บทที่ 1

Circadian Rhythm

(3)

 

 

เอมิลี่ บราว์นมักจะฝัน

นอกจากจะฝันถึงชีวิตในโลกก่อน เธอยังฝันถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย โดยส่วนมากก็เป็นเรื่องราวมากมายของหนังสือที่เคยอ่าน รูปแบบความฝันของเธอก็แตกต่างกันด้วย

ถ้าเป็นเรื่องของตัวเธอ เอมิลี่มองเห็นความฝันในฐานะบุคคลที่ 1 ร่วมใช้มุมมอง อารมณ์ ความรู้สึก และประสาทสัมผัสเดียวกัน ถ้าเป็นเรื่องราวที่เธอเคยอ่าน หรือเห็นมา เธอก็อยู่ในฐานะบุคคลที่ 3 เฝ้ามองเรื่องราวและการดำเนินไปจนจบ เธอเรียกความฝันแบบนี้ความฝันจริง ๆ

แต่บ่อยครั้งที่เอมิลี่มักแยกความฝันจริง ๆ ของโลกก่อนและโลกนี้ออกจากกันไม่ได้ เรื่องราวจากการเรียนรู้ในแต่ละวันบางครั้งก็มาปรากฏในรูปแบบของความฝัน เพราะแม้ว่าเธอจะเป็นคอนิยายแฟนตาซีขนานแท้ แต่การมาเกิดใหม่ในโลกเวทมนตร์ แถมในแต่ละวันก็ยังได้เรียนการใช้เวทมนตร์ที่เคยได้แต่อ่านในนิยาย ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสำหรับมนุษย์ออฟฟิศที่มีชีวิตประจำวันปกติคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอคิดว่าตัวเองจัดระเบียบเรื่องราวของโลกก่อนได้ครบถ้วนดีแล้วก็ตาม

เอมิลี่เดินมาถึงห้องสมุดอยู่ชั้น 7 ของอาคารเรียน ซึ่งไม่ได้ใหญ่โตมากนัก มีโต๊ะให้นั่งอ่านหนังสือได้ 5 โต๊ะ ที่เหลือก็เป็นเก้าอี้ยาวหันหน้าชนผนังและมีที่กั้นส่วนตัวแบบบุ๊คคาเฟ่ รองรับนักอ่านได้ประมาณ 20 – 40 คนเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็มีหนังสือที่หลากหลายและครอบคลุมทุกศาสตร์ และถึงอย่างนั้นห้องสมุดแห่งนี้ก็เป็นห้องสมุดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในเอวาเรียนที่เปิดให้ทุกคนในเมืองเข้าใช้ได้

บรรณารักษ์ห้องสมุดเป็นผู้หญิงผมหยิกสีแดง และแต่งหน้าค่อนข้างจัด ทุกคนเรียกเธอว่ามิสแมรี-ลู เอมิลี่เคยได้ยินว่าความจริงแล้วเธออายุแค่ 40 กว่าปีเท่านั้น แต่ถูกคาถาบางอย่างสะท้อนใส่ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น และใบหน้าก็เต็มไปริ้วรอยยับยู่ยี่ดูเหมือนคุณยายอายุ 80 ปี 

มิสแมรี-ลูภูมิอกภูมิใจในจำนวนหนังสือหายากในห้องสมุดที่เธอดูแลเป็นอย่างมาก พวกนักเรียนกลัวเธอรองจากครูกิ้บบอนเลยทีเดียว เพราะเธอไม่ยอมให้ใครมาก่อเรื่องวุ่นวายในห้องสมุดของเธอเด็ดขาด

ตอนนี้มิสแมรี-ลูจ้องเขม็งจากเคาน์เตอร์ด้านหน้ามาที่เอมิลี่ที่ตอนนี้กำลังรื้ออ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่ง ปกติแล้วมิสแมรี-ลูจะลุกจากเคาน์เตอร์แล้วลากตัวก่อกวนออกจากห้องสมุดไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอมิลี่ทำแบบนี้ และอย่างน้อยเธอก็เก็บหนังสือคืนเข้าชั้น ดังนั้นนอกจากมองจากเคาน์เตอร์อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ มิสแมรี-ลูก็ไม่ได้เดินมาห้ามปรามเธอแต่อย่างใด

