บทที่ 4

เสียของ

 

ชีวิตประจำวันของเมอร์ลินนอกจากการต่อบทสนทนาอย่างรื่นรมย์กับองค์ราชาก็คือการเก็บกวาด ทั้งในแง่ของปัญหาและความสะอาดล้วนเป็นงานถนัดของเธอทั้งสิ้น แต่พื้นที่ของฮังเกอร์ชอปไม่อาจเทียบเท่าปราสาทวาซซาเรีย เวลาว่างมากมายจึงนำไปละลายทิ้งกับสิ่งน่ารำคาญที่ถูกเพิ่มเข้ามาเป็นกิจวัตร

[อาหาร]

แต่ไหนแต่ไรตระกูลโนอาก็ไม่ลิ้มรสไวน์และเนื้อปรุงสุก ในปราสาทอ้างว้างเย็นยะเยือกไม่เคยมีงานเลี้ยง ไม่มีใครอาจหาญมากพอที่จะสร้างเสียงรบกวนการพักผ่อนอันยาวนานของราชาปีศาจ ฉะนั้นในยามที่ราชาฮาแบ็คได้เอ่ยถามถึงห้องครัวเป็นครั้งแรก เหล่าบริวารล้วนตกใจ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกถามอย่างเมอร์ลิน บทสนทนาแรกในรอบพันปีทำให้หล่อนตื่นตระหนกจนสะดุดความว่างเปล่าล้มหน้ากระแทกพื้น

อย่างไรก็ตาม การตอบสนองความต้องการของราชาเป็นหน้าที่ของสาวใช้ เธอจึงต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อุปกรณ์ยันวัตถุดิบ โดยเฉพาะเรื่องสุขลักษณะที่ราชาปีศาจย้ำนักย้ำหนาว่าเนื้อต้องสุกไร้กลิ่นคาว ไม่ใช้เลือดแทนเครื่องดื่ม และมนุษย์จะต้องไม่ตายหลังจากกินลงไป ซึ่งการทำอาหารก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อสองปีศาจที่ต่อมรับรสผิดเพี้ยนและหนึ่งมนุษย์ที่ต่อให้เป็นอาหารสุนัขก็จะบอกว่าอร่อยนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรในการพัฒนาสกิลของเธอเลยสักนิด

เมอร์ลินถอนหายใจ เธอไม่อาจจะจับมนุษย์มาเป็นหนูทดลองได้อีกแล้ว หลังจากถูกสั่งห้ามทรมานคนมั่วซั่ว ปีศาจผู้รังเกียจการใกล้ชิดกับเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกว่า จำต้องคบค้าสมาคมกับเหล่าแม่บ้านอย่างช่วยไม่ได้

สาวใช้มองบัตรเชิญงานเลี้ยงน้ำชาจำนวนหนึ่งที่ถูกส่งมายังฮังเกอร์ชอปด้วยสายตาเย็นชา

ตั้งแต่ที่ใบปลิวเปิดตัวร้านค้าไอเท็มถูกส่งไปยังกิลด์ต่างๆ ใบรับรองการผสมเวทจากแม่มดวิทเชร์ตก็ทำให้ที่นี่ถูกจับตามอง แม้ว่าร้านจะยังไม่ได้เปิดขายอย่างเป็นทางการ แต่บัตรเชิญจากตระกูลชนชั้นสูงมากมายกลับถูกส่งมาในเวลาไม่กี่วัน พวกเขาผู้ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของราชาปีศาจได้ให้ความสนใจกับชื่อเสียงของแม่มดตระกูลเวเนียสอย่างมาก เพราะทั่วทั้งออร์บิสมีแม่มดระดับสูงหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ตน ซ้ำยังไม่มีข่าวว่าพวกหล่อนได้ทายาทสืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ฉะนั้นการปรากฏตัวของฮาแบ็ค....ถ้าจะพูดให้ถูกคือใบรับรองตราประทับของแม่มดต่างหากที่ดึงดูดสายตาผู้คน

เมอร์ลินทำลายบัตรเชิญทุกใบไม่เว้นแม้แต่บัตรที่มีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ ไม่มีความจำเป็นต้องคบค้าสมาคมกับชนชั้นสูงในตอนนี้ เพราะแหล่งข่าวที่แท้จริงเธอเข้าถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

สมาคมการค้าของเหล่าแม่บ้านเป็นแหล่งข่าวซุบซิบที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด.... ในเมื่อมายลอร์ดบอกกับเธอมาแบบนั้นย่อมหมายถึงไม่อาจหลบเลี่ยงความสัมพันธ์ที่น่ารำคาญกับมนุษย์ได้อีก

ดวงตาของเมอร์ลินมืดลงเมื่อคิดถึงหลายวันที่ผ่านมา ความจริงแล้วการที่ราชาปีศาจออกจากถิ่นกำเนิดกะทันหัน ผู้ที่รู้สึกกดดันมากที่สุดคือเธอ ลดทอนพลังในสภาพแวดล้อมของศัตรู ทั้งยังต้องรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลที่องค์ราชาคิดจะเปิดประเด็นไหนก็เปิดไม่มีปี่มีขลุ่ย

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เมอร์ลินเกลียดงานหยาบ เกลียดยิ่งกว่าการคบค้ากับพวกมนุษย์เสียอีก

ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอคะ ฉันว่าเอาไปให้ทางกิลด์ช่วยจะดีกว่านะ อีกอย่างมันนิ่งไปแล้วด้วย...”

เป็นเพราะคุณปาศิลาเวทใส่มันไม่ใช่เหรอ”

กะ ก็เธอบอกให้หยุดไว้นี่นา!”

ผมอยากปรึกษามาสเตอร์ก่อน”

ก็ถ้าเธอว่าอย่างนั้นแล้วทำไมพวกเราไม่เข้าไปข้างในกันล่ะคะ กลิ่นไหม้บนตัวทำเอาท้องร้องแล้ว”

งั้นก็รักษาตัวเองสิ”

ก็ถ้าทำได้คงไม่ต้องมาร้านขายไอเท็มหรอกค่ะ! เงินของฉันยิ่งไม่ค่อยจะมีอยู่ด้วย เอ่อ แต่ว่าเธอแน่ใจใช่ไหมคะว่าเงินไม่กี่ร้อยเพเนียของฉันจะชื้อโพชั่นที่นี่ได้น่ะ แค่ประตูร้านก็ดูเหมือนจะมีค่ากว่าชีวิตฉันไปสักเก้าชีวิตแล้ว”

นั่นสินะ”

เอ๋!? ไม่ช่วยแย้งหน่อยหรือคะ!”

บทสนทนาจากเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่หน้าประตูร้าน เมื่อผลักประตูเปิดออก สองก้อนไหม้เกรียมและเต็มไปด้วยรอแผลจากกรงเล็บของสัตว์เล็กทำให้เมอร์ลินรู้สึกประหลาดใจ ทว่ากลิ่นไม่พึงประสงค์ทำให้เธออดถอยหลังสองก้าวไม่ได้

ยินดีต้อนรับกลับค่ะ คุณซิลิ”

เป็นซิลิและเกว็น เซล่า ทั้งคู่อยู่ในสภาพยับเยินอีกทั้งในอ้อมแขนของเด็กชายยังมีก้อนดำประหลาดที่มีชีวิตถูกห่อไว้กับเศษผ้าหน้าตาอัปลักษณ์ “ขอโทษที่สายครับ” ซิลิก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด

ตามเงื่อนไขก่อนมื้อเช้าก็ไม่นับว่าสายหรอกค่ะ วันนี้มาย.... มาสเตอร์ยังไม่ตื่น ดิฉันจึงยังไม่ได้เตรียมอาหารเช้า” หลังจากถูกคะยั้นคะยอแกมบังคับ เมอร์ลินจำใจเรียกราชาปีศาจว่ามาสเตอร์ต่อหน้ามนุษย์คนอื่นจนได้ “แต่ว่ากลิ่นที่เหมือนเนื้อกระต่ายย่างนี่คืออะไร ไม่ทราบในดันเจี้ยนมีมังกรไฟด้วยเหรอคะ”

แค่ไพโรซาลาแมนเดอร์ ซึ่งตอนแรกก็ไม่มีหรอกครับ” หางตาของซิลิเหลือบมองนักบวชที่ทรุดลงไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดบนพื้นหิน

เป็นความผิดของฉันเองค่ะ ถ้าจะกรุณาเห็นแก่เทพธิดาวิเนริสโปรดยกโทษให้ด้วยเถอะค่ะ”

ใครน่ะ?” ทั้งคู่เอ่ยพร้อมกัน

เอ๋ เทพประจำเมืองไงคะ” จากสายตาทั้งสองที่ดูจะไม่แยแสต่อเทพเจ้า ทำให้ผู้รับใช้เทพในนามนักบวชอย่างเกว็น เซล่าอดเจ็บปวดใจไม่ได้

แบบนี้ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินอย่างเดียวน่ะสิ ฮือๆๆ

ฉันจนมากเลยนะคะ ตอนนี้จ่ายได้แค่ค่าโพชั่นเท่านั้นเอง แต่ขอเวลาอีกสองสามเดือนฉันจะหาค่าเสื้อผ้ามาชดใช้ให้แน่ๆ ค่ะ” เกว็นพูดทั้งน้ำตานองหน้า

ซิลิหันมาอธิบายกับเมอร์ลินสั้นๆ ว่า “เธอแค่จะมาซื้อโพชั่นน่ะครับ”

เมอร์ลินผงกหัวก่อนจะดันประตูร้านเปิดกว้าง เชิญทั้งคู่เข้าไปข้างใน “มาสเตอร์ยังมาพบตอนนี้ไม่ได้ ฉันจะเตรียมอาหารเช้าให้คุณก่อน หลังรักษาแผลแล้วกรุณาชำระร่างกายให้สะอาดด้วยค่ะ ส่วนคุณ...เป็นไฮบริด?”

อะ ค่ะ! ฉันชื่อเกว็น เซล่า เป็นนักบวชไร้ประโยชน์แห่งวิหารโยดันค่ะ”

นักบวช?” น้ำเสียงของเมอร์ลินขรึมลงหลายเท่า คงเป็นเพราะได้แต่กลิ่นก้อนเนื้อไหม้จึงไม่รู้สึกถึงออร่าที่น่าแขยงของพวกนักบวชไม่เช่นนั้นการรับกลิ่นของเธอคงมีปัญหาแล้วสินะ “ไม่ทราบว่านักบวชมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”

เกว็นก้มหน้าอย่างเขินอาย “โพชั่นของฉันหมดเกลี้ยงเลยค่ะ ถ้ากลับวิหารไปทั้งอย่างนี้ต้องถูกลงโทษ เพราะงั้นก็เลย....”

