4 ตอน บทที่ 3 ข้า-พัก-ร้อน-อยู่
โดย Laksh Mana
บทที่ 3
ข้า-พัก-ร้อน-อยู่
สุสานกระดูกคือดันเจี้ยนที่วนมาทุกสิบปี เปิดประตูในเวลาเที่ยงคืนของเดือนสามและประตูจะคงอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาสามวันก่อนจะหายไป มันถูกจัดให้เป็นเรื่องประหลาดประจำเมือง เมื่อร้อยปีก่อนเคยถูกจัดให้อยู่ในแรงค์ S ก่อนจะถูกลดขั้นมาแรงค์ A เมื่อปราศจากการคุกคามถึงภายนอก ทั้งยังสามารถออกมาได้ง่ายจากทางเดิมที่เข้าไป มันไม่ใช่ดันเจี้ยนกักขัง ยังไม่การค้นพบเงื่อนไขการพิชิต ภายในนั้นมีเพียงมอนสเตอร์และปริศนาประตูอีกด้านที่ยังไขไม่ออก
จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตให้การตรงกันว่า มันมีโถงแปดแห่งที่เชื่อมกันด้วยสะพานสามด้าน ทุกโถงจะมีประตูใหญ่มหึมาอยู่มุมตรงข้ามกับทางออกเสมอ ซึ่งทุกครั้งที่เข้าประตูดันเจี้ยน จะถูกสุ่มไปยังโถงต่างๆ และหากอยู่ในนั้นนานเกินไป โถงก็จะเริ่มขยับเอง มันพลิกผู้ท้าทายตีลังกาไปมา บางครั้งก็นานหลายนาที บางครั้งก็เคลื่อนเพียงครั้งเดียว ในเวลาเพียงสามวัน พวกเขาคาดเดาการเคลื่อนไหวไม่ได้เลย ผู้ท้าทายที่อายุเกินหกสิบต่างบอกว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้รูปแบบ คำนวณไม่ได้และหากลไกไม่เจอ ในโถงที่มืดมิดและกว้างขวางเต็มไปด้วยเสาหินค้ำยันขนาดใหญ่หลายต้น แต่ละต้นไม่สมประกอบ มีช่องวางให้ซ่อนตัว เหยียบยืนและปีนป่ายได้ ซึ่งมันก็เป็นที่ซ่อนตัวของมอนสเตอร์ประเภทสเกลาตันและตัวมีปีกเช่นกัน แต่สาเหตุการตายในดันเจี้ยนสุสานกระดูกกลับมาจากการถูกอัดกระแทกเพราะถูกเหวี่ยงไปมา เนื่องจากยังไม่เคยมีใครได้เห็นมอนสเตอร์ผู้พิทักษ์ดันเจี้ยนแม้แต่คนเดียว
ถึงอย่างนั้น นักผจญภัยก็ยังคงเข้าไปรับความเสี่ยงอยู่ทุกสิบปี พวกเขาอยากเปิดความลับของประตูในโถงทั้งแปดที่ยิ่งนานวันความคาดหวังก็ยิ่งสูง พวกเขาไม่สนว่าในนั้นจะมีมอนสเตอร์ประเภทไหนรออยู่ แต่ดันเจี้ยนยังไม่ถูกพิชิต ในนั้นย่อมต้องมีสมบัติอย่างแน่นอน
.....
“สมบัติหรือ? คงมีแหละมั้ง”
เป็นคำตอบที่แฝงความขบขันของฮาแบ็คหลังจากได้รับรู้เรื่องราวของดันเจี้ยนปริศนา เขากล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “คงคิดว่าขอแค่หาผู้พิทักษ์ดันเจี้ยนให้เจอก็พอล่ะสิ”
สมบัติไม่ใช่ว่าต้องเป็นเงินทอง ทั้งอาวุธ วัตถุดิบ แม้แต่หนังสือสักเล่ม เมื่อปรากฏในส่วนที่ลึกที่สุดก็กลายเป็นสมบัติได้เช่นกัน แน่นอนว่าใครก็ใช่จะมองออก ดังนั้นสิ่งที่บ่งบอกว่าสิ่งใดมีค่ามากที่สุดก็คือผู้พิทักษ์ของมัน.....อา แต่ก็ไม่ได้เป็นรูปแบบตายตัวเสียทีเดียว นักผจญภัยยุคนี้เองก็ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในดันเจี้ยนมากมายเท่าไร พวกเขาศึกษาจากบันทึกของบรรพบุรุษจึงไม่ตระหนักว่าในดันเจี้ยนบางประเภท ก็มีมอนสเตอร์เป็นสมบัติที่ห้ามแตะต้องอยู่เหมือนกัน
ราชาปีศาจบิดกายอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ตัวยาวในสวนที่ตกแต่งด้วยไฟ อากาศยามดึกปลอดโปร่งและความเงียบสงบก็ทำให้เขาอารมณ์ดี ฮาแบ็คนอนเอกเขนกไปพร้อมกับดูชมการเอาตัวรอดของพนักงานฝึกหัดผ่านดวงตาลูกแก้วของไคลม์[1] เนื่องจากวันนี้เป็นแรกของดันเจี้ยนสุสานกระดูก ในเวลาเที่ยงคืนซิลิจึงถูกส่งเข้าไปพร้อมกับเหล่านักผจญภัยคนอื่น
“คิดเห็นอย่างไรกับดันเจี้ยนนี้หรือคะ” เมอร์ลินถาม
ฮาแบ็คเท้าคาง “ธรรมชาติไม่สร้างดันเจี้ยนที่มีกลไกแบบนี้ ข้าเองก็ไม่เสียเวลาทำมันเช่นกัน”
โดยปกติระดับความอันตรายของดันเจี้ยนหลักๆ แบ่งได้สองประเภท คือประเภทที่ขึ้นกับจำนวนชั้น ซึ่งดันเจี้ยนประเภทนี้ส่วนใหญ่มาจากฝีมือของราชาปีศาจ และประเภทที่ขึ้นกับแรงค์ของมอนสเตอร์ผู้มาจากอารยธรรมเก่า หรือไม่ก็ดันเจี้ยนผจญภัยที่เน้นความกว้างมากกว่าความลึก
แรงค์ B ถึง SS มักเป็นดันเจี้ยนที่เขาไม่ได้สร้าง หรือจำนวนชั้นน้อยกว่าสาม จำเป็นต้องเน้นทักษะสำรวจรอบด้านไว้ก่อนและส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ดันเจี้ยนที่เข้าได้รอบเดียว สำรวจ ประเมิน แล้วค่อยลงมือ คือสเต็ปของดันเจี้ยนผจญภัย
แต่ถ้าขึ้นต้นด้วย X จะเป็นเรื่องของจำนวนชั้น นักผจญภัยจะเน้นกำลังรบเป็นหลัก ทั้งกับดัก มอนสเตอร์และปีศาจ หากพิชิตไม่ได้สักชั้นก็ตายสถานเดียว เพราะดันเจี้ยนประเภทนี้มีเงื่อนไขในการใช้ทางออก
ดันเจี้ยนในตำนานที่เคยถูกพิชิตเมื่อหลายร้อยปีก่อนคือดันเจี้ยนแรงค์ XS (ต้องห้ามระดับสอง) ระดับความลึกที่หนึ่งร้อยแปดชั้น จำนวนผู้กล้าที่พิชิตในชั้นสุดท้ายคือห้าคน จากทั้งหมดพันเจ็ดร้อยคน ครึ่งหนึ่งล้มเลิกกลางทาง อีกครึ่งหนึ่งเสียชีวิต ส่วนดันเจี้ยนระดับแรงค์ XX ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์มีเพียงแห่งเดียว แต่ก็น่าแปลกที่เขาจำไม่ได้ว่าเคยสร้างของแบบนั้นไว้ด้วย
“เป็นซากอารยธรรมจากยุคเก่าหรือคะ”
“เดาได้ดี” ฮาแบ็คพยักหน้า “ถึงจะมีแปดโถงแต่ก็ไม่ใช่รูปแบบการแบ่งของจำนวนชั้น มันเป็นกลไกที่อยู่กับที่ ไม่ว่าจะซับซ้อนแค่ไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่นักเวทในยุคก่อนจะสร้างไม่ได้ จุดประสงค์ของดันเจี้ยนแบบนี้ ให้ข้าเดาก็น่าจะเป็น ‘ห้องขัง’ มากกว่า ‘ห้องลับ’ ”
“ฟังดูน่าสนใจดีนะคะ” เมอร์ลินกล่าวระหว่างรินชา
“....สีหน้าเจ้าสวนทางกับคำพูดเลยนะ” ฮาแบ็คขมวดคิ้วกับรสชาติที่สัมผัสปลายลิ้น เขากับชาไปกันไม่ได้จริงๆ ด้วย
“มายลอร์ดไม่ได้จะส่งเด็กคนนั้นไปสู้กับอะไรก็ตามที่อยู่หลังประตูหรอกหรือคะ”
“ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา แต่ไม่ว่าข้างในจะเป็นอะไร ปัญหาก็อยู่ที่ขนาดกับเวลา ประตูบานนั้นเกี่ยวข้องกับกลไกการขยับตัวของโถง บุกทำลายซึ่งหน้าก็เหมือนกับฆ่าตัวตาย แต่ถ้าจะหากลไกเวลาสามวันคงน้อยไปสำหรับเขา”
เขาไม่ได้คาดหวังว่าซิลิจะพิชิตดันเจี้ยนสำเร็จในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ เพียงแค่มองหาแบบฝึกให้ เขาจึงมอบดาบให้เด็กคนนั้นหนึ่งเล่ม ดาบขนาดกลางคุณภาพพอใช้ แต่หากเทียบกับดาบของอัศวินก็เรียกได้ว่าขยะ
เอาเถอะ เมื่อวันก่อนเขาทดสอบทักษะการใช้ดาบไปแล้ว และซิลิก็ใช้ดาบได้ไม่คล่องอย่างที่คิด สไลม์ซึ่งถูกใช้เป็นแบบฝึกหัดที่ถูกฟันตายยังมีน้อยกว่าตัวที่ถูกมือเท้าบดขยี้เสียอีก เจ้าเด็กนั้นใช้ร่างกายเป็นหลัก อาวุธเป็นรอง แต่ก็ไม่ใช่สายหมัดมวยอะไร เขาแค่ไม่กลัวตายและทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่ามอนสเตอร์เท่านั้น
“ก่อนหน้านี้ให้เจ้าทดสอบการใช้อาวุธของเขาไป นอกจากดาบแล้วเขาถนัดอะไรบ้าง”
เมอร์ลินรายงานว่า “ดูเหมือนเขาจะไม่ถนัดอะไรเลยค่ะ”