เอมิลี่ไล่อ่านหนังสือไปทีละแถวของหมวดวจนะและศาสนจักรแห่งความรุ่งโรจน์ที่มีอยู่มากมายถึง 10 แถว มีหนังสือมากกว่า 1,000 เล่มที่เกี่ยวข้อง ศาสนจักรแห่งความรุ่งโรจน์ เป็นศาสนาเพียงหนึ่งเดียวของประชาชนบนโลกนี้ ถ้าไม่นับเทพพระเจ้าที่ชื่อว่าเทพีฮาลาเนียว่าเป็นเทพสูงสุด ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนนอกศาสนา ซึ่งในโลกนี้ก็มีเหตุการณ์น่ากลัวและป่าเถื่อน อย่างการล่าแม่มด หรือเผาคนทั้งเป็นในบางพื้นที่เหมือนกัน

ดังนั้นถึงซิลกี้ ซิลเวสเตอร์จะเคยบอกเอมิลี่ว่าเธอนั้น “วิตกจริตกับความฝันไร้สาระมากเกินไป” แต่เธอก็ไม่กล้าพูดสวนกลับไปว่า ‘ลองให้เธอมาเป็นชาวต่างโลกที่ได้มาเกิดใหม่บ้าง เธอคงจะวิตกจริตเหมือนกันนั่นแหละ’ อย่างที่ใจคิด เพราะผลที่ตามมาก็คือถ้าเธอไม่ถูกว่าบ้าก็ถูกจับเผาในฐานะคนนอกศาสนาคนแรกของเอวาเรียนอย่างแน่นอน

         วงเวทย์ขนาดใหญ่ที่สามารถครอบเมืองทั้งเมืองได้ต้องใช้พลังเวทย์มหาศาลขนาดไหน เอมิลี่ไม่อาจจินตนาการได้ แม้แต่ครูกิ้บบอนที่จัดเป็นักเวทย์ที่เก่งกาจที่สุดในเมืองเอวาเรียนแล้ว ก็สามารถร่ายวงเวทย์ขนาดเท่ากับห้องเรียนเล็ก ๆ เท่านั้น

         ‘หรือเราจะเริ่มฝันอะไรเป็นตุเป็นตะได้แล้ว’ เอมิลี่คิด

          แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คลับคล้ายคลับคลายว่าเคยเห็นลักษณะวงเวทย์ในฝันที่ไหนสักที่ ด้วยความที่มันมีลักษณะที่คล้ายกับเวทมนตร์ของโลกนี้ เธอเลยคิดว่าอาจจะเคยเห็นในตำราวจนะสักเล่ม

เล่มนี้ก็ไม่ใช่

เล่มนี้ก็ไม่มี

อ้ะ…เล่มนี้ ลวดลายใกล้เคียงมาก แต่ก็ไม่ใช่อยู่ดีแฮะ

          เธอเปิดหนังสือเล่มหนาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าห้องสมุดของโรงเรียนจะมีหนังสือหลากหลายและครอบคลุมทุกศาสตร์ที่จำเป็น (อย่างที่มิสแมรี-ลูภูมิใจ) แต่เอมิลี่ที่มาเยือนห้องสมุดแห่งนี้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบได้อ่านหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดหมดแล้ว แม้เธอจะพูดเต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่าจำได้ทุกบรรทัด แต่บางเล่มแค่จับดูก็รู้ว่าไม่เกี่ยวกับวงเวทย์ที่เธอกำลังตามหา

           จนกระทั่งเล่มสุดท้ายที่เธอตั้งใจจะลองอ่าน คือ ตำรารวมอภินิหารตราเวทย์ต้องห้าม: การค้นพบล่าสุด และคำอธิบายที่ใกล้เคียงที่สุด พร้อมรูปประกอบ โดย ไรอัน ซิลเวอร์เลค มันเป็นหนังสือที่ไม่หนามาก ราว 200 หน้าและค่อนข้างใหม่

