2 ตอน บทที่ 1 อันตัวข้าให้โอกาสแล้วนะ
โดย Laksh Mana
บทที่ 1
อันตัวข้าให้โอกาสแล้วนะ
ในออร์บิส นอกจากมหาสมุทรนอร์ทเอเธอร์ทางเหนือ และทวีปมืดที่กินพื้นที่ไม่อาจคาดเดาทางใต้ ยังสามารถแยกดินแดนสำคัญได้ห้าแห่ง คานส์มารายา ออริเทอซอล อาร์คแลน อวาลัน มอร์โรไท และแดนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อีเซียริท ซึ่งแต่ละดินแดนมีวิถีทางในการดำรงชีวิตแตกต่างกัน โดยปกติแล้วอาณาจักรแห่งเอลฟ์ที่อาร์คแลน กับอาณาจักรที่สืบทอดสายเลือดโบราณอย่างอวาลันย่อมมีสภาพแวดล้อมที่ให้กำเนิดผู้แข็งแกร่งโดยธรรมชาติ แต่ความเป็นจริง สถานที่ที่ดึงดูดคนเหล่านี้กลับเป็นนครสำคัญอันมีชื่อเสียงของออริเทอซอลต่างหาก ดินแดนแห่งสันติสุข ที่ตั้งของเมืองบีทซ์นี มหานครแห่งแสงสว่างและความรุ่งโรจน์
เป็นดินแดนที่เคยให้กำเนิดผู้กล้าในตำนานถึงสามคนในช่วงหนึ่งพันปี สองคนในนั้นเป็นชาวกราเซียที่มาจากอวาลัน และบลัดเอลฟ์แห่งอาร์คแลน ส่วนมนุษย์ที่ยืนหยัดต่อหน้าราชาปีศาจเมื่อห้าร้อยปีก่อนเป็นบุตรของกษัตริย์แห่งราชวงศ์นอร์ทเธีย ในการต่อสู้กับปีศาจหากไม่สามารถใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชี้ชะตา ก็จำเป็นต้องอาศัยพลังสายเลือดเพื่อฝืนขีดจำกัด แน่นอนว่าผลข้างเคียงมหาศาล แต่มนุษย์ก็เฉกเช่นกันในทุกๆ โลก เมื่อต้องปกป้องอะไรสักอย่าง ล้วนมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะสละแม้กระทั่งชีวิต
แต่เรื่องแบบนี้กับปีศาจบางประเภทก็เกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นสงครามแต่ละครั้งคงไม่ยืดเยื้อรวมร้อยปี
เมื่อก่อนในดินแดนคานส์มารายาก็เคยมีอารยธรรมของมนุษย์อยู่ ซากของเมืองเก่าขนาดใหญ่ข้างทะเลสาบเป็นถิ่นกำเนิดของชาวเปาโล ทว่าจะเรียกมนุษย์ก็เรียกได้ไม่ค่อยเต็มปาก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ดันมีอายุขัยยาวนานกว่าสามร้อยปี ซ้ำอัตราการเกิดยังสูงเป็นอันดับต้นๆ ของสิ่งมีชีวิต แต่ด้วยความที่สติปัญญาต่ำ และไม่มีทีท่าว่าจะพัฒนาไปพร้อมกับยุคสมัย ทำให้ชาวเปาโลผลาญพลังงานและทรัพยากรจากออร์บิสไปมหาศาลโดยไม่มีการทดแทนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง กระทั่งการเกิดใหม่ของราชาปีศาจ....ได้ทำลายล้างชนเผ่านี้จนสูญพันธุ์ ปัจจุบันบริเวณนั้นกลายเป็นที่อยู่ของมอนสเตอร์รับสงบและชาวเงือกโบราณ
ต้นกำเนิดของราชาปีศาจไม่ได้ถูกสลักลึกในความทรงจำของฮาแบ็ค เขาไม่รู้ว่าราชาปีศาจตนแรกเกิดขึ้นได้อย่างไรและใช้เงื่อนไขใดในการส่งต่อตำแหน่งนี้ เขารู้เพียงว่าการรักษาสมดุลอยู่ในจิตสำนึกที่ไม่เป็นรูปธรรมและสามารถขัดขืนได้ ความทรงจำของเขาไม่ได้เข้าใจในเรื่องนี้มากนัก เขาก่อสงครามเพื่อตัวเอง ต่อสู้เพื่อตัวเอง เป้าหมายเพื่อแข็งแกร่ง แต่แข็งแกร่งขนาดไหนถึงจะพอ เรื่องนั้นเขาไม่รู้แม้แต่น้อย
“อากาศดีจริงๆ”
นอกจากทางรถไฟที่วิ่งจากเมืองสู่เมือง ยังมีถนนเส้นรองซึ่งเป็นทางสำหรับขนส่งสินค้าจากชายฝั่งอยู่หลายเส้นที่ผู้คนยังนิยมใช้กัน แต่ระยะทางที่ค่อนข้างไกลผนวกกับความไม่สะดวกสบายทำให้นานๆ ครั้งจะเห็นรถม้าผ่านไปมาสักที ซึ่งบนเส้นทางนี้มีเกวียนเก่าหนึ่งเล่ม ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยหญิงสาวหน้าตางดงามในชุดสาวรับใช้และรองเท้าบูตส้นสูง
หล่อนลากเกวียนด้วยมือข้างเดียว ใบหน้าเรียบเฉยใต้หมวกปีกกว้างไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อย ราวกับว่าที่ลากจูงอยู่นั้นเป็นแค่ขนนกเส้นเล็ก ทั้งที่มีกระเป๋าหลายใบและบุรุษร่างสูงนอนเอกเขนกอยู่
“เมอร์ลิน สำหรับเจ้าร้อนไปหน่อยหรือเปล่า”
เมอร์ลินทอดสายตามองดวงอาทิตย์เหนือหัว “ไม่เลยค่ะ เทียบนาซูรีไม่ติดสักนิด”
นาซูรีคือคาบสมุทรแห่งเพลิง เป็นที่อยู่ของมังกรลาวา ทิวทัศน์แห่งความร้อนแรงครอบคลุมท้องฟ้าด้วยจำนวนภูเขาไฟปะทุหลายร้อยลูก ความร้อนแผ่ซ่านทุกอณูขุมขน เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถทำให้มนุษย์ที่ไร้เกราะป้องกันมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
“นั่นสินะ” ฮาแบ็คที่ผู้สลัดคราบราชาทิ้งไว้ในปราสาท ลิ้มรสชาติของลูกพีชที่ได้มาจากหญิงสาวในหมู่บ้านหนึ่ง ลิ้นของเขาไม่รับรสจากอาหารมนุษย์มาสามพันปีก็จริง แต่ด้วยความที่จิตวิญญาณเป็นคนต่างโลกทำให้เขารู้ว่า....ลิ้นน่าจะเป็นจุดอ่อนที่สุดของราชาปีศาจแล้วล่ะมั้ง
“จะว่าไป การสะกดพลังของเจ้าไม่ได้ทำให้ศักยภาพของร่างกายถูกลดทอนด้วยสินะ ข้านึกว่าเจ้าจะอ่อนแอมากกว่านี้เสียอีก” ริบบิ้นแดงเป็นของสะกดพลังอย่างหนึ่ง ทำมาเพื่อใช้ในการแฝงตัวโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่กับราชาปีศาจมันเป็นได้แค่เชือกฟางเก่าๆ
“มายลอร์ด ต่อให้ถูกสะกดพลังโดยสมบูรณ์ แต่ปีศาจที่ผ่านการวิวัฒนาการอย่างพวกเราก็ไม่อาจลดขอบเขตทางกายภาพไปได้มากกว่านี้หรอกค่ะ อีกอย่างหากต้องมีร่างกายปวกเปียกเช่นก้อนเนื้อประสิทธิภาพต่ำ ย่อมทำให้งานของดิฉันบกพร่องไปด้วย” หล่อนเอี้ยวตัวหันหน้ามา “รับน้ำชายามบ่ายไหมคะ”
“ไม่เอา” ฮาแบ็คแสดงสีหน้ารังเกียจไม่ปิดบัง ชายามบ่ายเป็นเมนูที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามา ปกติเขาไม่ต้องกินต้องดื่ม และราชาฮาแบ็คก็ไม่ใส่ใจหาความสุขจากเรื่องพื้นฐาน น้ำชายามบ่ายสำหรับเขาก็เหมือนยาขม ไม่น่าพิสมัยสักนิด
