6 ตอน เลขที่ 6: ส้มจี๊ด - คัคนางค์ โชติช่วงรัตติกาล
โดย ลูกกกระดิ่งแก้ว
ตอนที่ 6
เลขที่ 6: ส้มจี๊ด - คัคนางค์ โชติช่วงรัตติกาล
(คัก-คะ-นาง)
***Warning: ตอนนี้มีการถ่ายทอดแบบผิด ๆ เกี่ยวกับเจตคติของเด็กห้องคิงและห้องบ๊วย กรุณาอ่านโดยใช้วิจารณญาณ และโปรดอ่านคำชี้แจงของไรต์ด้านล่างด้วยนะคะ***
แผนการของพวกเราเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนเช้า
ในระหว่างการเดินจากสนามหน้าเสาธงเข้าอาคารเรียน ในพื้นที่มีแค่ห้อง ม.๖/๕ เพียงห้องเดียว เพราะทุกคนต้องนั่งพักก่อนจะลากสังขารมาด้วยความอ่อนเพลีย จังหวะนั้น เพียงฉันหันไปสบตาโกโก้ก็เป็นอันรู้ใจ
พวกเรานั่งคุยข้างกันในช่วงเวลาก่อนเริ่มเรียนคาบแรก
โกโก้เดาะลิ้น “เจ๊แว่นสังหารทำกับพวกเราไว้แสบขนาดนี้ ให้ปล่อยไปเลยก็คงไม่ได้”
ฉันปรายตามองมัน งานนี้แม้เด็กอนุบาลยังรู้ทันว่าหมอนี่มันแค่อยากเล่นสนุก
แต่ก็นะ ถ้าฉันไม่เล่นด้วยก็น่าเสียดายแย่สิ
“คงมีแผนการแก้แค้นดี ๆ แล้วสินะ?” ฉันถาม
โกโก้ยิ้ม รอยยิ้มของเขาเหมือนเด็กเพิ่งคิดแผนในร้ายในการขโมยอมยิ้มออกมาจากร้านสะดวกซื้อได้ “แน่นอนว่ามี แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเล่นด้วยมั้ย”
ฉันยักคิ้ว “นายถามแบบนี้…ฉันมีลางสังหรณ์ว่ามันจะต้องเป็นแผนที่โกลาหลไปทั้งโรงเรียนแน่ ๆ”
โกโก้มองฉันตาซื่อ “พวกเราเคยมีแผนที่ไม่โกลาหลด้วยเหรอ”
ฉันหัวเราะ “มีแต่โกลาหลมาก กับโกลาหลที่สุดเท่านั้นแหละ!”
พวกเรายิ้มและแปะมือกัน
“วันนี้ฉันมีแผนจะให้ของปลอบใจกับเพื่อน ๆ …เป็นบุฟเฟ่ต์” โกโก้เสนอ
“บุฟเฟ่ต์อาหารกลางวัน?” ฉันถาม “จะเอามาจากไหน จิ๊กอาหารมาจากส่วนของห้องอื่นเหรอ”
“มากกว่านั้นอีก” โกโก้ฉีกยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ที่สุดในโลกออกมา “งานนี้พวกเราจะเล่นใหญ่…เอาให้พวกผู้บริหารโรงเรียนต้องคิดทบทวนเรื่องที่ให้ห้องเราได้กินข้าวห้องหลังสุดไปเลย!”