           เธอเคยเปิดดูตำรารวมอภินิหารตราเวทย์ต้องห้าม: การค้นพบล่าสุด และคำอธิบายที่ใกล้เคียงที่สุด พร้อมรูปประกอบ อย่างผ่าน ๆ อยู่บ้าง ถึงรู้ว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะหลักฐานการค้นพบอ่อนมาก โดยส่วนมากก็คือ “พบเห็นด้วยตาเปล่า” คำอธิบายก็ค่อนข้างสั้นและกำกวม บางวงเวทย์ถึงกับละเว้นวจนะไว้ด้วย 

          ตามตรรกะของเวทย์วจนะกล่าวไว้ว่า “ไม่วจนะ ไม่มีวงเวทย์” เพราะฉะนั้นวงเวทย์ที่ไม่สามารถร่ายได้ก็ไม่ต่างอะไรจากนิทานสำหรับคนในโลกนี้ นอกจากนี้ยังไม่มีคำนิยมจากนักวิชาการสักคนเดียว เอมิลี่จึงตั้งใจจะเก็บเล่มนี้ไว้อ่านสุดท้าย  

แต่ปรากฎว่ามันเป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีวงเวทย์ใกล้เคียงกับความฝันของเธอ ดูเหมือนว่าวงเวทย์ที่เธอกำลังตามหาจะเป็นวงเวทย์หลาย ๆ วงซ้อนกันเหมือนชุดคาถาขนาดใหญ่

[บาเรียดอกไม้กินคน
คำอธิบาย: บ่อเกิดของพลัง สวย แต่กินมนุษย์ (ดูเหมือนจะเป็นมนุษย์เท่านั้น – ยังไม่ได้รับการยืนยัน)
หลักฐานการพบ: พบเห็นด้วยตาเปล่า พยาน: อาร์. ซิลเวอร์เลค และซิลเวอร์เลค
ข้อจำกัด: ไม่สามารถต้านทานแสงอาทิตย์ได้
วิธีรับมือ: แสงอาทิตย์ (แนะนำว่าควรแสงอาทิตย์แรง ๆ)
วจนะ: ไม่ได้รับการยืนยัน]


[บาเรียเลือด
หลักฐานการพบ: พบเห็นด้วยตาเปล่า พยาน: อาร์. ซิลเวอร์เลค
คำอธิบาย: เป็นวงเวทย์ขนาดกลาง สามารถป้องกันการโจมตีทางกายภาพและเวทมนต์จากภายนอกได้ สามารถสะท้อนกลับการโจมตีทุกรูปแบบทั้งภายในและภายนอกบาเรีย หากผู้จู่โจมบาเรียได้รับความเสียหายจากการสะท้อนกลับ หรือการโจมตีของผู้ร่ายบาเรีย ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณ และซึมซับพลังจนแข็งแกร่งกว่าเดิมได้ สามารถปรับอุณหภูมิและแสงตามความต้องการของผู้ร่ายบาเรียได้
ข้อควรระวัง: จัดอยู่ในประเภทบาเรียมีชีวิต
วิธีรับมือ: อย่าโจมตีบาเรียโดยตรง รับมืออย่างใจเย็น และจงใช้สมอง
วจนะ: ไม่ได้รับการยืนยัน]


[วงแหวนมรณะ
หลักฐานการพบ: พบเห็นด้วยตาเปล่า พยาน: อาร์. ซิลเวอร์เลค และซิลเวอร์เลค
คำอธิบาย: เวทย์ตรวจจับสถานะผิดปกติระดับพิเศษ หากตรวจพบสถานะผิดปกติจะดำเนินการทำลายโดยทันที
ข้อจำกัด: ไม่ได้รับการยืนยัน
วิธีรับมือ: หลีกเลี่ยงการใช้เวทมนตร์ในวงแหวน เน้นการโจมตีด้วยกายภาพ อาจใช้อาวุธที่ได้รับการปลุกเสกจากศาสจักร หรือน้ำมนตร์แทน
วจนะ: “ผู้มอบเวทมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ นามนั้นคือข้า ผู้อยู่เหนือกาลเวลาทั้งปวง” (ย่อ - ฮาลาเนียบทที่ 34)]

