจ้า" ที่พูดไปล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น หากเทียบในวัยเดียวกันคงไม่มีใครมากพร้อมเท่าน้องชายเขาอีกแล้ว

"หาใช่เรื่องนั้น ข้ากังวลเรื่องจิตข่มต่างหาก ยูฟาเรียแลวิลเลียมต่างก็มีจิตข่มกันแล้ว แต่ข้าหามีวี่แววไม่ หากข้าไม่ใช่" น้ำเสียงท้ายประโยคเบาหวิว เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยออกมาเสียด้วยซ้ำ

"หากเจ้าไม่ใช่อัลฟ่าแล้วอย่างไร สุดท้ายเจ้าก็ยังเป็นเจ้า อย่าคิดมากไปเลยเมื่อเวลามาถึงเจ้าจักได้สมใจหวัง" 

ซามูเอลยีผมสีเงินพร้อมส่งรอยยิ้มให้น้องชาย หวังจะไล่ความกังวลออกจากใจน้องให้สิ้น

บนเนินหินสูงข้างปราสาทสีทึบ วินฟาเรียและซามูเอลฝึกดาบกันอยู่นานจนรัตติกาลลาไป คนพี่ที่เก่งกว่าก็แนะสอนน้องอย่างใจเย็น ไม่แม้อวดอ้างหรือข่มเหง

ซามูเอลเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของน้องสาวจ่าฝูงแห่งทิศบูรพา เป็นดั่งอัสวินเคียงข้างกายาผู้นำ ซามูเอลเองก็หวังจักเป็นเช่นนั้นฝึกปรือฝีมือทุกคืนวัน รอเวลาเคียงบ่าเคียงไหล่วินฟาเรีย

จักโอบอุ้มน้องให้อยู่เหนืออันตราย แม้นต้องปกป้องจนตัวตายของเพียงน้องปลอดภัยพี่ก็หมดห่วง

 

ทั้งสองแช่ร่างกายชื้นเหงื่อจากการฝึกซ้อมมาทั้งคืนลงในธารน้ำเย็น บิดกายไล่ความเมื่อยขบพลางพูดคุยถึงเรื่องต่าง ๆ นานา ที่พบเจอ

"เห็นว่าจ่าฝูงท่านเชิญราชันแห่งแดนตะวันตกมาชมเจ้าสู้หนา คงจักอวดอ้างเดชาเจ้าไว้ไม่น้อย" 

"หากพลาดพลั้งไม่พ้นทำพ่อท่านเสียหน้า"

"อย่ากลัวไปเลยน้องพี่ ตระกูลเว็ซทมาเยือนเราครานี้คงหวังเชื่อมสัมพันธ์ อาจเป็นวันที่เจ้าต้องเลือกคู่ครอง" ซามูเอลลูบหลังน้องชายพลางบีบนวดไหล่เล็กหวังคลายความกังวลของน้อง

สองหมาป่านั่งเคียงริมธารามองแสงสุรายาเคลื่อนผ่านขอบฟ้า ในโลกที่ความคาดหวังมากมายมุ่งเข้าหายังมีพื้นที่เล็ก ๆ ตรงนี้คอยเยียวยาเสมอ 

 

มือเล็กกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวพลางไล่มองเรือนร่างตนเองอย่างพินิจ อีกกี่ปีกี่เดือนกันถึงจักมีมัดกล้ามสวยงามอย่างพี่ชาย หากร่างกายเป็นเช่นนี้ตลอดไปจักเป็นจ่าฝูงที่น่าเกรงขามเช่นพ่อท่านได้อย่างไร

"พี่ขอเข้าไปได้หรือไม่" ซามูเอลวางมือทาบไว้กับบานประตูไม้ รอน้องตอบรับจึงค่อยเดินเข้าไป

นัยน์ตาสีครามเหมือนมีประกายดาวพาดผ่านเมื่อมองน้องชายในชุดคลุมสีขาว มือเรียวอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปลูบผมสีเงินพลิ้วอย่างเอ็นดู ช่วยจัดปกเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง

"อย่าว่าแต่ความเก่งเจ้าไม่เป็นรองใครเลย ความงามเจ้าก็ไม่อาจมีผู้ใดมาเทียบ ราวกับกำเนิดจากที่เหนือนภา เหนือดวงดาราทั้งปวง"