ในคาบสังคมศึกษาและการอวยผู้นำอันน่าเบื่อ…ฉันกับโกโก้โดดเรียน
เราสองคนเบื่อมากกับการนั่งท่องโครงการความดีของผู้นำห้าร้อยอย่าง ธรรมมะของชาวไทรที่พึงมีสิบประการ ความยิ่งใหญ่ของเมืองไทรในสมัยก่อนที่ชาติไหนก็ไม่อาจเทียบ หรืออะไรราว ๆ นั้น
ความจริงแล้วตอนมัธยมต้นฉันกับโกโก้เคยอยู่ห้องคิง กฎของการได้คงอยู่ห้องคิงต่อไป คือได้เกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ศูนย์ หรือก็คือต้องได้เกรดสี่ทุกวิชา ถ้าทำได้แบบนั้นล่ะก็จะได้รับอภิสิทธิ์ทุกอย่าง ทั้งการเรียนที่ชั้นบนสุดของอาคารเรียน แอร์เย็น ๆ ห้องสมุดสุดล้ำ และครูบาอาจารย์ที่ชื่นชมประคบประหงม
ติดอยู่อย่างเดียวจริง ๆ คือห้ามขึ้นลิฟต์ เพราะลิฟต์สงวนสิทธิ์ไว้แค่ให้พวกครูใช้ เด็กห้ามแตะต้อง
ในทางตรงกันข้าม ในการตกลงมาห้องบ๊วยนั้นมีกฎเกณฑ์ง่ายมาก…นั่นก็คือได้เกรดต่ำกว่าสองจุดห้าแม้เพียงวิชาเดียวก็ ตุ้บบบ
แต่ก็มีบางกรณีที่ตกลงมาห้องบ๊วยเพราะพฤติกรรมไม่เหมาะสม ประเภท ‘ก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่ ไม่เคารพครูบาอาจารย์’ อยู่เหมือนกัน ในกรณีนั้น มีคุณรองหัวหน้าห้องขนมปังอยู่หนึ่งคน
ส่วนฉันกับโกโก้เป็นกรณีไหนน่ะเหรอ?
ก็ทั้งสองอย่างเลยน่ะสิ!
พวกเราถูกจับได้ว่าแอบขโมยเฉลยข้อสอบวิชาสังคมศึกษาออกมาจากระบบคอมพิวเตอร์ แถมยังใจดีแจกจ่ายให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่รู้จัก ผลสุดท้ายคือโดนนักเรียนผู้สัตย์ซื่อหักหลัง เอาไปฟ้องครู ผลคือโดนปรับเกรดศูนย์ในรายวิชานั้น จนต้องสอบซ่อมจ้าละหวั่นวุ่นวาย จนเกือบไม่ได้รับสิทธิเป็นนักปราบมารตอนขึ้นมัธยมปลาย
พวกเราโดนทำโทษในความผิดสองกระทง หนึ่งคือแอบทุจริตโกงข้อสอบโดยมิชอบ สองคืออาฆาตมาดร้ายต่อครูบาอาจารย์ผู้สูงส่ง (พวกเราเคยเอาฝูงลูกแมลงสาบไปใส่ในกางเกงของครูที่ให้เกรดศูนย์พวกเราน่ะ)
พวกเรานั่งอยู่หน้าบันไดชั้นใต้ดินที่จะพาเราไปสู่ด้านบน จ้องมองแสงแดดยามเช้าส่องผ่านช่องสี่เหลี่ยมเหนือบันไดเป็นลำ…มันให้ความรู้สึกราวกับว่าด้านบนนั้นคือสรวงสวรรค์อันสว่างไสว สถานที่ซึ่งพวกเราห้องบ๊วยอันมืดทึบไม่มีสิทธิเข้าถึง
จ้องได้สักพัก โกโก้ก็พูดขึ้นว่า “ใกล้เวลาแล้วล่ะ…พวกเรามาทวนแผนอีกครั้งกันเถอะ”
ฉันลุกขึ้นยืน รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อย บิดขี้เกียจพอเป็นพิธีสองสามครั้ง “ฉันอยากเล่นสนุกหน่อย…วันนี้เปลี่ยนแผน เริ่มจากการไปเปลี่ยนชุดก่อนก็แล้วกัน”
โกโก้นิ่งไปพักหนึ่ง “เปลี่ยนชุด…เป็นชุดพละน่ะเหรอ”
ฉันยกยิ้ม “ชุดสุดเซ็กซี่ เสื้อซีทรูเปิดไหล่สีขาว กับกางเกงยีนขาสั้นยังไงล่ะ”
“…หา!?” โกโก้ทำหน้าเหมือนกำลังเห็นปลาปีนขึ้นต้นไม้ คือเห็นในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปไม่ได้ “แต่ชุดผู้หญิงพวกนั้นโดนเผาไปหมดแล้วนี่…เขาบอกว่าเป็นชุดโป๊เปลือย ไม่เหมาะกับวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทรนี่”
“โดนเผาได้ก็เย็บใหม่ได้!” ฉันตอบเสียงใส บิดไหล่ไปมา “เอาล่ะ เรามาเปิดปาร์ตี้เสื้อซีทรูกันเถอะ!”