สายตาเย็นชาของเมอร์ลินปรากฎข้อความว่า ‘แล้วไง?’ ทำให้จนเกว็นต้องสารภาพออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ฉะ ฉันไม่ถนัดเวทสายฟื้นฟูน่ะค่ะ”

“.....ฟังดูไร้ประโยชน์จริงๆ ด้วยค่ะ”

อุก!!” สาบานกับทวยเทพ ถูกเผาจนเกรียมยังไม่เจ็บเท่านี้เลย!

เมื่อแทงอีกฝ่ายด้วยคำพูดจนเลือดกระอักปากไปแล้ว เมอร์ลินก็กลับมาให้ความสนใจกับก้อนดำประหลาดก้อนนั้น

ซิลิรีบอธิบายว่า “มันเป็นแมวดำที่พวกเราเจอในดันเจี้ยนน่ะครับ มันพาเราเข้าไปในห้องกลไกได้แต่ว่ามีปัญหานิดหน่อย ผมอยากจะปรึกษากับมาสเตอร์ก่อนก็เลยต้องเอามันกลับมาด้วย”

ซิลิก้มหน้าต่ำ เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือเปล่า ถ้าเกิดว่ามันทำให้มาสเตอร์เดือดร้อนล่ะ? “ขอโทษครับ”

สาวใช้เพียงพยักหน้ารับรู้ คลื่นพลังเวทของแมวตัวนี้ไม่เพียงพอจะเป็นภัยคุกคามให้กับเด็กสองคน ย่อมไม่สามารถสร้างอันตรายแก่มายลอร์ดของเธอได้เช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นให้ดิฉันขังมันไว้ในกรงก็แล้วกันค่ะ”

อะ ครับ! แต่ว่าแมวดำตัวนี้เคลื่อนไหวผ่านเงา ผมใช้ศิลาเวทเรืองแสงก็เลยจับมันได้”

ไม่มีปัญหาค่ะ อีกอย่างคุณคงทราบแล้วว่ามาสเตอร์ไม่ชอบให้ก้มหน้าเวลาพูด กรุณายืดอกและเงยหน้าขึ้นด้วยค่ะ” ซิลิปฏิบัติตามทันทีเพราะความรู้สึกที่เคยโดนอีกฝ่ายจับดัดกระดูกในครั้งก่อนยังหลอกหลอนอยู่

เมอร์ลินรับมันมาพร้อมกับศิลาเวท หิ้วคอของแมวตัวนั้นไว้อย่างไร้ปรานี มันแน่นิ่งไม่ขยับเพราะสลบไสลเธอจึงสำรวจเล็กน้อยด้วยการเขย่าและจับพลิกไปมา มันเป็นแมวขนดำสั้น หางยาว รูปร่างผอมเพรียวน่าเวทนา หูของมันแหว่งไปหนึ่งข้าง สารรูปคล้ายผ่านช่วงเวลาโหดร้ายมาอย่างยาวนาน เมอร์ลินสนใจบางอย่างบนหัวที่นอกจากจะปูดโปนเล็กน้อยเพราะโดนของแข็งกระแทกก็ยังมีสัญลักษณ์ที่ไม่คุ้นเคย และเมื่อไม่สามารถหาคำตอบจากความทรงจำได้เธอก็จัดการยัดมันใส่กรงนก ไอเท็มกักขังที่ราชาปีศาจเอามาประดับร้านเล่น ก่อนจะใช้ตราประทับหมึกพิเศษปิดล็อกแม่กุญแจ

เกว็นกระซิบถามซิลิเสียงเบา “คุณผู้หญิงคนนั้นเป็นใครหรือคะ”

คุณเมอร์ลินเป็นสาวใช้ของมาสเตอร์ มีอะไรหรือเปล่า?”

เอ่อ แบบนี้เป็นเรื่องปกติของคนที่ทำงานในร้านค้าไอเท็มสินะคะ แบบว่าคุณเมอร์ลินคนนั้นดูเหมือนจะไม่ตกใจเลย”

เป็นเรื่องปกติน่ะ” ซิลินึกถึงตอนที่ช่วยคุณสาวใช้จัดร้านครั้งแรก สิ่งมีชีวิตประหลาดคล้ายปลาหมึกผุดออกมาจากกล่องปริศนาใบหนึ่ง ตอนนั้นเมอร์ลินทำเพียงใช้สองมือจับมันยัดเข้าที่เดิมด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังบอกอีกว่า บางอย่างที่นำมาด้วย มาสเตอร์เองก็ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด ดังนั้นหากเจออะไรแปลกๆ ให้วิ่งหาเธอเป็นอันดับแรก “แล้วก็คุณเมอร์ลินไม่ชอบให้พื้นสกปรก เพราะฉะนั้นต้องรีบรักษาบาดแผลก่อน”

จากสวัสดิการของพนักงานร้าน เขาสามารถใช้โพชั่นได้เกือบทุกประเภทและทุกระดับ ดังนั้นเมื่อดื่มโพชั่นขวดหนึ่งลงไป ก็นำอีกขวดให้กับเกว็น เธอรีบดื่มมันอย่างรวดเร็วเช่นกัน

“....ผมกำลังจะบอกว่าขวดนั้นราคาสิบห้าเทโทล่า”

อุก!!” เกว็นรีบยกมือปิดปากเพื่อป้องกันไม่ให้ของเหลวที่เพิ่งดื่มไปถูกพ่นออกมา ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเหลือกขึ้นจนแทบถลนจากเบ้า เธอทรุดจนเข่ากระแทกพื้น โอดครวญว่า “สะ สิบห้าเทโทล่า! เงินเก็บฉันมีแค่ห้าเทโทล่าเองนะคะ แถมโพชั่นนอกวิหารก็ขอเบิกงบย้อนหลังไม่ได้ด้วย งื้อ....ราคาสูงพอๆ กับโพชั่นระดับพิเศษเลย!”

เป็นโพชั่นฟื้นฟูเก้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์น่ะ”

เกว็นเบิกตาโพลง คางแทบจะร่วงลงมาที่อก “หา! ปะ เป็นไปได้เหรอคะ วิหารโยดันกลั่นออกมาเต็มที่ยังได้แค่เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เอง! นั่นมันใกล้เคียงกับสถิติที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณชัดๆ ท่านบิชอปก็เคยกล่าวไว้ว่าสุดยอดโพชั่นของนักบวชบัลนาเลียนคือเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ หากเป็นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จะสามารถชุบชีวิตคนตายได้ มิน่าเธอถึงไม่อยากได้โพชั่นของฉัน” เปอร์เซ็นต์ที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยแต่แสดงผลลัพธ์ต่างกันมหาศาล สภาพผิวที่ถูกไหม้จนแสบหายสนิทไม่ทิ้งรอยอย่างรวดเร็ว นอกจากเสื้อผ้าที่ฟื้นฟูด้วยโพชั่นไม่ได้ ทุกส่วนต่างได้รับการฟื้นฟูให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากผลข้างเคียงของโพชั่นก็ไม่มีเสียด้วย

ผมเคยได้ยินมาสเตอร์พูดไว้คล้ายๆ กัน แต่ว่าโพชั่นที่ชุบชีวิตคนตายจะนำพามาซึ่งหายนะและสงคราม มาสเตอร์บอกว่าควรกลบฝังหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั่นไว้”

อา... เรื่องนั้นฉันก็เห็นด้วยค่ะ ถึงยุคนี้ทุกดินแดนพยายามหลีกเลี่ยงสงครามกันแล้ว แต่ถ้าโพชั่นขวดนั้นโผล่ออกมาออร์บิสคงโกลาหลน่าดู อย่างน้อยนักบวชแบบพวกเราก็หมดประโยชน์ไปเลย..ฉะ ฉันหมายถึงนักบวชคนอื่น เพราะฉันไม่ค่อยมีประโยชน์อยู่แล้ว”

เรื่องที่โพชั่นระดับเก้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์โผล่ออกมามันก็น่าตื่นเต้นอยู่หรอก แถมยังดื่มมันไปแล้วด้วย แต่พอได้ยินราคา เรี่ยวแรงก็หายไปทั้งกายทั้งใจเลยทีเดียว “อึก....อือ โพชั่นระดับสูงแบบนี้ ไม่ทราบว่ามีดอกเบี้ยค้างชำระไหมคะ ถ้าฉันบรรลุนิติภาวะเมื่อไหร่จะรีบหาเงินมาใช้หนี้ทันทีเลยค่ะ” เธอยังต้องการเวลาอีกสามปีเชียวนะ ถ้าดอกเบี้ยแพงจะทำยังไง อือๆๆ

ซิลิรู้สึกเหนื่อยใจชอบกล ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าเธอจะทนอยู่กับเขาในดันเจี้ยนถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ไปๆ มาๆ ก็ออกมาพร้อมกันโดยที่ทักษะการฮีลไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยสักนิด แต่เขาต้องขอยอมรับ ในขณะที่ผู้ใหญ่มากประสบการณ์ต่างทยอยออกจากดันเจี้ยนไม่ก็ตายไปทีละคน เกว็นแม้จะอาเจียนจนหน้าซีดแต่ก็ไม่เคยคร่ำครวญหาทางที่สบายเลยสักครั้ง

บางทีถ้าทำให้มาสเตอร์สนใจดันเจี้ยนนี้ อาจจะลดค่าโพชั่นให้ก็ได้ แค่บางทีนะ”

มะ มาสเตอร์คนที่เป็นลูกศิษย์ของแม่มดวิทเชร์ต เวเนียสคนนั้นน่ะหรือคะ” เมื่อเห็นเขาพยักหน้าเกว็นก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที

ข่าวการปรากฏตัวของลูกศิษย์แม่มดตนนั้นแพร่กระจายเร็วกว่าเชื้อโรค และท่าทีของคนวิหารโยดันก็ตื่นตัวกับเรื่องนี้อย่างมาก พวกเขายังไม่เชื่อและขอให้จัดตั้งกรรมการตรวจสอบใบรับรองใหม่อีกครั้ง ทว่าเวทมนตร์ของผู้นำสูงสุดในวิหารได้พิสูจน์แล้วว่าตราประทับของเลดี้วิทเชร์ตเป็นสัญลักษณ์เพียงไม่กี่อย่างที่ปลอมแปลงไม่ได้ ใบรับรองเป็นของจริง ซึ่งนั่นทำให้นักบวชส่วนใหญ่ตั้งแง่ยิ่งกว่าเดิม เพราะวิหารแห่งเทพไม่ชื่นชอบแม่มด ต่อให้เลดี้วิทเชร์ตจะไม่มีประวัติอาชญากรรมอย่างโจ้งแจ้ง แต่แม่มดมีศาสตร์การใช้เวทตรงข้ามกับสาวกผู้รับใช้เทพ หลายครั้งที่วิหารมองมดแม่เป็นฝั่งเดียวกับปีศาจ

แต่เกว็น เซล่าไม่มีอคติอะไรแบบนั้น เธอก็เป็นแค่ไฮบริดอ่อนหัด ยังเอาตัวเองไม่รอดไฉนเลยจะกลับไปตัดสินผู้อื่น

งั้นก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเลยใช่ไหมคะ ฉันได้ยินมาว่าแม่มดวิทเชร์ตไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน”

ซิลิพยักหน้า แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าระดับความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กับเลดี้วิทเชร์ตนั่นถือว่าดีหรือเปล่า เพราะดูเหมือนมาสเตอร์จะไม่ได้ให้ความเคารพเธอเท่าไร ซ้ำเวลาพูดถึงเรื่องของอาจารย์ตัวเองก็มักจะมีคำว่า ‘มั้ง’ ต่อท้ายเสมอ

นึกว่าคุณจะไม่ชอบพวกแม่มด” หากเกว็นแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อมาสเตอร์เพราะเรื่องนี้ สิ่งที่ซิลิจะทำคือเตะเธอออกจากร้านให้เร็วที่สุด

ฉันไม่เคยเจอแม่มดมาก่อนก็เลยไม่มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษค่ะ ไม่ได้รู้สึกไม่ดีที่ต้องพูดถึงด้วย แบบนี้นับว่าฉันเป็นนักบวชที่แปลกหรือเปล่าคะ”

ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยได้เจอนักบวช ถ้าไม่นับเรื่องที่ใช้เวทพื้นฐานของสายอาชีพไม่ได้ ก็คงบอกไม่ได้เหมือนกันว่าแปลกหรือไม่แปลก”

เกว็นฟังแล้วหน้าก็แทบจะเหี่ยวแห้ง “โธ่! เธอนี่ก็ตอกย้ำกันจริงเลย แต่ขอบคุณนะที่ไม่ได้ทิ้งฉันไว้ในดันเจี้ยนแถมยังค่อยช่วยเหลือทั้งที่ควรจะเป็นหน้าที่ของฉันอีก” เธอก้มหัวเก้าสิบองศาให้เด็กชายที่อายุน้อยกว่า “ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะมีคนยอมคุยกับฉันได้นานขนาดนี้ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ!”

นักบวชที่ทำหน้าที่ตัวเองไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่ย่ำแย่แค่ไหนตัวเธอเองรู้ดีที่สุด อย่าว่าแต่หาเพื่อน ทั้งที่ชีวิตขอเพียงไม่ถูกไล่ออกจากวิหารก็โชคดีแล้ว

“.....” ซิลิเกาแก้มเบาๆ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยมีคนพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจแบบนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน

อืม? ฤดูใบไม้ผลิของพวกเจ้ามาถึงแล้วหรือ?”

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฮาแบ็คทำให้ทั้งคู่สะดุ้งโหยงก่อนที่เกว็นจะส่ายหัวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ฉะ ฉันชอบหนุ่มผิวแทนมีกล้ามอายุมากกว่าค่ะ!” ในขณะที่ซิลิถามด้วยความมึนงง “ที่กิลด์เคยบ่นกันว่าช่วงนี้สมรสุมกำลังเข้าไม่ใช่เหรอครับ?”

ฮาแบ็คหัวเราะเสียงเบา ค่อนข้างพึงพอใจกับพัฒนาการด้านปฏิสัมพันธ์ของเด็กคนนี้ อย่างน้อยสองวันที่เมอร์ลินทุ่มเทแรงลงไปก็ทำให้เขาเลิกคิดว่าตนเองอยู่ในสถานะทาสได้สำเร็จ

อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนมาสเตอร์นอนไม่พอหรือครับ” ซิลิสังเกตเห็นว่าใต้ตาของเขาคล้ำลงเล็กน้อย ทั้งที่ภายนอกดูปกติแต่ความรู้สึกไม่สดใสอย่างบอกไม่ถูก “มาสเตอร์ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

หือ? สเกลพลังลดจนเหลือสองในสิบไม่ได้ทำให้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เด็กนี้สัมผัสไวเช่นนั้นเชียว

เพราะนอนมากเกินไปต่างหาก” ฮาแบ็คแสร้งเปลี่ยนเรื่อง “เมอร์ลินบอกว่าพวกเจ้าพาของน่าสนใจมาด้วย”

เด็กชายพยักหน้า “ครับ มันเป็นแมวดำที่อยู่ในดันเจี้ยน พวกเราไล่ตามกันทั้งคืนเพราะรู้สึกว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับกลไกของโถง เสียเวลาไปไม่น้อย ต้องขอโทษด้วยครับ”

ขอโทษทำไม เจ้ากลับมาได้ก็พอแล้ว” ฮาแบ็ควางมือบนกลุ่มผมก่อนจะชะงักกึก เอาหัวไปไถกองถ่านมาหรือไง? “ก่อนอื่นไปอาบน้ำแล้วมาเริ่มมื้อเช้ากันเถอะ เจ้าก็ด้วย”

เกว็นรีบปฏิเสธอย่างเกรงใจ “มะ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันยืนรอข้างนอกก็ได้”

ฮาแบ็คหรี่ตามองต่ำ สองนิ้วคีบคอเสื้อกระต่ายไหม้ขึ้น ส่งมอบให้เมอร์ลินผู้ปรากฏตัวจากไหนไม่อาจทราบ

ขัดให้สะอาด”

รับทราบค่ะ” ในขณะที่ซิลิเร้นกายหายไปราวกับกำลังนักโทษหลบหนี นักบวชผู้น่าสงสารถูกโยนเข้าห้องอาบน้ำไปทั้งอย่างนั้น

 

อะแฮ่ม! ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะคะ ฉันชื่อเกว็น เซล่า เป็นนักบวชระดับล่างสุดของวิหารโยดัน แล้วก็ ขะ ขะ ขอบคุณคุณเมอร์ลินที่กรุณาให้ยืมเสื้อผ้าด้วยค่ะ” แม้น้ำเสียงในท้ายประโยคติดจะสั่นเทาไปบ้างแต่เกว็นรู้สึกขอบคุณจากใจที่ทำให้เธอไม่ต้องทนสภาพเน่าๆ ของตัวเองไปจนหมดวัน

บนโชฟารับแขกอีกด้านของสวน มื้อเช้าของเมอร์ลินเป็นเพียงซุป ขนมปัง และสเต๊กเนื้อนุ่มซึ่งปกติหล่อนไม่ได้เสิร์ฟในช่วงเวลานี้ แต่เพราะเด็กทั้งสองใช้พลังกายมาทั้งคืนและฮาแบ็คก็ต้องการให้นักบวชร่วมรับประทานด้วย เมอร์ลินจึงย้ายชุดโซฟามาที่สวนเพื่อให้บรรยากาศไม่เป็นทางการมากเกินไป (ถึงดิฉันจะไม่เข้าใจว่าบรรยากาศทางการคืออะไรก็เถอะ)

มีการแยกระดับของนักบวชด้วยเหรือ ข้านึกว่าเป็นอาชีพอิสระเสียอีก” ฮาแบ็คสอบถาม

นักบวชของวิหารจะได้รับการสนับสนุนหลายอย่างจึงต้องมีการจัดสอบวัดระดับชั้นทุกหกเดือนค่ะ” เกว็นสำรวจมาสเตอร์นักผสมเวทแวบหนึ่ง เธอแค่ได้ยินมาว่าใบรับรองของเขาถูกตรวจสอบ แต่กลับไม่มีใครเอ่ยนามของเขาออกมา ดังนั้นเธอจึงรวบรวมความกล้าถามออกไปว่า “ไม่ทราบว่ามาสเตอร์มีชื่อว่าอะไรเหรอคะ”

ฮาแบ็คชะงักไปแวบหนึ่งก่อนจะเหล่มองสาวรับใช้และเด็กในการปกครอง เมอร์ลินจึงตอบแทนด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “นามของมาสเตอร์คือ โนเวลโบฟอร์ต เฟลทเชอร์ อิกโก แมกนัส แมกเมอซันค่ะ”

“......”

“......นะ โนเวล...ฟอร์ต? ฟะ เฟ? ....อิก....เมสัน??”

มองดูความพยายามของนักบวช เจ้าของชื่อก็ได้แต่ยิ้มอ่อน

ครั้นที่ใบรับรองในชื่อฮาแบ็คถูกส่งไปสำนักงานลงทะเบียน มันถูกตีกลับเพราะคิดว่าชื่อของเขาผิดพลาด ไม่ใช่เพราะเป็นชื่อเดียวกับราชาปีศาจ แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวอักษรซึ่งเป็นอักขระปาเนมอร์ฟไม่เป็นที่รู้จักกันในยุคนี้ต่างหาก

ฮาแบ็คหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เพราะมีเพียงชื่อของราชวงศ์โนอาบนผังตระกูลเท่านั้นที่เขียนด้วยอักษรโบราณ และฮาแบ็คเองก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาปาเนมอร์ฟเพียงครึ่งเดียวเนื่องจากมันเก่าแก่กว่าอายุของราชาปีศาจหลายสหัสวรรษ จาลึกที่เกี่ยวกับมันในแดนปีศาจก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถูกฝั่งมนุษย์ หอหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดในอิทเซียริทก็ใช่ว่าจะหาบันทึกสมบูรณ์เกี่ยวกับภาษานี้ได้ ผู้ที่ยังมันในการสื่อสารเห็นทีจะมีเพียงราชาปีศาจ โคลอสซอร์ และมังกรบางตนเท่านั้นกระมัง

ฉะนั้นเพื่อเส้นทางพักร้อนที่ราบรื่น ฮาแบ็คจึงให้เมอร์ลินเขียนชื่อใหม่ อะไรก็ได้ที่เขียนด้วยภาษาปัจจุบันของออร์บิส

แต่ใครจะไปรู้ว่าทักษะการตั้งชื่อของเมอร์ลินก็มีปัญหา แต่แทนที่หล่อนจะมาปรึกษาเขากลับหันไปสุมหัวกับเด็กน้อย ใช้เวลากว่าหนึ่งวันถ้วนให้กำเนิดชื่อที่ยาวประหนึ่งเอานามสกุลมาร้อยเรียงกัน

น่าเสียดาย ตอนที่ให้วิทเชร์ตออกใบรับรองอันใหม่เขาไม่ได้ตรวจดูชื่อตัวเองก่อน พลาดอย่างไม่น่าให้อภัยจริงๆ!