"ท่านก็ปากหวานไม่มีใครเกิน ซามูเอล"

สองหมาป่ายิ้มให้กันอย่างรู้ใจ เมื่อเห็นว่าน้องพร้อมแล้วซามูเอลจึงควงแขนเรียวพาเดินไปยังโถงใหญ่กลางปราสาท ที่ซึ่งผู้นำแห่งตระกูลอีสเทิร์นและตระกูลเว็ทซพูดคุยกันอยู่

เมื่อมาถึงบานประตูใหญ่ซามูเอลจึงปล่อยให้น้องได้เดินนำหน้าไป ส่วนตัวเองก็ค่อยเดินตามไปข้างหลังอย่างเงียบเชียบ

"วินฟาเรีย ลูกชายคนโตของข้า" วินเซนต์ อีสเทิร์นผู้เป็นพ่อเรียกลูกชายคนโตเข้าไปหา พลางแนะนำลูกชายให้ผู้มาเยือนได้รู้จักอย่างภาคภูมิ

"ดวงตางดงามยิ่งนัก สมคำร่ำลือว่าจักเป็นผู้นำแห่งแดนตะวันออกคนต่อไป" อีวาน เว็ทซยืนมือหยาบกร้านออกไปหวังเชื่อมสัมพันธ์กับว่าที่ราชาคนใหม่

แม้จะเพียงไม่นานแต่อีวานก็สังเกตได้ว่าเด็กคนนี้ยังไม่มีจิตข่มเช่นอัลฟ่าทั่วไปแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วงสิ่งใดปล่อยความสงสัยเล็ก ๆ ให้อยู่ในใจต่อไป

"คืนนี้ข้าจักตั้งตารอชมฝีมือของเจ้า เอาล่ะเรามาคุยเรื่องของผู้ใหญ่แล้วปล่อยเด็ก ๆ ไปคุยกันเองเถิด" อีวานพูดพลางพยักหน้าให้วินเซนต์ เขามาเยือนแดนบูรพาครานี้การเฝ้ามองจ่าฝูงคนใหม่ไม่ใช่เหตุผลหลัก

"พาพี่เขาชมเมืองเราเถิดวินฟาเรีย"

เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันมองไปยังเด็กชายอีกคนที่ยืนอยู่หลังจ่าฝูงประจิม ก่อนจะเดินนำออกมาภายนอกปราสาทพร้อมกับซามูเอลที่ตามมาห่าง ๆ

คนตัวเล็กหยุดยืนอยู่ที่หน้าปราสาทหินสูง ยื่นมือไปหาอีกคนแล้วจึงพูดแนะนำตัวเอง

"วินฟาเรีย อีสเทิร์น"

"อคิราห์ เว็ทซ ยินดีที่ได้รู้จัก"

แทนที่จะจับมือตอบอคิราห์เลือกที่จะย่อตัวลงจับหลังมือขาวขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม

"ผู้คนมากมายคงหลงเจ้าเพียงแค่สบตา แลข้าคงไม่ต่างจากคนพวกนั้น"

แววตาลุ่มหลงระคนชื่นชมทำเอาวินฟาเรียย่นคิ้วใส่ แม้ใจอยากจักสะบัดออกให้พ้นไปแต่ก็ยังคงยั้งไว้เห็นแก่หน้าพ่อท่าน

"หากจักเป็นสหายโปรดอย่าทำให้ข้าขุ่นเคืองใจ" นึกอยากชมว่าอคิราห์นั้นกล้าไม่น้อย การจุมพิตหลังมือแสดงถึงความเทิดทูนนับถือหรืออีกนัยน์คือการสารภาพรัก บอกผ่านว่าตนนั้นสนใจเจ้าของร่างนี้เป็นนักหนา หาใช่กริยาที่สหายควรทำ

"พี่คงต้องขออภัยหากปล่อยให้ใจนำความคิด" รอยยิ้มหวานยกขึ้นประดับมุมปาก อคิราห์โค้งให้วินฟาเรียเล็กน้อยอย่างไม่จริงจังนัก 