       ในหนังสือยังมีอีกสิบกว่าคาถาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดูจะเป็นวงเวทย์ที่ซับซ้อนเช่นกัน ถึงหนังสือจะดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่พออ่านแล้วก็รู้สึกสนุกดี เหมือนกำลังนิยายแฟนตาซีขณะที่ตัวเองอยู่ในโลกแฟนตาซีเอมิลี่จึงตั้งใจจะยืมหนังสือเล่มนี้ และอีกสามเล่มที่น่าจะเกี่ยวข้องได้แก่ 
    -   ลูกสมุนของปีศาจและตราเวทย์ที่เกี่ยวข้อง ฉบับปรับปรุงล่าสุด โดย ไรอัน ซิลเวอร์เลค
    -  การถือกำเนิดของปีศาจ:คาถาพันธนาการ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ต้องการประกอบอาชีพนักเวทย์พันธสัญญาทุกระดับ (แถมฟรีในเล่ม! ใบสมัครเข้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนักล่าอสูร) โดย ไรอัน ซิลเวอร์เลค
     -   รวมวงเวทย์และความสามารถของแม็กก็อธ:หนอนเน่าผู้กัดกินแก่นโลก หรือพระผู้ไถ่ โดย คาโดแกน ซาริงเกอร์ 

     เมื่อหายข้องใจแล้ว เอมิลี่ก็ตำหนิตัวเองที่วิตกจริตอย่างที่ซิลกี้ ซิลเวสเตอร์ว่าไว้ไม่มีผิด ถึงจะผิดหวังกับความฝันล่าสุดที่ทำเอาตัวเองตื่นตระหนกเกินไป จนเกิดเหตุการณ์โดดเรียนอย่างที่เอมิลี่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ได้หนังสือที่ใกล้เคียงกับนิยายมาอ่าน เธอเลยครึ้มอกครึ้มใจอยู่บ้าง 

      ขณะที่เอมิลี่คิดจะกลับไปเรียนวิชาวจนะขั้นสูงต่อ เธอวางแผนว่าหลังจากยืมหนังสือเสร็จเธอก็จะฝากหนังสือทั้ง 4 เล่มไว้ก่อน หลังเลิกเรียนตอนบ่ายสามถึงจะกลับมาเอา เธอโดดมาห้องสมุด ไม่น่าจะถึง 1 ชั่วโมง ตอนนี้ก็น่าจะเป็นเวลาประมาณบ่ายสองกว่า ๆ  เธอตั้งใจว่าขออนุญาตแสดงวงเวทย์ของฮาลาเนียท้ายคาบเลย เพื่อที่ตอนเช้าของวันจันทร์จะได้มีเวลาว่าง เอมิลี่ก็พบมิสแมรี-ลูยื่นหน้าขมึงทึงอยู่ข้างหน้าเธอแล้ว

       “มิสบราว์นคะ อิฉันหวังว่าคุณจะได้ตำราที่ต้องการแล้วนะคะ เพราะต้องนี้ห้องสมุดกำลังจะปิดเเล้วค่ะ!” 

        เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนสิ

        “คะ? ไม่ใช่ปกติห้องสมุดปิดตอนห้าโมงเย็นหรือคะ?” เธอเลิกลั่กลั่นถาม

        มิสแมรี-ลูส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ 

        “นี่มัน 5 โมง กว่า แล้วค่า ถ้าให้เจาะจงก็ต้อง สิบเจ็ดนาฬิกา สามสิบนาที อิฉันต่อเวลาให้มิสบราว์นสุด ๆ ไปเลยล่ะค่ะ!”

       โถ่ ไม่นะ

        “แต่หนูยังไม่ทันยืม——“ เอมิลีี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่

       “ฮึ่มมม!”

        นี่มันเดจาวู*ชัด ๆ จะใช้ข้ออ้างแบบพวกซิลกี้กับมิสแมรี-ลูได้ไหมนะ

 

———————————————————

*เดจาวู (dejavu) คืออาการที่คนเราคิดว่าเคยประสบ หรือเห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมาไป