ตอนที่ 2

เลขที่ 2: ข้าวเหนียว - กานติมา โชติช่วงรัตติกาล

 

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ก็ได้เวลาเปลี่ยนอาชีพ!

นักเรียนทั้งหมดพากันวิ่งจากห้องเรียนไปทางห้องนอนโดยพร้อมเพรียง

ห้องนอนของพวกเรามีสองห้องใหญ่ คือห้องนอนรวมชาย และห้องนอนรวมหญิง ทั้งสองห้องนอนจะมีฟูกนอนสีน้ำตาลอ่อนทั้งหมดสิบฟูก สำหรับนักเรียนสิบคน ฟูกนอนสิบฟูกถูกจัดเรียงเป็นสองแถว แถวละห้าฟูก ที่หัวฟูกของแต่ละคนจะมีกล่องพลาสติกสีดำ สำหรับใส่สิ่งของส่วนตัว ฝาผนังด้านซ้ายของห้องคือชั้นเก็บของ ประกอบด้วยอุปกรณ์การเรียน และวัตถุจิปาถะต่าง ๆ ส่วนทางด้านขวาคือราวตากผ้ายาว แต่ละส่วนถูกติดป้ายชื่อไว้ว่าส่วนนี้คือเสื้อผ้าของใคร

เหล่านักเรียนเปลี่ยนชุดเครื่องแบบ จากชุดนักเรียนเป็นชุดพละได้ภายในระยะเวลาเพียงห้านาที นับว่ารวดเร็วจนน่าตกใจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำอาชีพเสริม คือ ‘มือปราบวิญญาณ’

ได้ยังไงน่ะเหรอ?

ในตอนนี้เป็นช่วงระยะเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สาม ผู้คนมากมายสูญหายตายจากในศึกสงครามที่ผ่านมา ความตายของมวลมนุษย์มหาศาลก่อเกิดเป็นกลุ่มพลังงานชั่วร้าย ถูกผูกไว้กับความปราถนาสุดท้ายของชีวิตที่ไม่อาจทำให้แล้วเสร็จ บ้างก็เป็นวิญญาณอาฆาต ก่อกวนวนเวียน

ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการก่อตั้ง ‘กระทรวงปราบวิญญาณแห่งโลก’ ขึ้นมา เพื่อจัดการกับพลังงานชั่วร้ายเหล่านี้ และกระทรวงปราบมารแห่งโลกก็ได้ทำการคัดเลือกหนุ่มสาวพรหมจรรย์จากแต่ละประเทศ เข้าสู่หลักสูตรฝึกอบรมเป็น ‘มือปราบวิญญาณ’ ปกปักษ์พิทักษ์สวัสดิภาพแห่งชีวิตของประเทศตนเอง

ภายในประเทศนี้ เหล่าหนุ่มสาวพรหมจรรย์ที่ได้รับการคัดเลือก ก็คือนักเรียนห้อง ม.๖/๕ โรงเรียนประจำแห่งประเทศไทรนั่นเอง

แล้วทำไมนักเรียนถึงต้องใส่ชุดพละไปปราบวิญญาณน่ะเหรอ?

อ๋อ…พอดีรัฐบาลไม่ได้ให้งบประมาณสนับสนุนสำหรับการปราบวิญญาณน่ะค่ะ เอาเงินไปซื้อรถถังหมดแล้ว เขาบอกว่าเอามาประดับไว้เผื่อมีสงครามโลกครั้งที่สี่

คุณภาพชีวิตดี ๆ ที่ลงตัวของพวกเรานั้น คือพวกเรามีเสื้อผ้าทั้งหมดสามชุดค่ะ

ชุดแรกคือชุดนักเรียนมัธยมปลาย สีกรมท่าเรียบง่ายตรงตามมาตรฐาน (กระโปรงต้องยาวเลยเข่าหนึ่งคืบ ต้องใส่เสื้อกล้าม เสื้อชั้นในห้ามเป็นสีดำ ผมห้ามยาวเกินสองไม้บรรทัดวัดจากโคนผม โบว์ต้องเป็นโบว์ผูกสีแดงเข้มเท่านั้น ถุงเท้าต้องเป็นถุงเท้าพื้นขาวเท่านั้น)

ชุดที่สองคือชุดพละ ประกอบด้วยเสื้อโปโลสีแดงเข้ม และกางเกงวอร์มสีดำ (เป็นชุดที่ใส่สบายดีค่ะ แต่โรงเรียนไม่ค่อยให้ใส่ เขาบอกว่ามันไม่เรียบร้อย)