“อา.....” ฮาแบ็คออกจะไม่ชอบใจหน่อยๆ จริงอยู่ที่ผู้กล้าไม่จำเป็นใช้ต้องอาวุธอย่างเดียว แต่ผู้ที่เข้ามารับความตายจากราชาปีศาจโดยปราศจากอาวุธก็คือนักเวท ซ้ำยังต้องเก่งมากพอที่จะใช้เวทโดยไม่ต้องร่าย เพราะระยะทำลายล้างของเขากว้างมากและมันก็ไม่ใช่การต่อสู้แบบเกมเทิร์นเบส[2]ในสนามรบที่สับสนวุ่นวาย การเคลื่อนไหวของราชาปีศาจไม่เคยมีส่วนที่เสียเปล่า หากผู้กล้ามัวแต่เก๊กท่าพิรี้พิไรพริบตาเดียวหัวกับตัวก็แยกออกจากกันแล้ว
อีกอย่างคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ของผู้กล้าเป็นดาบเสียส่วนใหญ่ เขาไม่ได้คาดหวังกับอาวุธโบราณเก่ากึกพรรค์นั้นหรอก แต่บาดแผลที่ได้รับจากมันเมื่อห้าร้อยปีก่อนไม่เลวเลย
“แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่แย่ คงเลียนแบบสัตว์อสูรมา อย่างพวกหมาป่าทำนองอะไรทำนองนั้น”
“หมายถึงกอริลลาเหรอคะ” เมอร์ลินชี้ไปที่ดวงตาลูกแก้วในระหว่างเขาละสายตา
เด็กนั่นปักดาบไว้ที่สเกเลตันตัวหนึ่ง ในขณะกำปั้นลุ้นๆ กระหน่ำทุบโครงกระดูกอีกตัวใต้ร่าง แยกชิ้นส่วนของพวกมันแล้วเหวี่ยงร่างที่เหลือกระแทกกับตัวใหม่ที่พุ่งเข้ามา เรี่ยวแรงมหาศาลกว่าตาเห็นสร้างความตกตะลึงให้กับนักผจญภัยที่อยู่ใกล้ๆ หน้าอกสั่นไหวเล็กน้อยจากอะดรีนาลีนที่พุ่งสูง ทว่าไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า
ฮาแบ็คผิวปาก วิพากษ์วิจารณ์ว่า “พลังเวทถูกสะกด อาวุธก็ไม่ถนัด ถ้าร่างกายทำไม่ได้ขนาดนั้นก็น่าสงสัยเกินไปแล้ว เขาคงไม่ได้พึ่งปาฏิหาริย์อย่างเดียวหรอกมั้ง” โชคดีก็เรื่องหนึ่ง แต่ฮาแบ็คไม่ต้องการใช้ผู้กล้าของเขาพึ่งพาสิ่งเลื่อนลอย
“เจ้าว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพสืบทอดทางกรรมพันธุ์ได้หรือเปล่า”
“ดิฉันเคยได้ยินแต่ลักษณะพิเศษทางพลังเวทนะคะ ยกเว้นว่าเขาจะเป็นลูกของอมนุษย์”
ซิลิเป็นมนุษย์แน่นอน เขาไม่ใช่พวกไฮบริด แต่ฮาแบ็คไม่ใส่ใจมากนัก การสืบทอดความพิเศษทางสายเลือดมักจะเกิดกับผู้ที่มีผังตระกูลใหญ่ ชนชั้นสูงผู้ใกล้ชิดกับราชวงศ์ ขุนนางและเหล่าผู้สืบทอดบัลลังก์ เขาจำได้ว่าราชวงศ์นอร์ทเธียถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์อานอส หนึ่งในสิบสามอาวุธแห่งพรและหนึ่งในสามดาบแห่งแสงที่เลือกผู้ถือจากคุณสมบัติพลังเวทสีขาว ว่ากันว่าราชวงศ์นอร์ทเธียคืออัจฉริยะด้านพลังเวทนั้น ออร่าที่ปกคลุมดาบสามารถฟันทะลุเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดของราชาปีศาจได้เลย.....หมายถึงผู้กล้าเมื่อห้าร้อยปีก่อนน่ะ ส่วนตอนนี้นอร์ทเธียก็เป็นได้ชื่อประดับบารมี เขามองไม่เห็นคุณสมบัติที่ว่ามาสักนิด หลังจากผู้กล้าในตำนานซึ่งเป็นเจ้าชายแห่งนอร์ทเธียตายไป ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถรักษาสายเลือดอันเข้มข้นไว้ได้ น่าเสียดายจริงๆ
“แต่ว่านี่ก็อยู่ในขอบเขตงานของดิฉันหรือคะ?”
เมอร์ลินผู้ได้รับหน้าที่ฝึกฝนซิลิในช่วงนี้สอบถามด้วยสีหน้าปลาตาย ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ค้างคาใจเธอมาหลายวัน ฮาแบ็คหัวเราะขบขัน ที่สาวใช้ไม่ชอบเด็กคนนั้นเขามองออกอยู่แล้ว
“จะว่าไปก็ไม่ใช่หรอก เพราะงั้นเจ้าอยากได้ค่าแรงพิเศษเป็นอะไรล่ะ วันหยุดรึ?” ปีศาจไม่ต้องใช้เงิน และบางตนก็ไม่กินอาหารแบบปกติ กระทั่งตัวราชาปีศาจเองก็ไม่จำเป็นต้องรับสารอาหารทุกวันเสียด้วยซ้ำ
เมอร์ลินเอียงคอเล็กน้อย เอ่ยว่า “ดิฉันไม่ต้องการวันหยุดค่ะ”
“งั้นเจ้าต้องการอะไร เมอร์ลินของข้ามีสิ่งที่อยากทำหรืออะไรที่อยากได้บ้างรึเปล่า”
เมอร์ลินเอ่ยอย่างรวดเร็วราวกับคิดมานานแล้วว่า “ตอนนี้ดิฉันไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากอยู่รับใช้มายลอร์ดเพียงผู้เดียวค่ะ”
“อิสระก็ไม่ต้องการหรือ?”
สาวรับใช้ส่ายหน้า อธิบายว่า “ดิฉันวิวัฒนาการเข้าขั้นสุดท้ายสำเร็จก็เป็นเพราะได้มีโอกาสอยู่ข้างกายท่าน หากจะคาดหวังสิ่งใดก็คงเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคงมั้งคะ”
“เจ้ากลัวสูญเสียตำแหน่งนี้ไปรึ” เมื่อเห็นเมอร์ลินก้มหน้าอย่างสงบเยือกเย็น ฮาแบ็คก็หัวเราะลั่นอยู่พักหนึ่ง “เมอร์ลินเอ๋ยเมอร์ลิน นอกจากเจ้าแล้วใครก็เข้ามาแทนที่ไม่ได้หรอก หากเจ้าตายอย่างมากมันก็แค่กลับไปว่างเปล่าเท่านั้นเอง”
ทั้งตัวเขาและราชาปีศาจมีความรู้สึกร่วมกันหนึ่งอย่างคือไม่ได้คาดหวังความภักดี หรือต้องการให้ใครมารับใช้โดยบริสุทธิ์ใจอะไรทำนองนั้น ทุกคนสามารถกอบโกยผลประโยชน์ได้เต็มที่ ตราบใดที่ไม่ล้ำเส้นขวางมือขวางเท้า ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เหล่าปีศาจจะไม่ซ่อนเร้นความปรารถนาของตนหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมต่อหน้าราชา เพราะนอกจากมันจะไร้ประโยชน์แล้วยังน่ารำคาญอีกต่างหาก
เมอร์ลินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ได้ยินเช่นนั้นดิฉันก็พอใจแล้วค่ะ เพราะไม่ง่ายเลยที่จะรักษาชีวิตภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนั้น....ดิฉันหมายถึงช่วงแปดเก้าร้อยปีก่อนน่ะค่ะ”
ฮาแบ็คพอจะมีความทรงจำเกี่ยวกับเมอร์ลินอยู่เลือนราง ตอนที่หยิบตัวอะไรสักอย่างติดมือมาจากนาซูรี เขาโยนมันเข้าไปไว้ในปราสาท ไม่ได้พูดคุยด้วยแม้แต่ประโยชน์เดียว สาเหตุที่มันอยู่รอดจนวิวัฒนาการมาได้ขั้นนี้นอกจากความสนใจของราชาปีศาจก็มาจากความแข็งแกร่งของสภาพจิตใจ เพราะแต่เดิมเผ่าพันธุ์ของเมอร์ลินเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำที่ไม่สามารถพัฒนาสติปัญญาในสภาพแวดล้อมของแหล่งกำเนิดได้ แต่เมอร์ลินฝืนข้อจำกัดนั่นสำเร็จ หล่อนหาทางวิวัฒนาการด้วยตัวเอง แยกตัวออกจากแหล่งกำเนิด ดั้นด้นข้ามทวีปไปถึงนาซูรี การอยู่ภายใต้ความเอาแต่ใจของผู้กุมชีวิต ปีศาจชั้นสูงมากมาย และภัยจากเหล่ามนุษย์ในยุคนั้น....ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ฮาแบ็คเท้าคาง “นี่ข้าต้องกล่าวชมอะไรสักหน่อยหรือเปล่า?”
“มายลอร์ดชมดิฉันไปแล้วค่ะ เมื่อเก้าปีก่อน”
“งั้นรึ? ข้าชมว่าอะไร”
เมอร์ลินตอบกลับหน้าตาย “ยอดเยี่ยมมาก”
ฮาแบ็คเผยรอยยิ้มล้อเลียน “เจ้าไม่เห็นจะดีใจเลยนี่”
เมอร์ลินตอบ “ตอนนั้นท่านเอ่ยมาอีกหนึ่งประโยคว่า ‘จากนี้เจ้าไม่ต้องมารับใช้ข้าอีกแล้ว’ ค่ะ”
ตอนนั้นเธอตกใจแทบตาย เพราะหากไม่เป็นที่ต้องการก็ต้องไปให้พ้นสายตา แต่การได้รับความสนใจจากราชาปีศาจนั้นช่วยรักษาชีวิตน้อยๆ ของเมอร์ลินจากเหล่าทายาทของฮาแบ็ค เธอจึงรู้จักการร้องขอเป็นครั้งแรก
“เรื่องตอนนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องตอนนั้นไป ขอข้าคิดคำชมใหม่ก่อน.....เอาเป็น ผลงานของเจ้ายอดเยี่ยมมาก”
เมอร์ลินโค้งกาย เอ่ยเสียงจืดชืดว่า “ยังไม่ควรค่าให้กล่าวชมหรอกค่ะ”
แหย่สาวรับใช้เล่นไม่ได้ผลแล้วหรือ ตอนที่เขาได้พูดคุยกับเมอร์ลินครั้งแรก เธอยังลนลานจนเกือบสะดุ้งอากาศล้มเชียวนะ เฮ้อ!
