ตอนที่ 5

เลขที่ 5: ตี้ (สปาเก็ตตี้) - ขวัญทิพย์ โชติช่วงรัตติกาล

 

“ต้องขอโทษจริง ๆ นะคะทุกคน!”

ฉันก้มหัวปะหลก ๆ ให้กับเพื่อนร่วมห้องซึ่งลุกนั่งครบหนึ่งร้อยครั้งตอนเลิกแถวหน้าเสาธงพอดี

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ส้มจี๊ดปลอบใจ แม้เธอจะเหนื่อยอ่อนจนทรุดลงนั่งบนพื้นกลางแดดเปรี้ยงก็ตาม

“งี่เง่าสิ้นดี ผิดระเบียบเพราะผมหยิกเนี่ยนะ!” โกโก้บ่น

“งั้นฉันจะติดต่อคุณครูรัตนา ให้วันนี้เริ่มเรียนสายหน่อยก็แล้วกันนะ” พลัมประกาศ

“โอ้!” เพื่อนทั้งห้องตอบรับ น้ำเสียงกึ่งดีใจแต่อีกครึ่งก็ยังเพลีย

ฉันมองรอบด้าน เห็นสภาพเพื่อนร่วมห้องของฉันที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ดันโดนพ่วงให้ทำโทษไปเพราะเป็นความสะเพร่าของฉันด้วยความรู้สึกผิด…ทำไมกันนะ ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ถึงเกิดขึ้นได้ เพราะพวกเราเป็นห้องบ๊วยอย่างนั้นน่ะเหรอ?

รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไหล่ หันไปเห็นเพื่อนสนิทเดินมาแปะไหล่ฉันจากทางด้านหลัง

“ไม่มีใครโทษเธอทั้งนั้นนะ” ‘บะหมี่’ ว่า “พวกเราทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่งี่เง่าสิ้นดี”

ฉันส่งยิ้มบางให้เธอพร้อมกับสายตาแห่งความขอบคุณ “อื้ม!”

 

หลังจากการลุกนั่งสุดทรหดผ่านไป ก็ได้เวลาสำหรับคาบเรียน

ในโรงเรียนประจำแห่งประเทศไทร พวกเรามีวิชาเรียนกันอยู่สามวิชา คือคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา ส่วนวิชาภาษาและอื่น ๆ ถูกตัดออกจากหลักสูตรเนื่องจากถูกมองว่าไม่มีความจำเป็น ไม่ได้ก่อประโยชน์อันใดให้กับประเทศชาติ

ในคาบเรียนเช้า แปดโมงเช้าถึงเที่ยง พวกเราจะเรียนวิชาสังคมศึกษา เนื้อหาที่เรียนก็ได้แก่วีรกรรมความเสียสละของผู้นำไทร พระคุณของผู้นำไทร ความยิ่งใหญ่ของประเทศไทร ศักดิ์ศรีของประเทศไทร คุณสมบัติที่ดีที่คนไทรควรจะเป็น หรืออะไรประมาณนั้น…ยิ่งเรียนวิชานี้มากเท่าไหร่ พวกเราเหล่าห้องบ๊วยก็ยิ่งสลดลงมากเท่านั้น…คุณสมบัติของเด็กดีที่ประเทศไทรต้องการ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนของเราเลยแม้แต่อย่างเดียว

พวกเราต้องเปลี่ยนตัวเองไหม…เพื่อเป็นเด็กดีที่ผู้ใหญ่ชื่นชม

และเนื่องจากวันนี้ ฉันแต่งตัวผิดระเบียบ (หัวฟูเข้าแถวสนามหน้าเสาธง) ฉันจึงมีบทลงโทษพิเศษในระหว่างคาบเรียนสังคมศึกษา นั่นคือการคัดคำว่า ‘จะไม่ทำผมผิดระเบียบแล้วค่ะ’ หนึ่งร้อยจบ ด้วยปากกาสีแดง ส่งให้คุณครูรัตนา จากนั้นคุณครูรัตนาจะส่งผู้อำนวยการขนิษฐาอีกทีหนึ่ง