เรียกยากตรงไหนกัน โนเวลโบฟอร์ต เฟลทเชอร์ อิกโก แมกนัส แมกเมอซัน” สาบานว่าซิลิใช้เวลาเพียงห้านาทีในการท่องจำ ในขณะที่เจ้าของชื่อช่างหัวมันไปตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว

โบเวลโบเวล...เฟลท.. อุบ!!!” เกว็นกัดลิ้นตัวเองจนได้ มิน่าเล่าถึงไม่มีใครเอ่ยชื่อของเขาในวิหาร เพราะถ้าเรียกผิดขึ้นมาก็จะผิดกฎมารยาทของนักบวชแห่งโยดัน

พอเถอะ ข้าชอบให้ผู้คนเรียกว่ามาสเตอร์มากกว่า” ฮาแบ็คยกมือห้ามปราม

มาสเตอร์สินะคะ!” เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ซิลิไม่พอใจเล็กน้อย

สาเหตุที่ถามชื่อก็เพราะอยากจะรู้ว่าใครเป็นผู้สร้างโพชั่นระดับสูงขวดนั้น เธอคิดว่าอย่างน้อยต้องได้ยินชื่อเสียงเรียงนามผ่านข่าวกรองของวิหารมาบ้าง ทว่านอกจากชื่อที่ควรจะเป็นที่จดจำ รูปลักษณ์ของเขาก็ดูไม่เหมือนนักปรุงเวทที่เธอเคยพบ เกว็นไม่สามารถบรรยายได้ว่าแตกต่างอย่างไร แต่ทุกครั้งที่ถูกมองจากด้านบน มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวหดเล็กลง บรรยากาศ ‘อย่าขัดใจฉันสิ’ ที่มักจะพบเจอกับชนชั้นสูงยังไม่เด่นชัดเท่ากับอยู่ต่อหน้ามาสเตอร์เสียด้วยซ้ำ

ช่างเรื่องชื่อของข้าเถอะ มาคุยเรื่องของพวกเจ้าดีกว่า เป็นไง? เมื่อคืนหนักหน่วงถึงขนาดที่โพชั่นก็ยังไม่พอใช้เชียวหรือ” ฮาแบ็คดึงการสนทนากลับเข้าเรื่อง สั่งเพิ่มเมนูไข่เข้ามาอีกสองสามอย่าง ตักชิมเนื้อและซุปไม่กี่คำที่เหลือมองดูเด็กทั้งสองกินก็รู้สึกอิ่มแล้ว

อันที่จริงบาดแผลส่วนใหญ่มาจากความประมาทครับ มอนสเตอร์ช่วงหลังออกมามากก็จริง แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น”

ซิลิดื่มน้ำอึกใหญ่ ขณะที่กำลังจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ในดันเจี้ยน เกว็นก็รีบสารภาพอย่างละอายใจ “เป็นเพราะฉันไร้ความสามารถเกินไปก็เลยเป็นภาระ แม้แต่สัตว์อัญเชิญก็คุมไม่ได้”

เมอร์ลินบอกว่าเจ้าเป็นนักบวช? ข้าไม่ค่อยได้เห็นนักบวชใช้เวทอัญเชิญเสียด้วย ซ้ำยังเป็นไฮบริค หลงนึกว่าเป็นนักบวชสายกายภาพเสียอีก” ถ้าพูดให้ถูกคือผู้ที่ใช้เวทอัญเชิญได้ตั้งแต่อายุยังน้อยที่ไหนจะมาเป็นนักบวช ไปเป็นนักเวทให้กิลด์ผจญภัยไม่ดีกว่าเหรอ ไม่งั้นก็ไปสมัครเป็นผู้กล้าก็ได้

คะ คือว่า” เกว็นลังเลที่เอ่ยถึงประวัติของตนเอง ฮาแบ็คจึงหลอกล่ออย่างไม่ใส่ใจว่า

ถ้าทำให้ข้าสนใจได้ โพชั่นที่ใช้ไปถือว่ายกให้ก็แล้วกัน”

ฟรีเหรอคะ!” หูกระต่ายของเธอตั้งพรึบ

มะ ไม่ต้องเป็นหนี้แล้ว! อะ เอ๊ะ! “หมายความว่าเป็นเรื่องจริงสินะคะ ที่คุณเป็นลูกศิษย์ของเลดี้วิทเชร์ต เวเนียส ไหนจะโพชั่นที่เกือบเคียงกับระดับตำนานนั่นอีก!”

ตื่นเต้นอะไรกัน หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ยังถูกสร้างขึ้นมาได้ด้วยนักเวทเพียงไม่กี่คนเลยนี่” สีหน้าไม่ยินดียินร้ายทำให้นักบวชตะลึงเล็กน้อย เธอรีบแย้งขึ้นว่า

หนะ หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์? ไม่ใช่ว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดแล้วเหรอคะ ฉันจำได้ว่าในหนังสือบอกไว้แบบนั้นนี่นา”

เก้าสิบเก้า....อ่อ เป็นข้าพูดผิดเอง” ฮาแบ็คไม่ต่อความยาวสาวความยืด และท่าทีที่ไม่อยากจะสนทนาเรื่องโพชั่นก็ทำให้เกว็นไม่กล้าเซ้าซี้ เธอจึงเล่าเรื่องของตัวเอง

เรื่องมันมีอยู่ว่าฉันเป็นลูกนอกสมรสของตระกูลนักเวทอัญเชิญชื่อดังน่ะค่ะ แต่ทางต้นตระกูลไม่ยอมรับสายเลือดลูกครึ่งแถมยังเป็นไฮบริค หลังจากเสียแม่ไปฉันก็เลยไม่มีที่ซุกหัวนอนต้องอาศัยในวิหารแทน ไปๆ มาๆ ก็เลยสมัครเป็นนักบวชนี่แหละค่ะ”

นักเวทอัญเชิญชื่อดัง?” สีหน้างุนงงของฮาแบ็คทำให้เมอร์ลินรายงานออกมาเสียงเรียบ

ตระกูลเวทอัญเชิญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของออริเทอซอลคือตระกูลรัสวินเดลค่ะ สายตระกูลยาวนานมาเป็นร้อยปี พลังเวทสืบทอดกันทางสายเลือด ว่ากันว่าในอดีตจอมเวทของตระกูลนี้ได้อัญเชิญมังกรศักดิ์สิทธิ์สู้รบกับราชาปีศาจด้วยนะคะ”

อัญเชิญมังกร?” มุมปากของราชาปีศาจกระตุกเบาๆ เมื่อสบตากับสาวใช้อย่างจริงจัง เมอร์ลินได้แต่ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้

เขาสงสัยว่าข้อมูลนี้มีใครอุตริปั้นแต่งขึ้นมา เพราะไม่ว่าราชาฮาแบ็คจะกระหายคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาแค่ไหน เขาก็ไม่เคยปะทะกับมังกรที่มีสติปัญญาตื่นรู้ในระดับวิวัฒนาการขั้นสุดมาก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการอัญเชิญมันออกมา นอกจากมังกรเหล่านั้นจะไม่เคยเข้าร่วมศึกกับมนุษย์แล้วมันยังมีข้อพิพาทกันจนเกิดเป็นสงครามใหญ่อีกต่างหาก เพียงแต่สงครามนั้นถูกบิดเบือนจากความจริงก็เท่านั้นเอง

แต่แม้ว่ามังกรจะเป็นผู้ทะนงตนยิ่งว่าสิ่งใด มันก็เคยมีสิ่งหนึ่งที่ควบคุมมังกรได้ และมันไม่ใช่ทั้งราชาปีศาจหรือการทำพันธสัญญาอัญเชิญเสียด้วย

มังกรคือระบบนิเวศที่สำคัญยิ่งของออร์บิส เป็นสิ่งที่เขาไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่เข่นฆ่า ไม่ควบคุม จะถูกชักจูงโดยมนุษย์น่ะหรือ?

ขำตาย!

เกว็นรีบปฏิเสธ “ไม่ถึงขนาดอัญเชิญมังกรหรอกค่ะ แบบว่าไม่มีหลักฐานการอัญเชิญสำเร็จด้วย”

สำเร็จก็บ้าแล้ว

ฮาแบ็คจิ้มเนื้อสุกที่ไร้การปรุงแต่งเข้าปาก เคี้ยวอย่างไร้อารมณ์ “แต่ว่าทำไมต้องเป็นนักบวช ไปเป็นนักเวทสิ เป็นนักบวชมันทำให้เจ้าใช้เวทอัญเชิญได้เก่งขึ้นหรือไง?”