ราชาปีศาจสุดจะเซ็ง เขาเบนสายตาไปที่จอลูกแก้วอีกครั้ง ซิลิยังคงพยายามหาทางรับมือกับโถงปริศนาของสุสานกระดูกอยู่ การก้าวเท้ามีความระมัดระวังอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าแม้จะเข้าบวกกับมอนสเตอร์ทุกตัวแต่ก็ไม่ใช่คนที่มุทะลุ ตามการคาดการณ์ของฮาแบ็ค ในวันแรกเด็กคนนั้นน่าจะทำได้เพียงสำรวจโถงแรกให้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน เขาจึงเลิกสนใจจอฉายภาพ แล้วพึมพำว่า “น่าจะได้เวลาหาอาจารย์ฝึกอาวุธให้เขาได้แล้วมั้ง” จะสอนให้เองก็ไม่ได้ ตอนนี้ขอบเขตของ ‘มาสเตอร์’ มีจำกัด อีกอย่างอาวุธของเขาค่อนข้างพิเศษ เงื่อนไขการใช้งานก็วิปริต ที่สำคัญเขาแทบจะไม่ใช้ดาบหรือธนู กระบวนท่าทำลายล้างไม่ต้องผ่านการฝึกซ้อม เขาไม่เคยมีผู้ฝึกสอน
เมอร์ลินเสนอว่า “ส่งเขาเข้าโรงเรียนดีไหมคะ”
ราชาปีศาจถามอย่างสงสัย “ยังมีอยู่อีกหรือ โรงเรียนที่ไม่ได้อุ้มชูแต่พวกอัศวินน่ะ”
“แต่หากเป็นอะคาเดมีนอกเขตก็พอมีอยู่ค่ะ”
ฮาแบ็คครุ่นคิด “อะคาเดมีนอกเขต.....จะว่าไปเลดี้วิทเชร์ตก็อยู่ที่นั่นด้วยสินะ ใช้เป็นบ้านหลังที่สองได้คุ้มค่าจริงๆ”
อะคาเดมีนอกเขตถูกเรียกอีกอย่างว่าสถาบันไร้สังกัด ไม่ได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่มีหลักสูตรที่แน่ชัดขึ้นกับผู้ฝึกสอนว่าจะให้ความสนใจผู้ศึกษาแบบใด เลดี้วิทเชร์ตก็เป็นหนึ่งในนั้น หล่อนเป็นแม่มดที่ค่อนข้างประหลาด มีสังคมต่างจากแม่มดทั่วไปที่นิยมอยู่อย่างสันโดษ เป็นจอมเอาแต่ใจชนิดที่ว่าไม่มีลูกศิษย์คนไหนจบหลักสูตรได้เลยนอกจากฮาแบ็ค
แน่นอนว่ามันไม่ใช่อะคาเดมีที่เหล่าชนชั้นสูงจะส่งบุตรหลานไปโดยเด็ดขาด การศึกษาที่เหมือนกับขบวนรถไฟของพวกคนบ้า ว่ากันว่าหกในสิบของผู้เรียนที่นี่มักจะจบชีวิตลงก่อนจบการศึกษา
“อะคาเดมีนอกเขตส่วนใหญ่จะรับนักศึกษาที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น ถ้าไม่ถึงสิบแปดก็ส่งไปไม่ได้นะคะ”
“ไม่นึกว่าสถานที่ป่าเถื่อนขนาดนั้นยังอุตส่าห์มีเกณฑ์รับผู้ศึกษาด้วย แต่สิบแปดปีนี่ไม่เริ่มช้าไปหน่อยรึ?”
“ได้ยินว่าสถาบันรูฟลินด์รับผู้ศึกษาอายุสิบห้าปีด้วยค่ะ แต่ว่าต้องเซ็นสัญญายินยอมว่าจะไม่ทำการแก้แค้นในทุกกรณีหากผู้ศึกษาตาย”
“รูฟลินด์....อ่อ รังของเลดี้วิทเชร์ต” อะคาเดมีที่น่าจะครองอันดับหนึ่งของสถานที่ที่ไม่น่าไปเยือนมากที่สุด เพราะดันตั้งอยู่บนเชิงเขาเดลการ์จเยื้องฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ติดชายแดนออริเทอซอลและอีเซียริท อยู่ใต้จมูกของเหล่าปีศาจนี่เอง
รูฟลินด์ก็ไม่เลว เป็นแหล่งรวมคนไม่ปกติ ส่งเขาไปเจอมิตรภาพแปลกใหม่อาจจะได้อะไรดีๆ กลับก็ได้ ถ้าหากว่าเขาต้องการจะไปด้วยตัวเองละก็นะ “ช่างเถอะ เรื่องเข้าเรียนเป็นการตัดสินใจของเด็กนั่น ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ข้าจะส่งเขาเข้าดันเจี้ยนทุกเที่ยงคืนทั้งสามวันกับอาวุธดาบเพียงอย่างเดียว หากซิลิชินกับมันก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ ข้าก็อยากให้เขาได้ลองอาวุธหลายแบบกว่านี้ แล้ว....มีใครใช้การได้บ้าง? เจ้า?”
เมอร์ลินส่ายหน้า “ขออภัย แต่ออมมือให้ก็เต็มกลืนแล้วค่ะ หากใช้อาวุธเกรงว่าดิฉันจะพลั้งมือได้ง่าย”
“นั่นสิ แถมอาวุธของเจ้าของค่อนข้างเฉพาะตัว.....นี่ข้าต้องย้ำอีกรอบไหมว่าห้ามฆ่า?”
เมอร์ลินดันแว่น ตอบเสียงเรียบ “ไม่จำเป็นค่ะ ดิฉันทำงานเต็มประสิทธิภาพเสมอ”
ฮาแบ็คชูนิ้วโป้งให้
เมอร์ลินเสนอว่า “เวลานี้ท่านมาซินรอยยังอยู่ในปราสาท ส่วนท่านแม่ทัพโคลอสซอร์อยู่ทางตอนใต้ของนาซูรี ทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาวุธหลายประเภท ให้เรียกตัวมาไหมคะ”
“เอาแม่ทัพปีศาจออกมาคงไม่ดีเท่าไร ว่าแต่มาซินรอยเป็นใคร?”
“เขาเป็นบลัดเอลฟ์นอกรีตค่ะ เมื่อก่อนถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้พิทักษ์ประจำป้อมปราการทางตะวันตก แต่ตอนนี้ลาออกมาดูแลสวนในปราสาทแล้วค่ะ”
ราชาปีศาจไม่ค่อยได้ไปเยือนปราการตะวันตกที่ห่างไกลจึงจดจำมาซินรอยไม่ได้ แต่ตำแหน่งผู้พิทักษ์ของเขามีจาลึกคุณสมบัติไว้อยู่ว่าต้องเป็นผู้ที่ไม่อาจถูกล่อลวงด้วยพรแห่งเทพ ซึ่งหากเอลฟ์เป็นผู้ใกล้ชิดกับอญูวิญญาณและมีศรัทธาต่อเทพ บลัดเอลฟ์ก็คือผู้ทรยศที่หันหน้าเข้าหาปีศาจ ไม่อาจเป็นที่ยอมรับในเผ่าพันธุ์เดียวกัน ไม่อาจถูกนับรวมญาติกับดาร์กเอลฟ์เสียด้วยซ้ำ
การวิวัฒนาการแปลกแยกเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งที่ถูกสภาพแวดล้อมบีบบังคับและจิตใจตกต่ำจนถูกครอบงำ เมื่อเกิดจิตวิญญาณแห่งการเข่นฆ่าและกลายเป็นกบฏต่อโอโบลฮาก็จะวิวัฒนาการเข้าสู่ขั้นสุดท้าย เกิดใหม่เป็นบลัดเอลฟ์ ซึ่งอุปนิสัยของเอลฟ์เหล่านี้มีทั้งเงียบขรึมสันโดษ หัวขบถรุนแรง บ้าเลือดวิปลาส ไปจนถึงพวกโรคจิตวิตถาร โดยรวมไม่เป็นที่ยอมรับของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และถูกปฏิเสธจากพรแห่งเทพ ไม่อาจรักษา ไม่อาจเยียวยา
อา แต่ถึงอย่างนั้นในขบวนผู้กล้าเมื่อห้าร้อยปีก่อนกลับมีบลัดเอลฟ์ร่วมด้วยเสียอย่างนั้น
“เอลฟ์ประจำสวน?” ฮาแบ็คได้ยินว่าเผ่าพันธุ์เอลฟ์ค่อนข้างหัวสูงและถือตัว ต่อให้กลายเป็นบลัดเอลฟ์ก็ไม่เว้น หรือมาซินรอยจัดเป็นพวกผ่าเหล่าของการผ่าเหล่าอีกที?
“กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิดค่ะ”
“ทำไมถึงเปลี่ยนอาชีพมาเป็นคนดูแลสวน สวัสดิการผู้พิทักษ์ข้าน้อยไปหรือไง”
เมอร์ลินส่ายหน้า “ดิฉันเคยสอบถามไป เขาตอบว่า ‘ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว หลายร้อยกว่าปีไม่เห็นมีใครบุกมาสักคน’ น่ะค่ะ” เธอเหลือบมองปฏิกิริยาของราชาปีศาจ คำตอบนี้คล้ายใครบางคนมากทีเดียว
ฮาแบ็คพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ นอนรอแค่สิบปียังเบื่อจนอยากตายนับประสาอะไรกับบลัดเอลฟ์ แต่ที่ไม่เข้าใจคือการทำสวนมันช่วยแก้เบื่อให้ได้รึ? จะว่าไปหน้าตาสวนของปราสาทวาซซาเรียเป็นยังไงนะ
“เรียกมาพบข้าก็แล้วกัน”
“รับทราบมายลอร์ด” เมอร์ลินโค้งกายก่อนจะเร้นตัวหายไปอย่างรวดเร็ว
ตีหนึ่งสี่สิบนาที
ซิลิอยู่ที่นั่น ภายในดันเจี้ยนมืดมิดและอับชื้น โถงขนาดใหญ่ที่แทบจะไม่มีแสงไฟสาดส่อง เสาหินมากมายจัดวางสะเปะสะปะ นักผจญภัยที่เข้ามาก่อนหน้านี้ มีราวสิบสามคน แต่ในโถงที่ซิลิยืนอยู่กลับเหลือเพียงห้าคนเท่านั้น
เพราะว่าเป็นวันแรกของการเปิดประตู จำนวนผู้ท้าทายจึงไม่มากเท่าไร นักผจญภัยมือโปรยังคงรอดูท่าทีอยู่ด้านนอก แต่ซิลิถูกสั่งให้เข้าไปข้างในทันที ทั้งยังไม่สามารถออกไปได้จนกว่าจะถึงเวลาอาหารเช้า
เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ได้มาจากเมอร์ลิน รู้สึกเจ็บแปลบที่กระดูกซี่โครงเมื่อเห็นมัน
ก่อนหน้านี้ถูกคุณสาวใช้ซ้อมจนสะบักสะบอมพร้อมกับผลรายงานว่า ‘ก้อนเนื้อประสิทธิภาพต่ำ’ ต่อหน้ามาสเตอร์ เขาไม่ได้อับอายอะไร นอกจากความตกตะลึงกับระดับความแข็งแกร่งของคุณสาวใช้ก็มีความกลัวปนอยู่เบาบาง เขากลัวสายตาผิดหวังของมาสเตอร์
แต่เมื่อเห็นชายคนนั้นกล่าวยิ้มๆ ด้วยเสียงภูมิใจว่า “คนข้างกายของข้าล้วนแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นคนขัดรองเท้าเจ้าก็สามารถเรียกเขาว่าอาจารย์ได้” ความกลัวก็เปลี่ยนเป็นความกดดัน
ซิลิใช้ร่างกายเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์มากมาย ระดับความแข็งแกร่งรับรู้ได้ด้วยการปะทะเพียงครั้งเดียว
เมอร์ลินแกร่งมากกว่ามอนสเตอร์ทุกตนที่เขาเคยเจอ หล่อนไม่ได้เอาจริงเสียด้วยซ้ำ ไม่มีทั้งความกระตือรือร้นและจิตสังหาร เป็นความต่างชั้นที่ห่างกันจนน่าขนลุก
“ต้องขึ้นไปให้ถึงจุดนั้นก่อนสินะ” เขาพึมพำกับตัวเอง
ซิลิจุดตะเกียงข้างเอวด้วยหินเรือนแสงที่เอามาด้วย มาสเตอร์ให้เขาหยิบอะไรก็ได้ในร้านเข้าไปสามอย่างนอกจากอาวุธที่มีอยู่แล้ว คนที่แทบจะใช้พลังเวทไม่ได้เช่นเขาจึงเลือกหินส่องแสง โพชั่น และเสบียง เขาสำรวจสภาพแวดล้อมภายในโถงนี้ด้วยระยะที่ตามองเห็น โถงที่อยู่มีต้นเสาทั้งหมดเอียงเป็นแนวนอน และข้อมูลที่ได้มาจากกิลด์ทำให้เขาเลือกเดินไปบนต้นเสาใหญ่ เพื่อให้ตนมีที่ยืดเกาะหากโถงเริ่มขยับ
มาสเตอร์อยากให้เขาสู้สุดฝีมือ แต่จากท่าทีของพวกมอนสเตอร์ในนี้ที่พยายามหลีกเลี่ยงผู้บุกรุกอย่างผิดวิสัย และเลือกที่จะซ่อนตัวในเสาหินสร้างความยุ่งยากให้เขาพอสมควร
ลงเอยแบบนี้แล้วเขาต้องสู้กับอะไรล่ะ หรือต้องหาทางเปิดประตูบานนั้นก่อน?
“น้องชายเมื่อกี้ทำได้ไม่เลวนี่หว่า สังกัดกิลด์ไหนล่ะ” ชายฉกรรจ์อายุราวสี่สิบคนหนึ่งเอ่ยทักระหว่างที่ง่วนอยู่กับการยึดตัวเองไว้กับเสาหิน ดูท่าทางที่คล่องแคล่ว เขาน่าจะเคยเข้ามาที่นี่เมื่อสิบปีก่อน
“ไม่ได้สังกัด” ซิลิตอบออกไป หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลือกที่จะเงียบมากกว่า แต่มาสเตอร์มักจะแสดงความยินดีเล็กน้อยผ่านดวงตาเวลาที่เห็นเขามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
“อา ว่าแต่เธอไม่เด็กเกินกว่าจะเข้ามาเดินเล่นในนี้หรอกหรือ” ชายคนนั้นติดตั้งอุปกรณ์ปีนป่ายเสร็จแล้วก็หันมาเตือนเสียงเข้ม “อย่าเห็นว่าในนี้ไม่ค่อยมีมอนสเตอร์แล้วคิดว่าจะสบายล่ะ เวลาโถงขยับนั้นโคตรนรกเลย”
ซิลิอดถามไม่ได้ “ไม่เคยมีใครเปิดประตูอีกด้านได้เลยเหรอ”
เขาพยักหน้า “หากเปิดมันได้ดันเจี้ยนก็คงไม่วนกลับมาแบบนี้หรอก แต่ก็เคยได้ยินว่ามีนักผจญภัยรุ่นก่อนทำบันทึกการขยับของโถงส่งต่อกันมาถึงห้ารอบ น่าเสียดายที่คนบันทึกล่าสุดตายไปตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว ไอ้บันทึกนั้นก็เลยหายไปด้วย ไม่รู้ว่าตกหล่นอยู่ในโถงไหนกันแน่ พวกคนในกิลด์ก็อยากตามหามันอยู่หรอก แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย จริงสิ ตอนที่โถงเริ่มพลิกเธอจะได้เห็นฝนกระดูก โคตรน่าสยอง ทางที่ดีรีบออกไปในตอนที่ยังออกได้เถอะ ไอ้พวกที่อยู่ในนี้ไม่มีใครอยู่ได้เกินสามชั่วโมงหรอก”
ซิลิเหลือบมองนาฬิกา เขายังต้องอยู่ในนี้อีกเจ็ดชั่วโมง
ชายฉกรรจ์จากไปในทิศทางของประตูใหญ่ ส่วนซิลิที่มีเวลาเหลือเฟือก็เลือกที่จะเดินสำรวจรอบๆ เขาอยากให้โถงสว่างกว่านี้เพื่อที่ได้มองภาพรวมออก น่าเสียดายที่ระยะมองแคบเกินไป
กึก
ซิลิหยุดเท้า สัญชาตญาณอันเป็นทักษะเอาตัวรอดที่พึ่งพามาตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่แม่นยำเท่าสัตว์หูใหญ่ แต่เสียงแผ่วเบาสะท้อนออกมานั้นเป็นเสียงของกลไกโถงอย่างแน่นอน เขาคว้าจับช่องว่างบนเสาหิน ยืดตัวติดอย่างหนาแน่น
ความเงียบดำเนินไปเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น
กึก...กึกๆๆ
โถงเริ่มขยับแล้ว!
“อ๊าก!!” เสียงกรีดร้องพร้อมกับร่างที่ร่วงหล่น ซิลิพลิกตัวหลบเศษซากกระดูกมากมายที่เคยอยู่บนพื้นเมื่อโถงพลิกตีลังกาจากพื้นเป็นผนัง จากผนังเปลี่ยนเป็นเพดาน การเคลื่อนไหวไม่ช้าไม่เร็วทำให้เขามีเวลาพอให้จัดท่า หากมีสติกับความอดทนมากพอ การเคลื่อนไหวของมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
“กรี๊ด!” เสียงร้องสิบแปดหลอดของหญิงสาวดังจากด้านบน ร่างของหล่อนคว้าจับเถาวัลย์แห้งตรงหน้าของซิลิได้อย่างพอดิบพอดี “จะร่วงแล้ว! จะร่วงแล้วค่ะ!!”
โถงหยุดขยับ
“คะ คือว่าน้องชายคนนั้น กรุณาดึงฉันขึ้นไปหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวร้องขอน้ำตานองหน้า ดูจากสภาพน่าเวทนาเธอคงจะเป็นนักบวช
แต่ว่าปกติแล้ววิหารนิยมส่งนักบวชเข้าดันเจี้ยนด้วยเหรอ?
เมื่อเห็นว่าคนที่ขอให้ช่วยแสดงความลังเลเล็กน้อย นักบวชสาวก็พูดเสียงดังว่า “ขอร้องละค่ะ เวทลมของฉันไม่แข็งแรง พยุงร่างกายไม่ไหวแล้ว! ดะ เดี๋ยวจะยกโพชั่นให้หมดเลย ช่วยดึงขึ้นไปด้วยเถอะค่ะ!”
ถ้าไม่สนใจเธอมาสเตอร์จะดุหรือเปล่า......ซิลิจำใจต้องดึงเธอขึ้นมาจุดที่ปลอดภัยก่อนที่โถงจะเริ่มขยับอีก
“ผมไม่อยากได้โพชั่น ไม่ต้องส่งมาหรอก” เขาปฏิเสธเมื่อเห็นเธอกำลังจะค้นกระเป๋าคาดเอวของตัวเองด้วยหน้าตื่นตระหนกโดยไม่ดูสถานการณ์เสียเลย
“เอ๋! จริงเหรอคะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มีเฉพาะโพชั่นฟื้นฟูอยู่ดี ช่วยรับไปสักขวดเถอะ.....ว้าย!!”
โถงขยับอีกแล้ว คราวนี้พลิกสลับพื้นกับเพดาน
จุดยืนของซิลินับว่าไม่แย่ ยึดร่องหินไว้ให้มั่นก็ไม่พลัดตกลงไปจากเสา ส่วนนักบวชสาวคนนั้น พริบตาที่โถงเริ่มขยับเธอก็ปล่อยขวดโพชั่นทิ้งแล้วกระโจนกอดรัดเถาวัลย์ใกล้ตัว ถือว่าการตอบสนองไม่เลวทีเดียว
“อ๋า โพชั่นของฉัน!” เสียงร้องโหยหวนก็ดังไม่น้อยหน้าเช่นกัน
“คุณ....ทำไมถึงเข้ามาในดันเจี้ยนล่ะ” ซิลิอดถามไม่ได้ เขาไม่ค่อยได้เห็นนักบวชบุกเบิกดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดียว ปกติอาชีพนี้ต้องมากับคณะนักผจญภัย แต่ว่าในตอนที่เธอร่วงลงมากลับไม่มีเสียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยจากคนอื่นเลย
“เอ่อ พูดแล้วก็น่าอายนิดหน่อย หวา!! คะ คือมันใกล้ช่วงสอบวัดระดับแล้ว ฉันเลยคิดว่า..กรี๊ด!......คะ คิดว่ามาลงสนามจริงๆ อาจจะช่วยเค้นพลังเวทของฉันได้น่ะค่ะ!”
ในสถานการณ์ที่ร่างกายยังถูกโถงเหวี่ยงไปมา เธอพยายามต่อบทสนทนาสุดความสามารถ “ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคะ อุก!! ฉันชื่อเกว็น เซล่า ยะ ยินดี....อึก!!” สีหน้าซีดเชียวและริมฝีปากเม้มแน่นที่ให้ซิลิรู้ว่าของเหลวที่จุกตรงคอของเธอใกล้จะทะลักออกมาอยู่แล้ว
“.....อย่าพูดอีกจะดีกว่านะ เก็บแรงไว้เถอะ เก็บอ้วกไว้ด้วย”
นักบวชสาวน้ำตานองหน้า “อึก! อือ…เมื่อไหร่โถงจะหยุดขยับคะเนี่ย”
ราวยี่สิบนาทีเต็มที่โถงขยับต่อเนื่อง ซิลิได้ยินเสียงร้องโวยวายสามครั้ง และร่างของคนสองคนที่ร่วงอัดกระแทกพื้นตาย บวกกับจำนวนที่เข้ามาใหม่ในจังหวะที่โถงขยับ ตอนนี้น่าจะเหลืออยู่ประมาณแปดคน
เอายังไงดี แบบนี้สู้กับมอนสเตอร์ไม่ได้ด้วย
“คือว่า....” เกว็นที่เกาเถาวัลย์แน่นด้วยท่าของโคอาล่าเกาะต้นไผ่ สะกิดขากางเกงของซิลิ “พอบอกได้ไหมคะว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ คือฉันไม่ได้จะดูถูกอะไร แต่เธอดูเด็กกว่าที่ผ่านการลงทะเบียนของกิลด์น่ะค่ะ”
“มาทำแบบฝึก” ซิลิตอบง่ายๆ เพราะสำหรับมาสเตอร์ ดันเจี้ยนนี้เป็นแค่แบบทดสอบของเขาเท่านั้นเอง
“คะ?”
“ช่างเถอะ ผมจะไปต่อแล้ว” ซิลิเตรียมที่จะปีนลงจากเสา
เขาสไลด์ตัวลงจนถึงพื้นเมื่อเสาอยู่ในแนวตั้ง ในตอนที่โถงขยับเสียงกลไกนั่นดังก้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง หากหยุดกลไกลงได้ มอนสเตอร์ก็น่าจะปรากฏตัวด้วย ทว่าเสียงของมันเบาเกินไปจนเขาแยกทิศทางไม่ออก อีกอย่างหากไม่รู้วิธีเข้าถึง ต่อให้เดินครบทุกโถงก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนอื่นเขาควรไปโถงอื่นๆ เพื่อฟังเสียงกลไก ไม่แน่ว่าอาจจะมีโถงไหนสักโถงที่ระดับเสียงดังกว่า
“ระ รอเดี๋ยวค่ะ!....อ๊าย!!”
โครม!