ชุดที่สามคือชุดผ้าฝ้ายแขนยาวขายาวสีขาว เป็นทั้งชุดนอนและชุดลำลองไปในตัวค่ะ ไว้ใส่ไปไหนมาไหนนอกเวลาเรียน

ฉันเองก็เคยอยากได้ชุดอื่นนอกจากนี้เหมือนกันนะคะ อยากใส่ชุดน่ารัก ๆ เหมือนพวกผู้ใหญ่บ้าง

แต่พวกผู้ใหญ่ก็บอกมาว่า ‘เด็ก ๆ อย่างพวกเธอ ใส่แค่นี้พอ เดี๋ยวใส่ชุดสวยไปก็ไปอ่อยผู้ชายอีก’ น่ะค่ะ

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาคว้าอาวุธ!

อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธที่พวกเราได้มาจากกระทรวงปราบวิญญาณแห่งโลก นักเรียนหนึ่งคนต่ออาวุธหนึ่งชนิด เป็นอาวุธที่ผ่านการลงมนตรา (ปลุกเสก) แล้วว่าจะใช้ได้ผลแค่เฉพาะกลุ่มพลังงานหลังความตาย แต่จะไร้ผลกับคนเป็น มีหลากหลายชนิด ทั้งดาบ หอก ธนู ไปจนถึงสายสิญจน์ ลูกประคำ หรือระเบิด

อาวุธของฉันคือเคียวค่ะ

เคียวยาวสุดเท่ตามสไตล์แฟนตาซี?

เคียวเกี่ยวข้าวธรรมดานี่แหละค่ะ แถมลงยันต์วิเศษไว้เป็นปื้นสีขาวเต็มคมมีดเลยล่ะค่ะ คมมีดของมันทื่อมาก ชนิดที่สู้ไม่ได้แม้กระทั่งมีดหั่นแตงกวาตามร้านข้าวมันไก่อะค่ะ มันเลยใช้กับคนเป็นไม่ได้ แต่โชคยังดีที่พอใช้ต่อสู้กับพวกมารได้ เพราะมีอาคมดี

เคียวเกี่ยวข้าวของฉันเป็นเคียวคู่ เมื่อคว้ามาแล้วฉันก็ควงเคียวด้วยมือทั้งสองข้างพอให้จับได้คล่องมือ นับตั้งแต่ถูกคัดเลือกเข้าหลักสูตรเป็นนักปราบมารตั้งแต่ ม.๔ เคียวสองเล่มนี้เป็นอาวุธหากินคู่กายคู่ใจของฉันเลยล่ะค่ะ

แว่วได้ยินเสียงปรับสายธนูจากทางด้านข้าง เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนฉันทุกประการ (คือสวยค่ะ) แต่นิสัยต่างกันลิบโลก ชื่อของเธอคือ ‘ส้มตำ’ ค่ะ

ฝาแฝดข้าวเหนียว-ส้มตำ เวลาใครเรียกพวกเราก็คงจะหิวหน่อย ๆ นะคะ

จริง ๆ ในห้องเรียนของเรายังมีเพื่อนชื่อ ‘ไก่’ ด้วยค่ะ ซึ่งทุกคนคิดตรงกันว่าดีนะที่ไม่ใช่ ‘ไก่ย่าง’

หลังจากส้มตำปรับสายธนูสำเร็จ สะพายกระบอกลูกธนูไว้ด้านหลังเสร็จเรียบร้อย ก็แว่วได้ยินเสียงจาก ‘ขนมปัง’ รองหัวหน้าห้องของพวกเราว่า “ไปรวมตัวกันที่ห้องเรียน!”

อีกประมาณห้าวินาทีต่อมา เหล่านักเรียนชายหญิงก็ได้มารวมตัวกันในห้องเรียนกันถ้วนหน้า

คุณครูรัตนาอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ ยืนอยู่หน้าสุด ในมือของเธอคือสมุดรายชื่อ “เลขที่หนึ่ง…กฤตชัย”

“มาครับ!” ช็อคตอบ ที่คอของเขาเต็มไปด้วยลูกประคำและสายสิญจน์ ไหล่ของเขาสะพายย่ามซึ่งภายในน่าจะหมีหม้อ และวัตถุปลุกเสกมากมายดูพะรุงพะรัง

“เลขที่สอง…กานติมา”

“มาค่ะ!” ฉันตอบรับ

“เลขที่สาม…แก้วกาญดา”

“มาค่ะ!” ส้มตำตอบรับ

หลังจากนั้นคุณครูรัตนาก็ไล่เช็ครายชื่อนักเรียนจนครบทั้งห้อง เมื่อเช็คจบ เธอก็ปิดสมุดรายชื่อ เอ่ยด้วยเสียงอันฉะฉานว่า “ไม่มีใครขาด…ดีมาก” ทิ้งเวลาไว้ครู่หนึ่งเธอจึงพูดต่อ “ได้เวลาเริ่มบทเรียนได้!”