 

เมื่อเวลาพักเที่ยงมาถึง ก็ได้เวลาสำหรับการเดินไปที่โรงอาหาร

เพื่อป้องกันความแออัด และการสร้างระยะห่างทางสังคม ซึ่งเป็นนิวนอร์มอลที่คงอยู่มาตั้งแต่การระบาดของโรค COVIA-100 ทำให้นักเรียนต้องแยกกันไปเข้าโรงอาหารทีละห้อง โดยห้องหนึ่งหรือห้องคิงได้กินข้าวกันก่อน ตามด้วยห้องสอง สาม สี่ และห้า ตามลำดับ…เด็กห้องสุดท้ายมักจะได้สวัสดิการช้าเสมอ

โรงอาหารของโรงเรียนประจำแห่งประเทศไทรมีลักษณะเป็นอาคารไร้ผนังมีเพียงหลังคา พื้นถูกทาด้วยปูนซีเมนต์ยกระดับขึ้นจากพื้นหนึ่งฟุต ด้านในสุดคือส่วนครัวที่มีพ่อครัวกับแม่ครัวประจำการ ด้านหน้าของส่วนครัวคือโต๊ะยาวสำหรับวางถาดอาหาร และจานชามช้อนส้อม พื้นที่ที่เหลือเป็นพื้นที่สำหรับโต๊ะรับประทานอาหาร เป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ขัดมัน หนึ่งโต๊ะมีห้าเก้าอี้ มีทั้งหมดห้าโต๊ะ บรรจุคนได้ยี่สิบห้าคน

ก่อนเข้าโรงอาหาร พวกเราต่อแถวเรียงตามเลขที่ ฉันพยายามมองหาเพื่อนเลขที่ก่อนหน้าฉัน คือโกโก้ และเพื่อนที่เลขที่ต่อจากฉัน คือส้มจี๊ด แต่ก็ไร้วี่แววของทั้งสองคน ฉันจึงต้องเดินไปต่อแถวหลังส้มตำอย่างงุนงง ถามว่า

“โกโก้กับส้มจี๊ดไปไหนเหรอ”

ส้มตำส่ายหน้าเป็นเชิงว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน

คนตอบคือช็อคโกแลตที่อยู่หน้าสุด เขาหัวเราะหึ บอกว่า “ตัวแสบอย่างคู่หูคู่นั้นคงไปหาจิ๊กอาหารที่อื่นกินนั่นแหละ…ไม่น่าจะต้องมาง้ออาหารที่โรงอาหารหรอก”

ข้าวเหนียวถอนหายใจ “พวกที่โดดเรียนบ่อยจนรู้ทางหนีทีไล่ของทุกอย่างนี่ดีจังเลยน้า”

ฉันหัวเราะเสียงแห้ง “สองคนนั้นหัวดีเป็นบ้าด้วยไงประเด็น…โดดเรียนทุกคาบ ผลคะแนนออกมาไม่ทราบว่าเต็มได้ไงเกือบทุกวิชา”

“โกงน่ะ” ช็อคโกแลตตอบ “ตอนมอสาม คู่หูนั่นเคยช่วยกันแอบเข้าห้องออกข้อสอบ แล้วแฮคเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน ขโมยเฉลยข้อสอบออกมาจนโดนทำโทษให้ตกลงมาห้องบ๊วยนั่นแหละ”

“…” ทุกคนอึ้ง

“เอาจริงดิ?” ข้าวเหนียวถาม “ถ้าเด็กมอสามฉลาดถึงขั้นแฮคระบบคอมของโรงเรียนได้ การทำข้อสอบมัธยมต้นก็ไม่น่าใช่เรื่องยากนะ”

“มันขโมยเฉลยข้อสอบวิชาสังคม บทเรียนเรื่องโครงการพัฒนาชาติห้าร้อยอย่างของผู้นำประเทศไทร” ช็อคโกแลตพูด “มันบอกว่ามันจำไม่ได้”

ทุกคนหัวเราะ

“ตอนนั้นฉันจำได้แค่สองร้อยกว่าอย่างเอง” ฉันว่า

เพื่อนอีกสามคนกลอกตาใส่ฉัน ฉันอ่านท่าทางของพวกเขาได้ว่า ‘จำได้สองร้อยกว่าอย่างก็บุญถมแล้วแม่คุณ!’