เกว็นแทบสำลัก จริงอยู่ที่เธอเคยถูกพูดใส่หน้าว่าให้ลาออกจากอาชีพนักบวช แต่ไม่มีใครเลยที่จะยกเหตุผลข้อนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเธอมาจากตระกูลรัสวินเดล “แค่กๆ ฉันพยายามไม่ใช่มันก็เลยต้องไปเป็นนักบวชต่างหาก ตระกูลรัสวินเดลไม่ชอบที่ลูกผสมเอาเวทอัญเชิญของตระกูลมาใช้ ถึงฉันจะจำสัญลักษณ์อัญเชิญที่บังเอิญไปเห็นได้แค่วงเดียวก็เถอะ”

ฮาแบ็คเลิกคิ้ว ในมุมมองของมนุษย์แล้วมันช่างไร้แก่นสารเหลือเกิน “งั้นเหรอ ลองทำให้ข้าดูหน่อยสิ”

คะ? ไม่ไหวหรอกค่ะ” เกว็นส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ฉันไม่เคยได้ทำพันธสัญญากับสัตว์วิเศษ ที่เรียกออกมาก็มีแค่....เอ่อ มอนสเตอร์ที่เคยเจอเท่านั้นเองค่ะ” ท้ายประโยคเธอแทบจะมุดหัวเข้าใต้โต๊ะอยู่แล้ว สำหรับเธอเวทอัญเชิญนั้นทำได้ง่ายกว่าเวทมนตร์ทุกชนิด แต่มอนสเตอร์ที่อัญเชิญมามักจะสร้างปัญหามากกว่าช่วยแก้ไข หากไม่จำเป็นจริงๆ ให้ตายเธอก็ไม่ใช่เวทนี้อย่างเด็ดขาด

เจ้าไม่คิดว่าการที่แค่เคยเจอก็เรียกออกมาได้จะเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมบ้างเหรอ เคยอัญเชิญมนุษย์บ้างหรือเปล่า?”

เกว็นสะดุ้งโหยงตาเบิกโพลง “ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาดค่ะ! เพราะฉันทำได้แค่เชิญมา เชิญกลับไม่ได้!”

“......”

ฮาแบ็คหันไปบ่นกับสาวใช้ “เสียของ”

ตอนที่เมอร์ลินพยักหน้า เกว็นก็มุดหัวลงใต้โต๊ะแล้วจริงๆ

ซิลิกัดขนมปังคำโต ถึงจะอดพยักเห็นด้วยไม่ได้เพราะเพิ่งได้รับประสบการณ์มอนสเตอร์อัญเชิญไปหมาดๆ แต่เขาก็ยินดีจะช่วยเธอโดยการดึงบทสนทนากลับเข้าเรื่อง รายงานการค้นพบในดันเจี้ยนสุสานกระดูก

 

ย้อนกลับไปในตอนที่เกว็นบอกว่าได้ยินเสียงร้องของแมวดังออกมาจากทางเชื่อมระหว่างโถงทั้งสามทาง ซิลิยังคิดว่ามันเป็นมอนสเตอร์ประเภทหนึ่ง ทว่าเมื่อพวกเขาเข้าไปในโถงทางเชื่อมด้านซ้าย บางอย่างกลับวิ่งตัดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซิลิมองเห็นเพียงเงาดำขนาดเล็กที่เคลื่อนไหวหายไปในเงามืด

ที่นี่มีผีด้วยเหรอคะ!’ เกว็นในเวลานั้นอกสั่นขวัญแขวนเสียยิ่งกว่าเจอมอนสเตอร์ แต่ในสายตาของซิลินั่นไม่น่าจะเป็นสิ่งลี้ลับ เขาจึงตัดสินใจตามมันไปและพบว่าโถงปลายทางเชื่อมนั้นกำลังหมุนคว้างอยู่ ซึ่งทางเชื่อมโถงที่พวกเขายืนก็เริ่มหมุนเช่นกัน

คราวนี้ทำเอาคลื่นเหียนตีตื้นจุกคอ ส่วนเกว็นก็อาเจียนไปเป็นที่เรียบร้อย ทว่าในขณะเดียวกัน เจ้าเงาดำนั้นก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีกครั้งในลักษณะเหมือนถูกเหวี่ยงออกจากกำแพง พวกเขาสบตามันแค่เสี้ยววินาที ดวงตาสีทองส่องประกายดุร้าย ทั้งเสียงและรูปลักษณ์ของมันคือแมวสีดำไม่ผิดแน่นอน ทว่าหลังจากมันร้องขู่ไปหนึ่งครั้งก็ได้เปลี่ยนตัวเองให้เป็นเหมือนกับหมึกหนืดๆ ที่หกลงพื้น หายไปในเงาของตนเอง จากนั้นมหกรรมการวิ่งไล่จับที่น่ารำคาญก็เริ่มขึ้นอย่างเสียไม่ได้ จนเกือบเช้า พวกเขาถึงไล่ตามทันและได้เห็นว่ามันสามารถเปิดกลไกบางอย่างซึ่งคล้ายกับกุญแจสู่ห้องลับจากโถงทางเชื่อมสักแห่ง โดยการดันหินทรงปรึซึมที่ซ่อนอยู่ในแท่งหินจำนวนมากบนพื้นและผนังกลับเข้าตำแหน่งที่ถูกต้องทั้งหมดเจ็ดตำแหน่ง ท่าทางที่คล่องแคล่วทำให้พวกเขารู้ว่ามันน่าจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว และทั้งคู่ก็คิดถูก เพราะเมื่อตามไปก็เจอห้องกลไกจริงๆ

ทันทีที่แท่งหินชิ้นที่ถูกต้องลงล็อก เสียงของเฟืองกระทบกันเป็นจังหวะ เกว็น เซล่าพยายามฟังอย่างตั้งใจก่อนจะพบว่าแท่งหินในอุโมงค์ทางเชื่อมจำนวนมากกำลังขยับขึ้นลงอย่างน่าหวาดหวั่น เธอจับชายเสื้อของซิลิไว้ มือซ้ายพยายามร่ายเวทลมเพียงที่พยุงตัวของทั้งคู่

พริบตาต่อมาพวกเขาก็ร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว พื้นที่เหยียบอยู่อ่อนยวบเพราะแท่งหินทั้งหมดแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และทุกชิ้นก็เป็นทรงปริซึมอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

เกว็นต่อสู้กับความหวาดกลัว พยายามเค้นพลังเวทอย่างสุดความสามารถก่อนที่จะพบว่าต่อให้ไม่ต้องใช้ลมพวกเขาก็ยังสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้อย่างน่าประหลาด

ทว่าสิ่งที่ชวนพิศวงยิ่งกว่าคือบรรยากาศรอบด้าน โถงสีขาวที่ล้อมรอบด้วยฟันเฟืองต่างขนาดนับไม่ถ้วน เฟืองทุกชิ้นเชื่อมต่อกันแต่หยุดนิ่งไม่ทำงาน ใจกลางของกล่องเฟืองขนาดใหญ่เหล่านี้มีแท่นให้เหยียบยืนเพียงแท่นเดียว

แมวดำดีดตัวกลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่ามันเข้าออกที่นี่จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่นานคนสองคนและแมวหนึ่งตัวก็เหยียบลงบนแท่นนั้นสำเร็จ

นี่คือกลไกของดันเจี้ยนเหรอ?” ซิลิมองไปรอบๆ ภายในใจไม่สงบ เหมือนกับว่ามีบางอย่างกำลังทำให้แก่นกลางพลังเวทในตัวที่แสนจะน้อยนิดของเขาปั่นป่วน

เฟืองพวกนี้ ไม่สิ ทั้งหมดในนี้ถูกห่อหุ้มด้วยพลังเวทที่ฉันไม่รู้จักค่ะ แก่นพลังของมันก็คงเป็นเจ้าสิ่งนั้นด้วย”

สิ่งนั้นตั้งอยู่ตรงกลางแท่น มันคือลูกบาศก์หินขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่ใจกลางบาเรียสีขาวที่เมื่อขยับเข้าไปใกล้ พลังเวทก็จะถูกดูดเข้าไปหามันเช่นกัน

สีหน้าของเกว็นย่ำแย่มาก ขณะที่ซิลิกำลังรู้สึกว่าร่างกายรุ่มร้อนราวกับจับไข้

ตอนนั้นเองที่เจ้าแมวดำกระโดดเข้าไปในบาเรีย สองเท้าหน้าตะปบลูกบาศก์หินหลายครั้ง แต่ก่อนที่มันจะถูกดีดออกมา

เฟืองทั้งหมดเริ่มขยับและเสียงกลไกที่พวกเขาได้ยินภายในดันเจี้ยนก็คือเสียงการทำงานของมัน

“!!!”

พวกเขาไม่ได้ถูกเหวี่ยงอย่างหฤโหด เพียงรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นด้านนอก เกว็น เซล่าเบิกตากว้างจ้องลูกบาศก์หินนั่นทันที เธอลองขยับเข้าไปไกลอีกหน่อย ขณะที่พลังเวทกำลังค่อยๆ ไหลเข้าไปในบาเรียอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เธอก็พูดว่า ดูเหมือนลูกบาศก์หินจะเชื่อมกับโถงทั้งแปด จากรูปลักษณ์มันอาจจะเป็นแบบจำลองของดันเจี้ยนก็ได้ค่ะ แถมยังดูดกลืนพลังเวทต่อเนื่องด้วย”

ปกติซิลิที่ไม่หวั่นเกรงต่อจากถูกสูบพลังเวทเนื่องจากพึ่งพาพลังกายเป็นหลัก แต่คราวนี้กลับรู้สึกว่าร่างกายได้รับผลกระทบโดยเฉพาะกลางหน้าอก ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นเกาะกุมหัวใจไว้

เขาอดทนไม่แสดงอาการ ยืนมือเข้าไปจับลูกบาศก์ไว้ แต่กลับดึงมันออกจากบาเรียไม่ได้ ดังนั้นซิลิจึงลองบิดมันหนึ่งครั้ง เฟืองทั้งหมดขยับทันที

ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ! อย่าเพิ่งซี้ซั้วขยับ เพราะเหมือนว่าเราบิดมันโถงก็จะบิดตามด้วย อะ! เพราะแบบนี้นี่เอง เป็นเพราะเจ้าแมวตัวนี้พวกเราก็เลยคำนวณการหมุนไม่ได้”

เกว็นเข้าใจในที่สุด เจ้าแมวดำเป็นตัวควบคุมการหมุนของโถง แต่มันเองก็คงไม่ได้เข้าใจกลไกสักนิด เพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น ซึ่งมันอาจจะเคยเห็นการแก้กลไกของโถงมาก่อน

ซิลิสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เขาชักมือออกจากบาเรียและกุมหน้าอกตัวเองแน่น เมื่อครู่บิดลูกบาศก์แค่ครั้งเดียว แต่พลังเวทที่ถูกกระชากออกไปทำให้หัวใจของเขากระตุกแรงหนึ่งครั้ง มันไม่ถึงกับเจ็บปวดจนทนไม่ได้ เพียงแต่อาการหน่วงภายในทำให้เหงื่อไหลซึมและสร้างความสงสัยว่าทำไมตราพันธะทาสถึงไม่เกิดปฏิกิริยาอะไรเลย ตอนที่เขาเคยขัดคำสั่งฝืนใช้เวท ตราพันธะยังต่อต้านกระแสเวทสร้างความทรมานให้ร่างกายยิ่งกว่านี้อีก

เกว็นรีบเข้ามาดูอาการ เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดชื้นเหงื่อเธอก็รีบใช้โพชั่นฟื้นฟูกับซิลิแต่ก็เหมือนจะไม่ดีขึ้นเลยสักนิด

พวกเราออกไปกันก่อนดีกว่าไหมคะ”

ซิลิส่ายหน้า ไม่อยากเสียเวลาน่ะ ถ้าพลังเวทหมดก็คงโดนบาเรียดีดออกมาเหมือนกับแมวตัวนั้น แต่ว่าพลังเวทของผมแทบไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่า”

ถ้างั้นให้ฉันลองเป็นคนสำรวจก็แล้วกันค่ะ! ถ้าเป็นเรื่องปริมาณพลังเวทล่ะก็ฉันค่อนข้างมั่นใจ แต่ถ้าถูกดีดออกมาก็ขอรบกวนช่วยรับให้ทีนะคะ”

ซิลิพยักหน้า

เกว็นค่อยๆ ใส่มือเข้าไปในบาเรีย สัมผัสและสำรวจทุกด้านอย่างระมัดระวัง ลูกบาศก์หินชิ้นนี้เหมือนกับเอาลูกบาศก์แปดชิ้นมาประกอบกัน ซ้ำยังสามารถบิดสลับตำแหน่งซ้ายขวาหน้าหลังได้อิสระ ลวดลายบนพื้นผิวก็สะเปะสะปะดูยากยิ่ง และเธอก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นเมื่อได้บิดหนึ่งครั้ง อะ! ทุกครั้งที่บิดพลังเวทจะถูกดูดเป็นระลอก ปริมาณไม่สูงก็จริง แต่อย่างฉันน่าจะบิดได้ปริมาณสิบครั้งมั้งคะ”

ซิลิเข้าไปดูใกล้ๆ เขาเดาว่า ต้องทำให้ลวดลายตรงกันทุกด้านหรือเปล่า”

ก็น่าจะใช่แหละค่ะ บางทีลูกบาศก์นี้อาจจะเป็นกุญแจเปิดประตูของโถงทั้งหมดก็ได้” เกว็นหันไปมองแมวดำที่เบิกตาใสจ้องมองลูกบาศก์หิน มันคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นกับกลไกหรอกใช่ไหมคะ”

พลันเกว็นรู้สึกกังวลว่าอีกด้านของประตูที่ไม่มีใครเคยเปิดจะมีอะไรรออยู่

แก้ได้เมื่อไหร่ก็รู้เองนั่นแหละ”

ทว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็แก้ไม่ได้ ลาดลายทั้งหมดดูไม่มีอันไหนที่สามารถปะติดปะต่อได้เลย ดังนั้นแทนที่จะดึงดันต่อไป พวกเขาจึงคัดลอกลวดลายไว้ก่อนแล้วหันไปไล่จับแมวดำที่หนีออกจากห้องกลไก ซึ่งตอนนั้นเองที่พวกได้เห็นความอลหม่านภายในโถงทั้งแปด เพราะมันไม่เคลื่อนไหวเหล่ามอนสเตอร์จึงอาละวาด ทำให้เกว็น เซล่ารีดเค้นพลังเวทอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาช่วย โชคร้ายที่ช่วยไม่ได้ซ้ำยังขัดขวางการจับแมว เธอจึงแก้ตัวด้วยการงัดเอาศิลาเรืองแสงบนคทาออกมาอย่างไม่เสียดาย และขว้างดักทางมันเต็มแรง

ใครจะคิดว่าขว้างแม่นไปหน่อย โดนหัวมันเข้าอย่างจัง

 

ถึงจะเดาทางกลไกได้แล้ว แต่ก็ไม่รู้จัดการยังไงกับมันอยู่ดีค่ะ” เนื่องจากเธอชอบการจดบันทึกเพราะหัวช้าจึงมักจะถูกดุบ่อยว่าพกของไร้ประโยชน์ ไม่นึกจริงๆ ว่าสมุดโน้ตของเธอจะใช้งานได้ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เพียงแต่ภาพที่ลอกออกมาไม่น่าดูเสียเท่าไร

ฮาแบ็คเกิดความสับสนเล็กน้อย ลูกบาศก์หินที่บิดได้....พวกเขากำลังพูดถึงรูบิคอยู่ไม่ใช่หรือ? จริงอยู่ที่มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ในต่างโลกจะคิดค้นไม่ได้ แต่การมีอยู่ของดันเจี้ยนลักษณะนี้ไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปีแน่นอน ส่วนภาพที่เกว็น เซล่าลอกมาก็ไม่สามารถนำมาเรียงให้เป็นรูปที่มีความหมายได้ เรียกว่าเป็นเพียงรอยขูดขีดเสียมากกว่า

พูดถึงรอยขูดขีดแล้ว เขาก็ถามถึงเจ้าแมวตัวปัญหานั่น

เมอร์ลินจึงเปิดกรงแล้วจับตำแหน่งหลังคอของมันก่อนจะยื่นไปตรงหน้าฮาแบ็คอย่างระมัดระวัง ทว่าทันทีที่ปลายนิ้วเย็นของเขาแตะโดนหน้าผากของมัน แมวดำก็ลืมตาเบิกกว้าง มันดิ้นพล่านและร้องขู่จนขนตั้ง จ้องเขม็งไปยังเหล่าคนแปลกหน้าด้วยดวงตาดุร้ายและอ่อนแรง

ราชาปีศาจเท้าคางขณะจ้องมองสิ่งมีชีวิตที่คุ้นเคย

เมื่อยืนปลายนิ้วชี้เข้าไปใกล้จมูก พริบตาปากที่อ้ากว้างก็กัดเข้าที่นิ้วข้างนั้นเต็มแรง “แง่ว!!”

มาสเตอร์!” ซิลิตวัดตาสายตาพร้อมกับง้างมือออกมาอย่างดุร้าย เป้าหมายคือลำคอของแมวตัวนั้นก่อนจะถูกฮาแบ็คห้ามไว้

ไม่เป็นไร มันแค่ต้องการพลังเวทเพื่อฟื้นฟูและคงสภาพ” ราชาปีศาจหัวเราะ กลิ่นอายจากเลือดของเขาที่ไหลเข้าปากเล็กๆ นั้นทำให้มันปล่อยทันที แมวดำเปลี่ยนท่าที มันพยายามถอยหนีและเห็นได้ชัดว่ากำลังกลัวอยู่

ฮาแบ็คไม่ได้สนใจท่าทีของมัน เขาเพ่งมองสัญลักษณ์ประหลาดบนหัว ใช้นิ้วจิ้มสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “แต่เดิมข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะได้อะไรจากดันเจี้ยนนี้หรอก แต่แบบนี้ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เจ้าแมวนี่เป็นเพียงก้อนพลังที่ถูกแยกออกจากร่างหลักเท่านั้น ไม่แน่ว่าในโถงสุดท้ายอาจจะมีร่างสมบูรณ์ของมันอยู่”

กลุ่มพลัง?”

อืม เมื่อนานมาแล้ว มอนสเตอร์ที่มีสัญลักษณ์เช่นนี้บนหัวคือร่างหล่อมใหม่ที่เกิดจากพลังเวทของแม่มด บางครั้งพวกนางก็แค่นึกสนุกอยากทดลองกับซากโบราณที่ขุดเจอ หากข้าเดากลิ่นอายของพลังเวทไม่ผิด มันน่าจะแยกออกมาจากอสูรเซาธอร์”

เกว็นเบิกตาจ้องมองแมวดำตัวนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ “มะ หมายถึงมอนสเตอร์ที่สูญพันธุ์ไปหลายร้อยปีก่อนเหรอคะ”

รู้จักด้วยเหรอ ความรู้ของเจ้ากว้างขวางดี”

หนังสือทุกเล่มในวิหารเป็นชีวิตส่วนใหญ่ของฉันเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะพวกเรื่องเล่าในตำนาน แต่ตามตำราบอกว่าพวกมันถูกบังคับให้สูญพันธุ์เพราะเป็นตัวอันตราย ว่ากันว่าพวกมันอ่านอนาคตได้ด้วย หรือว่าจะลูกหลานของมันหลงเหลืออยู่จริงๆ!”

เซาธอร์เกิดจากความผิดพลาดของแม่มดตนหนึ่งที่คืนชีพให้สัตว์เลี้ยงของตนเอง แต่เดิมมันเป็นเพียงซากร่างที่ตายแล้ว ต่อให้กลายเป็นมอนสเตอร์ในภายหลังก็สืบพันธุ์ไม่ได้ มันเป็นข้อจำกัดต้องห้ามของศาสตร์คืนชีพทุกแขนง เซาธอร์จึงไม่ใช่ชื่อสายพันธุ์แต่เป็นชื่อเดิมของแมวแม่มด และหากข้าคิดไม่ผิด มันย่อมมีเพียงตัวเดียว”

เกว็น เซล่ามองมอนสเตอร์แห่งฮังเกอร์ชอปอย่างอึ้งทึ่ง “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ มาสเตอร์รู้ได้ยังไง”

วิทเชร์ตบอกข้า” ฮาแบ็คตอบง่ายๆ แต่ความจริงแล้วบันทึกของแม่มดตนนั้นอยู่ในคลังของเขา มันน่าจะผ่านมาเกือบพันปีหลังจากที่หล่อนตาย แต่เขาจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนฆ่าหล่อน บางทีอาจจะเป็นปีศาจใต้บัญชาของเขาก็ได้ ทว่าฮาแบ็คเองก็ไม่รู้จุดจบของเซาธอร์

อย่างนี้นี่เอง งั้นมันก็มีชื่อว่าเซาธอร์สินะคะ” เกว็นไม่สงสัยแม้แต่น้อย เธอเอียงคอเรียกชื่อของมัน แต่แมวตัวนั้นไม่ได้ตอบสนอง

มันเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังเท่านั้น ไม่มีความทรงจำของร่างต้นหรอก บางทีการแบ่งร่างก็มีไว้เพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ร่างต้นสั่งไว้ เช่นเดียวกับที่มันทำอยู่ตอนนี้คือพยายามหาทางแก้กลไก น่าเสียดายที่มันไม่สมอง นอกจากจะแก้ไม่ได้แล้วก็ยังทำกลไกเสียดายด้วย”

นิ้วเรียวยาวเคาะบนภาพที่เกว็นลอกมา “รอยขูดขีดพวกนี้น่าจะมาฝีมือของมัน หากมันทำเช่นนั้นมามากกว่าร้อยปี ก็จะสามารถทำลายภาพที่แท้จริงของลูกบาศก์ได้เลย”

อ๋า!!” เกว็นร้องเสียงหลง เธออุตส่าห์ฝืนสังขารลอกมาจนครบทุกเส้นแล้วเชียว

หมายความว่ามันแก้ไม่ได้แล้วเหรอครับ”

อืม ถ้าไม่เห็นภาพก็แก้ไม่ได้แล้ว ต่อให้แกะมาประกอบใหม่ก็ไม่ประโยชน์”

ทั้งสองฟังแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

ฮาแบ็คเลิกคิ้ว “เป็นอะไรไป พวกเจ้าอยากพิชิตดันเจี้ยนงั้นเหรอ”

เกว็นจิ้มนิ้วเข้าหากัน “ฉันไม่มีความกล้าขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ว่า.....” หล่อนมองไปที่แมวดำ รู้สึกใจอ่อนอย่างบอกไม่ถูก เพราะบางครั้งสีหน้าของมันก็โดดเดี่ยวอย่างมาก ต่างกับซิลิที่พยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ผมอยากเปิดโถงนั่นครับ บางทีมอนสเตอร์ข้างในอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี”

ซิลิยังไม่ลืมว่าจุดประสงค์หลักของตนเองคืออะไร เขาอยากสู้กับพวกมอนสเตอร์มากกว่านี้ ถ้าข้างในเป็นบอสก็เท่ากับว่าที่ลงแรงไปไม่เสียเปล่า

ฮาแบ็คลูบคาง แล้วพยักหน้า “ถ้าเป็นเซาธอร์อยู่ข้างในจริงๆ ก็มีแต่ต้องฆ่าทิ้งเหมือนกัน”

เอ๋!? ทำไมล่ะคะ” เกว็นเกิดอาการต่อต้านอย่างช่วยได้ รูปลักษณ์ของมันในตอนนี้เป็นเพียงแมวตัวหนึ่งเท่านั้น และเธอเองก็ชอบสัตว์หน้าขนด้วย

เจ้าบอกว่าพวกมันมองเห็นอนาคตได้สินะ”

นั่นเป็นแค่หนึ่งข้อความในกระดาษเองค่ะ ไม่ได้รับการยืนยันสักหน่อย...หรือว่ามันทำแบบนั้นได้จริงๆ”

ฮาแบ็คเท้าคางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมัน “มันทำได้ และเพราะทำได้ก็เลยถูกไล่ฆ่า เซาธอร์ไม่ใช่แมวร่างเล็กอย่างที่เห็น สัตว์เลี้ยงของแม่มดเป็นอสูรวิวัฒนาการและมันเป็นผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่ง หากคนที่ทำสัญญาด้วยตกอยู่ในอันตราย มันจะลงมือกำจัดภัยคุกคามนั่นทันที คราวนี้ลองคิดตามดู หากมันรู้ว่าล่วงหน้าว่าเจ้านายของมันจะถูกปล้นเมื่อไหร่ โดยใคร เจ้าคิดว่ามันจะทำอะไร”

เกว็นกลืนน้ำลายเอือก “มันจะไปกำจัดคนผู้นั้นก่อน....”

ถูกต้อง แต่เจ้านายของมันคือแม่มด” ฮาแบ็คยิ้มเย็น “ในยุคที่พวกนางไม่เป็นที่ยอมรับ เจ้าว่าเซาธอร์เห็นสิ่งใจในอนาคตมันถึงได้สังหารคนทั้งหมู่บ้านนับร้อยคนในคืนเดียว?”

ทั้งคู่นิ่งอึ้ง

หากเซาธอร์ยังอยู่ ย่อมหมายความว่ามันยังทำสัญญากับใครบางคนอยู่”

ฮาแบ็คไม่คิดว่าคนคนนั้นเป็นแม่มดเสียด้วย

งะ งั้นก็มีแต่ต้อง....กำจัดทิ้งเท่านั้นเหรอคะ”

จะให้ทำสัญญากับเจ้าก็ได้นะ อย่างเจ้าคงไม่มีศัตรูหรอกใช่ไหม” ฮาแบ็คเสนออย่างขบขัน แต่เกว็นไม่ขำสักนิด เธอยังเรื่องบาดหมางกับตระกูลตนเองอยู่เลย นักบวชสาวถึงส่ายหน้าขวับๆ

ถ้าอย่างนั้นก็สู้ยากพอสมควรเลยสินะครับ” ซิลิยังขมวดคิ้ว

ไม่หรอก มันมองเห็นอนาคตก็จริงแต่มันไม่เห็นอนาคตตัวเอง” เขามองดูเด็กสองคนที่ขบคิดเรื่องราวไปคนละทางอย่างครุ่นคิด หากเป็นเซาธอร์ต้องฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน แต่ฮาแบ็คก็ยังสนใจเรื่องร่างแยกของมันอยู่ เขาไม่เคยได้ยินว่าเซาธอร์วิวัฒนาการได้ถึงขั้นแยกร่าง แถมความสามารถในการเคลื่อนที่ก็ไม่ต้องอาศัยพลังเวทเสียด้วย เขาจึงเปรยขึ้นว่า “ข้าจะปรึกษาเรื่องนี้กับวิทเชร์ตก็แล้วกัน”

ดวงตาของเกว็นดูมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่ซิลิยังคงขมวดคิ้ว ฮาแบ็คคือเสริมอีกประโยคว่า “ชนะโดยไม่ฆ่า ย่อมยากกว่าอยู่แล้ว เจ้าว่าจริงไหม”

เด็กชายฟังแล้วก็พยักหน้าแรงๆ หนึ่งที

อะ! แต่ว่าก่อนหน้านั้น พวกเราจะแก้กลไกยังไงคะ” เกว็นรีบถามหัวข้อสำคัญ และคำตอบของฮาแบ็คทำให้เธออ้าปากค้าง

ทำลายทิ้งก็สิ้นเรื่อง ถ้าเจ้าแมวโง่นี่ยังทำให้เกิดรอยขีดข่วนได้ โถงทั้งแปดก็น่าจะไม่ใช่ส่วนสำคัญอะไร ต่อให้เปิดกลไกได้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกมันจะถูกทำลายทิ้งเพื่อป้องกันผู้บุกรุกเสียด้วยซ้ำ”

ถ้าทำแบบนั้น คนที่อยู่ในโถงทั้งหมดก็อาจจะโดนลูกหลงไปด้วยน่ะสิ” เกว็นเบิกตากว้าง

คงงั้นแหละ” ส่วนใหญ่ผู้ที่เข้าไปมีแต่นักผจญภัยของกิลด์ ซ้ำยังต้องเซ็นยินยอมก่อน ฉะนั้นต่อให้ตายเพราะการแก้กลไกของเขาก็จะมาทวงถามหาความรับผิดชอบไม่ได้ ไม่มีใครสามารถลงโทษผู้พิชิตดันเจี้ยนได้ และคงไม่มีใครสนใจชีวิตของคนเหล่านั้นด้วย

ฮาแบ็คมองนักบวชที่กระวนกระวายจนอยู่ไม่สุขสลับกับซิลิผู้เงียบขรึมจนดูเหมือนจะไม่ใส่ใจว่าใครจะเป็นหรือตายอย่างไร

งั้นเลือกเวลาหน่อยก็แล้วกัน เอาเป็นสองชั่วโมงสุดท้ายก่อนดันเจี้ยนจะหายไป ดีไหม?” ฮาแบ็คเสนออย่างใจดี ทำให้ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง ซิลิพยักหน้าอย่างจริงจัง คิดว่ามาสเตอร์ต้องการเพิ่มเงื่อนไขเวลาเข้าไปเพื่อให้การฝึกเข้มข้นยิ่งขึ้น ส่วนเกว็นได้แต่ซาบซึ้งน้ำตาจะไหล

มาสเตอร์จะเข้าไปด้วยเหรอครับ” ซิลิถาม

ไม่ล่ะข้าขี้เกียจ แต่จะส่งคนผู้หนึ่งไปแทน” เมื่อได้ยินคำตอบเด็กชายก็หันไปมองเมอร์ลิน แต่ฮาแบ็คหัวเราะอย่างรู้ทัน “เสียใจด้วยไม่ใช่นาง”

งั้น.....”

เป็นคนสวนของข้า”

 

หลังจากนัดแนะกันในคืนสุดท้าย เกว็น เซล่าถูกบังคับให้ติดตามไปด้วยอีกครั้ง ซึ่งเธอก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว กลับกันนักบวชสาวรู้สึกตื้นตันใจเสียมากกว่า เพราะตลอดมาไม่เคยมีทีมผจญภัยที่ไหนยินยอมให้เธอเข้าร่วมเลยสักทีม แม้มาสเตอร์จะบอกว่าเป็นการชดใช้ค่าโพชั่น แต่เกว็นรู้ความสามารถของตนเองดี เธอจึงตั้งใจจะใช้เวลาทั้งหมดเตรียมพลังเวทให้พร้อม หากต้องเป็นฝ่ายเสียสละในห้องกลไกก็จะทำสุดกำลัง

ส่วนแมวดำตัวนั้น มันไม่ได้เชื่องแต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน มีเพียงฮาแบ็คที่มันยอมให้จับโดยไม่ดิ้น ดังนั้นเมอร์ลินจึงขังมันไว้ในกรงเช่นเดิม เพื่อรอให้ราชาของเธอตัดสินชะตาชีวิตของมัน ในขณะที่ซิลิยังคงคาใจกับเรื่องของคนสวน

ฮาแบ็คจึงตอบข้อสงสัยสั้นๆ ว่า “แม้แต่เมอร์ลินก็ยังฝึกฝนให้ได้ คนสวนของข้านับเป็นอะไร เขาจะมาฝึกฝนการใช้อาวุธให้เจ้า”

ซิลิเบิกตากว้าง หมายความว่ามาสเตอร์หาอาจารย์ให้เขาอย่างนั้นเหรอ “ความกรุณาของมาสเตอร์ช่าง.....”