เมอร์ลินดันแว่นรับสันจมูก “มายลอร์ด มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะคะ เพื่อภารกิจยามว่างของท่าน การดื่มกินเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเหล้าฉลองงานเลี้ยง ท่านควรดื่มให้ชิน”
เป็นเรื่องน่ากลุ้มใจอีกเรื่อง เขาไม่ได้ไม่อยากกลับไปกินอาหาร หรือกลัวเมา การใช้พลังธาตุสลายแอลกอฮอล์ส่วนเกินในร่างทำให้เขาดื่มเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ลิ้นรับรสมากกว่าปกติหลายเท่า ความหวานอมเปรี้ยวของลูกพีชยังมีพลังทำลายล้างมากกว่าลูกไฟมรณะของมังกรเสียอีก
“ถ้าถึงขนาดต้องสร้างเกราะป้องกันลิ้นคงดูน่าสมเพชเกินไปหน่อย ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน” ราชาพึมพำกับตัวเอง “อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงบีทซ์นี”
เมอร์ลินควักนาฬิกาข้างเอวขึ้นเปิดดู “ประมาณบ่ายสองสี่สิบค่ะ ให้ดิฉันเร่งความเร็วไหมคะ”
“ช่างเถอะ ให้ข้าซึมซับบรรยากาศหน่อย” ความหมายของฮาแบ็คไม่ใช่การนั่งกินลมชมวิว แต่เขากำลังสัมผัสความวุ่นวายที่ไหลผ่านสายลมทั่วทุกทิศเข้าสู่ประสาทสัมผัส กลิ่นของเขม่าควันจากอาวุธสงครามทางตะวันตก เสียงของรถไฟที่แล่นบนรางมุ่งจากทางใต้เข้าเมืองใหญ่และเสียงกรีดร้องของเหล่ามอนสเตอร์ในดินแดนนี้
“แย่จริงๆ ออริเทลซอลไม่ใช่สถานที่ที่ดีในการฝึกเอาตัวรอดจริงๆ ด้วย จำนวนมอนสเตอร์ระดับสูงน้อยเกินไป มอนสเตอร์ปลายแถวก็ไม่เข้าใกล้เมือง ดันเจี้ยนก็ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย มิน่าเล่าจำนวนผู้กล้าของดินแดนนี้ถึงอ่อนแอกว่าชาวบ้าน”
“ดูเหมือนว่าหลายสิบปีมานี้ จำนวนผู้กล้าที่ลดลงจะถูกแทนที่ด้วยกองอัศวินนะคะ”
“กองอัศวิน? ฮ่าๆๆๆ” ฮาแบ็คหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน “เจ้าพวกรูปปั้นประดับเมืองที่มีดีแต่รอให้เกิดหายนะก่อนค่อยลงมือนั่นมีประโยชน์อะไร ไม่รู้วิธีการลดความเสี่ยงเสียบ้าง การป้องกันที่ดีคือการบุกก่อนชัดๆ” เหล่ามนุษย์จะสงบสุขกันเกินไปหรือเปล่า หากวันไหนมีภัยพิบัติเกิดจากตัวเขาขึ้นมา จะมีปัญญาตั้งรับได้กี่น้ำ?
อีกอย่างที่สำคัญ ตามเงื่อนไขเขาต้องตายด้วยมือของผู้กล้าเท่านั้น ต่อให้อัศวินน่าสนใจกว่า แข็งแกร่งกว่า แต่ถ้าไม่มีจิตวิญญาณของนักผจญภัยผสมผสานกับความอยากเอาชนะก็เป็นได้แค่วีรบุรุษในกำแพง จะให้เขาบุกมารับความตายนอกบ้านตัวเองก็ไม่ได้ด้วย
เมอร์ลินเหลือบมองแผ่นหลังของเจ้านาย อดคิดไม่ได้ว่าราชาฮาแบ็คอยากให้ผู้กล้าบุกถล่มโรเอียเพราะอยากหาเรื่องทำปราสาทใหม่หรือเปล่า? เพราะถ้าเขาอยากจะฆ่าผู้กล้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลากไปถึงโรเอียด้วยซ้ำ
การเดินทางของทั้งสองผ่านสภาพอากาศที่เป็นใจและสายตาตกตะลึงพรึงเพริดของผู้ผ่านทาง ไม่นานก็มองเห็นยอดปราสาทสีขาวคราม ประดับประดาด้วยธงราชวงศ์เก่าแก่
เมืองบีทซ์นีแตกต่างจากภาพที่อยู่ในความทรงจำของเขาไปมากโข เขาสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่มีชีวิตชีวา ทั้งความเจริญรุ่งเรืองและวิหารศักดิ์สิทธิ์ถูกฟื้นฟูต่อเนื่องจากห้าร้อยปีก่อน และในช่วงเวลานี้ที่ผ่านมาไม่ได้เกิดสงครามใหญ่จากราชาปีศาจ เป็นเพียงสงครามความขัดแย้งระหว่างดินแดนเท่านั้น
หากเขาเกิดเป็นคนธรรมดา ก็คงเลือกอยู่เมืองนี้เช่นกัน
“หยุดก่อนขอรับ ตอนนี้ที่ลานจัตุรัสจัดงานทดสอบนักเวทอยู่ จึงให้นำพาหนะเข้าไปไม่ได้ขอรับ”
ทหารลาดตระเวนฝืนเก็บสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อเห็นสาวรับใช้ถูกใช้งานหนักอย่างไม่ยุติธรรม ฮาแบ็คเหลือบมองนายทหารสองคน ระดับความแข็งน่าจะมากกว่าชาวบ้านเล็กน้อย เขาใคร่ครวญบางอย่างในใจแล้วกระโดดลงจากเกวียน “ข้าไม่นั่งเกวียนแล้ว”
“รับทราบค่ะ” เมอร์ลินทิ้งเกวียนอย่างไม่ไยดี ขนกระเป๋าใบโตหลายใบไว้ในมือข้างเดียว เดินตามหลังราชาของตนอย่างสงบเสงี่ยม
นายทหารเบิกตากว้างกับเรี่ยวแรงมหาศาลบนสีหน้าเรียบเฉยของสาวใช้ เขาสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลตามกฎการเข้าเมืองฉบับใหม่ “เอ่อ ไม่ทราบทั้งสองมีนามว่าอะไร และเดินทางมาจากที่ไหนหรือขอรับ”
เมอร์ลินหรี่ตาลง คล้ายกำลังตัดสินใจว่าจะตัดลิ้นมนุษย์ผู้นี้ดีหรือไม่
ทว่าฮาแบ็คกลับตอบง่ายๆ “ฮาแบ็ค มาจากเมืองวาลล์ ส่วนสาวใช้ของข้า รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกมั้ง”
นายทหารกระแอมไอ ความรู้สึกหวั่นเกรงต่อชายคนนี้เพิ่มมากขึ้นมาได้ยินคำว่าเมืองวาลล์ เมืองแห่งเหมืองทองและความร่ำรวย แปดในสิบของเมืองนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเศรษฐีแดนไกล แม้ว่าสภาพของเกวียนที่โดยสารมาจะขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่รสนิยมของคนมีเงิน แปลกกว่านี้ก็มีมาแล้ว ที่สำคัญ....ชื่อเดียวกับราชาปีศาจเลยไม่ใช่หรือ
“ท่านใช้ชื่อนั้นมาตลอดเลยหรือขอรับ”
“ทำไม? ชื่อของข้ามีปัญหาอะไร”
นายทหารหัวเราะเสียงแห้ง รู้สึกว่าชายผู้นี้ท้าทายความตายเหลือเกิน เขาจึงเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ “ใครๆ ก็รู้ว่าชื่อนั่นเป็น...เอ่อ ของราชาปีศาจนะขอรับ”
อา ที่แท้ข้าก็โด่งดังพอตัวนี่หว่า แล้วทำไมคุณภาพผู้กล้าที่ส่งมาถึงได้ห่วยแตกนักเล่า!
เมื่อเห็นว่านักเดินทางจากเมืองวาลล์ไม่แสแยกับความอัปมงคลของชื่อ เขาก็อดชื่นชมไม่ได้ หากบุพการีตั้งชื่อนี้ให้ เขาคงคิดว่าถูกครอบครัวเกลียดแหงๆ
“อะแฮ่ม! ถือว่ากระผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าท่านมาชมการแสดงของวิหารโยดันหรือขอรับ”
“ข้าแค่มาเสี่ยงดวง” ฮาแบ็คตอบยิ้มๆ ก่อนเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป กลิ่นของอาหาร สัตว์เลี้ยงและผู้คนที่หาไม่ได้ในปราสาทวาซซาเรีย ปะปนอย่างรุนแรงอยู่ในอากาศ ตามปริมาณประชากรที่หนาแน่นภายในเมือง ดูเหมือนว่าคราวนี้เขาจะมีได้ถูกจังหวะไปหน่อย บีทซ์นีจัดงานแสดงของเหล่านักบวชเพื่อสักการะแด่เทพธิดาวิเนริส เทพประจำเมืองผู้เป็นที่เคารพบูชา
วิเนริส....ตามจาลึกหาโบราณที่อายุอานามมากกว่าราชาฮาแบ็ค เคยมีการจดบันทึกข้อมูลเทพเจ้าในออร์บิส แต่ดูเหมือนว่าวิเนริสไม่ได้อยู่ในรายชื่อเหล่านั้น
“เจ้ารู้สึกอึดอัดรึเปล่าเมอร์ลิน”
เมอร์ลินส่ายหน้า “ไม่รู้สึกสักนิดค่ะ”
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพลังอำนาจของวิเนริสอ่อนแอกว่าที่เขาคิดไว้โข
“เทพเจ้าเหรอ....” ราชาขมวดคิ้วเล็กน้อย ว่ากันตามตรง ในตอนที่ราชาปีศาจอาละวาดมาพันกว่าปี ไม่มีเทพองค์ไหนปรากฏตัวสร้างปาฏิหาริย์ยืนข้างผู้คน เขารู้ว่าออร์บิสเคยมีเทพแต่โลกแห่งนี้ก็ไร้เงาเทพมาเนิ่นนานแล้ว แม้ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่นานกว่าอายุของเขาแน่นอน “เจ้าเคยได้ยินชื่อของวิเนริสบ้างไหม”
“ขออภัยค่ะ ดิฉันไม่เคยออกนอกคานส์มารายามาก่อน นอกจากสิ่งน่ารังเกียจที่อิเซียริท ดิฉันก็ไม่มีความเข้าใจต่อเรื่องของเทพสักนิด”
“ข้านึกว่าต้นกำเนิดของเจ้าอยู่ที่มอคเสียอีก” มอค คืออาณาเขตของผู้บูชาลัทธิปีศาจ ถึงจะอยู่ในดินแดนอวาลัน แต่ที่นั่นก็มีวิหารแห่งความมืดแชงกาลู หรือว่าง่ายๆ ก็คือจุดพักผ่อนอีกแห่งของเขานั่นแหละ
เมอร์ลินอธิบายเสียงเรียบ “ก่อนที่การวิวัฒนาการของดิฉันจะสมบูรณ์ก็ถูกขับไล่ออกมาก่อนค่ะ ความทรงจำในช่วงนั้นจึงหายไปหมด ขออภัยด้วยค่ะ”
ฮาแบ็คไม่ถือสา เขาไม่ได้ใส่ใจว่าสาวใช้ต้องรู้ทุกเรื่อง แต่สาวใช้ปีศาจเก็บความหงุดหงิดไว้ในใจ แค่ก้าวขาออกจากปราสาทงานของหล่อนก็บกพร่องแล้ว
ทั้งสองเดินเรื่อยเปื่อยจากประตูเมืองเข้าไปในใจกลางซึ่งเป็นลานจัตุรัส บริเวณนี้แออัดไปด้วยหลากหลายอาชีพจากกิลด์[1]ผจญภัย ฮาแบ็คคว้าจับใบปลิวที่ลอยมา เป็นข้อมูลของราชาสไลม์กับดันเจี้ยนเพิ่งเกิด ค่าตอบแทนในการพิชิตสองสิ่งนี้.....ตีราคายังไงนะ?
“มายลอร์ด” เสียงเรียกของเมอร์ลินดึงความสนใจของเขา สาวใช้ยืนขนมปังใส่ไส้ครีมขาวเนียนนุ่มให้กับราชา เอ่ยอย่างรู้ใจ “ขนมปังชิ้นนี้ราคาสิบเพเนีย หนึ่งเทโทล่าจะได้ประมาณร้อยชิ้นค่ะ”
ฮาแบ็คกัดหนึ่งคำ ความหวานที่ลิ้นรับรสทำให้รู้สึกเหมือนเคี้ยวก้อนน้ำตาลทราย ช่วยไม่ได้ เขาไม่ต้องใช้เงินสักหน่อย ตอนนี้สกุลเงินคืออะไรเขาก็ยังไม่รู้เลย
เมอร์ลินอธิบายว่า “หนึ่งพันเพเนีย ก็เท่ากับหนึ่งเทโทล่า ปกติแล้วสิ่งของทั่วไปมีค่าไม่ถึงหนึ่งเหรียญทองค่ะ”
ไม่รู้ว่าเธอไปเอาเงินมาจากไหน ฮาแบ็คพิจารณาเหรียญกษาปณ์ในมือ ตัวเลขบนเหรียญเงินนับเป็นสิบเพเนีย ถ้าเป็นมีค่าน้อยกว่านั้น ขนาดก็จะเล็กตาม ส่วนเทโทล่าคือเหรียญกษาปณ์ทองคำมีเพียงขนาดเดียว
“แค่สไลม์ขั้นห้าก็แต่งตั้งให้เป็นราชาแล้วเหรอ ของแบบนั้นที่คานส์มารายามีอยู่เกลื่อนกลาดออก”
เมอร์ลินพยักหน้าเห็นด้วย เรียกมอนสเตอร์ระดับล่างว่าราชา โอหังเกินไปหน่อยจริงๆ
ฮาแบ็คถอนหายใจ โลกภายนอกสงบสุขเกินไปหน่อยหรือเปล่า ในฐานะปีศาจรู้สึกหงุดหงิดชอบกล “ไปที่กิลด์ผจญภัยก่อนก็แล้วกัน”
กิลด์ก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ทั้งที่รวมตัวของนักผจญภัย และแหล่งแลกเปลี่ยนข่าวสาร บางครั้งผู้กล้าที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกษัตริย์จะเข้ามารับภารกิจที่นี่ด้วยเช่นกัน ในเมืองใหญ่อาจจะมีกิลด์มากกว่าหนึ่ง การแข่งขันเพื่อความอยู่รอดจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ กิลด์ที่ใหญ่กว่าจะได้เปรียบเกือบทุกเรื่อง ทั้งปริมาณและคุณภาพ สความน่าเชื่อถือของข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของค่าตอบแทน ผู้ร่วมกิลด์ยิ่งมากเท่าไร โอกาสสำเร็จภารกิจก็ยิ่งสูง เมื่อชื่อเสียงเพิ่มพูน ขอบเขตของงานก็กว้างตามไปด้วย
ฮาแบ็คเลือกกิลด์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เขาสอบถามเกี่ยวกับดันเจี้ยนในรอบนี้
“เป็นดันเจี้ยนในรอบสิบปีน่ะค่ะ จุดเกิดคือซากประตูเมืองเก่าทางตะวันตก ตามที่พยากรณ์ไว้ อีกสามวันก็เปิดได้แล้วค่ะ” สาวน้อยประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลอย่างกระตือรือร้น
“เกิดที่จุดเดิมทุกๆ สิบปีเลยหรือ?”
“ใช่แล้วค่ะ เป็นดันเจี้ยนสุสานกระดูกที่แปลกมาก ไม่ว่าจะพยายามพิชิตกี่ครั้งก็วนกลับมาใหม่ตลอด ทั้งๆ ที่ข้างในแทบจะไม่มีอะไรให้สำรวจแล้วแท้ๆ”
ดันเจี้ยนส่วนใหญ่มักเป็นซากอารยธรรมจากส่วนใดส่วนหนึ่งที่หายไป ส่วนหนึ่งเกิดจากผลกระทบของสงคราม อีกส่วนเกิดจากราชาปีศาจ
ปกติราชาปีศาจจะสร้างดันเจี้ยนเพื่อผลประโยชน์สองอย่าง คือสร้างไว้เก็บของและเพื่อการทดสอบพลัง เมื่อไม่ใช้ก็จะปิดผนึกแล้วโยนสุ่มออกไปในออร์บิสให้ผู้กล้าได้ปวดหัวเล่น ระยะทางของดันเจี้ยนประเภทนี้จึงไม่ได้ยาวมาก แต่กับความซับซ้อนก็แล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้น เมื่อผู้กล้าพิชิตได้มันก็จะหายไป ทว่าดันเจี้ยนที่เกิดตามธรรมชาติไม่เหมือนกัน ตัวมันมีจุดประสงค์เพื่อการคงอยู่ของอะไรบางอย่าง การเข้าไปแล้วคิดจะพิชิตด้วยการทำลายหรือกำจัดมอนสเตอร์ให้หมด แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย.....อืม หมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่เขาน่ะ
อย่างไรก็ตาม ดันเจี้ยนที่ผลุบโผล่ในช่วงเวลาเดิมทุกๆ สิบปีเขายังไม่เคยเจอ และมันไม่น่าจะเป็นดันเจี้ยนที่ราชาปีศาจสร้างขึ้นด้วย
ไม่สำคัญหรอก เขาอยากเห็นฝีมือของผู้ท้าทายต่างหาก
ก่อนอื่นต้องสร้างตัวตนเสียก่อน ปักหลักที่เมืองนี้ด้วยสถานะที่ต้องเกี่ยวพันกับผู้กล้าให้มากที่สุด
“นี่เดินเร็วๆ หน่อยสิจ๊ะ” เสียงแหลมของหญิงสาววัยกลางคนดังอยู่ด้านหลังของพวกเขา เมื่อมองกลับไปก็พบชายหญิงครอบครัวหนึ่ง ได้พาลูกชายวัยสิบสองสองสิบสามขวบมายังจุดลงทะเบียน ใบหน้าของเด็กน้อยงดงามน่ารัก แตกต่างจากผู้เป็นพ่อแม่จนดูแล้วไม่เหมือนคนที่น่าจะเกี่ยวข้องทางสายเลือดแม้แต่น้อย
ฮาแบ็คหลีกทางให้และเพ่งความสนใจไปที่เด็กคนนั้น
“เอ๋ จะให้ลูกชายคุณลงทะเบียนเข้าดันเจี้ยนเหรอคะ! แบบนี้ไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ เขายังเด็กอยู่เลย” พี่สาวแผนกลงทะเบียนของกิลด์ขมวดคิ้วแน่น
“แหมๆ ฉันรู้หรอก แต่ลูกชายของเรามีพรสวรรค์มากเลยนะ ถ้าให้ทดสอบวัดค่าพลัง พวกคุณจะตกใจ เพราะงั้นอย่างมองคนแต่ภายนอกสิ ใช่ไหมจ๊ะลูกรัก” ผู้เป็นแม่ดึงแขนลูกชายให้เขามาใกล้ รอยยิ้มยิ้มประดับบนในหน้า เด็กน้อยพยักหน้าเงียบๆ
คลื่นไส้จัง.....ฮาแบ็ครู้สึกอยากได้น้ำชาสักถ้วยก็คราวนี้
“ถะ ถ้าอย่างนั้นใส่ชื่อตรงนี้ค่ะ” พี่สาวแผนกลงทะเบียนพยายามสุดความสามารถในการเก็บสีหน้าของตัวเอง แต่เมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อสอบถาม มุมปากของเธอก็กระตุกเบาๆ “รางวัลบนประกาศถูกหักสัดส่วนให้กิลด์เท่าไร”
“เอ่อ....นั่นเป็นเควสพิเศษค่ะ รางวัลส่วนนั้นจึงไม่ถูกหักให้กิลด์” ชายคนนั้นพยักหน้าอย่างพอใจ ดวงตาเรียวเล็กทำให้รู้สึกเหมือนมองจิ้งจอกเฒ่า
ฮาแบ็คทอดมองจากระยะสามเมตร ‘เอเดน ฟิลว์’ ถูกประทับตราอนุญาตจากกิลด์ผจญภัยก่อนที่ทั้งสามจะออกจากกิลด์ ราชาส่งสัญญาณให้สาวใช้ตามไปทันที
“แย่จริงๆ” พี่สาวแผนกลงทะเบียนพึมพำเบาๆ
“อืม? เด็กยุคก็มีไม่ใช่เหรอ ที่เก่งกาจเกินอายุน่ะ” ฮาแบ็คเลื่อนสายตาดูข้อมูลของใบสมัครที่ยังไม่ถูกเก็บ พี่สาวแผนกลงทะเบียนส่ายหน้าขวับ
“เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้นค่ะ! แต่ครอบครัวฟิลว์ชอบให้ลูกชายมารับเควสประจำ แถมเป็นเควสยากด้วย และทุกครั้งเด็กคนนั้นก็ไม่พูดอะไรเลย ตอนเอาเควสมาขึ้นเงินก็บอบช้ำทั้งตัว” กิลด์ส่วนใหญ่ไม่รับสมาชิกที่อายุต่ำกว่าสิบห้า แต่แม่ของเอเดนก็พยายามยัดเยียดเด็กน้อยให้กิลด์ทุกครั้ง มองยังไงก็เป็นเพราะอยากได้สวัสดิการแน่ๆ เธอพูดอย่างโมโห “ถึงฉันจะรู้จักเด็กคนนั้นได้ปีเดียว แต่ก็ดูออกนะคะว่าเขาไม่ได้อยากทำน่ะ”
ฮาแบ็คไล่สายตาตามตัวอักษรจากลายมือของเด็กน้อย เขาไม่แปลกใจสักนิด “รายการเควสบนกระดานไม่จำกัดแรงค์ (Rank) รึ”
“แค่เฉพาะช่วงนี้เท่านั้น เพราะกิลด์ที่ไหนก็ขาดคนไปหมดเลยค่ะ ก็เลยทำได้แค่แยกประเภทกับประเมิน” เธอนึกถึงงานที่ล้นมือแล้วถอนหายใจ ลอบมองชายตรงหน้า อดสอบถามไม่ได้ว่า “คุณเพิ่งมาที่เมืองนี้ครั้งแรกหรือเปล่าคะ พอดีฉันค่อนข้างมั่นใจเรื่องการจำหน้าตาคนมากเลยค่ะ”
ฮาแบ็คพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ ให้เธอ พี่สาวแผนกลงทะเบียนหลบตาหน้าแดงก่ำ
ทั้งที่ดูเหมือนคนที่มีครอบครัวแล้วแท้ๆ แต่อยากถามว่าเขาว่าสนใจสาวโสดบ้างไหมยังไงก็ไม่รู้
ยังดีที่เธอไม่ได้เสียสติถึงขั้นนั้น “อะแฮ่ม! สนใจสมัครเข้ากิลด์ไหมคะ ถ้าผลงานระดับแรงค์ A ขึ้นไปละก็ สวัสดิการกิลด์เราดีมากๆ เลยค่ะ”
“ข้าแค่มาพักร้อนเท่านั้น ไม่สิ ข้ามาเพื่อการลงทุนน่ะ”
หญิงสาวอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “คงไม่ได้คิดจะสร้างกิลด์หรอกนะคะ ในบีทซ์นีก็ปาไปเจ็ดกิลด์แล้ว”
ฮาแบ็คส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงแม้ว่าคลังสมบัติเพียงส่วนเดียวของเขาจะสามารถเอามาสร้างกิลด์หนึ่งกิลด์ได้สบายๆ แต่ปัจจัยดำเนินงานจุกจิกเกินกว่าจะทำคนเดียว
เมื่อหมดธุระเขาก็ออกจากกิลด์ผจญภัยแห่งนั้น ประตูด้านนอกมีเมอร์ลินยืนรออยู่ เขาไม่พูดอะไร เดินตามสาวใช้ไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งถึงลานจัตุรัส บริเวณส่วนหนึ่งของลานเป็นการทดสอบระดับแรงค์ ทว่าอีกด้านหนึ่ง ท่ามกลางความสนใจของผู้คน มีร่างของ เอเดน ฟิลว์ อยู่กลางวง กำลังเข้าปะทะกับใครบางคนอยู่ โดยผู้เป็นพ่อแม่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของลูกชาย สีหน้าของพวกเขาซีดเผือด
“พ่อแม่ของแกอวดดีเหลือเกินนะ พอจนตรอกก็ส่งลูกชายมารับกรรมหรือ ฮ่าๆๆๆ” ชายคนนั้นกำมือขึ้นตรงหน้า กล้ามเนื้อปูดโปนด้วยความโกรธ
“ปะ เป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ฉะ ฉันไม่ได้ตั้งใจหาเรื่องนะ” ผู้เป็นแม่กลอกตาไปมาพยายามหาทางหนี ส่วนเอเดนยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน แววตาของเขามีความหวาดหวั่นชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้กลัวคนตรงหน้า
ฮาแบ็คเป็นหนึ่งในคนที่ยืนมุง เสียงเซ็งแซ่ถึงพฤติกรรมของแม่เด็กและชายฉกรรจ์ทำให้เขารู้ว่า แม่ของเอเดนพูดจาดูถูกชายคนนั้นเพราะเข้าใจว่าเป็นคนจรจัด....จากสภาพก็เหมือนอยู่หรอก น่าเสียดายที่ชายคนนั้นเป็นหนึ่งในนักผจญภัยมือฉมังที่ขึ้นชื่อเรื่องนิสัยไม่น่าคบ แถมยังไม่เคยปรานีเด็ก คนแก่ และสตรีมีครรภ์ ชั่วช้าจริงๆ
ราชาปีศาจที่ด่าคนอื่นว่าชั่วช้าในใจ กอดอกรอดูสถานการณ์อย่างใจเย็น
“เข้าใจผิดแม่แกสิ ไอ้เด็กเวรออกไปซะ ไม่อย่างนั้นหลังจากเลาะฟันแม่แกหมดแล้ว ข้าจะเลาะฟันแกด้วย!”
“ไม่นะ!” ผู้เป็นแม่หวาดผวา ไม่แน่ใจว่า ‘ไม่นะ’ นี่พูดกับใครกันแน่ คู่กรณีหรือว่าลูกชายสุดที่รักของตัวเอง
เอเดนไม่ได้ถอยแม้ว่าดวงตาสีเขียวคู่นั้นจะเต็มไปด้วยความลังเล
หากไม่ติดว่าดันเจี้ยนกำลังจะเกิด ปกติจะต้องมีหน่วยอัศวินลาดตระเวนอยู่แถวนี้แท้ๆ
“เมอร์ลิน เจ้าคิดว่าไง”
เมอร์ลินเหลือบมองเด็กน้อยเพียงแวบเดียว กล่าวอย่างไม่สนใจว่า “เฆี่ยนตีผิดวิธี จากเนื้อดีๆ ก็จะกลายเป็นของเกรดต่ำค่ะ”
“สมกับเป็นเจ้าจริงๆ ” ฮาแบ็คเอ่ยบางอย่างกับสาวใช้ ก่อนที่เมอร์ลินจะแทรกตัวไปข้างหน้า โน้มตัวกระซิบด้วยสุรเสียงปีศาจ ส่งต่อคำพูดของราชาให้แม่ของเด็กพร้อมกับถุงเงินที่ยัดใส่มือหล่อน
“ใช้เงินนี่ช่วยชีวิตลูกของแกสิ”
สตรีคนนั้นเหลือบมองเหรียญกษาปณ์ทองเต็มถุง ดวงตาแห่งความโลภเบิกกว้าง ความปรารถนาล้ำลึกถูกกระตุ้นออกมา เสียงกลืนน้ำลายทำให้ผู้เป็นสามีหันมามอง ผู้เป็นแม่ได้สติ หล่อนไม่ได้ลังเลก่อนจะหยิบเหรียญเทโทล่าห้าเหรียญโยนออกไป “อะ เอานี่แล้วไปซะ ฉะ ฉันชดใช้ให้เท่านี้ก็พอแล้วใช่ไหม”
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงตกตะลึงของผู้คน ชายคนนั้นเหลือบมองเหรียญกษาปณ์ทองด้วยตาวาววับ หัวเราะฮ่าๆ เป็นการใหญ่ “ก็ได้ๆ ถือว่าพวกแกยังรู้จักหาทางออก”
ห้าเทโทล่าก็ทำให้ล่าถอยแล้วรึ? เรื่องบางเรื่องใช้เงินแก้ปัญหาง่ายกว่าจริงๆ นั่นแหละนะ
ฮาแบ็คมองดูครอบครัวฟิลว์หอบเงินของเขาจากไปอย่างรีบเร่ง ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเมอร์ลินสักแวบเสียด้วยซ้ำ ไม่สิ เมื่อครู่เขาสบตากับเด็กคนนั้น ดวงตาสีเขียวที่ทำให้นึกถึงอัญมณีล้ำค่าในอดีต
โง่เขลาโดยแท้ รับเงินจากปีศาจแล้วจะจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร
“มายลอร์ด ดิฉันเชือดทิ้งเลยได้ไหมคะ” เมอร์ลินเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ข้าอยากเดินเล่นอีกหน่อย เจ้าเองก็ซึมซับพฤติกรรมของมนุษย์เสียบ้างเถอะ” ฮาแบ็คลากสาวใช้ออกจากชาวมุง “ก่อนอื่นก็เลิกเรียกข้าว่ามายลอร์ดได้แล้ว ไหน ลองเรียกชื่อข้าซิ”
เมอร์ลินผู้มีสีหน้าเยือกเย็นมาตลอด เบิกตากว้าง เหงื่อแตกพลั่ก “ไม่เอาหรอกค่ะ”
“.....ไหงงั้นเล่า”
“ดิฉันรู้สึกเหมือนว่าถ้าเรียกแล้วอายุจะสั้นค่ะ” เมอร์ลินตอบตามตรง และเมินสีหน้านิ่งอึ้งของผู้เป็นนาย
ลูกน้องหัวแข็งเกิน ไม่ใช่แค่เมอร์ลิน ตอนที่เขาข้ามมิติมาช่วงแรก พยายามขอให้เหล่าบริวารเรียกด้วยชื่อแล้ว แต่อีกฝ่ายทำท่าจะปลิดชีพตัวเองเสียให้ได้ เขาก็เลยล้มเลิก
“ดิฉันขอบังอาจถาม ท่านสนใจเด็กคนนั้นหรือคะ”
“อืม น่าสนใจดีไม่ใช่เหรอ ครอบครัวปลอมๆ นั่นน่ะ” ฮาแบ็คคิดว่าการคาดเดาของตนถูกต้อง หากเด็กน้อยถูกเลี้ยงดูมาดีจริง อายุเพียงเท่านั้นควรเขียนชื่อตัวเองอย่างคล่องแคล่วได้แล้ว แต่ลายมือของ ‘เอเดน’ ปราศจากความมั่นใจโดยสิ้นเชิง เขาคิดว่านั่นไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง “เจ้าก็ได้กลิ่นใช่ไหม
“ค่ะ มีกลิ่นของโลหะผสมเลือดออกมาจากเด็กคนนั้น แล้วก็กลิ่นของยารักษาแผลคุณภาพต่ำ”
ซ่อนบาดแผลไว้ใต้เสื้อผ้า แล้วหาผลประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว
“น่ารังเกียจจริงๆ” ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกไหน
เมอร์ลินไม่มีความเห็น สำหรับมนุษย์ มักใช้คำว่า ‘ปีศาจ’ เปรียบเปรยกับสิ่งที่น่ารังเกียจแบบนี้
พวกเขาเดินเตร็ดเตร่ไปรอบเมืองอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ฮาแบ็คไม่ได้รู้สึกถึงชีวิตแบบปกติสุขของคนธรรมดามาเกือบสิบปีจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ แม้จะยังหาความสุขจากการกินไม่ได้ แต่ได้อาบแสงแดดรวมกับผู้คนอื่นๆ บ้างก็ไม่เลวแล้ว
เมื่อใกล้พลบค่ำ ฮาแบ็คไม่ได้เลือกหาห้องพัก เขาเดินตามสาวใช้ไปที่บ้านขนาดกลางหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวในเขตที่ไม่ค่อยมีคน บ้านที่ใกล้ที่สุดเป็นบ้านร้างสภาพซอมซ่อ มองเผินๆ ในบริเวณนี้คงมีเพียงหลังเดียวที่ดูดีที่สุด ฮาแบ็คไม่ได้ทำตามกฎมารยาทในการเยี่ยมเยือนผู้อื่นแต่อย่างใด ถือวิสาสะกระชากบานประตูไม้จนหักคามือ ภายในโถงชั้นล่างของบ้านทั้งรกและสกปรก เมอร์ลินใช้เท้าเขี่ยซากของใช้เกะกะออกจากพื้น ก่อนจะวางสัมภาระลง เสียงของประตูที่พังทลายทำให้สองสามีภรรยาเร่งลงจากชั้นสองออกมาดู เมื่อผู้เป็นภรรยาเห็นหน้าของเมอร์ลิน หล่อนก็หน้าซีดตัวสั่น
“พะ พวกคุณเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในบ้านของเรา!”
ฮาแบ็คไม่ตอบ เขาเดินผ่านทั้งสองไปตามกลิ่นเลือดโชยออกมา ผู้เป็นสามีตระกูลฟิลว์ใช้สองมือจะคว้าจับไหล่ของเขา ทว่าเมอร์ลินที่เคลื่อนตัวออกอย่างไร้เสียง หยุดไว้ในเสี้ยววิ ใบหน้าของสาวใช้ถมึงทึงขึ้นทันใด กระดูกของชายผู้นั้นก็ลั่นดังกร๊อบ
“อ๊ากก!!” เสียงร้องโหยหวนไม่อาจดังผ่านกำแพงที่มองไม่เห็นออกไปข้างนอก ผู้เป็นภรรยาตกใจจนเข่าอ่อน หล่อนพยายามอธิบายเรื่องเงินเมื่อตอนกลางวัน เพราะคิดว่าพวกเขาจะมาเอามันคืน
“เงียบๆ หน่อย” ราชาปีศาจออกคำสั่ง ทั้งสองหุบปากฉับพลันด้วยพลังเวทโดยกำเนิดที่ปล่อยมาพันธนาการไว้
ฮาแบ็คตามไปถึงห้องใต้หลังคาที่แสนจะสกปรกและมืดมิด กลิ่นอับชื้นของเชื้อรา ผสมกับกลิ่นเลือดและสนิมจากโลหะทำให้เขาเบ้ปาก ราชาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ลูกไฟสีร้อนแรงทำให้ภายในห้องสว่างขึ้น เขาก้มมองดูร่างไร้เรี่ยวแรงเปรอะเปื้อนด้วยเลือดจากบาดแผล ร่างกายไม่ได้ซูบผอมก็จริง แต่ร่องรอยจากอาวุธประเภทแส้นับไม่ถ้วนถูกแต่งเติมบนผิวหนังใต้ร่มผ้าจนกลายเป็นแผลเหวอะ ร่างของเด็กน้อยถูกขึงบนเตียงด้วยโซ่ตรวนของผู้ใหญ่ ไม่มีกลิ่นของน้ำและอาหาร ไอเย็นยามดึกทำให้ริมฝีปากเล็กเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง
ดวงตาสีเขียวค่อยๆ เปิดขึ้น สีหน้าอ่อนโรยไม่แสดงความเจ็บปวด ครู่หนึ่งที่เด็กน้อยประหลาดใจ จากนั้นก็เมินเฉยราวกับชินชาต่อสิ่งที่เกิด เสียงแหบแห้งดังขึ้นแผ่วเบา “หมดสัญญาแล้วเหรอ....” ดวงตาหม่นแสงเลื่อนลอยขึ้นมองเพดาน ปราศจากความรู้สึกราวกับซากศพ
สำหรับราชาปีศาจ หัวใจของเขาด้านชากับภาพเหล่านี้แล้ว แต่ดวงวิญญาณต่างโลกของฮาแบ็คคือวิญญาณของปุถุชนทั่วไป ต่อให้หลอมรวมกับหัวใจของปีศาจเขาไม่อาจปฏิเสธอารมณ์ที่มีได้
ฮาแบ็คโกรธจนหัวเราะ
“มีคนอยู่สองประเภทที่ข้าเกลียดเข้าไส้ หนึ่งพวกที่ทำลายชื่อเสียงของคนอื่นโดยมิชอบ สองพวกค้าทาส”
พลันเมอร์ลินปรากฏตัวขึ้นจากเงาของเขา วางเอกสารที่มีรายชื่อและตราประทับของสองสามีภรรยาฟิลว์ลงบนมือ ในนั้นคือ ‘หนังสือสัญญาเช่า-ยืมมนุษย์’ ที่ระบุเวลาไว้สองปี และชื่อของนายหน้าค้าทาส รันฟามิน
“จากที่ระบุ อาทิตย์หน้าเด็กคนนี้ก็จะต้องถูกส่งคืนค่ะ”
‘ซิลิ’ ชื่อสองพยางค์เขียนด้วยภาษากรีม์ ซึ่งเป็นภาษาที่ค่อนข้างเก่าและมีไม่กี่เผ่าที่ยังใช้อยู่ เด็กคนนี้คงมาจากดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ หากไม่ใช่มอร์โรไทก็คงเป็นอวาลัน ไม่ว่ากลายเป็นทาสด้วยเหตุผลใด เขาก็จากบ้านมาไกลมาก
หมายความว่าครอบครัวฟิลว์ซื้อเด็กน้อยมาใช้งานตั้งแต่ปีก่อน โดยมอบสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ให้....ยอมรับว่าแย่กว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก เอาเป็นว่าโชคดีจริงๆ ที่คนพวกนั้นเป็นแค่สวะ
เขาเกือบจะรู้สึกผิดที่พังประตูเข้ามาแน่ะ
ฮาแบ็คย่างเท้านุ่มนวลเข้าหาเด็กน้อย เอื้อมมือปิดดวงตาที่อิดโรยและแดงช้ำจากการอดกลั้นต่อความเจ็บปวด “หากซิลิคือนามของเจ้าก็จงหลับเสีย ชีวิตของเจ้าข้าซื้อไว้แล้ว”