…………………
ท่ามกลางอากาศประเทศไทรอันแสนอบอุ่นเกินลิมิตไปสักหน่อย แค่พอให้ผิวไหม้เป็นรอยด่างดำน้อย ๆ เท่านั้น เหล่าพ่อครัวแม่ครัวกำลังทำอาหารอยู่ในโรงอาหารอย่างเริงร่า ร้องเพลงสรวญเฮฮาไปตามประสา แต่ประสาที่ว่านี้ หมายถึงจังหวะเพลงและคำร้องที่ใช้ในการด่ากัน รวมถึงกระทะหม้อกะละมังที่ฟาดฟันกันไปมา ร่างกายของพวกเขาชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อกาฬ ส่องระยิบระยับพลิ้วไหวราวใบไม้ยามต้องสายฝน สาดกระเซ็นไปมา หล่นลงหม้อแกงดูท่าว่าน่าจะทำให้อาหารอร่อยขึ้นไม่เบา
ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมด ได้มีการปรากฏของหญิงสาวผู้งดงามตระการตรา ในชุดเสื้อซีทรูเปิดไหล่หรูหรากับกางเกงยีนขาสั้นน่าดูชม ทำเอาเหล่าคนครัวถึงกับชะงักค้าง มองภาพเจ้าของเรือนร่างอรชรราวต้องมนตร์สะกด เห็นเรือนผมสีดำตรงยาวถูกมัดรวบสูง ปลายผมยาวคลอเคลียแผ่นหลังนวลเนียนน่าสัมผัส
…และแล้วหญิงสาวผู้งดงามก็สับเท้าวิ่งหนี ด้วยสกิลตีนผีที่เสือชีตาร์ยังต้องอาย
“จับมัน!!!” แม่ครัวคนหนึ่งโวย “ใส่เสื้อผ้าทุเรศ ๆ ผิดระเบียบแบบนี้ได้ไง!”
พ่อครัวกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะยกขโยงวิ่งตามหญิงสาวผู้นั้นไป ทิ้งไว้เพียงแม่ครัวสองสามคนในห้องครัว ที่มองตามขบวนหญิงสาวผิดระเบียบด้วยดวงตาอันลุกโชน
และ…
“ไฟไหม้ม้ม้ม้!!!” แว่วได้ยินเสียงของนักเรียนคนหนึ่งตะโกนลั่น
“หา! ไฟไหม้!?”
ฟู่ววว!!!!
ไม่ทันจังหวะขาดคำ ก็บังเกิดกลุ่มควันดำขโมงพวยพุ่งมาจากโกดังเก็บของไม่ไกลโรงอาหารนัก
“ว้าย! ไปดับไฟกันก่อนเร็ว!!”
แม่ครัวที่เหลืออยู่เพียงสองสามคนพุ่งไปทางต้นควันทันที ในบริเวณโรงอาหารเหลือเพียงเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนแอบซ่อนอยู่หลังโต๊ะ วินาทีต่อมาเขาก็จัดการเข็นรถเข็นบรรจุหม้อเปล่าและโถข้าวเปล่าออกมา
บนโต๊ะครัวตอนนี้มีหม้อแกงหม้อใหญ่ทั้งหมดสี่หม้อ หม้อหุงข้าวอีกห้าหม้อ โกโก้จัดการแบ่งเทแกงของห้องครัวใส่หม้อบนรถเข็นด้วยความเร็วแสง จากนั้นตักข้าวใส่โถข้าวอีกสี่โถเต็ม ๆ เหลือเฟือสำหรับ ม.๖/๕ ทั้งห้อง จากนั้นก็หย่อนยาลูกกลอนเม็ดสีน้ำตาลเข้มลงไป…ในหม้อแกงและหม้อหุงข้าวทุกหม้อบนโต๊ะครัวอย่างเท่าเทียม
เขารีบเข็นรถเข็นไปหลบหลังต้นไม้ไม่ไกลโรงอาหารเร็วไว ในวินาทีต่อมา ส้มจี๊ดก็วิ่งกลับโรงอาหารด้วยชุดเครื่องแบบนักเรียนถูกระเบียบทุกประการ และวิ่งไปสมทบกับเขา ณ หลังต้นไม้เดียวกัน
…………………
“เป็นไงบ้าง” ฉันถามโกโก้
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี” โกโก้ตอบ เขาหอบเหนื่อยจนต้องทรุดลงนั่งพื้น แขนข้างหนึ่งยกขึ้นจับราวรถเข็นอย่างอ่อนแรง “แต่คราวหลังไม่ทำแล้ว…เหนื่อยมาก!”