เจ้าของเรือนผมสีเงินเดินนำผู้มาเยือนไปยังที่ต่าง ๆ ของเมืองผ่านชุมชนขนาดใหญ่บ้านเรือที่สร้างจากหินดูแข็งแรงและสวยงามในเวลาเดียวกัน ตลอดทางเต็มไปด้วยรอยยิ้มและอาหารมากมายที่ลูกฝูงตั้งใจมอบให้ผู้เป็นนาย

"เจ้าคงเป็นที่รักไม่น้อย" อคิราห์พูดขึ้นพรางหยิบกลีบดอกไม้ออกจากเรือนผมงาม "หากขึ้นเป็นใหญ่คงไม่พ้นมีผู้คนห้อมล้อมมากมาย"

"เรื่องของวันหน้าข้าก็ไม่อาจรู้"

"เห็นว่าฝีมือเจ้าฉกาจนัก หากข้าขอเป็นคู่ซ้อมเจ้าสักครั้งจักว่าอย่างไร"

"ย่อมได้" วินฟาเรียเดินนำอคิราห์มายังลานประลอง คราแรกว่าจะประดาบแต่เมื่อเห็นเป็นโอกาสอันดีงามที่จักวัดกำลังกับอัลฟ่านอกฝูง ก็ไม่คิดจักปล่อยไป 

วินฟาเรียในร่างหมาป่าสีเงินหม่นเยื้องย่างเข้าหาอีกคนอย่างระแวดระวัง ด้านอคิราห์ยังคงความทีเล่นทีจริงไว้ไม่แปลเปลี่ยน หมาป่าสีเงินและสีดำเดินต้อนกันเป็นวงกลมรอดูเชิงของคู่ต่อสู้

ไม่อาจรู้ได้ว่าพี่ชายคนโตตระกูลเว็ซทเก่งกล้าเพียงใด หากพลีพลามเข้าไปคงได้ตกเป็นรอง 

กรรรร

วินฟาเรียส่งเสียงขู่ต่ำ นัยน์ตาสีอำพันกระทบแสงอาทิตย์งดงามยิ่ง เมื่อเผลอไผลจ้องลึกเข้าไปรู้ตัวอีกทีร่างของตนก็ลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว

"เจ้างามเช่นนี้เห็นทีจิตข่มคงไม่สำคัญ แม้นไม่มีมันผู้คนมากมายก็ยอมสยบใต้เท้าเจ้าเพียงเพราะหลงใหลในดวงตา" อคิราห์คืนร่างเป็นมนุษย์นอนแผ่อยู่อุ้งเท้าสีเงิน ส่งยิ้มให้ผู้ที่ยืนเหนือกว่า

"ท่าน เหตุใดจึงแกล้งทำเป็นว่าสู้ข้าไม่ได้" วินฟาเรียมีท่าทีหัวเสียไม่น้อยทว่าก็ไม่ลืมที่จะยื่นมือไปดึงอีกคนให้ลุกขึ้นมา

"วันนี้เป็นวันของเจ้าแลไม่ใช่ว่าพี่แกล้งทำ จักให้พี่งับคอเจ้าหรือเช่นนั้นการประลองคืนนี้คงเป็นหม้าย" มือเรียวบีบไหล่คนหัวเสียเบา ๆ เป็นเขาเองที่คิดพิเรนทร์ท้าน้องสู้หากน้องได้แผลก่อนขึ้นประลองเขาคงรู้สึกผิดไม่น้อย

อีกอย่างเขาควรจักดีกับน้องไว้วันหน้าวันใดฝูงเราจักได้พึ่งพิงกัน

แลรู้สึกตั้งแต่คราแรกที่พบหน้าถูกชะตาน้องเป็นนักหนา ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงคิดได้ตลอดบางทีน้องอาจเป็นโอเมก้า เลือดอัลฟ่าในตัวเขามันบอกอย่างนั้นแม้ทุกอย่างที่น้องมีจักค้านสายตาสักเพียงไหน

พละกำลังมากเกินกว่าจะเป็นของโอเมก้า ไหนจักดวงตาสีอำพันนั่นไม่มีทางที่ผู้ถือครองจักไม่ใช่อัลฟ่า ทว่าเขาเองก็ยังหวังอยู่น้อย ๆ ว่าจักได้น้องมาร่วมเรียงเคียงกาย

 