เสียงของนักบวชคนเดิมอยู่ด้านบน ซิลิเบี่ยงตัวหลบการพุ่งลงบนกองกระดูกของเธอ เกว็นคลานออกจากมาทั้งที่หัวปูดเท่าผลส้ม เธอร้องขอโดยไม่สนใจสภาพของตัวเองว่า “ฉันไปด้วยคนได้ไหมคะ”
“ขอปฏิเสธ” ซิลิตอบทันที
“คะ คิดนิดนึงก็ได้ค่ะ!” เกว็นใช้คทาเวททรงสูงยันตัวเองขึ้นจากพื้น นำเสนออย่างไม่ยอมแพ้ “ถึงฉันจะไร้ประโยชน์แบบสุดๆ แต่ขอให้ฉันได้ตามรักษาเธอในดันเจี้ยนนี้ด้วยเถอะ เอ่อ ถึงพลังฮีลของฉันจะประสิทธิภาพต่ำจนน่าถูกรูปปั้นเทพเจ้าทับตาย แต่โพชั่นของฉันฟื้นฟูได้ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะคะ! ฉันจะยกให้เธอหมดเลย”
“ประสิทธิภาพต่ำ......กว่าโพชั่น” ซิลิไม่อยู่ในแวดวงผู้ใช้เวทแต่ก็ยังรู้คุณสมบัติของนักบวชคือเวทฟื้นฟู โพชั่นเป็นแค่อุปกรณ์ทดแทนนักบวชไม่ใช่หรือไง
เกว็นปิดหน้าอย่างอับอาย “เวทที่ฉันไม่ถนัดก็คือการฮีลเนี่ยแหละค่ะ”
“....” เป็นนักบวชแต่ฮีลไม่ได้? ซิลิพึมพำเบาๆ “ก้อนเนื้อไร้ประสิทธิภาพที่คุณเมอร์ลินพูดบ่อยๆ ก็คือแบบนี้สินะ”
เกว็นผู้ได้ยินเต็มสองรูหูเบือนหน้าออกไปร้องไห้แล้ว ตั้งแต่เกิดเธอถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงมาตลอด แต่ยังไม่มีใครเคยบอกว่าเธอเป็นก้อนเนื้อไร้ประสิทธิภาพมาก่อน ช็อกสุดๆ ไปเลยค่ะ!
“แบบนี้ก็เหมือนจะยิ่งไม่มีเหตุผลที่ต้องร่วมทางกันเลยนะ”
“ก็ว่างั้นแหละค่ะ” เกว็นยอมรับชะตากรรมเรียบร้อย เธอไม่ได้คาดหวังการตอบรับหรอก เพียงแต่ถ้าไม่ลองเสี่ยงดูก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องเขามาในดันเจี้ยนด้วยเหมือนกันนี่นา!
นักบวชสาวถอนหายใจจนหมดปอดจนหน้าแห้งเหี่ยว ขณะนั้นเองรูปลักษณะของอวัยวะที่มนุษย์ไม่ควรมีก็โผล่ออกมาจากหมวกของเธอ
“.....” ซิลิพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในเวลาศูนย์จุดห้าวินาทีก่อนที่เสียงกลไกจะดัง ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเผือดของเธอก็ยิ่งมั่นใจ
“อะ!” เกว็นร้องเสียงหลงเมื่อถูกคว้าข้อมือไว้แน่น มืออีกข้างของซิลิปักดาบใหญ่ลงบนเสาต้นที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อโถงเริ่มเคลื่อนไหว ร่างของทั้งคู่ก็ห้อยอยู่กลางอากาศโดยมีเพียงเด็กชายที่ยึดด้ามดาบไว้
คราวนี้โถงขยับเพียงครั้งเดียวแล้วก็นิ่งไป ทั้งคู่จึงปีนขึ้นไปบนเสาอีกครั้ง
เกว็นก้มจนหัวติดพื้นให้เด็กหนุ่มแปลกหน้า “ถึงจะไม่รู้ชื่อก็เถอะ แต่ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยตัวไร้ประโยชน์อย่างฉัน!!!”
“ซิลิ” เขาแนะนำตัวสั้นๆ
“อา ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” สีหน้าของเกว็นดูดีขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกเมินสนิทเสียทีเดียว
“คุณเป็นไฮบริดเหรอ หูโผล่ออกมาน่ะ”
เกว็นตะปมหูยาวๆ ที่หลุดออกจากหมวกมาหนึ่งข้าง หัวเราะเสียงแห้ง “เป็นกระต่ายป่าสายพันธุ์ทั่วไปน่ะค่ะ”
“ทำไมต้องซ่อนล่ะ”
ไฮบริดคือเผ่าของมนุษย์ครึ่งสัตว์ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ถึงจำนวนทาสที่เป็นไฮบริดจะสูงกว่ามนุษย์เพราะความสามารถพิเศษทางสายเลือด แต่กฎหมายของอาณาจักรครอบคลุมถึงเผ่านี้ ยิ่งเป็นนักบวชแล้วด้วย
“ตระกูลฝั่งพ่อของฉันไม่ค่อยชอบพวกเราน่ะค่ะ” เกว็นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะขมขื่นไปสักหน่อย
“น่าเสียดาย ถ้าเอาหูออกมาก็น่าจะได้เสียงกลไกชัดกว่านี้แท้ๆ”
นักบวชสาวตาโตทันที “เมื่อกี้เธอก็ได้ยินเหรอคะ! ตอนที่มันขยับครั้งแรกฉันเตือนคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มีใครได้ยินเลยสักคน”
ซิลิพยักหน้า “แต่ผมแยกทิศทางไม่ออกหรอก ถ้าคุณช่วยเรื่องนี้ได้ก็น่ามีเหตุผลให้ร่วมทางกันอยู่นะ”
โดยปกติซิลิไม่ไว้ใจใครสักทั้งนั้น ในฐานะทาสเขาต้องเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรอด กับคนที่พึ่งเคยเจออย่างเกว็นก็เช่นกัน หากเป็นตัวเขาที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมาสเตอร์ ก็คงเลือกเก็บเธอไว้เป็นเหยื่อล่อในยามคับขันและชิงผลประโยชน์ในช่วงสุดท้าย แต่ว่าตอนนี้เขาต้องการเพียงฝึกฝนฝีมือกับพวกมอนสเตอร์ตามสถานการณ์ที่ถูกมอบหมายเท่านั้น ไม่ต้องรีบไขว่คว้าแย่งสมบัติกับใคร ไม่ได้อะไรกลับไปก็ไม่ถูกลงโทษ ใช้เวลานี้ทดสอบว่าหากต้องช่วยเหลือคนอื่น เขาจะทำมันได้มากแค่ไหน
“ตกลงค่ะ!” เกว็นถอดหมวกและปาลงพื้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีท่าทีกระอักกระอ่วนใจที่ต้องโชว์หูกระต่ายของตัวเองเลยสักนิด
แหม ตระกูลฝั่งพ่อไม่ได้โผล่เข้ามาอยู่ในนี้สักหน่อยนี่นา~
เกว็นอธิบายอย่างตื่นเต้นปนหวาดกลัวว่า “ไม่ต้องรอให้โถงขยับอีกครั้งก็ได้ค่ะ เสียงของกลไกดังมาจากสามทิศทาง แต่ไม่ได้ดังออกจากผนังเสียทีเดียว มันมาจากโถงทางเชื่อมค่ะ”
ซิลิขมวดคิ้ว “หมายความว่าดังมาจากทุกโถง?”
“น่าจะนะคะ ต้องลองข้ามไปฟังที่โถงอื่นก่อน”
สุดท้ายก็ต้องข้ามทางเชื่อมอยู่ดีสินะ ซิลิพยักหน้า รอบก่อนที่โถงจะหยุดเขาเล็งทางเชื่อมที่ใกล้ที่สุดไว้แล้ว ตอนแรกมันอยู่ด้านล่าง ตอนนี้จึงกลายเป็นทางขวา
“ได้ยินมาว่าทางเชื่อมพวกนี้ ถ้าเข้าไปตอนที่โถงขยับในทางเดินก็จะหมุนติ้วเป็นเครื่องปั่น เคยมีคนตัวขาดครึ่งเพราะอยู่กึ่งกลางของการตัดเปลี่ยนโถงด้วย น่ากลัวมากเลยค่ะ” เกว็นกลืนน้ำลาย หากเข้าไปในโถงต้องเดินชิดผนังให้มากที่สุด ถ้าโถงขยับของยึดตัวเองไว้ให้มั่น แม้ว่าจะถูกหมุนจนอ้วกแตกก็ตาม
ซิลิก็ได้ข้อมูลมาแบบนั้นเหมือนกัน เขาจึงคิดจะใช้ทางเชื่อมจากด้านล่างตั้งแต่แรก เพื่อที่จะกระโดดลงไปแบบรวดเร็ว แต่ว่าตอนนี้ทางเชื่อมทั้งสามคือซ้ายขวา และด้านบน จำต้องเลือกทางขวาที่อยู่ใกล้ที่สุด
ทั้งคู่เดินเข้าไปในโถงที่สามารถยืนเรียงกันได้เพียงสามคน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เล็กมากๆ หากแทบกับความกว้างใหญ่ของโถง มันเป็นทางสี่เหลี่ยมที่ผนังทุกด้านมีแท่งหินหลายขนาดยืดยาวออกมาไม่เท่ากัน หากเดินไม่ระวังก็จะสะดุดล้มเอาได้ง่าย
“ว้าย!”
เกว็น เซล่าสะดุดล้มจนหน้าทิ้ม หน้าผากของเธอกระแทกกับแท่งหินจนเลือดออก หล่อนยิ้มแห้งทั้งที่เลือดไหลเข้าตา “ขะ ขอโทษทีค่ะ”
เธอไม่แยแสหน้าผากตนเองราวกับว่าชินชาไปแล้ว ใช้แขนเสื้อปาดเลือดสองสามทีแล้วรีบเดินต่อ ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็ข้ามมาอีกโถงได้สำเร็จ
ซิลิหันมาพูดกับเกว็น “คุณรักษาแผลตัวเองเถอะ”
“เอ๋ ฉันกลัวว่าพลังเวทของตัวเองไม่พอรักษาเธอน่ะสิคะ ไม่เป็นไรหรอก”
ซิลิเอียงคอ เอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “แผลตัวเองก็รักษาไม่ได้ มันลดความน่าเชื่อถือของอาชีพไม่ใช่เหรอ?”
“อึก! แทงใจ” เกว็นแทบจะกระอักเลือด หล่อนจำต้องค่อยๆ ก่อเวทสีเขียวอ่อนบนมือแล้วทาบไปบนแผลของตัว สีหน้าท่าทางราวกับกำลังรีดเร้นมหาเวทถล่มดวงดาวอย่างไรอย่างนั้น
“ฟู่~ เลือดหยุดไหลแล้วค่ะ”
“.....” เลือดหยุดไหลก็จริงแต่รอยแผลไม่ค่อยสนิทเท่าไร เทียบกับโพชั่นราคาถูกในร้านห่วยๆ ไม่ได้สักนิด “เปลี่ยนอาชีพไม่ได้ดีกว่าเหรอ” ซิลิเอ่ยจากใจจริง
“อึก!” อาการถูกแทงซ้ำทำเอานักบวชสาวทรุดเข่ากระแทกพื้น
ตอนนั้นเองหางตาของซิลิเหลือบเห็นสเกเลตันห้าตนกำลังจะปีนขึ้นเสาที่มีนักผจญภัยสองคนเกาะอยู่ เขาจึงหยิบหัวกระโหลดแถวนั้นขว้างใส่พวกมัน
เป้าหมายถูกเปลี่ยนเป็นพวกเขาทันที
เกว็นอดชื่นชมไม่ได้ “ว้าว เธอเป็นคนดีกว่าที่คิดนะคะเนี่ย ในฐานะนักบวชของวิหารโยดันฉันขอสรรเสริญจากใจเลยค่ะ”
“เปล่า ผมแค่อยากสู้กับมอนสเตอร์”
“คะ?”
“แล้วก็การสรรเสริญคนอื่นง่ายๆ เพราะเรื่องแค่นี้มันน่าขนลุก อย่าพูดอีกได้ไหม” ซิลิลูบแขนเบาๆ เมื่อก่อนก็เคยมีความคิดอยากให้ใครสักคนมาชื่นชมหรือมอบความอ่อนโยนให้อยู่หรอก แต่พอถูกพวกชื้อขายทาสชมเข้าจริงๆ เขากลับรู้สึกสะอิดสะเอียน เพราะพวกนั้นพยายามทำให้เขาเชื่องเหมือนกับสัตว์เลี้ยง แค่ได้ยินคำว่า ‘ดีมาก’ เขาก็คลื่นไส้แล้ว
ส่วนมาสเตอร์น่ะเหรอ? ตอนที่ถูกคุณเมอร์ลินทุบจนเกือบหมดสภาพก็หัวเราะเยาะเบาๆ แล้วก็ถามว่า ‘แพ้แล้วแพ้อีก แพ้หลายๆ ครั้งแต่ก็ยังไม่ตาย….เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดีใช่ไหม?’
ใช่ แปลกใหม่สุดๆ เพราะสำหรับทาส หากแพ้ก็จะถูกลงโทษ แพ้หลายครั้งก็เท่ากับตาย
“ตะ ตะ แต่ประโยคแบบนี้มันเป็นการชื่นชมแบบปกติของนักบวชในวิหารนี่คะ....” หรือมันดูไม่จริงใจนะ
นักบวชสาวขบคิดอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก หล่อนมองเด็กชายวัยสิบสามสิบสี่เหวี่ยงดาบใหญ่กว่าตัวเขาชนกับสเกเลตันโดยไร้ความเกรงกลัว ขนาดที่จัดการมันหมดแล้วก็ยังมีสีหน้าไม่พอใจ และตอนนั้นเองที่เสียงของกลไกเริ่มทำงาน
แต่ไม่ต้องรอให้เกว็นออกปากเตือน ซิลิก็ลากเธอไปก็หาที่ยึดได้แล้ว “เสียงล่ะ”
“มาจากทุกทิศเหมือนกันค่ะ แถมยังแปลกๆ ด้วย” คราวนี้หูของเธอทำงานอย่างเต็มที่ ในสภาพที่ร่างกายห้อยไปมา เรี่ยวแรงจากมือของซิลิทำให้รู้สึกปลอดภัยยิ่งกว่าตอนที่พันตัวเองอยู่ในเถาวัลย์เสียอีก สมาธิทั้งหมดจึงมุ่งไปที่เสียง รอจนโถงหยุดขยับก็เอ่ยทันทีว่า “ก่อนหน้านี้ฉันฟังไม่ชัด แต่ตอนนี้ค่อนข้างแน่ใจว่าโถงทั้งแปดขยับไม่พร้อมกันค่ะ เสียงกลไกที่ดังเตือนน่าจะมาจากโถงอื่นที่ขยับไปก่อน บางทีพวกเราอาจจะแค่โชคดีที่โถงตรงนี้ไม่ได้เป็นโถงแรกที่เริ่มขยับ ไม่อย่างนั้น...”
ไม่อย่างนั้นก็จะเตรียมตัวไม่ทัน มิน่าพวกนักผจญภัยรุ่นเก่าถึงได้ติดตั้งอุปกรณ์กันตั้งแต่เข้าดันเจี้ยน ส่วนพวกที่ไม่ใช้อุปกรณ์ก็คงเป็นนักเวทที่สามารถลอยตัวได้ในระยะหนึ่ง ซิลิพยักหน้า
“ส่วนตำแหน่งก็มาจากทางเชื่อมทั้งสามทิศ แล้วที่น่าแปลกก็คือมันมีเสียงของ.....กรี๊ด!!”
คราวนี้โถงขยับอย่างฉับพลัน แต่ยังดีที่ซิลิไม่ได้ปล่อยมือจากดาบยึดไว้กับเสาตั้งแต่การบอกกล่าวของเกว็น เขาจึงรอดจากการตก ในขณะที่เสียงก้อนเนื้อกระแทกพื้นดังมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
“ฟู่! เกือบไป” เกว็นเกาะเอวของเขาทันหวุดหวิด เธอเบือนหน้าจากร่างของผู้เคราะห์ทั้งหลายที่ร่วงลงมา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“แมวค่ะ! ฉันได้ยินเสียงของแมว!”
...
ภายในชั้นใต้ดินของฮังเกอร์ชอปมีห้องโถงหลักอยู่สามห้องที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความเอาแต่ใจของราชาปีศาจ ห้องทดลองเวท ห้องสร้างดันเจี้ยน และคลังเก็บของ เพื่อที่จะป้องกันหายนะจากการเล่นพิเรนทร์ของฮาแบ็ค เหล่าโนมจึงให้ความสำคัญกับวัตถุก่อสร้างในชั้นนี้อย่างมาก หินเวทที่พวกเขาสะสมไว้ถูกนำมาใช้จนเกลี้ยงคลัง ชนิดที่กี่เทโทล่ากับยังทดแทนไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะราชาฮาแบ็ครับปากว่าจะหาแหล่งหินเวทที่ใหม่ให้ ตีให้ตายเหล่าโนมก็ไม่มีทางเอามันมาใช้อย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้แน่
“สายัณห์สวัสดิ์ครับ มายลอร์ด”
บลัดเอลฟ์ร่างสูงโปร่งผู้งดงามและอันตรายโค้งกายอย่างสง่า นัยน์ตาสีไวน์แดงปราศจากชีวิตราวกับปลาที่ตายแล้วโค้งเรียวเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ต่างจากน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวากว่าปกติ “หลายร้อยปีมานี้ท่านไม่เคยเรียกหาข้าสักครั้ง ทำเอาอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นวาระสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า”
“มาซินรอย?” ฮาแบ็คทวนชื่อ เคลื่อนกายนั่งบนเก้าอี้ ไขว้ขารักษามาด....เรื่องปกติแหละน่า อยู่ในฐานะของราชาปีศาจมาเกือบสิบปี ยังไงก็หนีความเคยชินไม่พ้นหรอก
มาซินรอยโคลงศีรษะเล็กน้อย “อันที่จริงชื่อของข้าคือ มาซินรอย เฟรเดอริกลอเรนต์ ขออภัยที่ไม่เคยเข้าไปรายงานตัวเลยสักครั้งนะครับ”
ฮาแบ็คเลิกคิ้ว “เฟรเดอริกลอเรนต์? เจ้าเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลนอกรีตแห่งโอโบลฮารึเนี่ย”
บลัดเอลฟ์ส่ายหน้า “หากนับตามผัง ข้าเป็นทายาทลำดับที่สิบในบรรดาพี่น้องทั้งสิบสาม และห้าตนจากทั้งหมดก็ยังมีชีวิตอยู่ แค่ไม่กล้าที่แบกรับชื่อเสียงอันเน่าเหม็นของตระกูลก็เลยหมุดรูหลบอยู่ในป่าน้ำแข็งเท่านั้นเอง... อะแฮ่ม! ขออภัยที่ข้าเพ้อไปหน่อย มายลอร์ดเรียกข้ามีประสงค์จะประลองฝีมือหรือครับ”
ประลองฝีมือ? ฮาแบ็คหัวเราะ “เจ้ารู้จักการใช้คำเหล่านั้นด้วยหรือ ไม่เอา การประลองที่ข้าต้องอ้อมมือเพื่อรักษาชีวิตเจ้ามันมีความหมายหรือไง”
“มายลอร์ดกล่าวถูกต้อง หากไม่ใช่ว่าการสู้กับท่านทำให้วิญญาณของข้าต้องสลายก่อนได้ลิ้มรสความสมใจอยาก ข้าก็อยากให้ท่านสนองความต้องการของข้าจริงๆ นะครับ”
หากราชาปีศาจลงมือ บลัดเอลฟ์คงได้ตายก่อนที่จะได้สู้ นั่นเป็นเรื่องน่าเสียดายที่มาซินรอยรับไม่ได้จริงๆ “เช่นนั้นมายลอร์ดเรียกข้ามา มีเรื่องใดให้รับใช้หรือครับ”
ราชาปีศาจเท้าคางอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้ตอบคำถามของเขาทันที แต่เบนสายตาไปหาเมอร์ลิน “ก่อนอื่นเจ้าตอบคำถามข้าซิ ข้าเรียกแค่บลัดเอลฟ์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงมาด้วย?”
เขาที่ว่าคือโคลอสซอร์ แม่ทัพปีศาจในชุดเกราะโลหะดำที่ปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า มีเพียงใบหน้าครึ่งล่างมีโผล่ออกมาให้เห็น ผิวขาวซีด ริมฝีปากคล้ำประดับคมเขี้ยว ร่างสูงใหญ่ถึงสองเมตรยืนสงบนิ่งดั่งรูปปั้นหินแทบจะกลืนกินไปกับกำแพง
มาซินรอยแสร้งอุทาน “ที่แท้ท่านก็ไม่ได้ถูกเรียกมาหรอกหรือ เช่นนั้นตอนแรกที่ข้าเข้าใจว่ามายลอร์ดตกแต่งโถงด้วยซากร่างไร้อารมณ์ก็เป็นเรื่องที่เกือบจะถูกต้องแล้วสินะครับ?”
ใช่ที่ไหน! ฮาแบ็คย่นคิ้วกับกลิ่นอายความตายที่ลอยโชย เขาเอ่ยเรียกเสียงต่ำ “โคลอสซอร์”
“ข้ามาตามประสงค์ของข้าเอง มายลอร์ด” แม่ทัพปีศาจกล่าวอย่างเรียบง่าย เสียงที่ทุ้มต่ำกังวานเมื่ออยู่ในโถงใหญ่ปิดทึบ ประกายดาบอำมหิตในมือของแม่ทัพสะท้อนแสงเทียน “ท่านไม่เคยเรียกหาผู้ใดในรอบพันปี ข้าเพียงสงสัยใคร่รู้และอยากมาเพื่อสนองความต้องการของท่าน ไม่ว่าใครหรืออะไรที่กวนใจท่าน ให้เป็นหน้าที่ของข้าก็พอ”
ราชาปีศาจอยากถีบเขากลับไปให้ไวที่สุด
“พวกเจ้าทั้งหมด ฟังข้า”
บลัดเอลฟ์และสาวรับใช้คุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง โคลอสซอร์ขยับร่างกายใหญ่โตทรุดลงอย่างเงียบเฉียบ บรรยากาศกดดันหนักอึ้งในบัดดล ราชาปีศาจเอ่ยช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“ตอนนี้ ข้า-พัก-ร้อน-อยู่”
“....”