เพียงครู่เดียวลมหายใจของซิลิเริ่มสม่ำเสมอ เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว เขาหยิบโพชั่น[2] ระดับสูงที่แวะซื้อก่อนมา หักหลอดแก้วปล่อยให้ของเหลวที่เขียวอ่อนรักษาบาดแผล “โพชั่นฟื้นฟูที่ดีที่สุด แย่กว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อนเสียอีก”
“ช่วยไม่ได้นี่คะ นักผสมเวทที่ทำโพชั่นฟื้นฟูสมบูรณ์เสียชีวิตก่อนถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ปัจจุบันก็เลยใช้งานได้ประมาณเก้าสิบสามเปอร์เซ็นต์”
“ไม่เอาไหนเลย ข้าว่าจะไม่บ่นแล้วเชียว” ราชาให้เมอร์ลินปลดโซ่ตรวนแล้วย้ายเด็กน้อยลงไปข้างล่าง จากนั้นปล่อยตัวเองผลุบลงไปในเงาบนพื้น พริบตาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของสองสามีภรรยา ซึ่งอยู่สภาพเสียขวัญถึงขีดสุด ฮาแบ็คสัมผัสความทรงจำระยะสั้นของทั้งสองคน ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมชวนให้อาเจียนทั้งสิ้น
“เอายังไงดี ข้าไม่มีรสนิยมทุบตีเพื่อการสั่งสอนเสียด้วย จะแยกชิ้นส่วนที่นี่ก็คงไม่ได้เหมือนกัน เช่นนั้นมาทำให้ถูกต้องตามวิถีผู้มีอารยธรรมดีไหม” ฮาแบ็คแสยะยิ้ม “ข้าหมายถึงอารยธรรมของปีศาจนะ”
ผู้รับเคราะห์ไม่สามารถออกเสียงได้ ดวงตาของพวกเขาจึงเปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัวจนแทบปริแตก ราชาปีศาจสร้างหนังสือซื้อขายขึ้นมาหนึ่งฉบับ เพื่อยกที่ดินและบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของซิลิ เด็กน้อยในการดูแลของตน หลังทำให้พวกเขาเซ็นยินยอมด้วยเลือด ก็เอ่ยวจนะเวทว่า “จงเดินไปและอย่าหยุดจนกว่าจะถึงภูเขาที่สูงที่สุดแห่งเดลการ์จ”
เดลการ์จถือเป็นหุบเขามรณะอีกแห่งที่กั้นระหว่างสามดินแดน คานส์มารายา อิเซียริท และออริเทอซอล ไม่ใช่ที่ที่สามัญชนคนไร้เวทจะเข้าไปได้ อัตราการเสียชีวิตของผู้กล้าในเดลการ์จสูงเป็นอันดับต้นๆ เสียด้วยซ้ำ ฮาแบ็คมองดูทั้งสองร่างที่เริ่มออกเดินไปตัวเปล่าอย่างไม่อาจควบคุม วจนะปีศาจจัดอยู่ในประเภทคำสาป หากจะถอนมันต้องทำให้เขาคืนคำ ไม่ก็ต้องอาศัยหากหักล้างจากพลังเวทขั้นสูงของแม่มดและนักเวท หากโชคดีก็จะได้รับความช่วยเหลือก่อนถึงเดลการ์จ แต่ถ้าไม่ ก็คงได้ตายสถานเดียว
อันตัวข้าให้โอกาสแล้วนะ
ฮาแบ็คพยักหน้าชื่นชมตัวเองในใจ ส่วนเมอร์ลินที่ซ่อมแซมประตูบ้าน รู้สึกว่าวิธีของราชาฮาแบ็คคือการเปลี่ยนจากฆ่าให้ตายรวดเดียวเป็นค่อยๆ ทรมานจนตายนั้นเหี้ยมโหดสมกับที่มายลอร์ดยิ่งนัก
วจนะปีศาจมีเพียงราชาที่ใช้ได้ ต่อให้เป็นนักเวท นักบวช หรือแม่มด ก็ใช่ว่าจะสามารถแก้ไขได้เสียเมื่อไหร่
“เจ้าไม่ต้องซ่อมประตูหรอก ข้าจะเปลี่ยนรูปแบบใหม่ทั้งหมด” ฮาแบ็คใช้เวลาทั้งวันขบคิดเรื่องการสร้างตัวตนใหม่ และมีอยู่อาชีพหนึ่งที่ตรงเป้าหมายของเขาพอดี “ทำที่นี่ให้เป็นร้านไอเท็มก็แล้วกัน สถานที่ที่เหล่าผู้กล้าและนักผจญภัยจะต้องแวะเวียนมาใช้บริการไปตลอดชีวิต ไม่มีอะไรเหมาะเท่านี้แล้ว”
“รับทราบมายลอร์ด” เมอร์ลินถอยกายออกมาก่อนจะเอ่ยข้อมูลที่ทำให้เขาคิ้วขมวดว่า “ในเมืองบีทซ์นี มีร้านไอเท็มและโพชั่นราวๆ สิบเจ็ดร้าน ร้านใหญ่ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่สามร้านและหนึ่งในนั้นเป็นร้านประจำราชวงศ์นอร์ทเธียค่ะ”
“อืม....ข้ารู้แล้ว”
“มายลอร์ด ขออภัยที่ต้องเอ่ยเช่นนี้ แต่การแปลงธาตุเป็นวัตถุขนาดใหญ่จะทำให้วิหารโยดันตรวจพบพลังเวทของท่านได้ค่ะ”
ฮาแบ็คชะงัก เขาอยู่ในสถานะที่กระดิกนิ้วเดียวก็ทำให้ทะเลสาบกลายเป็นทุ่งหญ้ามานาน จนชักหวั่นใจเรื่องการใช้ชีวิตแบบคนปกติเสียแล้ว “หรือข้าควรเรียกใช้บริการพวกโนมดี?”
สำหรับออร์บิส โนมคือสุดยอดนักสร้างมากปัญญา ผู้มีค่าตัวสูงลิบและขึ้นชื่อเรื่องความเล่นตัวในการเลือกลูกค้า เป็นเผ่าภูตแคระที่ไม่ขึ้นตรงต่อใครหรืออะไรทั้งนั้น ใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตไปกับการออกแบบสรรค์สร้างสถาปัตยกรรมตามรสนิยมตัวเอง เป็นผู้ผลิตจอมเอาแต่ใจโดยแท้จริง “ปราสาทวาซซาเรียก็ได้โนมเฒ่าสร้างให้ ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
“สูญสลายไปแล้วค่ะ” ปราสาทอายุกว่าห้าพันปี ผ่านสงครามมาหลายต่อหลายครั้งก็ยังสมบูรณ์ ถูกบูรณะเพียงครั้งเดียวโดยโนมตนเดิมเมื่อหลายร้อยปีก่อน ปัจจุบันมีเพียงสาวใช้ปีศาจค่อยดูแล
เอาเถอะ ถึงจะน่าเสียดายแต่รสนิยมของโนมเฒ่าค่อนข้างมืดมนตามสไตล์แดนปีศาจ เอามาใช้กับที่คงไม่เหมาะ ต้องพึ่งพาเหล่าโนมประจำเมืองแทนเสียแล้ว
ฮาแบ็คใช้เหรียญตราพันธะที่หยิบติดมาจากคลังเรียกโนมที่อาศัยในเมืองมาที่บ้าน ทันทีที่เหล่าภูตแคระนับสิบตนมาถึง ดวงตาเล็กๆ ใต้หมวกสีแดงก็เบิกกว้าง
“สวรรค์! ราชาปีศาจ!”