หลังจบประโยคของเธอ หัวหน้าห้องที่ชื่อพลัมก็ปาก้อนหินอาวุธประจำตัวเขาลงพื้น เกิดเป็นควันสีขาวฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง เมือควันกลุ่มนั้นสลายหายไป พวกเราทุกคนก็ได้ย้ายมาอยู่สถานที่ใหม่เรียบร้อยแล้ว

สถานที่ใหม่ที่พวกเราอยู่นั้น เป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่เว่อร์วังอลังการ สถานที่ซึ่งทุกคนเรียกกันว่า ‘ศูนย์บัญชาการ กระทรวงปราบวิญญาณแห่งโลก’

ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่ในสนามโล่งเตียนขนาดใหญ่ รอบข้างของพวกเราเต็มไปด้วยนักเรียนมากหน้าหลายตา จากโรงเรียนทุกประเทศทั่วโลก มีทั้งคนเอเชีย คนผิวขาว คนผิวดำ ลาตินอเมริกา ชาวชนเผ่า และอีกมากมาย แต่สิ่งที่นักเรียนจากทุกประเทศ (ยกเว้นประเทศไทร) มีเหมือนกัน คือ ทุกคนล้วนได้ใส่ชุดเกราะเต็มยศ และอาวุธแฟนตาซีสุดเท่ล้ำสมัย มีแต่พี่ไทรนี่แหละค่ะ ที่นักเรียนยังต้องใส่ชุดพละออกศึก ถืออาวุธปลุกเสกกันอยู่เลย

พวกเราเหล่านักเรียน ม.๖/๕ ก็เลยดูโดดเด่นกันมากในสถานที่แห่งนี้ค่ะ ความรู้สึกเหมือนคนใส่ชุดงานศพไปเที่ยวสงกรานต์เลยค่ะ แปลกแยกมาก

ก็ใครใช้ให้มาเกิดในประเทศไทรที่รัฐบาลเอาเงินไปซื้อรถถังหมดเล่า…

ด้านหน้าของพวกเราทั้งหมด คืออาคารก่อสร้างขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา อาคารนี้คืออาคารที่พวกเราเคยมาอาศัยอยู่นานถึงสองเดือนเต็ม ระหว่างปิดเทอม ม.๓ ขึ้น ม.๔ ตอนที่ต้องเข้าหลักสูตรฝึกหัดมือปราบวิญญาณ ช่วงเวลาแบบนั้นขายฝันมากค่ะ ได้ใช้อาวุธดี ๆ หรูดูแพง เสื้อผ้าสวย ๆ พูดคุยกับเพื่อนมากมาย

ไอเราก็คิดว่าชีวิตมือปราบวิญญาณในอนาคตคงเป็นแบบนั้น…ที่ไหนได้ ต้องมาใส่ชุดพละถืออาวุธปลุกเสกออกศึก รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลยล่ะค่ะ

‘ร้อยตรีรัตนา ระวีวิโรจน์’ คือผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังปราบวิญญาณแห่งประเทศไทร (ที่มีแค่พวกเรา) และเธอยังเป็นคุณครูประจำชั้นของพวกเราด้วย ในระหว่างที่พวกเรากำลังยืนรออยู่ลานสนาม เธอก็ได้เข้าไปรายงานตัวต่อกระทรวงปราบวิญญาณแห่งโลก จากนั้นจึงกลับมาพร้อมกระดาษสองสามแผ่นในมือ

“ได้รับรายงานสถานที่ที่ตรวจพบวิญญาณแล้ว” เธอประกาศ “ให้เวลาในการซักซ้อมสามสิบนาทีก่อนเริ่มภารกิจ!”

“รับทราบ!” นักเรียนทุกคนตอบรับ

จากนั้น พวกเราทุกคนในห้องเรียน ก็ถืออาวุธออกมาประชันกันเอง เพื่อลองฝีมือก่อนออกศึกจริง

__________________

 

sds