มองดูเด็กน้อยยืนก้มหน้าก้มตาเขาก็ลูบหัวเบาๆ ความอ่อนโยนขัดแย้งกับประโยคต่อจากนี้อย่างสิ้นเชิง “คนสวนข้าไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเจ็บปวด บางครั้งอาจจะถามเจ้าว่าการนอนมีประโยชน์อะไร หรือเหตุใดถึงอาเจียนออกมาเป็นเลือด หากเขาลงมือหนักไปเจ้าไม่ต้องไว้ไมตรีศิษย์อาจารย์ จะต่อสู้กับเขาแบบเอาชีวิตก็ได้ข้าไม่ถือ ไม่ต้องห่วง เจ้าฆ่าเขาได้ แต่เขาจะฆ่าเจ้าไม่ได้”

พริบตานั้นซิลิรับรู้ได้ทันทีว่าเส้นทางฝึกตนข้างหน้าจะสาหัสกว่าที่ผ่านมาหลายเท่าตัว

เห็นสีหน้าของเด็กน้อยฮาแบ็คก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่เขาไม่ได้ล้อเล่น ดังนั้นจึงต้องเตือนกับซิลิไว้ก่อน เขาเอ่ยว่า “เขาจะมาพบเจ้าหลังอาทิตย์ตก ไม่ต้องรีบร้อน กลับไปพักผ่อนเถอะ”

ก็ได้ครับ แต่ว่าก่อนหน้านั้น...” ซิลิส่งคืนดาบเล่มนั้น เขารายงานสั้นๆ ว่า “ไม่ค่อยถนัดครับ”

งั้นหรือ” ฮาแบ็คลูบคางเบาๆ ก่อนเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “แล้วถ้าข้าต้องการให้เจ้าชำนาญอาวุธทุกประเภทล่ะ”

ผมก็จะทำให้ได้ครับ” ซิลิตอบโดยทันที

ดีจริง ไม่ต้องมานั่งอธิบายหรือหาเหตุผลเกลี้ยกล่อม เจ้าหนูนี่มีคุณสมบัติในการเป็นไข่ทองคำที่ดีจริงๆ ด้วย

ราชาปีศาจอดคิดอย่างปลื้มปริ่มไม่ได้

 

เมื่อส่งเด็กน้อยเข้านอน ราชาปีศาจก็เตรียมจะนอนเช่นเดียวกัน เขากลับไปชั้นใต้ดินและพบว่าเมอร์ลินได้เตรียมเตียงหลังใหญ่ไว้ให้แล้ว ไม่เพียงเท่านั้นหล่อนยังตบปุๆ ลงบนผ้าน่วมแล้วควักหนังสือนิทานเรื่องจ้าวปีศาจถล่มดวงดาวอะไรก็ไม่รู้นั่นออกมาด้วย

“....” นี่เขาเลี้ยงบริวารมาผิดวิธีหรือไงนะ!

ฮาแบ็คก็อดบ่นกับสาวใช้ไม่ได้ว่า “แค่เขียนคำว่า ฮาแบ็ค เป็นภาษาปัจจุบันมันยากนักเหรอ”

เดิมทีมนุษย์ก็เขียนชื่อของท่านภาษาอาลัสซัสอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่จากฐานข้อมูลที่เข้าถึง ชื่อนี้ถูกห้ามนำมาใช้ในงานราชการเพราะอาจจะเกิดความสับสน”

ไร้สาระจริงๆ ทั่วออร์บิสจะไม่มีคนชื่อช้ำกับราชาปีศาจเลยหรือไง”

ไม่มีค่ะ” เมอร์ลินตอบให้อย่างหวังดี

“....เจ้าไปสำรวจตอนไหน ไม่แน่ว่าอาจจะมีสุนัขหรือแมวชื่อนี้อยู่ก็ได้”

จากนั้นเจ้าของของมันก็จะโวยวายว่าไม่เป็นมงคล แล้วก็เปลี่ยนชื่อใหม่ใช่ไหมคะ” เมอร์ลินดันแว่น เลนส์กระจกสะท้อนแสงแยงตาจริงจริ๊ง!

ยินดีด้วยกับการแยกร่างสำเร็จค่ะ แต่ว่าส่งกลับปราสาทไปพร้อมกับท่านโคลอสซอร์ทั้งแบบนั้นจะไม่เป็นไรหรือคะ”

กายเนื้อสมบูรณ์สร้างด้วยไขสันหลังและกระดูกถึงเจ็ดชิ้น หากทำลายได้ง่ายๆ ข้าจะมอบตำแหน่งราชาปีศาจให้ก็แล้วกัน” ฮาแบ็คปีนขึ้นเตียง เขาใส่ไอวิญญาณของตัวเองไปสองส่วนเพื่อไม่ให้มันเป็นกายเนื้อว่างเปล่าและสามารถถ่ายโอนวิญญาณกันได้ในทันที ส่วนกระบวนการแยกร่างนั่นอย่านึกถึงมันอีกจะดีกว่า

แต่ว่ากระบวนการดูดกลืนพลังชีวิตไม่ค่อยราบรื่นใช่ไหมคะ”

ก็นะ ถึงจะเป็นดันเจี้ยนระดับ X แต่จำนวนชั้นมันน้อยไปหน่อย มอนสเตอร์และทรัพยากรก็เลยไม่พอ ช่างเถอะ ที่เหลือดูดกลืนจากหินเวทก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพักอีกคืนหรอก”

ดิฉันของบังอาจถาม มายลอร์ดในตอนนี้อ่อนแอลงไปแค่ไหนคะ”

ฮาแบ็คหัวเราะหึๆ “เจ้าอยากลองทดสอบดูไหม?”

เมอร์ลินเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการว่า “แค่อยากทราบว่าหากดิฉันต้องพลีชีพเพื่อท่านควรเป็นสถานการณ์ไหน นั่นก็เพื่อทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเท่านั้นเองค่ะ”

ไร้สาระจริง พลีชีพไม่ใช่หน้าที่ของสาวรับใช้เสียหน่อย ต่อให้ร่างนี้ถูกทำลายได้จริงข้าก็ไม่ตายหรอก หรือต่อให้ตายเจ้าก็ไม่ต้องลงมืออะไรทั้งนั้น”

รับทราบมายลอร์ด” เมอร์ลินตอบรับอย่างว่าง่าย

ว่าแต่ว่าเจ้าคงไม่คิดจะอ่านนิทานเรื่องนั้นกล่อมข้าจริงๆ หรอกใช่ไหม” ฮาแบ็คเหล่มองหนังสือปกแดงที่ค่อนข้างเก่าในมือเธอ

หากมายลอร์ดไม่ชอบนิทาน ให้ดิฉันร้องเพลงดีไหมคะ?”

พรูด! ฮาแบ็คสำลักน้ำลาย หัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจ “เป็นเพราะข้าไม่ค่อยนอนเจ้าเลยจะถือโอกาสโชว์ทักษะพี่เลี้ยงเด็กหรือไง ฮ่าๆๆ! น่าสนใจ แต่ก็น่าเสียดายที่วันนี้ข้าอยากฟังเรื่องของนักบวชคนนั้นมากกว่า เจ้าคิดว่าไง”

ดิฉันไม่ชอบนักบวชค่ะ” คำตอบนั้นไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการคิดแม้แต่น้อย ไม่มีปีศาจตนไหนชื่นชอบผู้รับใช้เทพ

ไม่อ้อมค้อมสมแล้วที่เป็นเจ้า มีอย่างอื่นอีกไหม”

เมื่อฮาแบ็คเอนกายมุดเข้าผ้าห่มเรียบร้อย เมอร์ลินจึงอธิบายว่า “ไฮบริดผู้นั้นไม่มีกลิ่นอายจากพรแห่งเทพ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีหวังในการใช้เวทฟื้นฟูแล้วค่ะ อีกอย่างสภาพชุดทั้งเก่าและบาง ไม่ทันซักก็ขาดวิ่น คาดว่าไม่ได้รับการสนับสนุนจากวิหารเสียเท่าไร หรือมายลอร์ดสนใจเวทอัญเชิญ”

ถ้าพูดให้ถูก ข้าสนใจวิธีอัญเชิญของนาง” เกว็น เซล่าไม่เคยทำพันธสัญญาร่วมกับสัตว์อัญเชิญจึงไม่มีทางที่เธอจะส่งพวกมันกลับไปได้ และเนื่องจากการอัญเชิญต้องแลกกับพลังเวทจำนวนมาก การทำพันธะจึงเป็นการระบุเงื่อนไขเพื่อป้องกันตัวผู้อัญเชิญเสียมากกว่า วงเวทที่ทำให้อัญเชิญโดยไม่มีพันธะผูกพันได้คือวงเวทขั้นต้นสำหรับฝึกหัด ซึ่งมันคงจะเรียกมาได้เฉพาะสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและระยะไม่ไกลจากผู้อัญเชิญ ทว่าเกว็น เซล่ากลับเรียกมอนสเตอร์ที่เคยพบเพียงครั้งเดียวซึ่งอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แถมยังเรียกมันเข้าไปในดันเจี้ยนอีกต่างหาก ทั้งระยะ ขนาด และการผ่านประตูดันเจี้ยน ย่อมต้องใช้ปริมาณพลังเวทเป็นเท่าทวี

คนแบบนี้สมควรถูกไล่ออกจากตระกูล? ตาบอดหรือไงกัน?

ให้ดิฉันสืบเรื่องตระกูลรัสวินเดลไหมคะ”

เอาสิ ถึงข้าจะไม่ได้สนใจเท่าไร แต่-” ฮาแบ็คเอ่ยอย่างเย็นชา “เรื่องที่เกี่ยวกับมังกร หวังว่าพวกเขาจะแค่กุขึ้นมาเฉยๆ นะ”

รับทราบค่ะ แล้วเรื่องของแมวตัวนั้น จะให้กำจัดมันทิ้งหลังจบดันเจี้ยนเลยไหมคะ?”

รอข้าตื่นเมื่อไหร่ก็รู้เอง” เป็นโอกาสดีที่จะได้ทดสอบการย้ายร่าง ฮาแบ็คคิดแล้วจึงหลับตา ร่างทั้งสองที่อยู่ห่างไกลเชื่อมต่อกัน