ความเงียบปกคลุมราวอนันต์ เสียงใครบางคนที่ถอนหายใจจึงดังเป็นพิเศษ
เมอร์ลินยืดกายขึ้น แบมือสองข้างแล้วประกาศอย่างไม่ยี่หระ “มายลอร์ดอยากสร้างผู้กล้าสุดแกร่งแล้วส่งพวกเขาไปตายที่โรเอียน่ะค่ะ”
บลัดเอลฟ์ปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว ใบหน้าแข็งค้างปรากฏรอยยิ้มกว้าง ทุบฝ่ามือเบาๆ “กิจกรรมยามว่างสินะครับ ฟังดูน่าสนุกกว่าแต่งสวนด้วยพืชกินคนเป็นไหนๆ”
“เหมือนปศุสัตว์ของพวกมนุษย์น่ะหรือ?” แม่ทัพปีศาจเอ่ยด้วยความสงสัย
“....ไม่ใช่” ฮาแบ็คนวดขมับ “ตามความเห็นของพวกเจ้า สิ่งที่ทำให้วิวัฒนาการได้เร็วที่สุดคืออะไร”
“มายลอร์ดค่ะ” เมอร์ลิน
“ฆ่าไอ้พวกเอลฟ์เบื้องสูงคร้าบ~” มาซินรอย
“ก็....ดูเหมือน...น่าจะเป็น....สงคราม?” โคลอสซอร์พูดแล้วก็ขมวดคิ้ว ฮาแบ็คเมินคำตอบนี้เพราะรู้ว่าความทรงจำหลังวิวัฒนาการของเขามีปัญหาเล็กน้อย
“สำหรับข้ามันคือการรอดชีวิตหลังจากที่ได้เข้าใกล้กับความตาย ข้าต้องการผู้กล้าที่จะพาให้ข้าไปถึงจุดนั้นอีกครั้ง” ฮาแบ็คแสร้งถอนหายใจ อย่างไรความมั่นคงของคานส์มารายาก็ขึ้นกับความแข็งแกร่งของราชาปีศาจ เมื่อก่อนเขาอาจจะก่อสงครามปีเว้นปี แต่คานส์มารายาไม่เคยอยู่ในเส้นทางแห่งการล่มสลาย ดังนั้นต่อให้ผู้กล้าที่เขาสร้างเป็นภัยพิบัติของปีศาจ แต่หากมีไว้เพื่อเป็นวัตถุดิบให้ราชาสำราญใจ เหล่าบริวารทั้งหลายก็ต้องเอ็นดูส่งเสริมกันไป
ฮาแบ็คครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดเกือบสิบปีว่าโชคดีแค่ไหนที่ราชาปีศาจไม่ใช่พวกวิกลจริต และเขาเองก็อยู่ในช่วงหมดวัยจะเล่นบท ‘เกิดใหม่ทั้งทีต้องครองโลกให้ได้เลย’ อะไรนั่นแล้วด้วย
“ได้ยินมาว่าการวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดของท่านก็คือหลังจากเดือนที่สี่ของการเป็นทารกในครรภ์พิษสินะครับ พอคิดแบบนี้แล้ววิธีการชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็สมเหตุสมผลเลยทีเดียว จะทำให้วิญญาณแห่งการเข่นฆ่าสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นก็จำเป็นต้องมีคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ฮ่าๆๆ แต่ว่าขออภัยที่ข้ามองไม่เห็นความสำเร็จของวิธีนี้เท่าไร”
มาซินรอยพูดถูก การสร้างผู้ที่อยู่เหนือกว่าราชาปีศาจก็เหมือนกับสร้างราชาปีศาจอีกตน แต่ทำไงได้ล่ะ เขาไม่ทางเลือกนี่นา
โคลอสซอร์เอ่ยว่า “พวกผู้กล้าที่สร้างบาดแผลที่ท่านเมื่อห้าร้อยปีก่อนก็เป็นผลผลิตของสงคราม ขอเพียงท่านทำลายเมือง สังหารผู้เป็นที่รักของคนเหล่านั้น ผู้กล้ามากมายก็จะดาหน้าเข้ามาให้เลือกสรรเอง…..ข้าทำลายเมืองสักสามสี่เมืองให้ท่านดีไหม?”
วิธีคิดของบริวารเขาเป็นแบบนี้ทุกตนเลยหรือไง
ฮาแบ็คชักเซ็ง “ไม่ ข้าเบื่อที่จะต้องรอให้สงครามสร้างวีรบุรุษ กว่าจะได้สักคนก็กินเวลาเป็นร้อยๆ ปี อีกอย่างในระหว่างที่ข้าหยุดพักจากศึกครั้งนั้น มนุษย์ก็ตีกันเองอยู่แล้ว เมล็ดพันธุ์ดีๆ ที่ถูกหว่านไว้ หากถูกกลบฝังไปเพราะสงครามก็น่าเสียดายแย่ สู้ให้ข้าเอามาเลี้ยงดูเองยังจะดีกว่า”
โคลอสซอร์เอียงศีรษะเล็กน้อย “เลี้ยงดู? มนุษย์?”
เมอร์ลิน “เด็กคนนั้นชื่อว่าซิลิค่ะ หากเทียบกับผู้กล้าที่เข้ามาในคานส์มารายาช่วงนี้ก็นับกว่าดีกว่านิดหน่อย”
ฮาแบ็คเหล่มองสาวใช้ประจำตัว “มาตรฐานสูงแต่เริ่มก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอก แต่ข้าถูกใจเพราะรู้สึกถูกชะตามากกว่า”
มาซินรอยเอียงคอสงสัยด้วยอีกคน “เป็นมนุษย์? แบบว่ามนุษย์กลายพันธุ์? หรืออมนุษย์ครับ? ”
“เป็นมนุษย์ที่เป็นมนุษย์ค่ะ ทาสมนุษย์ในพันธสัญญา” คำอธิบายของเมอร์ลินทำให้ฮาแบ็คต้องแก้ประโยคอย่างเสียไม่ได้
“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ทาสของข้า”
มาซินรอยเบิกตากว้าง “มนุษย์ไร้พันธะ! ขออภัยมายลอร์ด ดูเหมือนข้าจะประเมินความเบื่อของท่านต่ำเกินไป”
หมายความว่าไงฟะ
โคลอสซอร์พยักหน้าเห็นด้วย “ไม่นึกว่าท่านพอใจจะทำเรื่องยากเช่นการเลี้ยงดูชีวิตที่อ่อนแอเช่นมนุษย์....ให้ข้าหาตัวสำรองไว้สักสองร้อยตัวดีหรือไม่”
“.....” โดยพื้นฐานวิญญาณของเขาเป็นมนุษย์ ถึงจะอยู่ในร่างของปีศาจมานาน แต่โดยพื้นฐานเขาก็เป็นมนุษย์ไงครับ!
“เอาเถอะครับ ถึงเผ่าพันธุ์นี้จะอ่อนแอและอายุสั้นไปหน่อย แต่ก็เป็นสื่อนำคำสาปที่ดี เช่นนั้นส่งให้ข้าเพาะเลี้ยงเถอะ ใช้คำสาปเป็นตัวกระตุ้น สร้างเงื่อนไขกับสถานการณ์ ตกอยู่วังวนแห่งการเอาตัวรอดไม่จบไม่สิ้น เรื่องเดดเกมน่ะข้าถนัดมาก” มาซินรอยเสนอพร้อมกับแผนการสอนที่คิดขึ้นอย่างกระตือรือร้น ในขณะที่โคลอสซอร์ขัดขึ้นว่า
“คำสาปส่งผลเสียต่อกายหยาบ ไม่นานก็คงไม่ต่างจากซากศพไม่สู้ให้ข้าชุบเขาเป็นนักรบเกราะดีกว่า ถูกกลืนกินอย่างมากก็เอาไปแปลงเป็นอาวุธ ยังคงสู้ต่อไปได้ตราบเท่าที่ต้องการ”
บลัดเอลฟ์หุบยิ้มฉับพลัน “นักรบเกราะที่เหมือนหุ่นกระบอก หากไม่วิวัฒนาการขั้นสุดแบบท่านแม่ทัพ ก็จะเผยความสามารถที่แท้จริงไม่ได้ อย่างน้อยคำสาปก็สร้างความได้เปรียบทางพลังเวท พลิกแพลงได้น่าสนุกกว่าไม่ใช่หรือครับ”
โคลอสซอร์เลิกคิ้วสงสัย “ก้อนคำสาปที่ล้มเหลวจะเทียบกับนักรบเกราะได้หรือ?”
“ท่านหมายถึงโอกาสล้มเหลวสินะครับ ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง คิดว่าพูดอยู่กับใครกันเหรอ?” แววตาของมาซินรอยปรากฏจากอารมณ์ทันที
ขณะที่แม่ทัพปีศาจอ้าปากจะเอ่ยบางอย่าง ราชาของพวกเขาก็ส่งสายตายุติการสนทนา จริงอยู่ที่ผู้กล้าสายมืดก็เข้าเงื่อนไข แต่นั่นไม่ใช่วิถีทางของชีวิตที่ดีแน่นอน แถมเขาไม่แน่ใจว่าซิลิมีมีแรงจูงใจมากพอให้เลือกทางเดินนั้นหรือเปล่า
“ข้าจะสร้างผู้กล้าด้วยสภาพแวดล้อมของมนุษย์ ฉะนั้นที่ข้าต้องการคือคนสวนไม่ใช่บลัดเอลฟ์”
“อืม?” มาซินรอยอึ้งไปสักพัก หลังจากได้สติก็อดคิ้วขมวดบ่นเบาๆ ไม่ได้ “เป็นการทดลองที่แปลกใหม่....ยุ่งยากเกินความคาดหมายของข้าจริงๆ นึกว่าอย่างน้อยจะได้สร้างคอกฝึกในคานส์มารายาเสียอีก”
ฮาแบ็คเอ่ยเสียงเย็นอย่างหงุดหงิด “ข้าขี้เกียจ เพราะงั้นจะไม่ย้ำหลายรอบว่าเด็กคนนั้นเป็นของข้า พวกเจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
“รับทราบมายลอร์ด!” ทั้งสองตอบสนองพร้อมๆ กัน
ราชาปีศาจออกคำสั่งว่า “มาซินรอย เจ้าฝึกการใช้อาวุธให้เขา ส่วนเจ้ากลับไปซะ กลบกลิ่นอายความตายด้วยข้ายังอยากปกปิดตัวตนอยู่”
โคลอสซอร์เงียบไปสักพักก่อนจะโค้งศีรษะลงอย่างนอบน้อม “หากนั่นเป็นความต้องการของมายลอร์ดข้าก็ขอเตือนสิ่งหนึ่งไว้เสียหน่อย”
“ว่ามา”
“การที่ท่านหายไปจากคานส์มารายาทำให้พวกปีศาจเริ่มสับสน โดยเฉพาะเหล่าท่านชาย พวกเขากล่าวลอยๆ ว่าจะอยากแวะมาเยือนเมืองที่ใกล้ที่สุดด้วยตัวเอง”
“อยากให้ข้าเปลี่ยนลูกชายยกเซตหรือไง” ฮาแบ็คหรี่ตาลง
โคลอสซอร์เอ่ยต่อว่า “ยังมีนักเวทในอีเซียริทอีกที่เริ่มกระวนกระวาย ถึงอย่างไรพวกมันก็คุ้นเคยกับเราเป็นอย่างดี หากรู้ว่าท่านหายไปจากแหล่งกำเนิดไม่นานก็ต้องออกค้นหาแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะให้ข้าสังหารพวกมันทิ้งก่อนเลยดีไหม?”
ฮาแบ็คลูบคางเบาๆ ดูเหมือนว่าการขยับตัวของราชาปีศาจสร้างแรงกระเพื่อมพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้ “ไม่ต้อง เจ้าอยู่ก่อนก็แล้วกัน.....ไปยืนหลังเสาตรงนั้นไป”
“รับทราบมายลอร์ด”
การยอมจำนนต่อความเอาแต่ใจอย่างง่ายดายของพวกเขาทำให้ฮาแบ็คอดถามไม่ได้ว่า “พวกเจ้าเนี่ยนะ อยู่ใต้อำนาจของราชาเช่นข้ามานานเท่าไร เคยคิดว่าข้าเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า”
ทั้งสามนิ่งไปครู่หนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงกับราชาปีศาจคือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตลอดการวิวัฒนาการไร้ที่สิ้นสุด ราชาปีศาจเมินเฉยต่อทุกสรรพสิ่ง มีเพียงอย่างเดียวที่ดึงดูดความสนใจของเขา นั่นคือผู้ที่แข็งแกร่ง
ยิ่งราชาปีศาจแข็งแกร่งมากเท่าไร ดินแดนคานส์มารายาก็ยิ่งมั่นคงมากเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าราชาปีศาจจะมีอุปนิสัยอย่างไร พวกเขาไม่สนใจสักนิด ความเงียบงันหรือความบ้าคลั่งล้วนเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม
มันควรจะเป็นเช่นนั้นหากไม่ใช่ว่าวันหนึ่งการเคลื่อนไหวของราชาปีศาจแปลกไป พลังวิญญาณไหลเวียนในกายเนื้อเข้มข้นกว่าที่ผ่านมา คล้ายกับระลอกคลื่นสูงต่ำไม่อาจคาดเดา มีอารมณ์และความรู้สึกความขัดแย้งกับสภาพแวดล้อม ในเวลาเกือบสิบปีนี้ แม้ไม่ใช่ผู้ใกล้ชิดกับราชาปีศาจก็ยังจับความเปลี่ยนแปลงได้
“ความทรงจำเกี่ยวกับตระกูลโนอาของข้าเลือนรางมากก็จริง แต่ว่ากันว่าเชื้อสายของมายลอร์ดเอาแน่เอานอนไม่ได้ ดังนั้นน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
คำตอบของโคลอสซอร์ทำให้ฮาแบ็คประหลาดใจอยู่บ้าง “หากไม่นับเหล่าลูกๆ ผังตระกูลโนอาก็สิ้นสุดที่ข้า แต่ตอนที่ข้าเกิดกลับไม่มีร่องรอยใดบ่งบอกว่าราชาปีศาจก่อนหน้าเป็นคนในตระกูล แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าความเอาแน่เอาไม่ได้ของข้าจะไม่มีปัญหา”
เป็นความจริงที่ว่าตำแหน่งราชาปีศาจไม่ได้ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น คานส์มารายาไม่มีระบบปกครองที่แน่นอน ซึ่งตระกูลโนอาเป็นตระกูลปีศาจเก่าแก่ และแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ปกครองในเขตเหนือของโรเอีย แต่จากประวัติที่ถูกจารึก โนอาไม่ใช่ตระกูลต้นกำเนิดราชาปีศาจตนแรก เขาไม่รู้ว่าตำแหน่งนี้เกิดขึ้นที่ใคร และใช้เวลากี่พันหรือกี่หมื่นปีในการเปลี่ยนช่วง เพราะตอนที่ฮาแบ็คจำความได้ ตำแหน่งนั้นก็ว่างเปล่าอยู่แล้ว
องศาศีรษะของโคลอสซอร์ขยับเล็กน้อย เขากล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “ขออภัยมายลอร์ด เกรงว่าข้าจะไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ในความทรงจำหลังการวิวัฒนาการขั้นสุดท้าย ผู้ที่ให้นามแก่ข้าคือท่าน เช่นนั้นหากความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของท่านจะทำลายทุกสิ่งข้าก็ยินดีจะช่วยโหมไฟมรณะแก่ออร์บิสเช่นเดียวกัน”
เขาเป็นคนตั้งชื่อให้โคลอสซอร์?
เป็นข้อมูลที่ไม่มีในความทรงจำของฮาแบ็ค หรือว่าเขาไม่ใส่ใจ? “ก่อนหน้านั้นใครดำรงตำแหน่งราชาปีศาจ” คำถามนี้เจาะจงที่แม่ทัพ เพราะอายุของเขาน่าจะมากกว่าฮาแบ็คหลายร้อยปี ในขณะที่เมอร์ลินและมาซินรอยเพิ่งเกิดในช่วงพันปีนี้เอง
โคลอสซอร์เงียบไปสักพักราวกับกำลังทบทวนความนึกคิดของตนเอง แต่สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ขออภัยอีกครั้ง ดูเหมือนกว่าความทรงจำหลังวิวัฒนาการของข้าจะมีปัญหาอยู่บ้าง เกรงว่าคำถามนี้ผู้ที่ตอบได้น่าจะมีแต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอีเซียริท”
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอีเซียริท? น่าสนใจแฮะ ว่าแต่วิญญาณพวกนั้นถ้าได้เห็นราชาปีศาจสักหน จะแยกออกหรือเปล่าว่าเนื้อในเป็นคนต่างโลกน่ะ
เฮ้อ บางทีระยะห่างของเวลาอาจจะนานเกินไปละมั้ง จาลึกเกือบทั้งหมดถึงได้กล่าวแต่วีรกรรมของโนอา ฮาแบ็ค
เมอร์ลินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ดิฉันเคยได้ยินว่าการแบกรับพลังมหาศาลอาจทำให้จิตใจบิดเบี้ยวไปบ้าง แต่เทียบกับความวิปริตวิปลาสของบลัดเอลฟ์ การเปลี่ยนแปลงของมายลอร์ดไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรอกค่ะ” บางทีหากราชาของเธอไม่เปลี่ยนแปลง การวิวัฒนาการของปีศาจระดับต่ำเช่นเธอก็อาจจะเกิดช้ากว่านี้ไปอีกหลายพันปี
“ขอถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกันนะครับคุณเมอร์ลิน” มาซินรอยหัวเราะในลำคอ บลัดเอลฟ์ไม่มีช่วงเวลาใกล้ชิดกับราชาปีศาจ ดังนั้นจึงไม่อาจทราบอุปนิสัยที่แท้จริงได้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจเท่าไรด้วย
เอาเถอะ โดยรวมแล้วก็น่าพอใจอยู่ จะบอกว่าสมกับที่เป็นเหล่าบริวารของราชาปีศาจก็ไม่ผิด เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ไม่ใส่เลยย่อมเป็นผลดีต่อตัวเขาเองนั่นแหละ
ภายหลังการประชุมอย่างไม่เป็นทางการจบลง มาซินรอยก็ขอตัวไปวางแผนการเรียนการสอนอย่าง ‘อ่อนโยน’ ฉบับเพื่อนมนุษย์ตัวน้อย ส่วนราชาปีศาจที่ยังต้องหาทางลดสเกลพลังก็ได้เปิดประตูดันเจี้ยนที่เคยสร้างไว้ โถงว่างเปล่าคือกำแพงหินสูงใหญ่รองรับพลังเวทของราชาปีศาจโดยเฉพาะ อย่างไรเขาก็เป็นผู้แสวงหาความแข็งแกร่ง การทดลองเพื่อพัฒนาสกิล หากไม่เอาไปลงกับผู้กล้าก็มักจะต้องเข้ามาใช้ที่นี่
ก่อนหน้านี้ฮาแบ็คเคยทดสอบความสามารถของราชาปีศาจเพื่อเช็กสกิลทั้งหมดที่มี ผลที่ได้ก็คือตัวบัค[3] ของออร์บิส
ราชาปีศาจมีสกิลค่อนข้างหลากหลาย บวกกับค่าประสบการณ์สามพันปีและสภาพแวดล้อมที่เหมือนกับบัฟ[4] แบบกลายๆ ทำให้เขาได้เปรียบผู้กล้าทุกประตู ทางที่ดีในศึกสุดท้าย ถ้าไม่ควักลูกตาหรือตัดแขนสักข้างทิ้งก่อนก็ควรปรับเปลี่ยนบรรยากาศของโรเอียเสียใหม่.....แบบนั้นจะถูกปรับตกเงื่อนไขหรือเปล่าหว่า?
อย่างไรก็ตาม การลดค่าสเกลพลังอย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะไม่เผลอใช้ คือการสร้างร่างแยกแบ่งพลัง ซึ่งตอนแรกเขาไม่ทันคิดไป ว่าราชาปีศาจสร้างลูกๆ ขึ้นมาจากเซลล์กระดูก และสร้างร่างบริวารที่ใช้ในการต่อสู้จากเซลล์เม็ดเลือด ดังนั้นเพื่อให้ได้ร่างแยกที่สมบูรณ์โดยแบ่งพลังสองต่อแปด เขาจึงต้องสร้าง [ร่างเปล่า] จากไขสันหลังขึ้นมาหนึ่งร่าง และส่งกลับไปเป็นหมีจำศีลในปราสาทแทนตัวเอง โดยที่ร่างนั้นจะต้องตอบสนองกับการภัยอันตรายทุกกรณี ทำหน้าที่เหมือนกับเสื้อผ้าอีกชุดและเทเลพอร์ตของเขา
“การแบ่งร่างไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือคะ”
ในกรรมวิธีดึงไขสันหลังออกจากร่างจะต้องใช้ปริมาณพลังเวทมหาศาลเพื่อฟื้นฟูส่วนที่เสียหายอย่างรวดเร็ว แต่ปีศาจไม่รับพรแห่งเทพ วิธีเดียวที่จะรักษาสภาพหลังการทรมานตัวเองคือไปในที่ที่มีพลังชีวิตจำนวนมาก และดูดกลืนพลังเหล่านั้นทดแทน
“ประชากรของเมืองบีทซ์นีค่อนข้างหนาแน่นก็จริง แต่วิหารโยดันก็ตั้งอยู่ใกล้เกินไป”
“ให้ข้าถล่มวิหารทิ้งก่อนดีไหม?” โคลอสซอร์เสนอ
“เจ้าหุบปากแล้วหันหน้าเข้ากำแพงไปไป๊” ฮาแบ็คสะบัดมือไล่อย่างสุดเซ็ง
การดึงกระดูกสันหลังออกจากร่างทั้งเป็น....หากไม่ติดที่เขาอยู่ในร่างราชาปีศาจมานานขนาดนี้ ให้ตายโหงก็ไม่มีวันทำแน่นอน สยอง!
[1] แฟ้มมอนสเตอร์ฉบับออร์บิส: ปีศาจชั้นต่ำตัวเล็กรูปร่างกลม ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 1.5 cm ใช้หนึ่งตาหนึ่งปาก และปีกสองคู่ในการดำรงชีวิต พวกมันเกิดจากกระดูกและดวงตาของทารกที่ตายในครรภ์ทุกเผ่าพันธุ์ เป็นปีศาจที่เลือกรับใช้สิ่งที่แข็งแกร่งกว่าเสมอเพราะสติปัญญาต่ำ หน้าที่ของส่วนใหญ่คือการสอดแนม และส่งข่าว เนื่องจากสภาพร่างกายปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ทุกรูปแบบ ความเร็วและความทนทานแรงกดทับค่อนข้างสูง
[2] Turn Base หมายถึง เกมที่การต่อสู้ต้องรอเป็นรอบ ให้ศัตรูปล่อยท่าโจมตีจนจบเทิร์น ไม่สามารถตีขัดได้อย่างอิสระ เมื่อวนมาถึงตัวละครผู้เล่นจึงจะได้เลือกการโจมตี
Comments (0)