ตราพันธะจ้างงานของโนมขึ้นอยู่กับความต้องการว่าจะมอบให้ใคร มนุษย์ที่มีมันย่อมเป็นผู้มีชาติตระกูลร่ำรวยหรือมีอิทธิพลอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ก็อาจจะเป็นที่สนใจของโนมเฉยๆ ก็ได้ ส่วนตราพันธะที่อยู่ในมือของราชาปีศาจเป็นของผู้เฒ่าโนมแดนเหนือ ดังนั้นเหล่าโนมในเมืองจึงรู้สถานะของฮาแบ็คแทบจะทันที
ขาเล็กๆ ของโนมอยู่ไม่สุข ตามประวัติการณ์ ราชาปีศาจไม่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกโนมมาก่อน เมื่อใดที่มีสงคราม โนมส่วนใหญ่จะสามารถอพยพได้อย่างราบรื่น ผ่านเส้นทางใต้ดินลึกเข้าไปหลบในดันเจี้ยน ซึ่งหลายปีมานี้พวกเขาไม่ได้เห็นราชาปีศาจปรากฏกายนอกคานส์มารายาจึงจำไม่ได้แล้วว่าราชาปีศาจปัจจุบันมีอุปนิสัยแบบไหน “หรือที่นี่กำลังจะมีสงครามรึ เหล่ามนุษย์หน้าโง่ยั่วโมโหท่านหรืออย่างไร!”
“เข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่เปลี่ยนที่นี่เป็นร้านไอเท็มใหม่เท่านั้น อัตราการก่อสร้างของเมืองบีทซ์นีลดลงมาระยะหนึ่งแล้ว พวกเจ้าก็อยากจะเริ่มงานใหม่เร็วๆ ไม่ใช่หรือ”
“องค์ราชาล้อเล่นแล้ว ถึงตอนนี้พวกข้าจะว่างงาน แต่คงทำแบบปราสาทวาซซาเรียให้ไม่ได้หรอก”
หมับ!
เมอร์ลินจับหัวของโนมตัวนั้นยกขึ้นสูง คล้ายว่าหากเขาปฏิเสธอีกคำเดียว หล่อนจะบีบหัวนั่นให้แหลกเหมือนบีบแตง
“โอ๊ยๆๆ ข้าคัดค้านการใช้ความรุนแรงนะ!!” แขนขาของโนมปัดป้ายไปมาในอากาศ เหล่าโนมตัวอื่นก็กรู่เข้ามาใช้มือเล็กๆ แต่เรี่ยวแรงมหาศาลทุบขาของสาวใช้รัวๆ มองดูแล้วเป็นภาพที่ชวนขบขัน แต่หากเป็นคนปกติคงขำไม่ออกเพราะกระดูกขาน่าจะแหลกละเอียดไปแล้ว
“ปล่อยเถอะเมอร์ลิน” ฮาแบ็ครู้สึกระอาใจ “ข้าอยากได้แบบกลมกลืนไปกับเมือง เอาใหญ่ๆ หน่อย รูปแบบยังไงตามใจพวกเจ้า ส่วนเรื่องค่าตอบแทนข้าให้เป็นเทโทล่าทั้งหมด”
คำว่า ‘ตามใจเจ้า’ ทำให้ดวงตาของเหล่าโนมวาววับ จับกลุ่มสุ่มหัวกันครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้ในที่สุด “อะแฮ่ม! องค์ราชาพวกเราไม่อยากได้ทอง แต่อยากได้อุปกรณ์ใหม่”
“อุปกรณ์? หมายถึงอุปกรณ์ก่อสร้างหรือ?”
เหล่าโนมพยักหน้าโดยพร้อมเพรียง “ท่านก็รู้ว่าภรรยาของพวกข้าให้กำเนิดทารกพร้อมๆ กัน ปกติอุปกรณ์ก่อสร้างจะได้จากช่างมากฝีมือของอวาลัน แต่สิบปีก่อนมีสงครามล้างบางอำนาจเก่า ช่างฝีมือดีโดนลูกหลงล้มตายไปมากมาย ตอนนี้เหล่าลูกๆ ของเราขาดแคลนอุปกรณ์ยิ่งนัก”
“ทำไมไม่ขอจากกษัตริย์ของมนุษย์เล่า”
เหล่าโนมถอนหายใจออกมาพร้อมกัน “ถ้าให้พูดตามตรง เหล่ามนุษย์ยุคนี้น่ารำคาญเกินไป ให้ข้าปรับนู้นปรับนี่สุดท้ายก็ไม่เอา พอถึงเวลาก็เร่งงานกันหน้าด้านๆ หากไม่มีพันธะจ้างงาน ข้าจะเอาค้อนแห่งโนมตอกร่างพวกมันลงในเสา เฮอะ! แต่ที่สำคัญกว่านั้นองค์ราชา คุณภาพของอุปกรณ์เมืองนี้ไม่ดีเท่าอวาลัน ข้าอยากได้ช่างฝีมือจากที่นั่น”
อาแบ็คฟังเหล่าโนมคร่ำครวญอย่างรำคาญใจ “งั้นเจ้าก็ย้ายไปอวาลันสิ”
“พวกเขามีข้อพิพาทกันภายในมานานแล้ว ตั้งแต่มีข่าวว่าช่างฝีมือถูกขับไล่เพราะส่งอาวุธด้อยประสิทธิภาพให้กองทัพ พวกโนมก็แทบจะย้ายออกจากอวาลันกันหมด ฮึ่มๆๆ ข้าไม่สน! ข้าแค่อยากได้อุปกรณ์จากช่างฝีมือดีเท่านั้น”
ยุ่งยากจริงแท้!
แต่ถึงอย่างนั้นฮาแบ็คก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างฝีมือคือส่วนประกอบสำคัญในการผลักดันความสามารถของผู้กล้า อุปกรณ์สวมใส่ที่ดีเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด “ก็ได้”
เหล่าโนมได้ยินดังนั้นก็แปะมือต่อกันอย่างดีอกดีใจ “ขอบคุณองค์ราชาที่เข้าใจ ท่านอยากให้เราเริ่มงานเมื่อไหร่ก็ว่ามาเลย”
“เริ่มตอนนี้แหละ ให้เสร็จในคืนนี้จะดีมาก”
“.....”
จริงอยู่ที่ความสามารถของโนมคือความเร็วในการก่อสร้าง โนมสิบตนสามารถสร้างคฤหาสน์ได้ในหนึ่งวัน แต่นี่แบบยังไม่ทันได้เริ่มเขียน ก็จะเอาภายในคืนเดียวรึ?
องค์ราชาก็บัดซบเหมือนกันนี่หว่า!
บทแถม
โนมผู้ออกแบบ: ประตูโค้งมน หรือทรงเหลี่ยม
ราชาปีศาจ: ยังไงก็ได้
โนมผู้ออกแบบ: ห้องครัวใหญ่ๆ เตาผิงสองเตา?
ราชาปีศาจ: นั่นไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร
โนมผู้ออกแบบ: ห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ห้องเล็กสองห้อง ใต้หลังคาหนึ่ง?
ราชาปีศาจ: นั่นก็ไม่ค่อยจำเป็นเหมือนกัน
โนมผู้ออกแบบ: งั้นห้องน้ำล่ะ
ราชาปีศาจ: มีอ่างใหญ่ๆ ก็พอแล้ว
สาวใช้: มายลอร์ด พวกเราลืมใครไปหรือเปล่าคะ
ราชาปีศาจ: ......ขอโทษ เอาทั้งหมดที่ว่ามานั่นแหละ
Comments (0)