อาทิตย์อัสดงลับไปแทนที่ด้วยหมู่ดาวเหลือคณาเคียงข้างจันทร์ทาเต็มดวงส่องสว่าง ทั่วทั้งใต้ล้าฉาบไปด้วยแสงสีอ่อนดังสวรรค์ท่านมาเป็นพยานแก่การช่วงชิงความเป็นใหญ่ในครานี้

"เชิดหน้าไว้หนาน้องพี่ เจ้าก็รู้ว่าใครเก่งสุดในพนา" ซามูเอลช่วยน้องชายจัดแต่งเครื่องแต่งกาย มองแล้วมองอีกด้วยความภูมิใจ ทั่วหล้านภาเหนือจักมีผู้ใดมากพร้อมเกินกว่าน้องชายเขา เกรงว่าคงจักเป็นน้องชายเขาในวันข้างหน้าเท่านั้น

"หากพลาดพลั้งทำน้องคนใดเจ็บตัวข้าจักทำอย่างไรดี" ดวงหน้างามยังไม่คลายความกังวล คิ้วเรียวขมวดมุ่นครุ่นคิดเพียงว่าจักทำอย่างไรไม่ให้คนอื่นตกอยู่ในอันตราย

"วินฟาเรียเจ้าฟังพี่ เมื่ออยู่ในสนามรบจงยืนอย่างนักรบ เจ้ามาสู้ ทุกคนมาสู้ หากเจ้าอ่อนเอนคงไม่พ้นเป็นเจ้าเองที่เสียท่า" ซามูเอลลูบหัวน้องชาย จักทำอย่างไรได้ในเมื่อน้องเขานั้นอ่อนโยนกับทุกคน กลัวเหลือเกินว่าน้องจักถูกแทงข้างหลังเข้าสักวัน

วินฟาเรียนในชุดสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าก้าวขาออกมาจากเงามืดปล่อยให้แสงจันทร์อาบชโลมไปทั่วกาย เสียงฮือฮาจากลูกฝูงถูกปรามด้วยเสียงหนักแน่นหนึ่งเดียว

"คืนเดือนเพ็ญปีนี้จักเป็นอีกคืนที่สำคัญยิ่งของบูรพาทิศ เหล่าเชื้อสายแห่งข้าจักประชันชิงความเป็นหนึ่ง ถือกำเนิดว่าที่ผู้เป็นใหญ่แห่งฝูงเราสืบไป" มือหยาบกร้านชูขึ้นเหนือหัวเหมือนกับว่ากำลังอวยพรให้ลูก ๆ ทุกคน

การต่อสู้กำลังจักเริ่มขึ้นในไม่ช้าบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหกคนยืนล้อมเป็นวงกลม เด็กวัยสิบสองในชุดคลุมสีขาวสะอาดทว่าดวงตากลับมุ่งร้ายเหมือนกับว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พี่น้องอีกต่อไป

เมื่อจ่าฝูงลดมือลงการประลองจึงเริ่มขึ้น หมาป่าน้อยทั้งห้าตัวพุ่งเข้าหาหมาป่าสีเงินพร้อม ๆ กัน สร้างความตระหนกให้เจ้าของร่างไม่น้อย วินฟาเรียพยายามปัดป้องยั้งมือไว้ไม่ลงแรงจนทำน้อง ๆ เจ็บตัว

การเข้าไปรุมผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนนั้นถือเป็นวิถีการต่อสู้ที่ไม่ได้ผิดแปลกแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าการที่เชื้อพระวงศ์ทุกคนไปรุมต้อนคนคนเดียวนั้นเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรีไม่น้อย

วินฟาเรียเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าสีเงินสว่างพุ่งกระโจนออกนอกวงล้อม พลางมองไปที่จ่าฝูงอย่างชั่งใจ

กรรรรร!!!

ยูฟาเรียตัวเมียเพียงหนึ่งเดียวอาศัยจังหวะทีเผลอพุ่งไปงับขาหลังของวินฟาเรียเอาไว้แน่น พี่น้องคนอื่น ๆ ก็พากันกระโดดเข้างับลำตัวของผู้เป็นพี่จนขนสีเงินแทบจักกลายเป็นสีเลือด

นัยน์ตาสีอำพันเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไล่มองผู้ที่เคยเรียกตนว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พยายามส่งเสียงคำรามเรียกน้องให้ตั้งสติ

ไหนว่าหากพี่ขึ้นเป็นใหญ่ก็จักคอยเดินตามหลัง ไหนว่าจักส่งเสริมกันอยู่ทุกคืนวัน ไหนว่าพี่น้องไม่ทำร้ายกัน แล้วเหตุใดจึงทำกับพี่เช่นนี้เล่า ทำเหมือนพี่เป็นเหยื่อไม่ใช่หนึ่งเดียวกับพวกเจ้า

ลืมสิ้นแล้วหรือ

 

ไฉนใช้จิตขู่ที่เจ้ามีเหยียบพี่ไว้ใต้ตีน

วินฟาเรียหลับตาลงแน่นเพ่งสมาธิจัดการกับจิตข่มร่างสีเงินค่อย ๆ ขยับได้ทีละน้อย เสียงหัวเราะแลรอยยิ้มในวันวานถูกกลบด้วยกลิ่นเลือดแลคำทับถมแสลงหู

กรรรรร!!!

เพียงชั่วพริบตา ณ ลานประลองก็เหลือเพียงหมาป่าสีเงินยืนหยัดอยู่ท่ามกลางร่างของพี่น้องกองอยู่รายรอบ

เหมือนหูดับไปชั่วขณะไม่ได้ยินแม้คำสัญเสิญคำเยินยอหรือแม้เสียงของพี่ชายที่วิ่งมาโอบร่างชุ่มเลือดเอาไว้ ได้ยินเพียงเสียงเต้นของหัวใจ ได้ยินเพียงเสียงของตนเอง

 

รุ่งเช้าของอีกวันวินฟาเรียลืมตาขึ้นมาในห้องของตนเอง ไม่อยากจักขยับไปไหน ไม่อยากจักคิดสิ่งใด แต่ภาพเมื่อคืนกลับฉายวนซ้ำ ๆ ภาพที่ตนถูกน้องชายน้องสาวมองด้วยสายตาคับแค้นเป็นหนักหนาพลางคิดว่าตนไปทำสิ่งใดให้น้องไม่พึงใจกัน ความรักความใส่ใจที่เขามอบให้นั้นมันไม่เพียงพอหรือ

หรือเพราะว่าหลบอยู่ใต้ปีกเขาจึงรู้สึกเหมือนถูกกดให้ต่ำกว่า อยากจักบอกน้องเป็นนักหนาว่าพี่ไม่เคยคิดจักยืนเพียงลำพัง

"น้องพี่เจ้าเจ็บหรือไม่" ซามูเอลบีบมือน้องชายเบา ๆ อย่างเป็นห่วง

"ที่กายไม่เท่าไหร่ แต่ที่ใจข้าเจ็บเหลือเกิน" น้ำตาที่กักไว้ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ กลัวเหลือเกินกลัวว่าซามูเอลจักเกลียดเขาไปอีกคน "พี่ท่านฮึก เกลียดข้าหรือไม่ หรือไม่พอใจในสิ่งใดที่ข้าเคยทำ"

"พี่จักเกลียดเจ้าได้อย่างไรที่เคยสัญญาจักปกป้องจนตัวตายไม่เคยโป้ปดเลยหนา"

ในยามนี้เขาเหมือนเป็นเด็กแรกเกิดไม่รู้จักสิ่งใดเลยสักอย่าง ทำได้เพียงซุกอกพี่ชายแล้วปล่อยน้ำตาพัดพาความโศกาไปให้สิ้น

 

__________

#โอเมก้าจ่าฝูง

พี่ซามุกอดน้องไว้แน่น ๆ นะ?

(มีfan artและสปอยล์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในแท็กทวิตค่ะ ไปพูดคุยกันได้น่าา♡)

.

ในเรื่องนี้settingบ้านเรือนจะอยู่ในช่วงยุคกลางนะคะ คือเป็นปราสาทหินเก่าและบ้านชุมชนแออัดที่สร้างจากหิน ส่วนชุดจะคล้ายกับช่วงศตวรรษที่19 แต่เรียบง่ายและไม่หรูหราเท่า

ตัวละครในเรื่องนิยมใช้ร่างมนุษย์มากกว่าเพราะว่าประหยัดพื้นที่และเป็นการอวดอ้างว่าเผ่าพันธุ์ตนมีร่างจำแลงที่คล้ายคลึงเทพ