ฉันกอดอก เลิกคิ้ว “จะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว?”
“จะไม่ปล่อยพวกคนครัวให้รอดแบบนี้อีกแล้ว!” โกโก้บอก “ครั้งหน้าวางยาใส่อาหารคนครัวด้วยแล้วกันนะส้มจี๊ด!”
ฉันหัวเราะ ทำท่าตะเบ๊ะ “รับแซ่บค่า!”
พวกเรายืนรอนั่งรอกันอยู่ตรงนั้น ค่อย ๆ มองพวกนักเรียนห้องต้น ๆ ใช้อภิสิทธิในการได้เข้าโรงอาหารเป็นกลุ่มแรก ๆ ไปเรื่อย ๆ …เรียงจากห้องหนึ่ง สอง และสาม พวกเขาได้รับการปฏิบัติตัวอย่างดีจากคนครัว และได้รับการดูแลอย่างดีจากครูบาอาจารย์ ไม่ได้รับถูกดูถูกดูแคลน ตะคอกเอ็ดตะโรใส่เหมือนห้องห้าอย่างพวกเรา
“ครั้งหนึ่งพวกเราเองก็เคยอยู่จุดนั้นเนอะ” โกโก้พูดขึ้น “ตอนมอต้นที่พวกเรายังอยู่ห้องหนึ่ง”
“อื้ม เป็นเด็กเก่ง เป็นเด็กมีศักดิ์ศรี เป็นความภาคภูมิใจของโรงเรียน…” ฉันตอบ มองภาพเพื่อนร่วมโรงเรียนได้รับการปฏิบัติที่ดีอย่างเลื่อนลอย “ช่วงมอปลายที่เราใช้ชีวิตในห้องบ๊วยมา ฉันเกือบจะลืมความรู้สึกพวกนั้นไปแล้วนะเนี่ย”
“แต่ข้อดีก็คืออย่างน้อยเราก็มองโลกกว้างขึ้นเนอะ” โกโก้ตอบ “เมื่อก่อนถ้ามีใครสักคนบอกฉันว่าวันหนึ่งฉันต้องตกลงมาห้องบ๊วย ฉันคงอัดหน้ามันจนน่วม…แต่ตอนนี้กลับรู้สึกโชคดีที่ได้อยู่ห้องแห่งนี้แฮะ”
“อื้ม!” ฉันตอบรับ “ห้องที่เรามีคุณครูรัตนา มีเพื่อน ๆ และมีงานเป็นมือปราบวิญญาณ…สิ่งเหล่านี้มันน่าสนุกกว่าการนั่งเรียนไปวัน ๆ ตามฉบับนักเรียนที่ประเทศไทรอยากให้เป็นเยอะ…ว่ากันตามตรง ต่อให้มีคนหยิบยื่นโอกาสให้ฉันกลับไปห้องคิงอีกครั้ง ฉันก็ไม่คิดจะไปหรอกนะ”
“ฉันก็เหมือนกัน…” โกโก้ตอบ
เขามองไปทางเด็กห้องหนึ่งคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นเพื่อนสนิทของเขาตอนมัธยมต้น…อดีตเพื่อนสนิทที่ในตอนนี้ถึงเจอหน้ากันก็มองกันไม่ติด พูดกันแต่ละทีมีแต่คำดูถูกดูแคลน
“ตอนนี้หมอนั่นก็ยังดูอวดดีเหมือนเดิมเลยน้า” โกโก้บ่น “เวลาผ่านไปนี่มีพัฒนาการบ้างมั้ยเนี่ย”
“พวกคนที่วัน ๆ เอาแต่ถูกประคบประหงมและเชิดชู และไม่เคยต้องเจอความยากลำบากน่ะ…มันก็ยากที่จะมีพัฒนาการ” ฉันตอบ “ถ้าตอนนี้ฉันยังอยู่ในสังคมแบบนั้นล่ะก็…คงจะยังตีคุณค่าของคนด้วยผลการเรียนอยู่เหมือนเดิม ในขณะเดียวกันตัวเองก็เอาแต่นั่งเรียน เพราะคิดว่าตัวเลขเหล่านั้นมันคือคุณค่าทุกอย่างของชีวิต ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ ไม่คิดว่าชีวิตแบบนั้นมันน่าเศร้าเหรอ”
โกโก้พยักหน้า “อืม…แบบนั้นอาจจะน่าเศร้ายิ่งกว่าพวกเราที่โดนดูถูกอีกล่ะนะ” เขาบอก “บางที…การตกลงมาจากภูเขามันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ แถมยังทำให้เราได้ชื่นชมว่าทุ่มหญ้าว่ามันช่างกว้างขวางกว่าที่เราคิดซะอีก”
“มันทำให้พวกเราล้ม และเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง” ฉันเสริม “นั่นทำให้พวกเราเข้มแข็งขึ้น”
โกโก้ยิ้ม “อืม…คิดงั้นเหมือนกัน”
หลังสิ้นประโยคของโกโก้ ฉันก็เห็นว่าเพื่อน ๆ ห้องห้าของพวกเราเดินมาต่อคิวรับอาหารกันแล้ว…เพื่อนทุกคนคือเพื่อนที่ฉันรักและสนิทใจ ทั้งสปาเก็ตตี้ ขนมปัง ลูกเกด และแคนตาลูป
ฉันวิ่งไปชูไม้ชูมือหน้าต้นไม้ สปาเก็ตตี้เป็นคนแรกที่สังเกตเห็น ในวินาทีแรกดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ แต่วินาทีต่อมา ฉันก็เห็นรอยยิ้มของเธอ เธอรู้ดีว่าพวกเรามาที่นี่กันทำไม เธอรู้ว่าพวกเราก่อวีรกรรมนี้ก็เพื่อแก้แค้นให้เธอ…และเธอก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มขอบคุณ ซึ่งนั่นทำให้ฉันยิ้มตาม
ฉันโชคดี…ที่ได้อยู่ในสังคมแห่งนี้
ฉันมีความสุข…กับการเป็นเด็กห้องบ๊วย
-------------------------------
------------------------------
***ชี้แจง***
(ยาวหน่อยแต่โปรดอ่าน // ไหว้ย่อ)
เนื้อหาในบทนี้มีการ stereotypes เด็กห้องคิงและเด็กห้องบ๊วยในแบบที่สุดโต่ง ซึ่งไรต์ขอชี้แจงดังนี้ค่ะ
เนื้อหาในนิยายเป็นเซ็ตติ้ง "ดิสโทเปีย" ซึ่งในวิกิพีเดีย ให้ความหมายไว้ว่า “เป็นสังคมที่ไม่พึงประสงค์หรือน่าหวาดกลัว ปกครองด้วยระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ หรือมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ”
ซึ่งไรต์ให้นิยามสั้น ๆ ว่า “สังคมแฟนตาซีที่เลวร้ายเกินความจริง”
1. เด็กทุกคนในนิยายเรื่องนี้ “ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว” ต่างก็เป็นเด็กที่เกิดจาก “โรงงานผลิตมนุษย์” จากนั้น “ทุกคน” ก็ถูกส่งเข้ามาเรียนในสภาพแวดล้อมเดียวกันคือ “โรงเรียนประจำแห่งประเทศไทร”
2. ดังนั้น เด็กนักเรียนทุกคนในโรงเรียนแห่งนี้ จึงถูกปลูกฝังมาด้วยชุดความเชื่อเดียวกัน ในสังคมแบบเดียวกันหมด
3. สิ่งเดียวที่ทำให้คาร์แรคเตอร์ของตัวละครในนิยายเหล่านี้แตกต่างกันคือ “พื้นฐานจิตใจ” และ “ความยึดมั่นในความเชื่อของตัวเอง” ค่ะ
4. อย่างไรก็ตาม การจะคาดหวังให้เด็ก ๆ ที่เติบโตในโลกแบบนี้ มีความคิดเป็นปกติชุดเดียวกับเรา ๆ คงเป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก และมันก็อาจจะไม่ได้ถูกต้องทุกอย่าง กรุณาอ่านเนื้อหาอย่างมีวิจารณญาณนะคะ
5. ในโลกความจริง พวกเรามีร้อยพ่อพันแม่ เติบโตมาจากต่างโลกต่างสังคม การมองโลกย่อมกว้างกว่าเด็กในนิยายอยู่แล้ว เด็กห้องคิงที่ได้ท่องโลกกว้างก็มี เด็กห้องไม่คิงที่เรียนโคตรเก่งก็มาก สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะห้องคิง ห้องบ๊วย หรือห้องธรรมดา ทุกคนล้วนสามารถมองเห็นปัญหาของระบบการศึกษา และร่วมเรียกร้องแก้ไขให้มันดีขึ้นร่วมกันได้ค่ะ
6. พ้อยต์จริง ๆ ที่ไรต์ต้องการสื่อจากเนื้อหาช่วงท้าย หลัก ๆ คือเป็นการให้ทุกคนตระหนักได้ว่าเกรดไม่ใช่ตัวตัดสินทุกสิ่ง และยิ่งไม่ควรจะเป็นสิ่งที่นำมาใช้ในการแบ่งชนชั้นภายในโรงเรียนแบบที่ในสังคมนี้ทำกันอยู่
ไรต์ต้องการให้กำลังใจกับใครก็ตามที่ผลการเรียนไม่เป็นดังฝัน โดยส่วนตัวตอนนี้ไรต์เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งอยากจะบอกน้อง ๆ ในรั้วโรงเรียนทุกคน ว่าเกรดสมัยเรียนแทบไม่มีความสำคัญอะไรมากไปกว่าใช้ยื่นตอนสอบเข้าเลย มันไม่ได้ตัดสินอะไรทั้งนั้น
สังคมมหาวิทยาลัย คือสังคมที่เด็ก ๆ มัธยมจากหลายโรงเรียนทั่วประเทศมาเรียนด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ปรับตัวอยู่ด้วยกัน ในส่วนของเกรด…แม้แต่ในโรงเรียนเดียวกัน แต่เรียนกันคนละห้อง กับครูคนละคน แผนการเรียนคนละแผน มันก็มีมาตรฐานต่างกันจนเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้แล้ว ดังนั้นในสังคมที่กว้างขึ้น การเปรียบเทียบเกรดข้ามโรงเรียนยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระเข้าไปใหญ่
ในย่อหน้านี้พี่ขออนุญาตพูดกับน้อง ๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนในฐานะรุ่นพี่กับรุ่นน้องนะคะ…พี่ไม่อยากให้น้องเอากรอบที่โรงเรียนพร่ำบอกมาเป็นกรอบทุกอย่างในชีวิตของตัวเอง ชีวิตของเรามันกว้างกว่าในรั้วโรงเรียนมาก
ชีวิตพอเรียนจบไป เรื่องราวในโรงเรียนก็แทบจะไม่มีอิทธิพลอะไรกับเราอีกแล้ว เราตอนนี้เรียนได้เกรดไม่ดี มันไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นคนไม่เก่งเลย เราแค่มีความสามารถในเรื่องที่เกรดของโรงเรียนวัดไม่ได้เท่านั้นเอง
ตอนนี้เหล่าเด็กห้องบ๊วยแม้จะตกลงมาจากภูเขา แต่พวกเขาก็ได้มองเห็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แล้วนะคะ…น้อง ๆ ล่ะ มองเห็นทุ่งหญ้าของตัวเองกันแล้วหรือยัง มันอาจจะมีสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ อยู่ตรงนั้นก็ได้นะ ^^
Comments (0)