ข้าวเหนียวสะกิดเรียกช็อคโกแลตเมื่อได้เวลาเข้าไปในโรงอาหาร เด็กนักเรียนพากันเดินเรียงแถวเข้าไป ต่อแถวหยิบจาน ช้อน และส้มกันเรียบร้อย เตรียมตัวที่จะไปตักอาหาร แต่แล้วเมื่อเดินไปยังถาดอาหารทุกคนก็ต้องอึ้ง

ตรงหน้าของพวกเราคือโต๊ะยาวของถาดอาหารสี่ถาดซึ่งควรจะมีแกงสี่อย่างอยู่ภายใน แต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่าเหลือเพียงน้ำแกงติดก้นถาด ด้านหลังโต๊ะคือพ่อครัววัยกลางคนในชุดเครื่องแบบใส่หน้ากากอนามัยและหมวกเชฟ กอดอกทำหน้าถมึงทึง

“อาหารหมดเหรอครับ” ช็อคโกแลตเป็นคนถาม

“หมดตั้งแต่ตอนห้องสาม” พ่อครัวตอบเสียงแข็ง “เด็กห้องสี่ก็ไม่ได้กินกัน”

“อ้าว!” ข้าวเหนียวร้อง “แล้วพวกเราล่ะ!?”

บรรยากาศหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความเงียบและความกระอักกระอ่วน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” รองหัวหน้าห้องที่มีชื่อว่าขนมปังเป็นคนถาม

“อาหารหมดน่ะ” ฉันหันไปตอบเพื่อน “เห็นบอกว่าหมดตั้งแต่ตอนห้องสาม”

ทุกคนเลิ่กลั่ก

“สำหรับเด็กห้องบ๊วยอย่างพวกแกนี่ก็อดข้าวไปนะ” พ่อครัวพูดเนือย ๆ “อาหารตั้งเยอะตั้งแยะ พวกเด็กห้องต้น ๆ กินเข้าไปเยอะขนาดนั้นได้ยังไงก็ไม่เข้าใจ”

“แล้วคุณก็ไม่ได้ทำอาหารมาเพิ่มสำหรับเด็กห้องหลัง ๆ เหรอคะ!?” ขนมปังถามเสียงแข็ง “แล้วทีนี้พวกเราจะเอาอะไรกิน”

“ก็เรื่องของพวกเธอสิ!” พ่อครัวกระแทกเสียงตอบ “ไม่มีก็คือไม่มี จะเอาอะไรกับพวกเรากันนักกัน…”

“ว้ากกกก!!!”

พ่อครัวตัวปัญหายังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็แว่วได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กนักเรียนจำนวนมากที่วิ่งพุ่งออกมาจากอาคารเรียน เหล่านักเรียนเป็นขโยงวิ่งกระจายกันด้วยความเร็วแสง พุ่งเข้าหาห้องน้ำอย่างไม่มีใครยอมใคร มือก็กุมท้องไว้มั่น วิ่งกันพล่านทั่วบริเวณ

พ่อครัวหันไปทางต้นปัญหา ใบหน้าซีดสนิท “เกิด…เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?”

“พวกเด็กห้องคิงงั้นเหรอ” ส้มตำตั้งข้อสงสัย

“พ่อครัว!!!” เด็กผู้หญิงห้องคิงคนหนึ่งวิ่งมีชี้ใส่หน้าพ่อครัว ใบหน้าของเธอเป็นสีสลับไปมาระหว่างเขียวกับน้ำเงิน “อาหารที่คุณทำมันสกปรก ทุกคนกินเข้าไปแล้วท้องเสียกันหมดเลย พวกคุณจะรับผิดชอบกันยังไง!?”

เธอยังไม่ทันได้ฟังการตอบสนองของคู่สนทนา ก็ต้องวิ่งปราดไปทางห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดที่ว่างลงกระทันหัน

ดวงตาของพ่อครัวเบิกกว้าง “ว่ายังไงนะ!?”

“สถานการณ์แย่พอตัวเลยนะเนี่ย” เพื่อนด้านหลังฉันชื่อ ‘ก๋วยเตี๋ยว’ เดาะลิ้นพูด “ปกติอาคารเรียนทุกชั้นก็จะมีห้องน้ำเป็นของตัวเองอย่างเพียงพออยู่แล้ว ถ้าถึงขั้นที่เด็กต้องวิ่งลงมาใช้ห้องน้ำข้างล่างเนี่ย…เผลอ ๆ ว่าคงจะไม่ได้มีแค่เด็กห้องคิงหรอกมั้งที่ท้องเสีย”

“ว้ากกก!!! / กรี๊ดดด!!!”

หลังสิ้นคำของก๋วยเตี๋ยว เสียงกรีดร้องซึ่งดังกระหึ่มยิ่งกว่าเสียงกรี๊ดในงานแฟนมีตติ้งของศิลปินระดับโลกก็ดังมาจากอาคารเรียน จากนั้นเด็กนักเรียนห้องสองและห้องสามบางส่วนก็พุ่งออกมา วิ่งพล่านจนชนกับเด็กห้องหนึ่งเดิมที่ยังหาห้องน้ำไม่ได้ สรุปคือเกิดความโกลาหลวุ่นวายวิปโยค

พ่อครัวตัวสั่น ปากสั่น หันมามองพวกเราทุกคน “ตะ…ต้องเป็นฝีมือของพวกแกแน่ ๆ เพราะพวกแกไม่พอใจที่ได้กินข้าวเป็นห้องสุดท้าย เลยวางยาห้องอื่น ๆ ใช่มั้ย!”

“อย่าหาเรื่องจะดีกว่านะคะคุณพ่อครัว” ขนมปังหรี่ตา เอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ “หลักฐานก็ไม่มี ข้อเท็จจริงก็ยืนยันไม่ได้ กล่าวหากันมั่ว ๆ แบบนี้ ระวังว่าจะโดนหาว่าโยนความผิดแล้วต้องรับโทษหนักกว่าเดิมนะคะ”

“ใช่แล้วล่ะ” ก๋วยเตี๋ยวรับมุก ขยิบตาข้างหนึ่ง “ก่อนหน้านี้พวกเราห้องบ๊วยก็มีเรียนกันตลอดคาบเช้า จะมีเวลามาวางยาห้องอื่นที่โรงอาหารได้ยังไง”

หลังสิ้นประโยคนั้น ทุกคนก็เข้าใจความหมายแฝงของเขาทันที

พวกเรามีเรียนตลอดคาบเช้า…แต่มีคนสองคนที่โดดเรียน คือโกโก้ กับส้มจี๊ด

ท่ามกลางความโกลาหลทั้งหมด ร่างของส้มจี๊ดโผล่แวบมาจากต้นไม้ไม่ไกลจากโรงอาหาร เธอกวักมือยิก ๆ เรียกเพื่อน ๆ ทุกคนให้ไปหา จากนั้นทำท่าชี้ไปอีกทาง พยายามส่งสารบางอย่าง

ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อได้ทันที

มอหกทับห้ากำลังจะได้กินบุฟเฟ่ต์อาหารเที่ยงกันแล้ว…และจะเป็นนักเรียนเพียงห้องเดียวที่ไม่ท้องเสียหลังกินข้าวด้วย!

--------------------------

 

sds

ตอนต่อไป ภารกิจสุดแสบของส้มจี๊ดและโกโก้ค่ะ